เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 12

ตอน 12
นายอธิปเดินเข้ามาในร้านอาหารที่ตั้งอยู่ภายในโรงแรมที่ดีที่สุดของเมือง กวาดสายตามองหาคนที่เรียกตัวเขามาพบ พอเห็นว่านั่งอยู่ในห้องวีไอพี ก็เดินเข้าไปหาทันที เขาเปิดยิ้มทักทายนายพลกฤษกับพวกอีกสาม ซึ่งก็ยิ้มรับแล้วเชื้อเชิญให้เขานั่งบนเก้าอี้อย่างเป็นกันเอง ส่วนบนโต๊ะมีอาหารชั้นดีวางไว้มากมาย สาวเสิร์ฟที่ยืนคอยดูแลอยู่ตรงมุมห้อง รีบเข้ามารินเครื่องดื่มให้ แล้วถอยกลับไปยืนที่เดิม

ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมานอกจากดื่มและกิน กระทั่งอิ่มอาหารถูกยกออกไป ในห้องเหลือเพียงห้าคน นายพลกฤษก็เอ่ยออกมา “คุณจะไปจัดการเรื่องที่คุยกันไว้เมื่อไร”

“รอคนเปิดทางอยู่ครับ”

“มัวแต่รอไม่กลัวลูกสาวจะเปลี่ยนไปบ้างเหรอ”

“หมายความว่ายังไงครับ” นายอธิปถามอย่างสงสัย

“ก็ไม่มีอะไร แค่เตือนให้คิดหรือคุณไม่เคยได้ยินที่เขาว่ากันว่า เวลาเปลี่ยนใจคนก็มักจะเปลี่ยนตาม ลูกสาวคุณอยู่กับมันทุกวัน สักวันอาจจะเปลี่ยนใจไปรักมันเข้าก็ได้”

“ไม่มีทาง ลูกจะไม่มีทางเห็นใครดีไปกว่าผมแน่นอน ผมรู้จักลูกสาวผมดี”

“แต่ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ใกล้กัน นอนมุ้งเดียวกันจะไม่มีใจให้กันเห็นจะยาก อีกอย่างไอ้ป๊ะเพลิงมันก็ชายชาตรี รูปหล่อเสียขนาดนั้น ลูกสาวคุณจะไม่หวั่นไหวบ้างเหรอ ระวังกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้เสียแล้ว”

นายอธิปเครียดขึ้นมาทันทีแล้วขอตัวกลับเพื่อไปจัดการเรื่องนี้ หนึ่งในสามคนที่นั่งฟังอยู่จึงหันมาพูดกับนายพลกฤษ “ท่านไปชี้โพรงให้กระรอกอย่างนั้น ไม่กลัวว่าเขาจะบุกไปที่หุบเขาพญาหรือครับ”

“ไม่หรอก เพราะคนที่เปิดทางให้มันจะไม่ทำจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากฉัน” พูดจบเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดหาไอ้ชาติเปลี่ยนแปลงคำสั่งจากเปิดเป็นปิดทันที พอวางสายหนึ่งในสามที่ยังมีข้อสงสัยอยู่ก็ถามออกมา

“ก่อนหน้าผมจำได้ว่าท่านโกรธแค้นเขาเรื่องแผนที่ อยากให้เขาไปแก้ไขให้เร็วที่สุด แล้วทำไมปิดทางของเขาเสียละครับ”

“เพราะฉันไม่อยากให้มันเข้าไปเป็นสายป่านให้ไอ้ป๊ะเพลิงสาวมาถึงตัวเรา เดี๋ยวจะทำให้เรื่องที่ฉันเพิ่งรู้มาเสียหายนะซิ”
“เรื่องน้ำมันที่ท่านบอกคราวก่อนนั่นเหรอครับ”

“ใช่ แน่ชัดแล้วว่าไอ้ป๊ะเพลิงมันมีน้ำมันขายให้คนอื่นจริงๆ และแผนที่ๆไอ้อธิปได้มาขายให้เรานั้นมันอาจจะเป็นเพียงหลุมพราง เพราะไม่ว่าจะขุดหากี่หลุมน้ำมันก็ไม่มีน้ำมัน แต่ฉันยังไม่สิ้นหวังจนกว่าว่าจะรู้ว่ามันซ่อนน้ำมันไว้ที่ไหน และฉันมีเรื่องหนึ่งอยากให้ช่วยสืบหน่อย”

“ว่ามาได้เลยครับ”

“รู้จักท่านพจน์หรือเปล่า ฉันได้ข่าวมาว่าเขาซื้อขายน้ำมันกับไอ้ป๊ะเพลิงอยู่”

“เขาเป็นนักธุรกิจติดอันดับเอเชีย” หนึ่งในสามพูดออกมา “แต่เรื่องซื้อขายน้ำมันจะเป็นไปได้ยังไง ตามที่รู้มาเขาไม่ได้ทำธุรกิจด้านนี้”

“แต่อะไรที่เป็นไปไม่ได้มักจะเป็นไปได้เสมอ ก่อนหน้านี้ฉันให้คนไปสืบมาแล้ว เบื้องหน้าอย่างที่บอกนั่นแหละไม่ได้ทำ แต่ข่าวที่ฉันได้มาแน่นอน ว่าเป็นเรื่องจริง”

“แล้วท่านจะทำยังไง ให้ไปตัดไฟเสียแต่ต้นลมไหม”

“อย่าเอาฟืนไปโหมไฟให้ไหม้ฟาง อย่าหาเรื่องมาใส่ตัว เพราะเชื้อไฟคือไอ้ป๊ะเพลิง จัดการมันได้ทุกอย่างก็จบ แต่ส่งคนไปเวียนวายตายเกิดข้างๆเขาก็ดี จะได้ชัดเจนมากขึ้น แต่ห้ามทำอะไรเพราะในอนาคตถ้าทุกอย่างอยู่ในกำมือเรา เขาจะให้ผลประโยชน์เราอีกมากมาย”

“งั้นที่สืบก็ให้สืบไป แต่เราจะได้เจอตัวเขาเร็วๆนี้แน่นอน” ทุกคนหันมามองคนพูดด้วยความแปลกใจ ซึ่งยิ้มให้ก่อนจะบอกว่า “ลืมไปแล้วหรือว่าเร็วๆนี้มีงานใหญ่ นักธุรกิจระดับเอเชียอย่างเขาต้องมาแน่ รอต้อนรับเขาให้ดีก็แล้ว”

แววตาทุกคนเปล่งประกายสมหวัง จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับ แต่อีกด้านหนึ่งนายอธิปที่ขอตัวกลับไปก่อนหน้านี้ ยังไปไม่ถึงไหน เพราะโทรหาไอ้คนสมรู้ร่วมคิดไม่ติดนั่นเอง
********
ไอ้ชาติมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในมืออย่างเฉยเมย แล้วเก็บไว้ในกระเป๋า เดินไปที่เรือนของเดือนประดับ ซึ่งนั่งชมสวนอยู่ที่ระเบียงด้านหลังเรือน พอเห็นมันโผล่มาก็เปิดยิ้มหวานให้ เพราะมีเรื่องดีๆที่ทำให้เธอเป็นสุข ไอ้ชาติไม่ได้แปลกใจเมื่อมันพอจะได้ข่าวมาแล้วว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นที่คุกทมิฬบ้าง

“ฉันกำลังจะให้คนไปตามอยู่พอดี”

“คิดถึงฉันเหรอ” มันถามพลางเดินไปยืนพิงราวระเบียง สบตาเดือนประดับที่เดินมายืนตรงหน้าพร้อมกับยอมรับออกมาว่า

“ใช่ คิดถึงมากด้วย”

“ฟังแล้วน่าชื่นใจนะ แต่ฉันมันตัวปลอมที่ไม่มีวันได้เป็นตัวจริง จึงไม่ค่อยซึ้งเท่าไหร่”

“จะคิดมากไปทำไม ในเมื่อตัวปลอมได้เป็นเจ้าของตัวฉันก่อนตัวจริงเสียอีก” เธอว่าพลางไล้ปลายนิ้วกับปลายคางมัน ไอ้ชาติหลุบตามองแล้วดึงเอวเธอมากอด ลูบไล้อย่างไม่ต้องกลัวว่าเธอจะขัดใจ เพราะเห็นอยู่ว่าเธอต้องการผลประโยชน์จากมัน

“น่าคิดเหมือนกัน งั้นมีอะไรก็ว่ามา”

“เมื่อคืนนี้ ได้ข่าวแล้วใช่ไหม”

“ก็พอจะรู้”

“งั้นก็ช่วยตีเหล็กตอนร้อนๆให้หน่อย เอาให้นังพิมพ์ลดามันกระอัก หรือไม่ก็ตายอยู่ในคุกได้ยิ่งดี”

“จะยืนคุยกันอยู่ตรงนี้เหรอ”

เดือนประดับรู้ใจมันทันทีว่าต้องการอะไร ยิ้มเยือนให้ก่อนจะบอกว่า “ฉันบอกแล้วไงว่าขอเหยียบมันให้ได้ก่อนแล้วฉันจะยอม”

“แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงกันได้ เราสองคนมันวัวเคยค้าม้าเคยขี่กันอยู่แล้ว เธอจะยอมตอนนี้หรือตอนนั้นก็ไม่ต่างกันไม่ใช่เหรอ” มันว่าพลางดึงตัวเธอให้แนบชิดกับหน้าขามันมากขึ้น “น้ำมันต้องพึ่งเรือเสือมันต้องพึ่งป่า เธอก็ต้องพึ่งฉันฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น แล้วจะไม่ปราณีฉันหน่อยเหรอ

เดือนประดับยิ้มทั้งที่ใจเหยียดมัน แต่ต้องโอนอ่อนเพราะแผนที่เธอคิดไว้ “อยากคุยที่ไหนละ”

ไอ้ชาติหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเดินไปที่ห้องของเธอ รอไม่นานเดือนประดับก็เดินตามไป เพียงประตูปิดลง มันก็กระชากตัวมากอดจูบ พลางดึงทึ้งเสื้อผ้าออกจากตัวมันและตัวเธอ แล้วพาไปที่เตียงเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ใคร่ที่เธอทำให้มันค้างอยู่หลายครั้งออกมา เดือนประดับรับมือกับความคึกของมันกระทั่งมันเสร็จสมอารมณ์หมาย เธอจึงผละออกมาหยิบเสื้อผ้ามาใส่ ส่วนมันก็เอาใจเธอขึ้นมาทันที

“จะให้ทำยังไง”

เดือนประดับเดินกลับไปนั่งบนเตียง ยื่นมือไปลูบปลายคางมันเบาๆแล้วบอกว่า “ตอนนี้นังพิมพ์ลดามันเหมือนหมาหัวเน่าเข้าหน้าใครก็ไม่ติด โดยเฉพาะป๊ะเพลิงเพราะทำเรื่องให้เขาขุ่นเคืองใจ ฉันจึงอยากให้แกพาพ่อมันมาที่หุบเขาให้เร็วที่สุด และอะไรที่เขาอยากรู้หรืออยากได้ก็ช่วยส่งเสริมก่อนจะตลบหลังให้ป๊ะเพลิงไปเจอเข้า มันก็จะอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกตลอดไป หรือไม่ก็ไปติดสินบนไอ้พวกสารเลวในคุก ให้ข่มขืนมันให้ยับเยินจนไม่กล้าที่จะมีชีวิตอยู่อีกเลย”

“คิดได้ดี แต่ทำให้ไม่ได้แล้วละ”

“ทำไม” เสียงเดือนประดับห้วนขึ้นมาทันที “จะหลอกกินฉันฟรีๆหรือไง”

“เปล่า” มันบอกแต่ซ่อนรอยยิ้มไว้ในใจแล้วสะบัดผ้าห่มออกจากตัว ลุกจากเตียงไปหยิบเสื้อผ้ามาใส่เรียบร้อยแล้วก็หันมาบอกเดือนประดับว่า “เพราะนายหญิงออกจากคุกมาอยู่กับป๊ะเพลิงแล้ว”

“อะไรนะ!” เสียงเดือนประดับทั้งตกใจและไม่อยากจะเชื่อ “มันจะเป็นไปได้ยังไง อย่างน้อยป๊ะเพลิงต้องขังมันไว้สักสองสามวัน ไม่ใช่แค่คืนเดียวแล้วปล่อยออกมา หรือว่า...” เธอนิ่งไปแล้วกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บใจเมื่อคิดได้ว่าเพราะเธอที่ทำให้ทุกอย่างพัง เอาเรื่องของมันไปเยาะเย้ยอีแก่นมยานสองคนนั่น จึงไปพามันออกมา หน้าตาของเธอขึงตึงอย่างสุดแค้นแล้วมองไอ้ชาติตาขวาง

“แกรู้แล้วทำไมไม่บอกฉัน”

“อย่ามาโทษกันซิ ฉันจะไปรู้ได้ไง ว่าเธอจะให้ทำอะไร” มันว่าทั้งที่ความจริงถึงจะรู้มันก็คงไม่ทำให้ เพราะท่านนายพลเพิ่งบอกให้มันปิดทางอยู่ ทุกอย่างจึงเข้าทางมัน ไม่ต้องคิดหาคำพูดใดมาตลบตะแลงเพื่อเอาตัวรอดอีก

“ฉันพูดถึงมันตั้งแต่แรก แต่แทนที่แกจะพูดให้ฟังกลับคิดแต่ตักตวงราคะจากตัวฉัน สารเลวจริงๆ”

“ไม่งั้นฉันจะเป็นคู่คิดให้เธอได้เหรอ เอาน่า อย่าอารมณ์เสียไปเลย” ไอ้ชาติเดินเข้ามากอด “วันนี้ยังไม่มา วันหน้านายอธิปต้องมาแน่นอน ฉันรับรองว่าเธอจะไม่เสียตัวเปล่า”

เธอสะบัดตัวออกจากมัน ไอ้ชาติก็ไม่ถือสาเพราะมันอิ่มเอมเป็นที่สุดแล้วนั่นเอง
**********
พิมพ์ลดานั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงระเบียงเรือนเชิงผา สายตามเหม่อมองทิวเขาที่สลับซับซ้อนอยู่ไกลๆ แต่ไม่สามารถตรึงสายตาเธอไว้ได้เหมือนทุกวัน เพราะสมองมีเรื่องให้คิด เรื่องที่เธอถามเขาไปยังไม่ได้คำตอบ แล้วเขาก็เดินจากไป ส่วนเธอก็เดินกลับมาที่นี่ แต่ความเงียบกับสิ่งที่ได้รู้มาในคุกนั้น ก็ทำให้เธอพอจะคิดได้ว่าพ่อที่เธอจำไม่ได้ต้องมีส่วนแน่นอน และนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเกลียดเธอ

นมสดกับนมสุกนั่งหั่นสมุนไพรอยู่บนแคร่ พลางมองหญิงสาวที่นั่งเหม่อมานานแล้ว แล้วถอนหายใจพร้อมกับมองหน้ากันบ่อยๆ เพราะรู้ว่าเธอคงคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นมา และทั้งคู่ก็เพิ่งกลับมาจากเอาสมุนไพรไปให้หมอ จึงได้รู้ว่าเธอไปหาและคุยอะไรไว้บ้าง แต่ไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้เลย ทุกสิ่งอยู่ที่ป๊ะเพลิงคนเดียวจริงๆ

“หนูพิมพ์” นมสดเอ่ยขึ้น เมื่อคิดว่าหาเรื่องคุยกับเธอดีกว่าปล่อยให้นั่งซึมอยู่อย่างนั้น ซึ่งเธอก็หันหน้ามาฝืนยิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นเดินผ่านทั้งคู่ไป ทั้งสองนมจึงลุกเดินตามไปขวางหน้าไว้พร้อมกับถามออกมา “จะไปไหนคะ”

“ห้องครัวค่ะ มือพิมพ์หายแล้วก็ทำกับข้าวได้แล้วค่ะ”

“ป๊ะเพลิงอนุญาตแล้วเหรอคะ”

“ยังค่ะ แต่เขาคงไม่ลากพิมพ์เข้าคุกด้วยเรื่องแค่นี้อีกหรอกค่ะ”

เจอคำนี้เข้าทั้งสองนมจึงหมดคำทัดทาน แล้วเดินตามเธอไปที่ห้องครัวช่วยเป็นลูกมือให้ พิมพ์ลดาทำอาหารด้วยใจที่เหม่อลอย สุดท้ายมีดก็บาดนิ้ว เธอนิ่วหน้าเพราะเจ็บแต่ไม่บอกสองนม กดบาดแผลไว้จนเลือดหยุดไหลก็ยังทำทุกอย่างไปตามปรกติ กระทั่งเลือดซึมออกมาอีกครั้ง สองนมเห็นเข้าอาการร้อนใจเกิดขึ้นเป็นอันดับแรก นมสุกรีบลุกไปเอายา นมสดก็จับมือมาดู และรีบทำแผลให้ทันทีที่นมสุกเอายามาให้

“แผลเล็กนิดเดียว พิมพ์ไม่เจ็บหรอกค่ะ” เธอบอกเมื่อสองนมห่วงเธอมากเกินไป

“จะแผลเล็กแผลใหญ่ถ้าไม่ใส่ยา ดูแลให้ดี ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกันนะคะ”

“เหมือนใจคนซินะคะ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่สุดท้ายก็กลายเป็นแผลในใจเหมือนกัน”

“โธ่หนูพิมพ์” นมสดได้แต่สงสาร พันแผลให้เรียบร้อยแล้วก็บอกว่า “อย่าโกรธป๊ะเพลิงเลยนะคะ เธอทำเพราะมีเหตุผล แล้วสักวันหนูพิมพ์จะรู้”

“พิมพ์เข้าใจค่ะ”

เธอบอกแล้วหันกลับไปจับมีดทำอาหารต่อ สองนมจึงได้แต่ถอนหายใจเอาความหนักใจออก เพราะคำพูดต่างจากสีหน้าเหลือเกิน กระทั่งอาหารเสร็จลงปิ่นโตเรียบร้อย เธอก็หิ้วลงจากเรือนจะไปเพิงหมาแหงน สองนมจะตามไปด้วยเธอก็ขอไปตามลำพัง ทั้งคู่จึงจำยอมเพราะเธอคงอยากอยู่คนเดียวจริงๆ

พิมพ์ลดาเดินมาถึงเพิงหมาแหงนพร้อมๆกับพระอาทิตย์ลับหายไปจากขอบฟ้า แต่ความตั้งใจกลับสูญเปล่า เมื่อเห็นร่างสูงยืนกอดอกมองมา เธอเดินผ่านเขาไปเพื่อเอาปิ่นโตไปเก็บ แต่เขายึดข้อมือดึงให้เดินมาที่ตุ่มน้ำหลังเพิง ก็บิดข้อมือออกเพราะรู้หน้าที่ตัวเองดี แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อเพลิงพาเธอเดินต่อไปที่ลำธาร สวนทางน้ำสูงขึ้นไปจากที่เคยมาตักน้ำ ทางเดินชันด้วยก้อนหินและรกด้วยต้นไม้ แต่พอพ้นออกมา ก็ได้เห็นสายน้ำตกขนาดใหญ่อยู่กลางไพรพง สายน้ำไหลลดหลั่นเป็นชั้นๆตกลงมากระทบโขดหิน แตกกระเซ็นเป็นเส้นสายอย่างสวยงาม

เสียงนกร้องดังแว่วมาให้ได้ยิน กลิ่นดอกไม้รวยรินมาให้ชื่นใจถ้าเป็นเวลาปรกติเธอคงชอบ แต่เรื่องที่ทับถมอยู่ในใจ ทำให้เธอเฉยเมย เพลิงก็ไม่พูดอะไร เขาดึงปิ่นโตจากมือเธอมาถือไว้ แล้วพาเดินบุกแอ่งน้ำลึกตื้นไปที่โขดหินใหญ่กลางน้ำตก

พิมพ์ลดาเดินอย่างลำบากเพราะหินที่ลื่นและไม่คุ้นเคย แต่มือเขาก็พยุงจนขึ้นไปนั่งบนโขดหินได้สำเร็จ เธอดึงมือออกไปนั่งห้อยขาแช่น้ำตก ความเย็นฉ่ำของน้ำช่วยผ่อนคลายความทุกข์ในใจเธอลงได้บ้าง ขณะที่เพลิงก็ไปยืนมองสายน้ำอยู่ไม่ห่างแต่หางตาเห็นเธออยู่ตลอดเวลา ปลายนิ้วที่มีผ้าพันแผลหยุดสายตาเขาไว้เพียงครู่ และรู้ว่าเธอเงียบไปเพราะเหตุใดและความเงียบนี้ก็กำลังกดดันเขาอยู่

“ฉันจะกินข้าวที่นี่”

เสียงเขาดังขึ้น เธอจึงลุกขึ้นมาจัดสำรับให้ เรียบร้อยแล้วก็นั่งรอโดยไม่มีคำอ้างเหมือนเช่นทุกครั้งที่จะต้องทานข้าวกับเขา จึงเดินมานั่งพับเพียบตรงหน้า จับช้อนขึ้นมาทานข้าว ส่วนเธอนั่งเขี่ยเสียมากกว่า “ไม่อยากรู้เรื่องที่ถามฉันไว้แล้วเหรอ หรือว่าได้คำตอบแล้ว”

มือที่จับช้อนอยู่ชะงักไปนิด แล้วก็เหมือนเดิมไม่มีเสียงพูดออกมา “จะเป็นใบ้ไปถึงเมื่อไร” น้ำเสียงเพลิงเริ่มเย็น แต่เธอก็ยังนิ่งเฉย แล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าคม เมื่อมีเสียงพูดขึ้นมาตอบคำถามที่ค้างอยู่ในใจเธอ

“ใช่” เพลิงสบตาที่มองอยู่และไม่รู้ว่าคำตอบของเขานั่นคือการแพ้ใจตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “อยากรู้ต่อหรือเปล่าละ”

“ต่อจากนั้นก็คือตัวฉันซินะ ถึงได้ถูกขังคุก”

“มันคนละเรื่องกัน”

“แต่โทษก็คงไม่ต่างกัน ไม่งั้น...” เสียงเธอแผ่ว ‘เขาคงไม่เกลียดเธอ’ เสียงบอกตัวเองในใจทำให้น้ำตาก็คลอขึ้นมา แล้วข่มให้มันเจ็บอยู่แค่ภายใน และไม่ถามอะไรอีกแม้มีเรื่องอยากจะถามอีกมากมาย แต่เพลิงยังไม่ยอมจบ ยังถามกลับมา

“ทำไม”

“ไม่มีอะไรหรอก ขอบคุณนะคะที่บอกให้ฉันรู้”

“แน่ใจนะว่าอยากรู้แค่นี้”

“ถ้ามากกว่านี้ แล้วมีอะไรแตกต่างไหมคะ”

“เช่นอะไร”

“ใจคุณ”

พูดไปแล้วเธอก็รอฟังคำตอบ แต่สิ่งที่ได้คือความเงียบเหมือนเช่นทุกครั้ง ก็ก้มหน้ามองช้อนซ่อนความรู้สึกไว้ ขณะที่สายตาเพลิงยังมองเธออยู่ แต่ใจเขา... ไม่มีเสียงที่รวดเร็วเหมือนเช่นครั้ง สิ่งที่เธอถามจึงค้างอยู่แค่นั้น

ความมืดเริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณ เพลิงลุกขึ้นไปหยิบคบเพลิงที่หลังซอกหินออกมาจุด แล้วนำไปพิงไว้กับก้อนหิน แสงไฟสีส้มสว่างขึ้นกระทบสายน้ำขณะบนฟ้าแสงดาวก็เริ่มสกาวให้เห็น สายลมพัดเอื่อยมาให้สบายตัว จิตใจที่หม่นมัวก็คลายลง

พิมพ์ลดาเริ่มมองไปรอบตัว แล้วหยุดนิ่งอยู่กับสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น แสงระยิบวิบวับเหมือนแสงดาวมาส่องประกายอยู่ตรงหน้า ช่างหาคำอื่นมาบรรยายไม่ได้จริงๆ นอกจาก... “สวยจัง” เสียงเธอเบา แต่เขายังตอบกลับมาให้ได้ยิน

“ถ้าดึกจะสวยกว่านี้”

เธอหันมามองหน้าคม เก็บเรื่องที่ไม่สบายใจไว้ แล้วคุยกับเขา “คุณเอาคบเพลิงมาจากไหนคะ”

“ฉันมาที่นี่บ่อย ก็จะมีติดมือมาเก็บไว้เสมอ ส่วนนั้น...” เพลิงพยักหน้าไปที่แสงระยิบระยับตรงพุ่มไม้ “ความอุดมสมบูรณ์ของป่า ความชุ่มชื่นของสายน้ำทำให้พวกมันมารวมตัวกัน ยิ่งมืดก็จะยิ่งสวยและจะมากขึ้นอีก”

“จับได้ไหมคะ”

“ไม่รู้จักเหรอ”

“รู้จักค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าจับได้หรือเปล่า เพราะมันตัวเล็กและบอบบางเหลือเกิน” บอกแล้วเธอก็หันไปมองพวกมันอย่างเพลินๆ ยิ่งเพิ่มมากขึ้นก็ยิ่งเพลิน แล้วต้องนิ่งไปเมื่อจู่ๆคนที่เธอไม่ได้มองว่าจะลุกไปไหนมายืนตรงหน้า จับแขนเธอให้ลุกขึ้นยืน ปลายนิ้วเลื่อนไปจับมือเธอให้แบบออก แล้วตอบคำถามเธอด้วยการวางหิ่งห้อยตัวน้อยลงบนฝ่ามือ

แสงวิบๆกลางฝ่ามือ มันช่างงดงามจนต้องยกมือขึ้นมาแตะเบาๆแล้วช้อนสายตาขึ้นมองหน้าคม ยิ้มอย่างดีใจแล้วก้มลงมองมันต่อ พอมันบินขึ้นก็มองตามไปกระทั่งหายเข้าไปในกลุ่ม ก็ยืนมองอยู่อย่างนั้นกระทั่ง...

“ชอบมากเหรอ”

“ค่ะ” เธอบอกพลางหันมามองคม แต่พอสบตาที่มองอยู่ก็รู้สึกเขิน เพราะมันวิบวับเหมือนแสงหิ่งห้อยเมื่อกี้และกำลังซึมเข้าไปสว่างอยู่กลางใจเธอ จึงต้องข่มใจไม่ให้หวั่น แต่ดูจะทำได้ยากเมื่อ...

“อาบน้ำกันเถอะ”

“ฉันจะอาบที่เพิงค่ะ” เธอรีบตอบ

“อาบกับฉันที่นี่แหละ”

“แต่...” เสียงค้านของเธอมีอยู่แค่นั้น เมื่อเขาจับแขนดึงตัวไปกระโดดลงน้ำ “ตูม” สองร่างจมดิ่งลงในน้ำ ก่อนโผล่ขึ้นมา พิมพ์ลดามองหน้าคมอย่างสุดฉุน ที่เขาไม่ฟัง ที่สำคัญเพราะเธอไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน “คนบ้า”

หน้าเธองออย่างงอนๆ แล้วรีบหันหน้าไปทางอื่นเมื่อเขาถอดเสื้อออกจากตัว ก่อนจะหันกลับมาเมื่อได้ยินเสียงเขาแหวกว่ายน้ำ ท่วงท่าที่สวยงามทำให้เธอมองเพลินจนเขาหันมาเห็นเข้าก็รีบหันไปมองทางอื่น แต่เสียงน้ำที่เงียบหายไป ทำให้เธอหันกลับมามองอีกครั้ง

พื้นน้ำนิ่งไม่มีรอยกระเพื่อม ไม่มีร่างสูง พิมพ์ลดาเหลียวซ้ายแลขวาแต่ก็ไม่เห็นเขา “คุณ” เสียงเธอเริ่มดังขึ้น ความหวาดหวั่นเริ่มจู่โจมเข้ามาในใจ แล้วว่ายน้ำไปที่ๆเห็นเขาครั้งสุดท้าย “เพลิง คุณอยู่ไหน” เธอเรียกหา แต่ไม่มีเสียงตอบกลับมา สีหน้ายิ่งไม่สู้ดี กระวนกระวายด้วยความเป็นห่วงโดยไม่รู้ตัว แล้วจะดำดิ่งลงหา แต่ร่างสูงโผล่ขึ้นมาเสียก่อน เธอมองใบหน้าคมนิ่งๆ แล้วจะว่ายกลับไปที่เดิม แต่ข้อมือโดนยึดไว้เสียก่อน

“มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า”

ปลายเสียงสะบัดนั้นทำให้เพลิงไม่เชื่อ แล้วคิดย้อนตอนที่เขาโผล่ขึ้นมาเมื่อกี้ สีหน้าเธอดูร้อนรนเหมือนจะห่วงอะไรสักอย่าง หรือว่า...รอยยิ้มเกิดขึ้นในใจเมื่อพอจะเดาได้ แล้วเอาสิ่งที่เขาดำลงไปหามาเหน็บให้ที่ข้างหูเธอ แก้มเธอแดงขึ้นเมื่อเห็นว่าที่เขาให้นั่นเป็นดอกไม้ใต้น้ำ
เธอหลบตาคมที่มองอยู่อย่างขัดเขิน ขณะที่เพลิงก็มองใบหน้างามไม่วางตา แล้วยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วลูบแก้มระเรื่อเบาๆ เขาปล่อยวางทุกอย่างไว้ที่เป็นปัญหาระหว่างกัน เหลือเพียงเขากับเธอที่ไม่มีเรื่องใดๆต่อกันเท่านั้น

“เมื่อกี้เป็นห่วงฉันเหรอ”

พิมพ์ลดาเม้มริมฝีปากนิดๆ ก็บอกว่า “แค่สงสัยว่าคุณหายไปไหนเท่านั้นเอง”

“แล้วถ้าฉันไม่โผล่ขึ้นมาละ”

เธอตวัดสายตาขึ้นมองหน้าคมพร้อมใจที่วูบหาย แต่มันจะมีประโยชน์อะไรเมื่อยังมีความเกลียดชังกั้นกลางอยู่ “กลับได้หรือยังคะ ฉันหนาวแล้ว”

“อย่าไปพูดคำนี้กับใครนะพิมพ์ลดา นอกจากฉัน”

“ทำไมคะ”

เธอถามอย่างสงสัย แล้วก็ได้คำตอบ เมื่อใบหน้าคมค่อยๆก้มลงมา ริมฝีปากเย็นๆแตะแผ่วที่เรียวปากนุ่ม จูบซับเบาบาง ก่อนจะเข้าลุกล้ำเข้าไปหาความหวาน ดูดดื่มดื่มด่ำจนความหนาวในตัวเริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นอุ่นซ่าน สองแขนกอดกระซับร่างอรชรมาแนบตัว แม้จะเสื้อผ้าขวางกันแต่เปียกน้ำจนเหมือนเธอเปล่าเปลือย

สองมือลูบไล้ สองขาพาเธอมาอิงโขดหินพร้อมจูบที่ไม่ยอมห่าง แล้วถอยออกมาคลอเคลียแก้มนุ่มก่อนจะจูบเธออีกครั้งและเรียกร้องให้จูบตอบ ไม่นานก็ถอนริมฝีปากออกมายิ้มชิดเรียวปากเธอก่อนจะถามว่า

“รู้หรือยัง”

พิมพ์ลดาไม่ตอบ แต่สายตาเธอมองค้อนให้เขาหัวเราะ และเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเขาเป็นแบบนี้ จึงยกมือขึ้นทุบอกแกร่งอย่างเขินๆ เพลิงจับมือนุ่มไว้ก่อนจะยกตัวเธอให้นั่งบนโขดหินโดยมีเขาขึ้นไปนั่งเคียงข้าง มองดวงดาราที่เปล่งประกายอยู่กลางความมืดมิด แต่ดูเหมือนเธอจะไม่มองดาว เพราะดึงดอกไม้ใต้น้ำที่เขาเก็บให้มามองเสียมากกว่า
เพลิงจับตามองเธอพลางคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำลงไป ว่าทำไมต้องรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นเธอหม่นหมอง ทั้งๆที่เหมือนก่อนไม่เป็น หรือเพราะเธอเปลี่ยนไป เขาจึงเสียความตั้งใจของตัวเอง จากที่ไม่ยุ่ง ไม่สนใจ ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง กลับมาทนไม่ได้ต้อง เป็นฝ่ายเดินเข้าหาเหมือนมีบางอย่างดึงดูด ที่สำคัญยังปลอบใจเธออย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน

เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วหยุดความคิดไว้ เมื่อคิดได้ว่าเขายังมีเวลาที่จะพิสูจน์อีกนาน ถ้าเธอเปลี่ยนไปจริงๆบางทีเขาจะใช้ใจพิจารณาเธอดู แต่ถ้าเสแสร้งแกล้งทำเหมือนที่แล้วมา รับรองได้ว่าความโหดร้ายที่เธอได้รับไป จะกลายเป็นความโหดเหี้ยมแทน เขาคิดแต่ความจริงเขาปล่อยให้ใจกับเธอไปแล้ว

“ไปเถอะ”

พิมพ์ลดาหันมายิ้มให้เพียงนิด ก็จะลุกขึ้นแต่เขายื่นมือมารอให้เธอจับเสียก่อน ก็วางมือลงบนมือเขาที่ดึงตัวเธอขึ้นมาทันที แล้วพาเดินลุยน้ำขึ้นไปบนฝั่ง แล้วต้องตาโตเมื่อเห็นเจ้าพยัตยืนกินหญ้าอยู่ไม่ห่าง ก็เดินเข้าไปหาโดยไม่มีความแปลกใจว่ามันมาได้ไง คงเดินตามนายมันมาแต่เธอไม่เห็นนั่นเอง เธอยกมือขึ้นลูบจมูกมัน ก่อนจะถูกเพลิงยกขึ้นไปนั่งบนหลังมัน แล้วตามขึ้นไปนั่งซ้อนด้านหลัง แต่ยังไม่บังคับให้มันออกเดิน กลับดึงตัวเธอให้เอนมาซบอก พอเธอจะเอนตัวออกห่างก็กอดไว้พร้อมกับบอกว่า

“หนาวไม่ใช่เหรอ”

พิมพ์ลดานิ่งไปนิด ก็ยอมซุกหน้ากับอกเขาเพราะเธอหนาวกายอย่างที่เขาว่าจริงๆ แต่อบอุ่นไปทั้งใจเมื่อได้อิงแอบอกเขาอยู่อย่างนี้ เพลิงหรุบลงมองเพียงนิด ก็บังคับเจ้าพยัตให้เดินกลับไปเพิงหมาแหงน
********
นมสดกับนมสุกเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่หน้าเพิงนานแล้ว ทั้งคู่ตามมาดูหนูพิมพ์ด้วยความเป็นห่วง แต่มาถึงไม่เจอใครก็ร้อนใจขึ้นมา เพราะรู้ว่าจิตใจเธอกำลังย่ำแย่ แต่พอจะไปตามหาก็เห็นม้านำพาเธอมาพร้อมกับป๊ะเพลิงพอดี จึงยืนรอกระทั่งคู่ลงจากหลังม้าก็เดินไปหา สภาพเปียกปอนของเธอนั้นทำให้สองนมมองเพลิงตาขวาง

“ทำไมตัวเปียกอย่างนี้ละ ป๊ะเพลิงทำอะไรหนูพิมพ์อีก”

“นั่นนะซิ แล้วแผลที่โดนมีดบาดไม่แย่ไปกันใหญ่เหรอเนี๋ย”

“ใช่ มันจะอะไรกันนักหนานะป๊ะเพลิง นมขอร้องก็แล้ว พูดก็แล้วตั้งหลายครั้ง ทำไมไม่ฟังกันบ้าง” เสียงนมสดบอกความไม่พอใจสุดๆ “รีบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะหนูพิมพ์ แล้วกลับเรือนเชิงผากับนม เดี๋ยวนมจะดูแผลให้ ”

“ฉันจะทำให้เอง กลับกันไปได้แล้ว” เสียงของเพลิงไม่ได้ทำให้สองนมขยับ ยืนนิ่งไม่ปฏิบัติตาม “อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” เสียงที่เรียบเย็นนั้นเริ่มมีผลกับสองนมแต่ยังดื้อ จนพิมพ์ลดาต้องบอกทั้งสองคนว่า

“พิมพ์ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ ที่เปียกก็แค่ไปเล่นน้ำตกมาและแผลก็ไม่เจ็บแล้ว นมกลับไปพักเถอะค่ะ พิมพ์ดูแลตัวเองได้”

“แน่ใจนะหนูพิมพ์”

“ค่ะ” พิมพ์ลดารับปากแล้วบีบมือทั้งคู่เบาๆ เพื่อให้สบายใจ แต่ความห่วงใยนั้นไม่หายเป็นก่อนเดินจากไป นมสดก็บอกว่า

“ถ้าพรุ่งนี้หนูพิมพ์เป็นอะไรไป นมจะไม่ให้อภัยป๊ะเพลิงเลย”

เพลิงมองแม่นมที่งอนตุ๊บป่องเดินตุ๊บๆๆไป แล้วหันมามองเมียมายา พลางคิดว่าเธอทำสิ่งใดหรืออะไรให้แม่นมของเขารักและเชื่อว่าเธอได้เปลี่ยนไปแล้วจริง พิมพ์ลดาสบตาคมเพียงอึดใจ ก็เดินเข้าไปในเพิง เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็หยิบเสื้อผ้ามาวางให้เขาเปลี่ยน ก่อนจะเดินเข้าไปจัดที่นอนหมอนมุ้งไว้ให้เขา และดูแผลตัวเอง ปลายนิ้วแดงเพราะแผลโดนน้ำ จึงหยิบยามาใส่ แต่ยังไม่ทันได้จัดการ ร่างสูงที่มีเพียงกางเกงนอนตัวเดียว ก็เดินย่ำเข้ามา จับมือเธอไว้เสียก่อน

“ฉันบอกแล้วไงว่าจะทำให้เอง”

“แผลนิดเดียวฉันทำเองได้ค่ะ”

“อย่ามาอวดเก่งตอนนี้” เสียงห้าวดุออกมา แล้วหยิบยาที่คิดว่าแม่นมทั้งสองคนเอามาทิ้งไว้ให้ มาใส่แผลให้เธอ พร้อมกับพันผ้าไว้ให้เรียบร้อย “นอนเถอะ” พูดจบเพลิงก็ขยับไปเปิดมุ้ง เอนตัวนอนลงบนฟูก เธอบอกขอบคุณเขา แล้วจะเดินไปนั่งที่มุมของตัวเอง แต่ชะงักเมื่อเสียงห้าวดังขึ้นอีกว่า “ตรงนี้”

พิมพ์ลดามองที่ๆเขาบอกซึ่งก็เป็นฟูกข้างๆที่เขานอน ก็ได้แต่อึดอัดเพราะเสน่หาที่น้ำตกยังทำให้เธออุ่นซ่านอยู่ จึงบอกว่า “ผมฉันยังไม่แห้งคุณนอนก่อนก็แล้วกัน” บอกแล้วก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมที่ยังหมาดๆถ่วงเวลาเพื่อให้เขาหลับไปก่อน แต่ไม่เป็นผล เมื่อคนรอรู้สึกว่านานเกินไปแล้ว

“อย่าให้ฉันร้อนขึ้นมานะพิมพ์ลดา แล้วเธอจะหนาว”

ใบหน้างามร้อนขึ้นมาทันทีที่เขารู้ทัน และไม่กล้าหันไปมองกลัวเขาจะเห็นว่าแก้มเธอแดงขึ้นมา แล้วลุกขึ้นทั้งที่ไม่อยากลุกเอาผ้าขนหนูไปตากไว้บนขอบหน้าต่าง ก็เดินไปดับตะเกียงก่อนเดินมาที่มุ้ง ลังเลที่จะเปิดเข้าไป แต่ต้องเปิดเข้าไปก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาทำอย่างที่พูด เอนตัวลงนอนชิดริมมุ้ง เพียงแผ่นหลังแตะฟูก ท่อนแขนแกร่งก็วาดลงมาทับบนเอวทันที

“คุณ” เธอหันไปมองอย่างตกใจ แล้วจะดึงมือเขาออก แต่ต้องค้างอยู่แค่นั้นเมื่อเขาบอกว่า

“ถ้าเธอดึงออก ฉันจะทำมากกว่ากอด”

พิมพ์ลดาเกร็งไปทั้งตัว แม้แต่ลมหายใจก็แทบจะขาดหาย เพลิงซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปากแล้วหลับตาลง เธอจึงค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ กระทั่งคิดว่าเขาหลับไปแล้ว ก็ลุกขึ้นหยิบผ้าห่มมาห่มกันหนาวแต่พอเอนตัวลง กลับถูกเขาดึงไปซบลงบนอก ใจเธอวาบไปเพียงนิดก็นิ่งสงบเมื่อเขาไม่ทำอะไรมากไปกว่ากอด แต่กว่าจะหลับตาลงไปก็อีกนานเพราะคิดว่าที่เขาตบหัวแล้วลูบหลังเลิกเย็นชามาทำดีกับเธอเพื่ออะไร รู้สึกดีๆด้วยหรือหลอกเพื่อจะทำให้เธอเจ็บยิ่งกว่าเดิม
*********
เช้าวันรุ่งเพลิงก็พาเธอขึ้นหลังเจ้าพยัตมาส่งที่เรือนเชิงผา แล้วขี่มันตรงไปยังหน้าผาสูง โดยมีพญาอินทรีบินร่อนให้เห็นอยู่บนฟ้าไกลเหมือนเคย แล้วไปยืนท้าสายลมยามเช้าที่พัดเอื่อยมาให้เย็นสบาย สายตาไปข้างหน้าแต่หัวใจกำลังคิดถึงร่างอรชรที่นอนกอดเมื่อคืนนี้ เธอเบียดตัวเข้าหาเพราะอากาศที่เย็นจัด จึงโดนเขาขโมยหอมแก้มไปหลายครั้ง ผิวนุ่มๆกลิ่นหอมๆจึงยังไม่จางไปจากปลายจมูกเขา

มุมปากเขายกขึ้นแย้มพรายยามสุขใจ แล้วเลือนหายเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าเหยาะย่างตรงมาที่เขายืน ซึ่งรู้ดีว่าคือหัวหน้าคุกทมิฬ ไม่นานหินก็เดินมายืนข้างๆ สายตามองไกลไปที่ขอบฟ้า แสงสีทองเริ่มเรืองรองขึ้นมา นกกาบินผ่านพร้อมขับขานเสียงอันไพเราะมาให้ได้ยิน

“แสงแรกของวันใหม่ที่ไม่มีเมฆมาบดบังช่างสวยงามจริง อยากให้หุบเขาพญาเป็นอย่างนี้ทุกวัน แต่คงยากตราบใดที่ไอ้พวกคนเลวยังอยู่ แล้วใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีไปแล้วเป็นไงบ้าง”

“นายก็เห็นอยู่แล้ว”

“แต่ไม่ได้ใกล้ชิดเหมือนนาย ระวังจะติดใจจนถอนตัวไม่ขึ้นก็แล้วกัน”

เพลิงตวัดสายตามองหน้าหินเพียงนิดก็บอกว่า “ฉันจัดการเรื่องตัวเองได้ ส่วนเรื่องที่อยากให้นายไปจัดการ เดินทางวันนี้เลย ส่วนทุกเรื่องที่จะทำให้นายดูดีมีราคาแพง ฉันคุยกับชีคให้แล้ว และนายมีอำนาจในการติดสินใจทุกอย่างเต็มที่”

“หายโกรธแล้วเหรอ ถึงได้ติดต่อไป”

“แค่คุย”

“ก็ยังดีกว่าไม่คุย แม่นายคงดีใจที่พ่อกับลูกคุยกันเสียที”

“มีเวลาแล้วฉันจะไปหาท่านเอง ส่วนนายนอกจากไปตลบหลังพวกมันแล้ว ฉันอยากให้หาลู่ทางสร้างโรงกลั่นน้ำมันด้วย ฉันคิดจะว่าเราควรจะมีเป็นของเราเสียที ขุดเองทำเองให้ครบวงจร แล้วอาจจะให้นายไปคุมเองด้วย”

“ใหญ่นะนั่น” เสียงหินไม่ได้บอกความหนักใจ ติดจะขำเสียมากกว่า เพราะยังคิดว่าเป็นเรื่องไม่แน่นอน

“นั่นแหละถึงให้นายไปไง การได้คุยกับนักธุรกิจใหญ่ๆหลายคนอาจจะทำให้เรามีหนทางบ้างไม่มากก็น้อย”

“ให้ชีคจัดการก็หมดเรื่อง แต่ไม่เป็นไร ทำเองก็ดีเหมือนกัน แต่คิดดีแล้วใช่ไหม”

เพลิงนิ่งไปนิด ก็บอกว่า “ใช่ เพราะต่อไปหุบเขาพญาไม่ได้มีแค่พวกเรา ลูกหลานของพวกเราจะเกิดขึ้นอีกมากมาย ฉันจึงต้องขยับขยาย คิดสร้างทุกอย่างไว้เพื่อพวกเขา จะได้มีชีวิตที่ดีต่อไปในภายหน้า ไม่ใช่ถอยหลังอยู่แต่ในป่าเหมือนพวกเรา”

หินพยักหน้าเห็นด้วย พลางคิดว่าประโยคสุดท้ายที่เพลิงพูดมาเป็นสัญญาณบอกอะไรหรือเปล่า ทำไมคิดถึงการสร้างครอบครัว การมีลูก หรือว่าเพราะหัวใจเขาเริ่มมีความรัก แล้วจะรักใคร ถ้าไม่ใช่เธอ พิมพ์ลดาเมียมายาของเขา
*********
หญิงสาวที่หัวหน้าคุกทมิฬสงสัยอยู่นั้น นั่งช่วยแม่นมสองคนคัดสมุนไพรอยู่บนแคร่ตรงระเบียงเรือน แต่ดูเหมือนจิตใจจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร เพราะมัวแต่คิดถึงรอยอุ่นที่แก้มที่เพลิงทิ้งไว้ เธอไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่าว่าที่เขาเธอแอบหอมแก้มเธอนั้นเธอตื่นแล้ว และตอนนี้เธอก็คงไม่รู้ว่าแม่นมสองคนมองอยู่

“หนูพิมพ์ เป็นอะไรคะ หรือว่าเจ็บมือ”

“คะ” พิมพ์ลดาทำหน้างงๆเล็กน้อย ก่อนจะคิดถึงคำพูดที่ได้ยินแว่วๆเมื่อกี้ ก็รีบบอกก่อนที่สองนมจะสงสัยมากขึ้นไปอีกว่า “เปล่าค่ะ มีอะไรหรือคะ”

“ไม่มีหรอกค่ะ นมเห็นหนูพิมพ์นิ่งไป ก็คิดไปเรื่อย” นมสุกบอก “แล้วเมื่อเช้าทำไมหนูพิมพ์เดินขึ้นเรือนมาคนเดียว ป๊ะเพลิงไปไหนทำไมไม่มาส่ง”

“ก็เบื่อแล้วไง จึงไม่ดูดำดูดี” น้ำเสียงหยันๆดังขึ้นก่อนที่พิมพ์ลดาจะตอบ สองนมหันขวับไปมอง แล้วคอก็แข็งขึ้นเมื่อเห็นหน้าคนไร้มารยาทกำลังเดินกรีดกรายมาหา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนังเดือนหงายเงิบนั่นเอง

“มีอะไร” เสียงนมสุกห้วนขึ้นมาทันที

“ไม่มี” เดือนประดับตอบด้วยเสียงที่ไม่ต่างกันเท่าไร แล้วเหยียดริมฝีปากออกหยันอย่างไม่ต้องกลัวว่าคนที่เธอรักจะเห็น เพราะเพิ่งได้ยินว่าเขาไม่อยู่ แล้วเดินวางท่าอย่างกับเป็นเจ้าของเรือน ดูโน้นดูนี่เพื่อหาเรื่องทั้งสามคน แม้จะไม่มีอะไรให้ติ แต่เธอก็ติออกมาจนได้ “ดูแลได้แค่นี่เองเหรอ ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตาเสียเลย ถ้าทำได้แค่นี้ ไม่น่าจะเป็นเจ้าคนนายคน น่าจะคนใช้มากกว่า”

“แล้วคนที่ชอบสาระแนมาหาเรื่องชาวบ้านตั้งแต่เช้า เขาเรียกว่าอะไร ข้าว่ามันก็ไม่ต่างกันแหละว้า”

“นมสุกนี่รู้ดีจริง อย่างว่าเป็นขี้ข้าเหมือนกัน คงฝังอยู่ในสายเลือดโดยไม่ต้องอธิบายอะไรก็เข้าใจดีแล้ว แล้วเธอละเป็นยังไงบ้าง” เดือนประดับตวัดสายตาเหยียดๆมาที่พิมพ์ลดา ซึ่งก็ถามกลับไปด้วยเสียงเรียบๆว่า

“เรื่องอะไรละ”

“ไม่รู้เหรอ” เสียงเยาะออกมา “ก็เรื่องที่เธอต้องเข้าไปนอนอยู่ในคุกเน่าๆนั่นไง ฉันยังได้กลิ่นสาบๆอยู่เลยนะ”

“แค่กลิ่นตัวช่างมันเถอะ อาบน้ำให้สะอาดก็หายไปแล้ว แต่ใจที่สกปรกทำยังไงก็คงไม่หาย เพราะเป็นสันดานไปแล้ว”
นมสดกับนมสุกตาโตอย่างชอบใจ แล้วยิ้มเย้ยเดือนประดับ ซึ่งก็ยังยิ้มได้ทั้งที่ภายในใจอยากจะเข้าไปกระชากผมแล้วตบให้สาสมกับความเกลียด “ดูเธอจะเข้าใจได้ดีนะ”

“ก็ไม่ยากอะไรนิ”

“นั่นซินะ ไม่งั้นเธอคงไม่ได้แต่งงานกับป๊ะเพลิง เพราะเธอง่ายอย่างนี้นี่เอง”

พิมพ์ลดาถึงกับอึ้งเพราะความทรงจำที่หายไป จึงจำไม่ได้ว่าเคยทำอย่างที่ถูกกล่าวหาจริงหรือเปล่า ปรายตาไปมองสองนม ก็ส่งสายตาเห็นใจมาให้เท่านั้น เดือนประดับยิ้มเยาะอย่างสะใจ ที่เห็นสีหน้าแต่ละคนนั้นสลดลง แล้วพูดด้วยปากถากถางด้วยสายตาต่อว่า

“ที่จริงฉันก็เห็นใจเธอนะ ที่พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองรวมถึงนิสัยให้ดูดีขึ้นมา แต่เปลี่ยนยังไงก็คงเปลี่ยนใจป๊ะเพลิงไม่ได้”

“หมายความว่าไง”

“อ้าว นี่เธอไม่รู้เหรอ หรือดูไม่ออก ว่าป๊ะเพลิงเขารู้สึกยังไงกับเธอ ตายแล้ว หึๆๆ” เสียงหัวเราะของเดือนประดับทั้งสมเพชและเวทนาอย่างที่สุด “ที่ป๊ะเพลิงเขาสั่งขังเธอได้อย่างง่ายๆ โดยไม่ได้แคร์หรือเห็นใจเธอ ทั้งที่เธอเป็นถึงเมียเขา ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีอยู่แล้ว ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้รักเธอเลย”

“อันนั้นฉันรู้แล้ว” แม้จะเจ็บลึกและเสียใจ แต่สีหน้าพิมพ์ลดาก็ยังนิ่งเฉย และตอกกลับเดือนประดับให้เจ็บไปไม่ต่างกัน “แต่ไม่แน่ใจว่าเธอจะรู้หรือเปล่า ว่าเขาก็ไม่ได้รักเธอเหมือนกัน”

“แต่หัวใจที่ไม่มีใครของเขา อาจจะเป็นของฉันสักวัน”

“แล้วเธอไม่คิดเผื่อไว้บ้างเหรอว่า สักวันที่เธอว่า หัวใจเขาอาจจะเป็นของฉันก็ได้ เพราะไม่มีใครไปบังคับจิตใจใครได้ นอกจากเจ้าตัวเอง”

“ไม่ เพราะฉันรู้ว่าเขาเกลียดเธอ” เสียงเกลียดนั้นรอดไรฟันเพื่อฝังลงไปในใจของอีกฝ่ายให้เจ็บที่สุด แต่ถูกย้อนให้เจ็บยิ่งกว่า

“แต่พอฉันออกจากคุก เขาก็พาไปปลอบใจที่น้ำตก สายน้ำเย็นๆเล่นกันสองคน เคล้าคลอเคียงคู่ แล้วจบลงยังไง คิดออกไหม”

“นังพิมพ์ลดา”

เดือนประดับง้างมือขึ้นอย่างสุดจะทนกับคำเยาะเย้ยนั้น แต่ไม่ฟาดลงมาเพราะพิมพ์ลดาลุกขึ้นจ้องหน้าพร้อมจะสู้ จึงลดมือลงแต่สายตายังอาฆาตอยู่ แล้วแบกความเจ็บช้ำกลับไปที่เรือนตัวเอง ขณะที่พิมพ์ลดาก็ปวดร้าวไปทั้งใจ แต่ไม่แสดงออกมาเท่านั้นเอง
**********
ขอบคุณท่ี่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ค. 2558, 16:50:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ค. 2558, 16:50:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 3500





<< ตอน 11   ตอน 13 >>
konhin 18 ก.ค. 2558, 09:26:04 น.
เริ่มสู้คนแล้ว ดีจัง


แว่นใส 18 ก.ค. 2558, 10:50:11 น.
คิดลงหลักปักฐานแล้ว


warap 21 ก.ค. 2558, 09:59:17 น.
อยากอ่านทุกอาทิตย์ค่ะ


Zephyr 2 ส.ค. 2558, 17:36:31 น.
เริ่มไม่ยอมคนละพิมพ์ ดีๆๆๆ
สวยรอยเป็นคนอื่นนี่ลำบากนะ แต่ต้องอยู่ถาวรนี่นา ทำไงได้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account