ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: เจ้าสาวภูต : บทที่ ๖ รอยร้าวเล็กๆ

เจ้าสาวภูต : บทที่ ๖ รอยร้าวเล็กๆ

หลังจากเทศกาลเปลี่ยนฤดูในต้นเดือนสิบสิ้นสุดลง ข่าวเรื่องกุ้ยฮวากับพระชายาขององค์รัชทายาทก็ดังไปทั่ววัง ตอนแรกคนอื่นฟังไม่ได้ศัพท์ก็เข้าใจว่าพระชายารังแกกุ้ยฮวา แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อทราบว่าพระชายาจอมหยิ่งถูกชะตากับธิดาสกุลเฉินเป็นอย่างมาก ขยันส่งเทียบเชิญให้มาเป็นเพื่อนสนทนาจนกุ้ยฮวากลายเป็นแขกประจำ

ผู้ที่ได้รับรู้เรื่องราวต่างชื่นชมว่ากุ้ยฮวามีเสน่ห์ผูกใจคน แม้แต่พระชายาจอมยโสก็สามารถทำให้โอนอ่อนได้ สนมเฉินถูกใจหนักหนาเมื่อได้ทราบความจริงโดยละเอียด นางหวังแค่ให้หลานสาวได้รับบทเรียนจากความหึงหวงของสตรีสูงศักดิ์ ไม่คิดฝันว่ากุ้ยฮวาจะเป็นฝ่ายให้บทเรียนพระชายาหยาหยี่เสียเอง ไม่เพียงปราบอีกฝ่ายจนอยู่หมัดยังเอามาเป็นพวกด้วย ได้ข่าวว่าพระชายาหยาหยี่เอ่ยชมเรื่องกุ้ยฮวาให้ฮองเฮาฟังเสียมากมาย ถึงขนาดออกปากเลยว่าหากองค์ชายห้าไม่รีบผูกใจเอาไว้ กุ้ยฮวาแต่งกับคนอื่นไปคงน่าเสียดายยิ่งนัก

พระชายาหยาหยี่นับถือน้ำใจกุ้ยฮวา แต่ใจจริงมิได้ชื่นชอบมากมายขนาดจะเอ่ยชมต่อหน้าผู้ใหญ่ ที่เล่าเรื่องของนางถวายฮองเฮาก็เพื่อเอาคืนท่านหญิงฮุ่ยเสียน พระชายาหยาหยี่มิใช่คนโง่ ที่ถูกชักจูงโดยง่ายเพราะความหึงบังตา เมื่อกุ้ยฮวาช่วยเตือนสติจนสงบใจได้ก็เข้าใจทุกอย่าง

กุ้ยฮวากับองค์ชายห้ามีข่าวว่าเป็นคู่หมายกันอยู่ ฮุ่ยเสียนที่อยากได้ตำแหน่งชายาเอกขององค์ชายเหวินหรงจึงวางแผนยืมมือนางทำร้ายกุ้ยฮวา โดยอ้างว่ามาเตือนเพราะความหวังดี แต่ที่จริงหมายจะให้อาละวาดทำลายโฉมคู่แข่ง

พระชายาหยาหยี่โมโหมากแต่ก็ไม่เอะอะโวยวาย นางใช้หลักสติที่กุ้ยฮวาสอนหาทางแก้เผ็ดฮุ่ยเสียนอย่างแสบสัน ด้วยการสนับสนุนกุ้ยฮวาและกีดกันฮุ่ยเสียนจากองค์ชายห้า พระชายาผู้ตาสว่างยังคงส่งยิ้มหวานหยดให้ฮุ่ยเสียนตลอดเวลาที่เข้าเฝ้าฮองเฮา นางรอจนสบโอกาสในขณะที่ไม่มีใครสังเกต ค่อยกระซิบบอกความในใจกับท่านหญิงจอมแผนการ

“วันนี้เห็นแก่หน้าฮองเฮาจึงยังไม่ลงโทษ ถ้ายังรักชีวิตวันหน้าก็อย่าได้คิดกำเริบ หรือเฉียดเข้าใกล้ตำหนักข้าอีก”

ท่านหญิงฮุ่ยเสียนถูกกรรมตามสนองจนเสียขวัญ ไหนจะกลัวคำขู่ของพระชายาไหนจะวิตกว่าเอาเรื่องที่นางใส่ไฟกุ้ยฮวาจะรู้ถึงหูฮองเฮา นางคิดมากจนล้มป่วย ต้องขอออกจากวังไปตั้งหลักพักใหญ่

เมื่อคนที่คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งไม่อยู่ ชีวิตในวังของแว่นก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ คำว่าปกติที่ว่านี้คือไม่ดีไม่ร้าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกทดสอบความรู้ หรือมีเหตุการณ์กระทบกระเทียบแดกดัน คนที่ไม่ชอบหน้ากุ้ยฮวาหลักๆ ก็มีกลุ่มขององค์หญิงแปดกับองค์หญิงสิบสี่ องค์หญิงแปดเกลียดทั้งกุ้ยฮวาและองค์หญิงลี่จู แต่องค์หญิงสิบสี่ไม่ชอบหน้ากุ้ยฮวาแค่คนเดียว จึงมักจะไล่แว่นไปไกลๆ ไม่ยอมให้มีส่วนร่วมในการสนทนา

แว่นขี้เกียจทะเลาะกับเด็กเลยเดินออกจากห้องไปเองทุกครั้ง วันนี้กำลังปักผ้าเพลินๆ นางกำนัลก็มารายงานว่าองค์หญิงสิบสี่มาหา แว่นเลยขอตัวออกไปเดินเล่นสูดอากาศ โดยมีซีอิ๋งตามออกมาเป็นเพื่อน

“คุณหนูดูนกเมาโถวอิงสิเจ้าคะ มาอยู่หลายวันแล้วไม่ไปไหนเลย ใครกันหนอจะเป็นผู้โชคดีที่นกนำเนื้อคู่มาให้” เด็กสาวชี้ชวนให้ดู

“อาจจะเป็นเจ้าก็ได้นะซีอิ๋ง” แว่นหยอกเพราะเห็นนางชอบเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหลือเกิน

“จะใช่ข้าได้อย่างไรเจ้าคะ อายุยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าร่วมเทศกาลหนุ่มสาวด้วยซ้ำ”

ซีอิ๋งเพิ่งจะสิบสี่ย่างสิบห้า อายุขั้นต่ำของสตรีที่สามารถเข้าร่วมเทศกาลหนุ่มสาวได้คือสิบหก ส่วนฝ่ายชายคือสิบแปด ต่อให้เป็นนางกำนัลหรือมหาดเล็กรับใช้ในงานก็ไม่มีข้อยกเว้น ซีอิ๋งเสียดายหนักหนาเพราะคิดว่ากว่าตนจะอายุครบ คุณหนูคงได้หมั้นหมายกับใครสักคนอย่างเป็นทางการไปแล้ว

“ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วคิดว่าใครล่ะ”

“ข้าคิดว่าถ้าไม่ใช่คุณหนูก็ต้องเป็นองค์หญิงลี่จูเจ้าค่ะ พวกท่านสองคนออกงานพร้อมกันต้องเด่นสะดุดตาแน่ ทีนี้คงได้มีคนมาสู่ขอไม่เว้นแต่ละวัน”

แว่นฟังความคิดไร้เดียงสาของซีอิ๋งแล้วก็ขำ ทั้งกุ้ยฮวากับองค์หญิงลี่จูอาจเป็นที่หมายปองของคนมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่อาจเอื้อมเด็ดดอกฟ้า ขุนนางคนไหนกล้ามาสู่ขอโดยตรงคงทั้งกล้าทั้งบ้าบิ่น โดยเฉพาะในกรณีองค์หญิงลี่จู

“ตอบมาซิเจ้านก เจ้าพาเนื้อคู่มาให้ใครกันแน่” แว่นถามนกเค้าแมวที่ชายคา

นกตัวโตไม่ได้สนใจคำถามของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย มันยังคงตั้งหน้าตั้งตาจิกผนังแสดงพฤติกรรมประหนึ่งนกหัวขวาน แว่นสังเกตหลายครั้งแล้วจึงลองถามพวกนางกำนัลดูว่ามันทำแบบนี้ไปทำไม จะว่าสร้างรังหรืออาหารก็ไม่เข้าเค้า คำตอบที่ได้คือมันกำลังทำสัญลักษณ์ให้เนื้อคู่ตามหาอีกฝ่ายเจอ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงงานนี้เพื่อนรักของเขาคงได้รู้ใจตัวเองเสียที เพราะผนังฝั่งที่มันมาเกาะเป็นห้องขององค์หญิงลี่จู

นกเค้าแมวปริศนายังคงเจาะผนังต่อไปด้วยใจบากบั่น มีเพียงตัวมันเท่านั้นที่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงคือสิ่งใด นกภูตที่เกิดจากเจตจำนงอันกล้าแข็งกำลังพยายามปลดผนึกอาคมที่นักพรตได้สร้างเอาไว้ พลังของค่ายกลปราบมารปิดกั้นช่องทางทุกด้านจนนายของมันมิอาจเข้าหาคู่รักได้โดยสะดวก มันจึงมาเบิกทางเพื่อให้พลังแห่งป่าสนธยาแทรกซึมเข้ามา ในระหว่างที่รอให้ถึงฤกษ์งามยามดี

ความพยายามของภูตนกเค้าแมวก็เป็นผลในสัปดาห์ที่สองของฤดูหนาว หินผลึกที่เป็นเสมือนปราการเกิดรอยร้าว รอยนี้เล็กเสียจนดวงตาของมนุษย์ไม่อาจมองเห็น แต่ก็มากพอให้ผลึกเสื่อมพลังลง

เมื่อสร้างผลงานได้เป็นที่พอใจแล้ว นกภูตก็บินจากไป พร้อมกับแผดเสียงร้องดังก้องฟ้า หากนำเสียงร้องบาดหูนี้มาแปลความมันจะสื่อความหมายว่า ‘นายข้ากำลังจะมา’


สายลมจากแดนเหนือหอบเอาความหนาวมาส่งถึงเมืองหลวงในยามดึกสงัด ไอเย็นทำให้หลายคนสั่นสะท้านต้องนอนขดตัว บ้างก็สะดุ้งตื่นมาสวมเสื้อผ้าหรือหาผ้าห่มมาห่มอีกชั้นเพื่อคลายหนาว ถึงกระนั้นก็ยังมีคนในตำหนักผลึกอยู่สองคนที่ไม่สะดุ้งสะเทือนกับความเย็น

คนแรกคือไป๋หลิน นางเกิดและโตที่หุบเขาหิมะ อีกทั้งยังสำเร็จวิชาปราณขั้นสูงอากาศหนาวแบบครึ่งๆ กลางๆ จึงทำอะไรไม่ได้ คนที่สองคือองค์หญิงลี่จู องค์หญิงผู้นี้ถือกำเนิดในช่วงที่เมืองหลวงหนาวเย็นที่สุดในรอบร้อยปี ทารกที่ลืมตาดูโลกในช่วงใกล้เคียงกันล้วนสิ้นใจไม่ก็เจ็บป่วย แต่องค์หญิงน้อยกลับแข็งแรงสดใสราวกับร่างกายได้รับพร แม้เติบใหญ่ก็ยังเป็นเช่นเดิม น้ำร้อนจัดหรือเย็นจัดไม่เคยทำร้ายผิวกายนางได้

เมื่อไม่มีสิ่งแวดล้อมมาเป็นตัวขัดจังหวะทั้งโบ้และหน่อมจึงจมอยู่กับห้วงนิทรารมย์ต่อไป โบ้ฝันเรื่อยเปื่อยค่อนไปทางหาสาระไม่ได้ ในขณะที่หน่อมฝันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน จะต่างก็ตรงที่ความฝันในค่ำคืนนี้มีรายละเอียดหลายอย่างที่แจ่มชัดขึ้น เหตุการณ์เริ่มต้นที่ผืนป่าสลัว ตอนแรกมันก็ดูน่ากลัว แต่เมื่อลองปรับสายตาให้คุ้นชินกลับให้ความรู้สึกคุ้นเคยอบอุ่นปลอดภัยราวกับเป็นสวนหลังบ้าน

ป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด รวมถึงภูตตัวเล็กตัวน้อย บ้างก็มีรูปลักษณ์เป็นสัตว์จะต่างก็ตรงร่างกายโปร่งแสง บางตนมีรูปร่างเป็นมนุษย์แต่มีปีกและขนาดเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างเช่นภูตดอกไม้ที่มีขนาดตัวประมาณหัวแม่โป้ง แต่ละตนมีปีกบางใสลักษณะแตกต่างกันไป เหล่าภูตตัวน้อยบินโฉบรอบตัวเขาแล้วหัวเราะอย่างร่าเริง

“เจ้าสาวของท่านจ้าวสวยจริง สวยจริงนะเจ้าสาวท่านจ้าว” เสียงแหลมเล็กของภูตดอกไม้ดังเช่นนี้ซ้ำๆ

หน่อมไม่รู้สึกรำคาญเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันกลับเก้อเขินเสียมากกว่า ตัวเขาในความฝัน เดินหนีพวกภูตเข้าไปในม่านควันสีดำ หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นแต่หน่อมกลับจำไม่ได้ ภาพสุดท้ายยังหลงเหลืออยู่ในความทรงจำคือภาพเงาในน้ำของบุรุษผู้หนึ่ง

ผู้ชายคนนี้เป็นชายวัยยี่สิบปลายๆ ดูสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็นเพราะใบหน้าอันหล่อเหลากับเรือนผมสีเดียวกับท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดง นัยน์ตาของเขาเองก็เป็นสีแปลก มันผสานกันระหว่างสีฟ้า ส้มและเทา ดูทรงอำนาจแต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยความเศร้าล้ำลึก

“ท่านจ้าว!” เสียงใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมา

ชายปริศนาจึงผละจากริมน้ำไปหาเสียงเรียก เมื่อภาพของเขาหายไปความฝันก็สิ้นสุดลง

แม้จะตื่นจากฝันนานแล้ว ภาพของชายปริศนาก็ยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำ หน่อมรู้สึกเหมือนหน้าอกกำลังถูกบีบรัด ใจเขาเจ็บแปลบโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อนึกย้อนไปถึงวลีนั้น ‘ท่านจ้าว’ เสียงเรียกปริศนายังก้องอยู่ในใจพร้อมรู้สึกว่าไม่คู่ควร

ไม่บ่อยนักที่องค์หญิงลี่จูจะตื่นมาด้วยอาการหม่นหมองและเหม่อลอยจนสังเกตได้ ซูเสียทักไปหลายคำองค์หญิงก็ไม่ตอบกลับ ต้องสะกิดตัวเบาๆ จึงตื่นจากภวังค์

“เมื่อคืนฝันไม่ดีหรือเพคะ”

หน่อมสะดุ้งกับคำทักของนางกำนัลคนสนิท เขารีบปฏิเสธแล้วฉีกยิ้มกลบเกลื่อน

“แน่หรือเพคะ” ซูเสียทำหน้าไม่เชื่อเท่าใดนัก

“เราไม่เป็นอะไรจริงๆ แค่รู้สึกว่าพักนี้ทุกคนเหมือนมีความลับกับเรา”

คราวนี้เป็นตาที่ซูเสียจะสะดุ้งบ้าง ไทเฮาทรงกำชับนางเอาไว้ว่าห้ามให้องค์หญิงลี่จูรู้ว่ากำลังถูกมารรังควาน ท่านนักพรตบอกว่าเมื่อนางรู้ตัว จิตจะเปิดรับสิ่งลี้ลับได้ง่ายขึ้น

“ไม่มีอะไรนี่เพคะ องค์หญิงทรงคิดมากไปเองมากกว่า” ซูเสียตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ

เจ้าความปกตินี่แหละที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ปกติ หน่อมแค่เปรยขึ้นมาเพื่อหาทางเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้น ไม่คิดเลยว่านางกำนัลจะมีเรื่องปิดบังจริง ถึงกระนั้นหน่อมก็เออออตามโดยไม่คิดคาดคั้น เขาเชื่อว่าความลับไม่ได้แฝงเอาไว้ด้วยความประสงค์ร้ายเสมอไป

ซูเสียผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับกล่าวขอโทษองค์หญิงลี่จูในใจ นางช่วยเลี้ยงดูองค์หญิงมาตั้งแต่เล็ก มีหรือจะไม่ห่วงใยความรู้สึก ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากปิดบังแม้แต่เรื่องเล็กน้อย

“จริงสิ เมื่อวานน้องสิบสี่บอกว่าเสด็จพ่อจะเลือกคู่ให้พี่แปดพี่เก้าในงานเทศกาลปีนี้ พอรู้ไหมว่าว่าที่พี่เขยเราเป็นใครบ้าง”

หน่อมยังไม่กังวลเรื่องคู่ครองของตัวเองเพราะพระบิดากับไทเฮาไม่ได้ตรัสอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านแม่เองก็นิ่งเฉย บอกแต่ว่าให้เข้าร่วมงานเทศกาลหนุ่มสาวเท่านั้น จึงเข้าใจไปว่าผู้ใหญ่ยังไม่กำหนดตัวคู่ครอง เพราะต้องการให้บรรดาพี่สาวแต่งงานกันให้เรียบร้อยก่อน

“หม่อมฉันได้ยินว่าบุตรชายของเจ้ากรมยุติธรรมกับหลานของราชครูเป็นตัวเต็งเลยเพคะ” เพ่ยอิงแย่งตอบ

“แล้วท่าทีพวกพี่ๆ เล่าเป็นอย่างไร โดยเฉพาะพี่แปด”

องค์หญิงลี่จูกับองค์หญิงเก้าเป็นพี่น้องที่รักกันดี จึงพอรู้มาบ้างว่าพี่สาวโอนอ่อนไปทางหลานชายราชครู แต่กับองค์หญิงแปดนั้นแทบไม่ได้คุยกันเลย เพราะมารดาของพี่สาวคนนี้คือสนมเหอ

“เห็นว่าถ้าไม่ใช่องค์ชายจากแคว้นอื่น หรือระดับผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองคงไม่แต่งง่ายๆ เพคะ”

ในบรรดาพี่น้ององค์หญิงแปดจัดว่างามเป็นลำดับต้นๆ อีกทั้งยังมาจากตระกูลใหญ่จึงเย่อหยิ่งถือตัว ต่อให้มารดามิเป็นที่โปรดปรานและน้องชายเพิ่งจะพ้นโทษ นางก็ยังมุ่งมั่นเรียกร้องในสิ่งที่สมควรได้

“ถ้าพี่แปดได้พบคนที่เหมาะสมเร็วๆ ก็ดีสิ” หน่อมอวยพรให้จากใจ

เขาชื่นชมพี่สาวที่รู้จักดิ้นรนเพื่อให้ได้ครอบครองสิ่งที่ดีที่สุด พอหันมามองความเป็นมนุษย์เรื่อยเฉื่อยของตัวเองแล้วก็อดละอายไม่ได้

“คงยากเพคะ องค์หญิงแปดช่างเลือกเสียเหลือเกิน ต้นปีหน้าก็ยี่สิบแล้ว รู้ตัวอีกทีคงหมดวัยออกเรือน” เพ่ยอิงนินทา

“ระวังปากหน่อย” ซูเสียเอ็ดแต่เพ่ยอิงกลับเห็นเป็นเรื่องขัน แถมยังมีอารมณ์ล้อเล่นต่อ

“ข้าก็ไม่ค่อยอยากพูดมากหรอก แต่มันเหงาปากนี่ ถ้าพี่ซูเสียเป็นห่วงคงต้องหาของกินมายัดปากข้าให้เยอะๆ แล้วล่ะ”

“หาเรื่องกินได้ตลอดเลยนะเจ้า” ซูเสียบ่นอุบอิบ ส่วนทุกคนในที่นั้นพากันหัวเราะ

เรื่องโต้เถียงกันระหว่างสองสาวถือเป็นเหตุการณ์ประจำวันที่สร้างสีสันให้ชีวิตอันราบเรียบ หน่อมเองจึงปล่อยให้สนทนากันตามใจเวลาอยู่ในห้องหับที่ปิดประตูมิดชิด

“องค์หญิงจะให้จัดเครื่องเสวยเลยไหมเพคะ”

เมื่อครู่คุยกันเรื่องอาหาร นางกำนัลผู้รับผิดชอบจึงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ถามเวลาตั้งโต๊ะ

“ถ้าทุกคนตื่นกันแล้วก็จัดการได้เลย” ทุกคนในที่นี้หมายถึงแว่นกับโบ้แต่ไม่รวมเจ้

เจ้มาอยู่ในวังได้ระยะหนึ่งแล้วแต่ไม่ยอมมาพักที่ตำหนักผลึกเพราะไม่อยากให้มีปัญหา แม้ฟางเซียนจะเข้าวังมาในฐานะคนขององค์ชายสามแต่ก็มีผู้จดจำนางในฐานะคณิกาได้ ไทเฮาผู้เคร่งขนบคงไม่พอใจเป็นอย่างมากถ้ารู้เห็นว่าพระนัดดาคบหากับสตรีชั้นต่ำ

“ท่านหญิงรุ่ยฟางกับคุณหนูไป๋หลินออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วเพคะ”

“ไปไหนกันหรือ” หน่อมประหลาดใจที่เพื่อนหายไปพร้อมกันโดยไม่บอก

“ไม่ทราบเพคะ สั่งแต่ว่าจะกลับมาก่อนมืด ให้ลองไปถามกับคนขับรถม้าไหมเพคะว่าพาไปส่งที่ใด”

หน่อมไม่อยากให้วุ่นวายจึงบอกไปว่าไม่ต้อง เมื่อไม่มีเพื่อนๆ อยู่ด้วย เขาก็เปลี่ยนแผนการประจำวัน จากที่ตั้งใจเก็บตัวปักรายละเอียดบนผ้าให้เสร็จ ก็เปลี่ยนเป็นไปเฝ้าไทเฮาแทน

หน่อมคิดอย่างง่ายๆ ว่าแว่นคงมีธุระปะปังตามประสา ส่วนโบ้คงไปเที่ยวเล่นชมวังเหมือนเคย จึงไม่ได้สงสัยหรือใส่ใจนัก ถ้ารู้ว่าพวกเพื่อนๆ กำลังประชุมกันหน้าดำคร่ำเคร่งเพราะเรื่องของตัวเอง คงไม่นิ่งนอนใจแน่


จนบัดนี้รายชื่อว่าที่คู่ครองขององค์หญิงลี่จูยังปิดเป็นความลับไม่ประกาศออกมาให้ผู้ใดรู้ แต่เจ้ก็พยายามสืบหาอย่างเอาเป็นเอาตายจนได้รายชื่อมาครบทั้งสามคน รายแรกเป็นองค์ชายจากต่างแคว้น รายที่สองเป็นขุนนางจากกรมปกครอง ส่วนรายที่สามเป็นแม่ทัพใหญ่ เจ้ยังสืบไม่ได้ว่าผู้สนับสนุนของพวกเขาเป็นใครบ้าง จึงขอข้ามรายละเอียดในส่วนนี้ไปก่อน

“สืบตั้งนานได้มาแค่ชื่อเองเหรอคะ” โบ้ทำท่าผิดหวัง

“ได้แค่นี้ก็ดีหนักหนาแล้ว นี่ไม่ใช่โลกเดิมนะยะ จะได้สืบเอาง่ายๆ จากทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์” แว่นเอ็ดเพราะรู้ดีว่าข้อมูลที่ได้มามีค่าแค่ไหน

“แหม...อย่างน้อยก็น่าจะมีอายุหรือหน้าตาแถมมาสักนิดก็ยังดี” โบ้ยังบ่น เขาอุตส่าห์ตื่นแต่เช้ารีบออกมาอย่างตื่นเต้นเพราะคาดหวังว่าจะได้รู้อะไรหลายๆ อย่างในคราวเดียว

“อายุมี แต่หน้าตานิสัยใจคอพวกเราต้องเป็นคนช่วยกันหาข้อมูล” เจ้ว่า

เธอเอานิ้วชี้ไปที่รายชื่อแรก แล้วอธิบายข้อมูลให้ฟังอย่างคร่าวๆ

“ผู้เข้าประกวดรายแรก องค์ชายเซินถูเหอเสี่ยง จากแคว้นหูโปลวี่”

แคว้นนี้อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเจียงเฉียง ขนาดเล็กกว่าเจียงเฉียงประมาณสามเท่าไม่มีเมืองขึ้นแต่ก็ไม่มีสงคราม ฐานะและทรัพยากรจัดว่ากลางๆ ข้อดีอันโดดเด่นคืออากาศอุ่นกว่าเจียงเฉียง ไม่มีหิมะตก ทั้งยังมีแหล่งน้ำกระจายอยู่ทั่วประเทศจึงทำการเกษตรได้ตลอดปี

“องค์ชายเหอเสี่ยงอายุยี่สิบสาม เป็นองค์ชายลำดับเจ็ด จึงไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่มีสิทธิ์เป็นผู้ครองแคว้นคนต่อไป”

“รัชทายาทเมืองหูโปอะไรนั่นเป็นเกย์เหรอคะ ถึงไม่คิดแต่งงานมีลูกเมีย” โบ้ตั้งขอสังเกต

“ไม่ใช่ย่ะ! แค่อ่อนแอป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่นานคงมีการเปลี่ยนตัวผู้สืบทอด” แว่นตอบแทน

ช่วงก่อนแว่นไปเยี่ยมองค์ชายแปดทุกวัน บังเอิญไปตรงกับเวลาที่เฉิงหมินมาสอนหนังสือ เลยได้ฟังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของแว่นแคว้นต่างๆ รวมถึงสถานการณ์บ้านเมืองในแต่ละที่

“อุ๊ย! คนนี้เลิศ แต่งไปหน่อมอาจมีสิทธิ์ได้เป็นฮองเฮาสิคะ”

“ใช่ แถมยังเป็นคนที่ดูปลอดภัยที่สุดด้วย” เจ้ว่าพลางทำเครื่องหมายวงกลมที่หลังชื่อ

ที่ว่าปลอดภัยคือเป็นคนเดียวที่ไม่น่าคิดร้ายต่อเจียงเฉียง แคว้นหูโปลวี่ห่างไกลจากที่นี่พอสมควร ไม่มีอาณาเขตติดต่อกันจึงตัดเรื่องหวังชิงพื้นที่ไปได้ ความสัมพันธ์ด้านการค้าก็มีมาต่อเนื่องยาวนาน เจียงเฉียงยังถือเป็นตลาดใหญ่ของอ้อยกับน้ำตาลซึ่งเป็นสินค้าสำคัญของหูโปลวี่ ทางนั้นคงไม่สิ้นคิดขนาดตัดทางค้าขายตัวเอง นอกจากนี้การดองกับเมืองใหญ่ ยังส่งผลต่อความมั่นคงของแคว้นและช่วยในเรื่องการขอลดหย่อนค่าผ่านด่านสินค้าด้วย

“คนที่สองล่ะคะเป็นไง” โบ้เร่งให้เล่า

“คนที่สององค์ชายเจิ้งเทียนฉีจากแคว้นอี้ป่าย อายุยี่สิบห้า ขณะนี้ทำงานเป็นขุนนางขั้นสามในกรมปกครอง”

โบ้ฟังแล้วก็ทำหน้าสงสัย เหตุใดองค์ชายต่างแคว้นจึงมารับราชการที่นี่ได้ แว่นรู้ว่าต้องงงจึงช่วยอธิบายเพิ่มให้

“แคว้นอี้ป่ายเป็นเมืองขึ้นของเจียงเฉียง ก่อนหน้านี้มีศึกชิงบัลลังก์ภายในราชสำนัก เชื้อพระวงศ์ล้มตายกันเกือบหมด องค์ชายเลยถูกส่งมาที่ราชสำนักเจียงเฉียงตั้งแต่เล็กเพื่อความปลอดภัย อายุครบยี่สิบเจ็ดเมื่อไรก็จะได้สิทธิ์การครองแคว้นคืน”

อี้ป่ายยอมเป็นเมืองขึ้นเพื่อรักษาสายเลือดราชวงศ์เอาไว้ หนำซ้ำยังต้องทนกล้ำกลืนให้ขุนนางของเจียงเฉียงเป็นผู้ปกครองแคว้น จึงมีความเป็นไปได้ที่องค์ชายเทียนฉีจะมีความคิดแข็งเมืองเมื่อตนได้เป็นใหญ่

“สรุปคือถ้าหน่อมแต่งกับคนนี้ก็ยังได้เป็นฮองเฮาแล้วก็อยู่ใกล้กว่าด้วย” โบ้พูดตามที่จับประเด็นได้

“เมืองขึ้นไม่มีตำแหน่งฮ่องเต้กับฮองเฮาหรอก มีแต่อ๋องกับพระชายา”

เหตุที่มีการลดตำแหน่งชั้นลงก็เพื่อมิให้ลำดับยศเสมอกับเมืองที่ปกครอง แม้จะคงยศขององค์ชายองค์หญิงที่เกิดจากเจ้าผู้ครองแคว้นไว้ แต่ก็รู้กันดีว่าฐานันดรมีศักดิ์เสมอแค่พวกท่านหญิงท่านชายเท่านั้น

เมื่อโบ้พยักหน้ารับว่าเข้าใจ เจ้ก็ทำเครื่องหมายสามเหลี่ยมลงไปท้ายชื่อองค์ชายเป็นสัญลักษณ์แทนคำว่าต้องระวัง

“คนสุดท้ายแม่ทัพต่งจินไท่ อายุยี่สิบเจ็ด ขณะนี้ปกครองเขตพิเศษบริเวณต้าต่านใต้ มีฉายาว่าแม่ทัพผู้ไร้พ่าย เก่งกล้าจนทางป้าวเฟิงยอมซื้อใจด้วยตำแหน่งอ๋อง”

“ป้าวเฟิงนี่ส่วนไหนของโลกอีกคะเนี่ย” โบ้เกาหัวอย่างสับสน

หนนี้จะตำหนิโบ้ว่าโง่ก็คงไม่ได้เพราะความรู้เรื่องภูมิศาสตร์กับสังคมศึกษาไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะได้เรียนรู้ ขนาดกุ้ยฮวาเกิดในตระกูลสูง ยังต้องเหนื่อยแทบตายกว่าจะหาแผนที่คร่าวๆ ของภูมิภาคนี้มาได้

แว่นเห็นว่าอธิบายปากเปล่ามันเข้าใจยาก เลยขอกระดาษกับพู่กันมาจากเจ้วาดแผนที่คร่าวๆ ให้ดูว่าทางตะวันออกของเจียงเฉียงมีเมืองชื่อว่าต้าต่านอยู่ เขตต้าต่านใต้ติดกับดินแดนราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำเกษตรกรรม ดินแดนตรงส่วนนี้มีพรมแดนติดกับแคว้นป้าวเฟิงด้วย สองแคว้นจึงทำศึกแย่งชิงพื้นที่กันมาโดยตลอด เพื่อมิให้ต้องสูญเสียเลือดเนื้อและกลายเป็นสงครามยืดยาว จึงมีการตกลงกันว่าจะทำการรบทุกสามปี ฝ่ายใดชนะก็เอาพื้นที่ไป พอครบกำหนดก็รบกันอีกครั้ง

“อย่างกับกีฬาซีเกมส์เลยนะคะ” โบ้ว่า ถึงจำนวนปีอาจไม่ใช่แต่ลักษณะก็น่าจะคล้ายกันอยู่

“ก็ทำนองนั้น ต่างแค่เจ็บจริงตายจริง” แว่นว่า

“ถ้าทางป้าวเฟิงอยากได้ตัว แสดงว่าแม่ทัพไร้พ่ายอะไรนี่ก็ชนะตลอดเลยสิคะ”

พูดถึงแม่ทัพผู้เก่งกล้าภาพผู้ชายเถื่อนถึกก็ลอยเข้ามาในหัว ไม่ทันได้รู้จักก็คิดไปเองแล้วว่าคนนี้โหดและโฉดมาก

“ใช่ เกียรติประวัติยาวเป็นหางว่าวเลย องค์ชายหกชื่นชมเขามากว่าห้าวหาญ แต่จะเป็นคนดีหรือเปล่าอันนี้ไม่มั่นใจ”

แว่นเคยได้ยินชื่อแม่ทัพผู้นี้หลายครั้ง แต่เพิ่งจะมานึกออกว่าเขาเป็นใครตอนได้ฟังรายละเอียดจากเจ้

“โปรไฟล์ดิบเถื่อนอย่างนี้สเปกอิแว่นเลยนะเนี่ย” โบ้ว่า

“อย่ามโน ฉันชอบแบบพอดี ล่ำดำถึกเกินไปไม่ใช่สเปกย่ะ ถ้าชอบแบบนั้นจริงแกเสร็จชั้นไปนานแล้ว” แว่นโต้

“อ๊าย! อย่ามาพิศวาสเค้านะ หยะแหยง” โบ้กอดตัวเองอย่างหวงแหน

“ฉันแค่เปรียบเปรยย่ะอิบ้าโบ้” แว่นแยกเขี้ยวใส่

“อย่าเพิ่งเถียงกันน่า กลับมาคุยเรื่องอิหน่อมกันก่อน” เจ้ตบมือรัวๆ เรียกความสนใจ

เมื่อเห็นว่าเลิกเถียงกันแล้ว เจ้ก็จัดการแบ่งงานให้ เธอยกเรื่องการหาข้อมูลองค์ชายเทียนฉีให้แว่นจัดการ เพราะเห็นว่ามีพี่ชายทำงานกรมปกครอง ส่วนตัวเองรับผิดชอบเรื่องขององค์ชายเหอเสี่ยง หน้าที่สอดแนมแม่ทัพหุ่นล่ำจึงตกเป็นของโบ้

“ไม่เอาอะ หนูอยากไปส่ององค์ชายเหอเสี่ยงมากกว่า” โบ้ตั้งท่าจะแย่งงานเจ้

“ทำไมยะ มีเหตุผลอะไรถึงอยากแลก”

เจ้แบ่งงานตามความเหมาะสมเป็นหลัก เธอขอไปสืบเรื่องขององค์ชายเหอเสี่ยงเองเพราะแขกต่างเมืองมักได้รับการดูแลโดยสำนักการทูต ตรงส่วนนี้จะมีนางกำนัลที่ได้รับการฝึกหัดเป็นอย่างดีคอยต้อนรับ จึงแฝงตัวเข้าไปค่อนข้างยาก เว้นเสียแต่ว่าใช้เส้นสายขององค์ชายสาม ทุกคนรู้จักเจ้ทั้งในฐานะแม่ครัวและผู้ฝึกสอนนางรำ ทำให้สามารถหาช่องทางเข้าไปพบได้ง่ายกว่าเพื่อนคนอื่น

“ไม่มีเหตุผลพิเศษค่ะ แค่ฟังชื่อแล้วคิดว่าน่าจะหล่อ” ว่าแล้วก็ปาดน้ำลายเสียทีหนึ่ง

“อิโบ้บ้า! ต่อให้เทพบุตรจุติพวกแกก็ไม่มีสิทธิ์แอ้ม ว่าที่ผัวเพื่อนนะยะไม่ใช่บุฟเฟต์จะได้โฉบไปตักมากินได้” แว่นเอ็ด

“ก็ไม่ได้จะกินสักหน่อย แค่อยากมีความสุขกับการหาข่าวหน่อยเท่านั้นเอง หล่อไม่หล่อดีไม่ดียังไง สุดท้ายหน่อมก็ต้องเป็นคนเลือกเองไม่ใช่เหรอคะ”

เจ้กับแว่นไม่นึกค้านคำพูดโบ้ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าช่วยเพื่อนได้แค่เรื่องการหาข้อมูลเท่านั้น กระนั้นก็ไม่ยอมให้แลกหน้าที่เพราะอยากให้งานออกมาดีที่สุด อย่างน้อยจะได้ช่วยคัดกรองคนไม่ดีออกไปจากบรรดาตัวเลือกได้บ้าง

“เราจะบอกเรื่องนี้กับหน่อมเมื่อไรคะ ความลับแตกขึ้นมาห้ามโทษคนสวยนะ” โบ้ไม่ชอบมีความลับกับเพื่อนจึงสนับสนุนให้พูดตรงๆ แต่แรก ทว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นค้านก็เลยต้องยอมตามคนอื่น

“รวบรวมข้อมูลให้ได้พอสมควรก่อนแล้วค่อยพูดดีไหม ไม่ก็บอกก่อนเทศกาลหนุ่มสาวเริ่มน่าจะดี” แว่นเสนอ นับนิ้วดูแล้วเหลือเวลายี่สิบกว่าวันเห็นจะได้

“เห็นด้วย ตกลงตามนี้” เจ้ตอบรับทันทีโบ้จึงไม่ค้าน

สามสาวแยกย้ายกันไปเก็บข้อมูล เจตนาคือสืบให้ได้ว่าผู้ชายคนไหนดีจริงคนไหนมาร้าย ทว่ากลับพบความลับมากมายที่อยู่นอกวัตถุประสงค์ ซึ่งจะเป็นโชคหรือนำภัยมาสู่ตัวก็ยังคาดเดาไม่ได้

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีตอนเที่ยงค่ะ วันนี้มาช้าเพราะว่าลืม
งานยุ่งมากไม่มีวันหยุดมาแสนนาน จำไม่ได้ว่าวันนี้วันอะไร
เห็นน้องสาวอยู่บ้านก็ละเมอว่าเป็นวันอาทิตย์
ทั้งที่วันหยุดนางไม่เหมือนมนุษย์ปกติ
เข้าไปในเพจ มีคนทวงวันนี้ไม่มีนิยายเหรอคะ แอบงง
มองวันที่ในคอม อ้าวเวรกรรมวันนี้จันทร์ ไร้สติมากชั้น
ถ้าวันไหนหายไปอย่างนี้อีก ทวงหน้าแฟนเพจได้เลยนะคะ
จะขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2558, 11:25:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2558, 11:25:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1249





<< เจ้าสาวภูต : บทที่ ๕ สั่งสอน   เจ้าสาวภูต : บทที่ ๗ ว่าที่ราชบุตรเขย (พบกันในเล่ม2นะคะ) >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 30 มิ.ย. 2558, 00:33:08 น.
อ้าววววววว วันนี้วันจันทร์นี่นา 5555 ละเมอด้วยยย


ใบบัวน่ารัก 30 มิ.ย. 2558, 08:10:11 น.
อารายไหนเนื้อคู่ หรือบุพเพอาราวาด
มี ท่านจ้าว ด้วย จ้าวฮ่ะ อะเปล่าคับ
อยากอ่านฉากเลิฟซีน หวานๆๆบ้าง จูบจุ๊บกันบ้าง
อยากรู้ว่าสาวๆๆเค้าจะหวานขนาดไหน
จัดให้คนอ่านบ้างจิ นะนะ


Zephyr 11 ก.ค. 2558, 21:53:11 น.
ท่านจ้าวนี่ คือใครในสามคนนี้ หรือม้ามืดมาแย่งไปฮ่าๆๆๆ
เค้าอยากให้เป็นแม่ทัพ ดูโปรไฟล์น่าฟัดกว่าคนอื่นอ่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account