ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: เจ้าสาวภูต : บทที่ ๕ สั่งสอน

เจ้าสาวภูต : บทที่ ๕ สั่งสอน

‘นารีมีรูปเป็นทรัพย์’ แต่ขณะเดียวกันก็มีคำกล่าวว่า ‘โฉมงามมักอาภัพ’ น่าประหลาดนักที่สุภาษิตซึ่งมีความหมายขัดแย้ง กลับเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกัน สตรีโฉมงามย่อมต้องใจผู้ที่มีเงินตราบารมี ขอเพียงไม่เล่นตัวเรื่องมากจนเกินงาม โอกาสที่จะได้เสวยสุขบนกองเงินกองทองก็มีสูง ในทางกลับกันที่ไม่เต็มใจก็มีมาก หากไม่หลบหนี ก็ต้องทนกล้ำกลืนตกเป็นของคนที่ไม่ได้รัก บางรายใจกล้าคบชู้สู่ชายทำลายตัวเองก็มีให้เห็นมานักต่อนัก

เรื่องราวของสามัญชนยังเข้มข้นถึงเพียงนี้นับประสาอะไรกับในราชสำนัก การแข่งขันแย่งชิงความโปรดปรานของบรรดานางในทั้งหลายเข้มข้นดุเดือด ทุกคนล้วนหวังปีนป่ายยกระดับฐานะให้สูงกว่าเดิม โดยไม่เกี่ยงวิธีการว่าจะโหดเหี้ยมอำมหิตปานใด สงครามของจอมนางในวังต้องห้ามเกิดขึ้นวนเวียนอยู่เช่นนี้นับพันปี แม้แต่ในรัชสมัยฮ่องเต้โหย่งซินซึ่งมิใช่กษัตริย์มากรัก ก็ยังเกิดเหตุเพลิงริษยาดับชีวิตโฉมงามผู้มีใจใฝ่อำนาจไปหลายราย

ในต้นรัชสมัยผู้คนต่างมองว่าสนมเฉินคือตัวการสำคัญ สนมเอกผู้นี้ไม่เพียงแต่งดงาม ยังมากเล่ห์และเลือดเย็นอย่างที่สุด แม้แต่ฮองเฮายังต้องเกรงใจ น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสนมเฉินไม่เคยทำใครก่อน เพียงแต่ถือคติตาต่อตาฟันต่อฟัน หากนางร้ายดังคำครหาจริง องค์ชายองค์หญิงจากครรภ์คนอื่นคงไม่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลก

เนื้อแท้แล้วสนมเฉินเป็นสตรีที่มีเหตุผลและใจกว้างเป็นอย่างมาก นางเลี้ยงดูองค์รัชทายาทที่ไม่ใช่สายเลือดเป็นอย่างดี แม้จะมีโอรสเป็นของตัวเองก็มิได้ละเลย ตรงข้ามกับพระชายาขององค์รัชทายาทที่ไม่ปรารถนาให้สวามีมีทายาทกับหญิงอื่น แต่คนในวังกลับมองว่าคล้ายกันเสียได้

เมื่อแรกแต่งงานองค์หญิงหยาหยี่เข้ากันได้ดีกับองค์รัชทายาท ทั้งสองครองรักกันอย่างชื่นมื่นได้ระยะหนึ่ง ธาตุแท้ของพระชายาหยาหยี่ก็เริ่มปรากฏ นางอาละวาดอย่างไม่ไว้หน้าใครเวลาหึงหวง รวมถึงขับไล่นางกำนัลหน้าตางามออกจากตำหนัก ไม่ว่าองค์รัชทายาทจะมีธุระปะปังกับสตรีนางใดเป็นต้องถูกซักถาม หากไม่ได้รับฟังเหตุผลอันน่าพึงพอใจ พระชายาก็จะไปตามอาละวาดสตรีนางนั้นถึงที่

องค์รัชทายาทปวดหัวไม่น้อย แต่ก็จนใจไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร จึงปรับพฤติกรรมตัวเอง เรียกใช้แต่นางกำนัลของพระชายา เวลาจะสนทนากับสตรีอื่นก็มักบอกผ่านข้ารับใช้ ไฟในบ้านจึงสงบลงได้

องค์ชายอิ๋นหานผู้แสนดีตามใจพระชายาถึงเพียงนี้แต่ก็มิวายเกิดเรื่อง ขณะนี้มีข่าวลือหนาหูว่าองค์รัชทายาทกำลังต้องใจสตรีโฉมงามที่เพิ่งเข้าวังมา ข่าวนี้ไม่มีมูลความจริงเลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นก็ทำให้พระชายามหาหึงดิ้นได้ แม้ว่าองค์รัชทายาทจะปฏิเสธ นางก็ไม่เชื่อใจสวามีเที่ยวไปตามสืบว่า ณ เวลานี้มีสาวงามหน้าใหม่อยู่ในวังกี่มากน้อย เคราะห์กรรมจึงตกมาที่กุ้ยฮวา ซึ่งสวยที่สุดในบรรดาท่านหญิงทั้งหลาย

กุ้ยฮวาเกิดในตระกูลสูง ทั้งยังเป็นหลานสาวของสนมเฉิน ยามปกติจึงไม่ค่อยมีใครกล้าหาเรื่อง ข่าวลือไม่ดีลือกันสักครู่ก็เงียบไปเพราะบารมีของอาหญิง ทว่าหนนี้ข่าวลือว่าองค์รัชทายาทปักใจในตัวนางกลับไม่ซาลงโดยง่าย เหตุเพราะองค์ชายอิ๋นหานให้คนส่งของขวัญไปให้ ของขวัญชิ้นนี้คือกบที่ได้สัญญาเอาไว้เมื่อตอนงานเลี้ยงน้ำชาช่วงกลางปี

ในวันนั้นกุ้ยฮวาชวนทุกคนคุยเรื่องกบเพื่อรักษาบรรยากาศการสนทนา องค์ชายอิ๋นหานจึงรับปากนางว่าจะหากบตัวเล็กๆ มาให้เลี้ยงชดเชยที่ปล่อยขององค์ชายแปดไป องค์รัชทายาททราบแต่แรกแล้วว่ากุ้ยฮวาไม่ได้อยากเลี้ยงกบ จึงให้ช่างทองหลอมกบทองคำขึ้นมาแทน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานหลายเดือนแล้ว ถ้าไม่มีคนขุดคุ้ยมันขึ้นมาอย่างจงใจมีหรือจะกลายเป็นเรื่องนินทาสนุกปาก ผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้ายได้เตือนพระชายาว่าไม่ควรอาละวาดกับสวามีให้กุ้ยฮวารู้ตัว เร่งส่งเทียบเชิญไปตามนางมาสั่งสอนที่ตำหนักเลยดีกว่า จะได้เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม

องค์รัชทายาทมักทำงานในตอนกลางวันที่กรมปกครอง หากเกิดเรื่องที่ตำหนักย่อมไม่สามารถช่วยเหลือกุ้ยฮวาได้ คนของสนมเฉินซึ่งถูกส่งไปเป็นสายจึงเร่งไปรายงาน พระสนมดูใจเย็นผิดคาด ซักถามแค่วันเวลานัดหมาย แล้วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก สนมเฉินมองว่านี่เป็นบททดสอบที่หลานสาวต้องเจอ จะช้าจะเร็วก็ต้องประมือกับพวกมีจิตริษยา ฝึกเอาตัวรอดให้ได้เสียตั้งแต่ตอนนี้ย่อมดีกว่า

แม้จะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว สนมเฉินก็ไม่ใจร้ายนัก นางส่งคนมาช่วยดูแลกุ้ยฮวา ในกรณีที่เกิดเหตุลงไม้ลงมือ หลานสาวจะได้ไม่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ

แว่นประหลาดใจพอสมควรเมื่อได้รับเทียบเชิญจากพระชายาขององค์รัชทายาท กุ้ยฮวากับองค์หญิงหยาหยี่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่เคยแม้กระทั่งพบหน้า เหตุใดอีกฝ่ายจึงอยากสานไมตรีด้วย แว่นไม่เคยได้ยินข่าวลือของตัวเองยังรู้สึกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องดี พระชายาส่งเทียบเชิญมากะทันหันให้ไปพบพรุ่งนี้ หนำซ้ำยังให้คนรอคำตอบอยู่ด้านนอกดังจะบังคับให้ตกลง

“เจ้ารู้จักพระชายาหยาหยี่ไหม” แว่นถามหน่อมเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

ขณะนี้ในห้องเต็มไปด้วยนางกำนัลขององค์หญิงลี่จูก็เลยต้องคุยภาษาเจียงกัน

“เราเคยคุยด้วยสองสามหน พี่สะใภ้ใหญ่ค่อนข้างโมโหง่าย ปฏิเสธไปแล้วบอกว่าป่วยก็คงไม่เป็นไรกระมัง”

น้อยครั้งที่คนศีลจัดอย่างหน่อมจะแนะนำให้เพื่อนโกหก แสดงว่าวีรกรรมเรื่องความขี้หึงของพระชายาหยาหยี่ต้องเป็นเรื่องจริง

แว่นตรองอยู่พักหนึ่งค่อยตัดสินใจตอบรับ เขาไม่หนีเพราะตนไม่ได้ทำผิดคิดร้ายต่อพระชายา หากมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ควรรีบชี้แจง มัวมาหลบลี้หนีหน้าอีกฝ่ายจะกล่าวหาว่าร้อนตัว

“หม่อมฉันขอแสดงความคิดเห็นสักเล็กน้อยได้ไหมเพคะ” ซูเสียเอ่ยแทรก

นางฟังการสนทนามาโดยตลอด อีกทั้งทราบหลายสิ่งที่กุ้ยฮวากับองค์หญิงลี่จูไม่รู้ จึงอยากเตือน

“ได้สิ พูดมาตามตรงได้เลยว่าเจ้าคิดเห็นเช่นไร” หน่อมอนุญาต

“ท่านหญิงไม่ควรไปนะเจ้าคะ หรือถ้าจะไปก็ควรมีผู้ติดตามหลายๆ คน”

“เราเห็นด้วยนะกุ้ยฮวา ให้เราไปด้วยดีกว่า อ้างว่ามาเยี่ยมพี่สะใภ้ เขาคงไม่ใจร้ายไล่เรากลับหรอก” หน่อมอาสาอย่างแข็งขัน

แว่นขอบคุณทั้งซูเสียและหน่อมก่อนปฏิเสธน้ำใจ

“พระชายาไม่ทันแสดงออกว่ามาดีหรือร้าย เราก็ตั้งแง่ระแวงนาง ไม่เท่ากับเป็นการเสียมารยาทต่อพระชายาหรอกหรือ”

ถ้าองค์หญิงลี่จูตามไปด้วย ต่อให้หึงหน้ามืดตามัวแค่ไหนก็ต้องเลี่ยงไปหาเรื่องวันอื่น ไม่แน่หรอกว่าคนใจร้อนอย่างพระชายาหยาหยี่อาจบุกมาถึงนี่ให้เรื่องราวบานปลาย

“ถ้าท่านหญิงเกรงว่าจะเสียมารยาท ก็สู้ไม่ไปพบเลยดีกว่าเจ้าค่ะ เพราะ...” ซูเสียลดเสียงลง แล้วค่อยมากระซิบบอกข้างหู “พระชายาหยาหยี่ขึ้นชื่อเรื่องทำลายโฉมเจ้าค่ะ”

นางเคยก่อเหตุสั่งให้ตบนางกำนัลที่ทำให้ไม่พอใจจนฟันหลุดแทบหมดปากมาแล้ว ทั้งยังมีกรณีที่ลือกันอย่างลับๆ ว่าเอาเหล็กเผาไฟนาบหน้าจนเสียโฉมอีก

“พวกนั้นทำอะไรผิด” แว่นกระซิบกลับ

“ข้าได้ยินมาว่าพวกนางมีข่าวลือกับองค์รัชทายาท”

“แล้วข้าล่ะมีข่าวลือบ้างไหม”

ซูเสียยิ้มเจื่อน นางไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ จึงพอเดาได้ว่ามีหนำซ้ำยังเป็นข่าวคาวที่ไม่ค่อยดีเสียด้วย ต่อให้ปฏิเสธไปพระชายาจอมหึงก็คงไม่ฟังเหตุผล ถึงกระนั้นแว่นก็ไม่เปลี่ยนใจ เขาตอบรับเทียบเชิญ พร้อมกับบอกซีอิ๋งว่าไม่ต้องติดตามไปในวันรุ่งขึ้น

“คุณหนูห้ามไปลำพังนะเจ้าคะ”

“ข้ารู้แล้ว เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก”

“คุณหนูจะพาใครไปเจ้าคะ”

ซีอิ๋งไม่ไว้ใจคนอื่น แม้นางกำนัลขององค์หญิงลี่จูจะเป็นคนดีแต่ก็ไม่มีใครภักดีต่อคุณหนูเท่านาง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็รู้เอง” แว่นยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

ขณะนี้คนที่เขาหมายตาจะพาไปด้วยไม่ได้อยู่ในห้อง แต่กำลังเที่ยวตะแล๊ดแต๊ดแต๋ชมโฉมหนุ่มหล่อไปทั่ววัง


พระชายาหยาหยี่รอคอยที่จะได้จัดการคนที่บังอาจมายั่วยวนสวามีอย่างใจจดใจจ่อ นางถึงกับนั่งเฝ้าริมหน้าต่างคอยมองรถม้าของกุ้ยฮวาว่าเมื่อใดจะมาถึง พระชายาจอมอาละวาดคลี่ยิ้มยามเห็นกุ้ยฮวาเข้าตำหนักมาพร้อมผู้ติดตามเพียงคนเดียว ท่าทางคงยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าวันนี้จะโดนสั่งสอน

เจ้าของสถานที่ออกคำสั่งให้เชิญตัวกุ้ยฮวาพร้อมผู้ติดตามเข้ามาในห้องที่จัดเตรียมเอาไว้ ห้องนี้มีเก้าอี้อยู่เพียงตัวเดียว ไม่มีโต๊ะสำหรับวางน้ำชาหรือขนมนมเนยดังเช่นที่เทียบเชิญเอ่ยอ้างว่าอยากประสานไมตรี ผนังทั้งสองฝั่งมีนางกำนัลท่าทางเอาเรื่องยืนเรียงแถวอยู่รวมกันแล้วทั้งหมดแปดคน

ไม่ว่าใครที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ต้องรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงบ้าง แต่กุ้ยฮวากลับดูสงบนิ่งจนน่าฉงน พระชายาหยาหยี่มองดวงหน้าอันงดงามของสตรีที่กำลังเดินมาหาด้วยความริษยา ไม่เพียงแต่สวยหมดจด รูปร่างยังผอมบาง เอวคอดกิ่ว น่าทะนุถนอมประหนึ่งนางอัปสรในภาพวาด

พระชายามัวแต่มองกุ้ยฮวาคนเดียว จนไม่ทันสังเกตเลยสักนิดว่านางกำนัลที่ตามมาก็งามหยาดเยิ้มไม่แพ้กัน

“หม่อมฉันกุ้ยฮวา ขอถวายบังคมพระชายาเพคะ”

ยิ่งได้ฟังน้ำเสียงอันไพเราะของกุ้ยฮวา พระชายาหยาหยี่ก็ยิ่งเชื่อว่าสวามีปันใจให้นาง นางไม่พูดพล่ามให้เสียเวลาแต่ลงมือต่อว่าในทันที

“เจ้าช่างบังอาจนักล่วงเกินข้า”

ขาดคำนางกำนัลคนหนึ่งก็ปราดเข้ามาตวาดว่าให้รีบคุกเข่า ถ้าเป็นสตรีทั่วไปคงยอมทำตามด้วยความตระหนก แต่นี่เป็นตุ๊ดไทยใจเข้มแข็ง มีหรือจะกลัวกับเสียงดังเพียงเท่านี้ ไทเฮายังดูมีบารมีรับมือได้ยากกว่าพระชายาหยาหยี่เยอะ

แว่นโต้ตอบอย่างใจเย็นด้วยการส่งสัญญาณห้ามไม่ให้ผู้ติดตามลงมือ แล้วย่อตัวให้กับพระชายาอีกครั้งหนึ่ง

“พระชายาโปรดอภัย ไม่ทราบว่าหม่อมฉันทำอะไรผิดเพคะ”

“หุบปาก! ต่อหน้าพระชายาทำไมไม่คุกเข่า” นางกำนัลคนเดิมตวาดซ้ำ

ระดับความดังของเสียงนางกำนัลผู้นี้ไม่น้อยไปกว่าพี่ว้ากในห้องเชียร์ แต่แว่นก็ไม่เสียขวัญ ต่อให้พวกนางกำนัลรุมแหกปากพร้อมกันทั้งห้อง ก็ไม่ทำให้รู้สึกอะไรนอกเสียจากรำคาญ

“เจ้าสิต้องหุบปาก ไม่เห็นรึว่าข้าพูดกับพระชายาอยู่” แว่นเอ็ดกลับเมื่อได้จังหวะเหมาะ

การตอบโต้ของกุ้ยฮวาทำให้นางกำนัลนิ่งงันไป สบโอกาสให้ได้ขู่กลับ

“ข้าเป็นถึงท่านหญิง เจ้าเป็นแค่นางกำนัลชั้นต่ำมีสิทธิ์อะไรมาขึ้นเสียงใส่”

ไม่เพียงแต่นางกำนัลที่ตะลึง พระชายาหยาหยี่ก็เงียบไปนาน กว่าจะเปล่งคำพูดออกมาได้

“นี่เจ้ากล้าตำหนิคนของข้าต่อหน้าข้ารึ” พระชายาแผดเสียงแข็ง

“มิได้เพคะ หม่อมฉันทำเพื่อปกป้องเกียรติของพระชายาต่างหาก พระชายาเพิ่งมาอยู่ที่เจียงเฉียงไม่นาน คงไม่ทราบว่าบ่าวก็คือหน้าตาของนาย มีนางกำนัลไม่รู้มารยาทเช่นนี้ คนอื่นจะตำหนิเอาได้นะเพคะ”

พระชายาหยาหยี่ถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห ถ้อยคำของกุ้ยฮวาไม่ต่างจากการต่อว่าว่าเป็นถึงพระชายาแต่กลับไม่รู้ธรรมเนียม

“นังคนปากกล้า ข้าจะจัดการเจ้าเดี๋ยวนี้” องค์หญิงหยาหยี่ปราดเข้ามาหมายจะตบ

แว่นรอจังหวะอยู่แล้วเลยเบี่ยงตัวหลบ ถึงจะมีร่างกายบอบบางอ่อนแอแต่แว่นก็ยังไม่หลงลืมศิลปะวิชาป้องกันตัวที่เคยเรียนมา เขาใช้จังหวะนี้ขัดขาพระชายาจอมโวยวายจนนางล้มก้นจ้ำเบ้า

“พระชายา! เป็นอย่างไรบ้างเพคะ เจ็บไหม” นางกำนัลกุลีกุจอเข้ามาประคอง แต่กลับถูกตวาดลั่น

“ไม่ต้องสนใจข้า รีบจัดการนางเข้าสิ”

เมื่อได้รับคำสั่งนางกำนัลทั้งหลายก็ปรี่เข้ามา หนนี้แว่นไม่สู้ด้วยแต่ยกหน้าที่ให้ผู้ติดตามเป็นคนจัดการ

“อย่าลงมือหนักไปนะ” แว่นเตือนคนพลังช้างสาร

“รับทราบ!”

รับคำเสร็จก็เริ่มตั้งท่า พร้อมตะโกนบางอย่างเป็นภาษาที่ไม่มีใครรู้จัก พวกนางกำนัลที่กำลังกรูกันเข้ามาเห็นท่วงท่าประหลาดแล้วถึงกับชะงัก หารู้ไม่ว่าแม่นางที่กำลังทำท่าเหมือนบริกรรมคาถาอยู่นี้กำลังเล่นเป็นสาวน้อยเวทมนตร์

“วีนัสพาวเวอร์อัพ” ตั้งท่าแปลงร่าง สะบัดผม หมุนตัวชูสองนิ้ว “อัศวินแห่งความงามและความรักเซเลอร์วีนัส ตัวแทนแห่งดาวศุกร์จะลงทัณฑ์แกเอง”

แว่นที่ฟังออกแค่คนเดียวถึงกับอายแทน คราวก่อนนางเป็นเซเลอร์มูน มาวันนี้เป็นเซเลอร์วีนัส ถ้ามีเรื่องบ่อยๆ สงสัยจะได้เห็นท่าแปลงร่างครบทั้งแก๊ง นี่ถ้าไม่จำเป็นต้องให้ช่วยป่านนี้ไล่กลับไปแล้ว แว่นเลือกโบ้ไม่ใช่เพราะมีฝีมือการต่อสู้อย่างเดียว ที่ขอให้มาเพราะเห็นว่าเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยนิดที่กล้าล่วงเกินพระชายาขององค์รัชทายาท

เขามองออกตั้งแต่ต้นแล้วว่าถูกเชิญมารุมยำ ต่อให้หน่อมมาด้วยก็ใช่ว่าจะหนีเทศกาลตบล้างน้ำพ้น จึงเป็นฝ่ายเปิดฉากข่มขวัญก่อน

“มัวยืนเหม่ออะไรกัน จัดการนางสิ” พระชายาหยาหยี่ลุกขึ้นมาโวยอย่างขัดใจ

พวกนางกำนัลได้สติจึงกรูกันเข้ามาอีกครั้ง พวกนางช่วยกันยื้อยุดฉุดกระชากผู้ติดตามของฝ่ายตรงข้ามเป็นการใหญ่ ทว่าเพียงพริบตาเดียวนางกำนัลแปดนางก็สิ้นท่าล้มลงไปนอนตัวงอเป็นกุ้ง เพราะท่าพลังแสงรัศมีดาวศุกร์ โบ้ประกาศว่ากำลังเล่นเป็นเซเลอร์วีนัส แต่ในหัวแว่นกลับมีภาพจากการ์ตูนเรื่องหมัดเทพเจ้าดาวเหนือลอยมาแทน ต่อยรัวเสียขนาดนี้เคราะห์ดีที่ไม่มีใครกระอักเลือด

“จะ...เจ้า กล้าทำร้ายคนของข้า ข้าจะจัดการเจ้า ใครก็ได้เข้ามาเร็ว นำตัวนางไปประหาร” พระชายาหยาหยี่สั่นไปทั้งตัวเพราะความโกรธ

“ตะโกนไปก็เท่านั้นเพคะ ก่อนหม่อมฉันเข้ามาพระชายาสั่งเองมิใช่หรือว่าต่อให้ได้ยินเสียงดังก็ห้ามรบกวน”

แว่นพูดเดาสุ่มไปอย่างนั้นเองแต่สีหน้าของพระชายากลับเปลี่ยนไป บ่งบอกว่าสั่งการไปตามนั้นจริง คนที่ถูกเรียกมาจัดการเลยสั่งให้ผู้ติดตามปิดทางออก แล้วย่างสามขุมเข้าไปหาคู่กรณี

พระชายาผู้ถนัดแต่ออกคำสั่งถึงกับทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ถอยร่นไปจนติดผนัง พอถูกมองด้วยสายตาคุกคามนางก็แข้งขาอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น

“เจ้าจะทำอะไรข้า ทำร้ายพระชายามีโทษสถานใดรู้ไหม”

“หม่อมฉันทราบดีเพคะ ทำร้ายให้ฟกช้ำมีโทษตัดมือควักลูกตา ทำร้ายให้เลือดตกยางออกมีโทษประหาร” แว่นยิ้มเหี้ยม “แต่ต่อให้พระชายาตายหม่อมฉันก็ไม่ได้รับโทษหรอกเพคะ”

“ทำไม? รึว่า...รึว่าเจ้าสมคบกับองค์รัชทายาท เขาอยากมีคนใหม่เลยคิดหักหลังข้าใช่ไหม” พระชายาหยาหยี่เอ่ยเสียงเครืออย่างเจ็บปวด

แว่นไม่รู้จะหัวเราะขำหรือสมเพชดี อุตส่าห์เกิดมาสวย ชาติตระกูลสูง ไม่มีใครสอนหรือไงว่าให้หัดใช้สติบ้าง มัวแต่เอาเวลาว่างไปจินตนาการบรรเจิดอย่างนี้น่ะสิถึงต้องทนทุกข์

“ไม่ใช่เพคะ องค์รัชทายาทยังรักพระชายาไม่เปลี่ยน” แว่นช่วยแก้ต่างแทนผู้ชายแสนดีให้ “ที่หม่อมฉันบอกว่าต่อให้พระชายาตายหม่อมฉันก็ไม่ผิดเพราะหม่อมฉันฉลาดกว่าพระชายามาก ทั้งยังมีคนเก่งอยู่ข้างกาย การทำให้เหมือนฆ่าตัวตายหรือจัดฉากว่าเป็นอุบัติเหตุ ไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอกเพคะ”

“เจ้าเลยจะฆ่าข้าแล้วแย่งองค์รัชทายาทไปใช่ไหม” พระชายาหยาหยี่ยังไม่ยอมเข้าใจสิ่งที่แว่นต้องการสื่อ นางเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะภาพเหตุการณ์เลวร้ายที่หลั่งไหลเข้ามาในสมอง

“หม่อมฉันไม่ปรารถนาจะแย่งชิงของใครทั้งนั้นเพคะ” แว่นเฉลยความจริงให้เพราะเวทนา

“ทั้งที่เจ้าสวยกว่า ฉลาดกว่าและมีดีกว่ารึ”

“ใช่เพคะ”

“แล้วเจ้าทำร้ายข้ากับคนของข้าทำไม”

“ก็พระชายาหาเรื่องหม่อมฉันก่อนนี่เพคะ”

พอถูกถามหลายอย่างเข้าสัญชาตญาณความเป็นครูถูกกระตุ้น พระชายาหยาหยี่อายุมากกว่ากุ้ยฮวาสามปี ถือว่ารุ่นราวคราวเดียวกับบรรดาลูกศิษย์ตัวแสบของแว่น ที่โลกนี้นางอาจจะโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมเป็นแม่คน แต่ในสายตาแว่นมองอย่างไรก็ยังเด็กนัก ความรู้สึกอยากแก้เผ็ดคนพาลจึงจางลงอย่างง่ายดาย

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้าเลย”

“ไม่ได้ทำหรือทำไปแล้วเพคะ พระชายาส่งเทียบเชิญหม่อมฉันมาเพื่อสั่งสอนมิใช่หรือ”

พอได้ฟังแบบนั้นคนเริ่มก่อนก็เถียงข้างๆ คูๆ ว่าทำเพื่อปกป้องตัวเอง หากไม่มีข่าวของกุ้ยฮวากับองค์รัชทายาทนางคงไม่โมโหถึงเพียงนี้

แว่นถอนใจเมื่อได้เห็นนิสัยทั่วไปของคนที่ได้รับการพะเน้าพะนอเอาใจตั้งแต่เล็ก ยิ่งร่ำรวยสูงศักดิ์เท่าไรก็ยิ่งมีความคิดฝังหัวว่าตัวเองทำอะไรก็ไม่ผิด ถ้าอยากให้เปลี่ยนนิสัยเห็นทีต้องอบรมสั่งสอนกันยาว วันนี้เขาใช้ไม้แข็งไปแล้ว ถึงเวลาต้องใช้ไม้อ่อนบ้าง แว่นโน้มตัวไปด้านหน้าแล้วยื่นมือข้างหนึ่งไปให้พระชายาจับ

“ลุกขึ้นก่อนเถอะเพคะ เช็ดน้ำตาให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยคุยกัน”

พูดจบก็หันมาสั่งพวกนางกำนัลที่น่าจะหายจุกกันบ้างแล้ว ให้นำทางไปยังห้องที่มีบรรยากาศน่าคุยกว่านี้ พวกนางกำลังมองหน้ากันเลิ่กลั่ก กลัวก็กลัวแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรนอกเหนือคำสั่งพระชายาแสดงว่ามีความภักดีอยู่

แว่นไม่เร่งพวกนางกำนัล เขารออย่างใจเย็นให้พระชายาเป็นคนออกคำสั่ง ซึ่งนางก็ยอมปาดน้ำตาลุกขึ้นมาบอกให้คนเปิดห้องที่ชั้นสามซึ่งมีไว้ใช้รับแขก

เมื่อได้สถานที่เหมาะสมในการพูดคุยแล้ว แว่นก็ขอให้ทุกคนออกไปรวมถึงโบ้ด้วย ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายวางใจว่านี่คือการสนทนาเปิดใจกันอย่างแท้จริง มิใช่การข่มขู่

“เจ้าต้องการอะไรจากข้า” พระชายาหยาหยี่เป็นฝ่ายถามก่อน

“หม่อมฉันอยากเป็นมิตรกับพระชายาเพคะ มิตรที่คบหาอย่างซื่อตรงต่อกัน”

เมื่อกล่าวจบแล้วแว่นก็เป็นฝ่ายขอโทษก่อนที่ให้ไป๋หลินลงมือกับนางกำนัล เขาชี้แจงว่าหากไม่ใช้กำลังขู่ วันนี้ทั้งวันคงไม่ได้คุยกันดีๆ

“เหตุใดข้าจึงต้องซื่อตรงกับนางจิ้งจอกอย่างเจ้า”

พระชายาหยาหยี่ยังตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่แต่ก็ยังอุตส่าห์พูดเหน็บ นี่คือผลของการถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ เป็นเหตุให้เก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ กลายเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียในคราวเดียว

“ถึงหม่อมฉันจะเป็นจิ้งจอกก็จริงใจเป็นนะเพคะ พระชายาจะเชื่อคำพูดหม่อมฉันหรือไม่ก็สุดแล้วแต่จะตัดสิน”

แว่นเริ่มพูดประเด็นที่มีการกินแหนงแคลงใจกันก่อน เขายืนยันว่าไม่เคยมีความคิดจะเป็นพระชายารองหรือมีสัมพันธ์เกินเลยกับองค์รัชทายาท

“ลองคิดดูสิเพคะ หากหม่อมฉันจะแย่งชิงองค์รัชทายาทคงทำไปนานแล้ว ไม่เสียเวลาให้เป็นข่าวจนพระชายาต้องเรียกตัวมาหรอก”

“ข้าไม่รู้นี่ว่าเจ้าไม่สนใจอำนาจ มีข่าวลือขึ้นมาก็ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม” พระชายายังคงเถียงว่าตัวเองไม่ผิด

แว่นไม่ต้องการคำขอโทษจากนาง จึงปล่อยผ่านไม่บีบบังคับให้สำนึก เขามุ่งความสนใจไปยังเรื่องที่สำคัญกว่าแทน

“เมื่อรู้ใจหม่อมฉันแล้ว ก็เลิกวิตกเสียทีนะเพคะ”

แว่นชักจูงให้คล้อยตามด้วยการย้ำให้ทราบว่าองค์รัชทายาทถูกเลี้ยงดูโดยอาหญิงของกุ้ยฮวา นางจึงมองอีกฝ่ายเป็นพี่ชายที่น่าเคารพมากกว่าคิดเป็นอื่น

“พระชายาเปรียบเหมือนพี่สะใภ้ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงปรารถนาให้อาซ้อใหญ่มีความสุขนะเพคะ”

“บังอาจนัก...กล้ามานับญาติกับข้าได้อย่างไร” พระชายาหยาหยี่ตำหนิแต่สีหน้าแววตากลับปราศจากความขุ่นเคือง นางคงยอมเชื่อแล้วว่ากุ้ยฮวาไม่คิดอะไร

“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันใช้ใจพูด จึงเผลอล่วงเกิน”

พระชายาหยาหยี่มองหน้ากุ้ยฮวาแล้วถอนใจ ผู้หญิงคนนี้ฉลาดพูดเสียจนนางหาคำมาโต้ตอบแทบไม่ได้ เมื่ออีกฝ่ายส่งยิ้มอย่างผู้ใหญ่มองเด็กมาให้ พระชายาหยาหยี่ก็ซบหน้าลงกับโต๊ะแล้วทุบมือแรงๆ ด้วยความขัดใจ

“ถึงเจ้าไม่คิดอะไรกับองค์รัชทายาทข้าก็ยังหงุดหงิดอยู่ดี ที่นี่มีแต่คนสวยและฉลาดอย่างเจ้าเต็มไปหมด จนข้าไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว”

กล่าวจบพระชายาหยาหยี่ก็สะอึกสะอื้นเป็นการใหญ่ แว่นไม่ได้ปลอบให้นางหยุดร้อง แต่พูดอย่างผู้ใหญ่ใจดีว่าเต็มใจรับฟัง อึดใจเรื่องราวความคับข้องใจทั้งหลายก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา

องค์หญิงมาที่เจียงเฉียงครั้งแรกเมื่ออายุได้สิบเจ็ด ในตอนนั้นนางมากับคณะทูต คิดเพียงว่ามาท่องเที่ยวอีกเดี๋ยวคงได้กลับบ้านแต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น พระบิดาของนางกับฮ่องเต้แห่งเจียงเฉียงตกลงกันอย่างลับๆ ว่าอยากให้สองแคว้นเกี่ยวดองกัน นางทราบในภายหลังจึงตั้งใจจะหนีกลับแต่ก็พบรักกับองค์รัชทายาทเสียก่อน จึงไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนอีก

เมื่อแต่งงานกันแล้วองค์รัชทายาทก็ปฏิบัติหน้าที่ของสามีได้ดีมิขาดตกบกพร่อง เขาใส่ใจนางเป็นอย่างยิ่ง เสียก็แต่มีงานรัดตัวประจำ บ่อยครั้งพระชายาหยาหยี่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวจึงอยากมีลูกน้อยเอาไว้คลายเหงา ทว่ารอเท่าไรเด็กน้อยก็ไม่มาเกิด พระมารดานางก็ส่งจดหมายมาถามไถ่เป็นประจำจนทำให้กลุ้ม

ที่แคว้นของนางมีคำกล่าวว่า ‘สตรีต่อให้โฉมงามสูงศักดิ์ปานใดถ้าให้กำเนิดบุตรไม่ได้ก็เท่ากับไร้ค่า’ นางจึงเริ่มหวาดระแวง กลัวว่าองค์รัชทายาทจะไปมีคนอื่น กลัวว่าเขาจะไม่รัก นางจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกล ที่พึ่งหนึ่งเดียวมีเพียงสวามี ถ้าปราศจากเขาแล้วก็ไม่เหลือใครอีก

“หม่อมฉันเข้าใจพระชายาเพคะ หม่อมฉันจะช่วยเอง”

“เจ้าจะช่วยข้ากำจัดหญิงอื่นรึ” ดวงตาของพระชายาคนงามเป็นประกายเสียจนแว่นต้องรีบหยุดความคิดของนาง

“ผิดแล้วเพคะ หม่อมฉันจะช่วยให้เห็นทางสว่างต่างหาก พระชายาโปรดอย่าลืมว่าวันหนึ่งองค์รัชทายาทต้องเป็นฮ่องเต้ หากทำใจเรื่องมีหญิงอื่นไม่ได้ ก็ทรงหย่าขาดไปเสียดีกว่าเพคะ”

“หย่าอะไรกัน...ไม่มีทาง ให้อยู่อย่างอับอายแบบนั้น ข้ายอมตายดีกว่า”

ธรรมเนียมของแคว้นหั่วซานคร่ำครึกว่าที่เจียงเฉียง การหย่าร้างถือเป็นเรื่องต้องห้ามและเป็นสิ่งที่ร้ายแรงมาก สตรีที่หนีจากสามีถือว่าเป็นหญิงแพศยาไปไหนก็ไม่เป็นที่ต้อนรับ แม้แต่พ่อแม่พี่น้องก็รังเกียจกล่าวหาว่าทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หากไม่ฆ่าตัวตายหนีอายก็ต้องบวชชีทั้งชีวิต

“ถ้าเลือกจะอยู่ก็ต้องอดทนและปรับเปลี่ยนความคิดเพคะ”

แว่นยกมือขึ้นทำท่าขยับแว่นตา นิสัยนี้คือความเคยชิน เขามักจะปรับแว่นให้เข้าที่ก่อนทำการสอนนักศึกษาเสมอ แว่นเริ่มบรรยายให้เห็นภาพว่าคุณค่าของผู้หญิงไม่ได้อยู่ที่การให้กำเนิดบุตรแต่อยู่ที่การกระทำ ถ้ายังไม่เชื่อใจตามหึงตามอาละวาดไม่เลิกเช่นนี้ ต่อให้มีโอรสถวาย วันหนึ่งสวามีก็ต้องรำคาญแล้วหมดรัก

“เมื่อเลี่ยงสตรีอื่นไม่ได้ สู้วางตัวให้เป็นพระชายาที่สวามียกย่องไม่ดีกว่าหรือเพคะ”

“ข้าอยากเป็นเช่นที่เจ้าว่า แต่ก็ทำใจเรื่ององค์รัชทายาทมีคนอื่นไม่ได้อยู่ดี”

แว่นเข้าใจความรู้สึกของพระชายาหยาหยี่เป็นอย่างดี แต่ในเมื่อสังคมที่อยู่เป็นเช่นนี้ ก็ต้องปรับพฤติกรรมให้ได้ มิเช่นนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะได้รับความรักและความเกรงใจ

“อย่าลืมสิเพคะว่าตอนนี้พระชายายังเป็นที่รัก แล้วองค์รัชทายาทก็ยังไม่มีใคร เอาเวลากังวลไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ดีกว่า” แว่นกระตุ้นให้คิดได้

เขาสอนหลักการครองเรือนและกลยุทธ์การเอาใจสามีแถมไปให้ด้วยมากมาย พระชายาหยาหยี่จำได้ไม่หมดจึงต้องหาพู่กันกับกระดาษมาจดกันลืม

“เจ้าไม่เคยออกเรือนทำไมรู้ดีจริง” พระชายาหยาหยี่เปรยหลังฟังการบรรยายไปชุดใหญ่

แว่นยิ้มเจื่อน คำถามขององค์หญิงหยาหยี่จี้ใจดำไม่น้อย เขายังไม่เคยมีโอกาสใช้ชีวิตร่วมกันกับใคร ที่ดูมีประสบการณ์มากมายเพราะเพื่อนผู้หญิงชอบมาบ่นระบาย ขอให้เป็นที่ปรึกษาช่วยหาทางออกในชีวิตคู่ให้ประจำ

“มีคนสอนมาอีกทีเพคะ เป็นเคล็ดลับของตระกูลหม่อมฉัน” แว่นใช้ข้ออ้างที่คิดขึ้นแบบสดๆ ร้อนๆ

“มิน่าเล่าสนมเฉินจึงเป็นที่โปรดปราน” พระชายาหย่าหยี่คล้อยตามอย่างง่ายดาย “เจ้าเอาเคล็ดลับตระกูลมาสอนข้าแบบนี้จะดีหรือ”

“ดีสิเพคะ พระชายาเป็นเหมือนพี่สะใภ้ย่อมไม่ใช่คนนอก”

พระชายาหยาหยี่มีสีหน้าซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก นางเอ่ยคำขอบคุณออกมาในที่สุดแต่ก็ไม่ยอมรับกุ้ยฮวาเป็นน้องสามี และยังไม่รับว่านางเป็นสหาย

แว่นไม่คิดว่าพระชายาจะเชื่อใจกันในวันเดียวอยู่แล้ว แค่คุยกันรู้เรื่องนี่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เขาทั้งขู่ทั้งสอนไปจนพระชายาไม่คิดหาเรื่องอีก หลังจากนี้แว่นจะหยุดความสัมพันธ์ไม่มาข้องแวะกับนางอีกก็ย่อมได้ แต่เขากลับไม่คิดเพียงปัดสวะให้พ้นตัว แว่นอาสารับฟังความทุกข์และช่วยเหลือพระชายาเวลามีปัญหา

พระชายาหยาหยี่ปฏิเสธอย่างเย่อหยิ่งว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพากุ้ยฮวา ทว่าไม่กี่วันต่อมาก็ให้คนไปเชิญมาหาอีก หนนี้นางไม่ได้มีเรื่องปรับทุกข์แต่เรียกมาคุยอวดว่าองค์รัชทายาทหวานชื่นกับนางต่างจากที่เคย สงสัยเคล็ดลับสกุลเฉินจะได้ผล พระชายาไม่อยากติดค้างกุ้ยฮวาจึงมอบรางวัลให้

แว่นปฏิเสธทรัพย์สินมีค่า โดยอ้างว่าถ้ารับเท่ากับมิตรภาพที่มอบให้ไร้ค่า พระชายาจึงมอบคำเตือนให้แทน

“คนของข้าบอกว่าตอนไปส่งเทียบเชิญเจอนกหน้าผีอยู่ที่ตำหนักผลึก ถ้าไม่อยากตายก็ย้ายออกมาซะ”

“นกหน้าผี? หมายถึงนกแบบไหนเพคะ”

“คนที่นี่เรียกกันว่านกเมาโถวอิง”

แว่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงนึกออกว่าหมายถึงนกฮูกหรือนกเค้าแมว พอคิดรวมกับคำว่านกหน้าผี ก็เข้าใจว่าหมายถึงนกแสก ซึ่งเป็นนกเค้าแมวสายพันธุ์หนึ่ง คนไทยมีความเชื่อกันว่านกชนิดนี้เป็นพาหนะของยมทูต ถ้ามันไปเกาะอยู่ที่บ้านไหนจะมีคนตายภายในสามวันเจ็ดวัน ไม่คิดเลยว่าที่แคว้นหั่วซานจะมีความเชื่อคล้ายกัน

“ขอบพระทัยที่เป็นห่วงเพคะ” แว่นรับคำโดยไม่โต้แย้งว่างมงาย

“ข้าเตือนแล้วนะ คนฉลาดอย่างเจ้าจะทำตามหรือไม่ก็สุดแล้วแต่”

พระชายาหยาหยี่ไม่เซ้าซี้อีก นางรู้ดีว่าที่เจียงเฉียงไม่ได้มองนกหน้าผีเป็นลางมรณะแต่มองว่าเป็นลางความรัก เพราะโครงหน้าของมันเป็นรูปหัวใจ ว่ากันว่าถ้าไปเกาะอยู่ที่หลังคาบ้านไหน ลูกสาวบ้านนั้นจะได้ออกเรือน ซึ่งพอดีกับที่องค์หญิงลี่จูอยู่ในวัยกำลังเหมาะ พวกนางกำนัลจึงตื่นเต้นกันใหญ่

แว่นจะเลือกเชื่อแบบไหนไม่สำคัญ ความจริงต่างหากที่น่ากลัว นกตัวนี้หาใช่วิหคธรรมดา แต่เป็นร่างจำแลงของภูตที่ถูกส่งมาเพื่อดูลาดเลา


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายตอนและราตรีสวัสดิ์นะคะ จุ๊บๆ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มิ.ย. 2558, 00:26:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มิ.ย. 2558, 00:26:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1276





<< เจ้าสาวภูต : บทที่ ๔ กับดักริษยา   เจ้าสาวภูต : บทที่ ๖ รอยร้าวเล็กๆ >>
ใบบัวน่ารัก 26 มิ.ย. 2558, 06:44:00 น.
จิงน่าจะตบสั่งสอนนะ แต่เรื่องอาจยากว่านี้
เป็นครูแนะนำวิธีการทำลูกชายให้ดิ น่าจะดี
มีภูตด้วย แฟนตาซี ม๊ากๆๆ
เราก็รอคอยที่จะอ่านพวกนางๆๆทั้ง4 นะ
จุ๊บๆๆฝากองชาย3 กะท่านพี่ด้วย


นักอ่านเหนียวหนึบ 27 มิ.ย. 2558, 00:42:06 น.
กรี้ดดดด อาจารย์แว่น แอบอยากซบอกพี่แว่นเบาๆ


Zephyr 11 ก.ค. 2558, 20:09:03 น.
ภูตมาจากหนายยยยยย
เจ้าสาวภูติกำลังลัลล้าอยู่นะ
รู้ตัวรึยังเหอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account