แค้นรักแค้นเสน่หา
“ผมไม่วิปริตเหมารวมทั้งครอบครัวหรอกจ้ะ เอาแค่คุณคนเดียวแต่ไม่ใช่ครั้งเดียว โอเค้?” พูดหน้าตายแล้วแนบฝ่ามือเข้าหา ในขณะที่เจ้าตัวไม่รู้จะปกปิดส่วนไหนของร่างกายที่ถูกเขาคุกคามอย่างหนัก “อีกอย่าง... คุณต้องทรีตร่างกายผมให้หนักกว่านี้สักหน่อย ไม่ใช่เงอะงะ ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ถ้าผมไม่กำไรอย่างน้อยก็เท่าทุนยังดี”

เมื่ออสังหาริมทรัพย์หลายแปลงถูกโกงไปอย่างน่าโมโห มีหรือที่CEO แห่งติโมชุก อินดัสตรี ซึ่งมีผลประกอบการสูงติดอันดับโลกจะยอมถูกลูบคม “ฮาร์คิฟ ติโมชุก” จึงต้องมาทวงคืนจากผู้เป็น “พ่อบุญธรรม” ด้วยตัวเอง

หากรูปร่างน่าปรารถนาและแววตาที่ใช้เชิญชวนเพศตรงข้ามของลูกสาวพ่อบุญธรรม ก็ทำให้เขาอยากสั่งสอนสองพ่อลูกได้ตระหนักว่า... การฉกเอาทรัพย์สินคนอื่นไปเป็นของตนนั้นต้องชดใช้ทั้งต้นและดอกเบี้ยให้ครบถ้วน

“อภินรา” ไม่เคยระแวงใจในดวงตาสีเขียวอมฟ้าแสนเซ็กซี่คู่นั้นเลยสักครั้ง เขามีเสน่ห์ ดึงดูดใจจนทำให้โลกของเธอสั่นสะเทือน เขากำลังใช้เสน่ห์ทางกายล่อลวงให้เธอ “เผลอใจ” และคิดดอกเบี้ยอย่างหฤโหดด้วยการทำให้เธอ “เผลอตัว” แม้จะรู้แก่ใจว่ากำลังใช้หนี้ แต่ดอกเบี้ยแห่งปรารถนาที่เขาทวงจากเธอทุกค่ำคืนก็เริงร้อน วาบหวามน่าหลงใหล

เขากำลังทำสงครามบนเตียงกับลูกหนี้สาว ที่ไม่เคยใจดียอมให้ใครรีเควสได้อย่างเธอ ไม่ว่าจะ... ดับเบิ้ล ทริปเปิ้ลหรือนอนสต็อป เขาก็ไม่เคยเกี่ยงที่จะเก็บหนี้เลยสักวินาทีทั้งยังติดอกติดใจจนคิดแผนการเหนือชั้นเพื่อ “ตลบหลัง” ลูกหนี้สาว ด้วยการ... ทำให้เธออยู่บนเตียงของเขาตลอดไป

“ฉันไม่นิยมความสัมพันธ์แบบ วัน ไนท์ สแตนด์ หรอกค่ะ คุณคงมาหาผิดคนแล้ว”
เขาเงียบและจ้องหน้าเธอชั่วครู่ จากนั้นก็หัวเราะร่วนอย่างชอบใจ “เอลก้าที่รัก... แน่นอนว่าผมคิดกับคุณมากกว่าหนึ่งคืน อันที่จริงผมคิดทุกวินาทีด้วยซ้ำ แต่ถ้าพูดออกไปตรงๆกลัวว่าคุณจะรังเกียจ พานเกลียดขี้หน้าผมน่ะสิ”
อภินราทำตาโต มองค้อนเขาตาเขียวปัด ไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูดเปิดเผย ตรงเสียจนกลายเป็นแข็งทื่อเช่นนี้
“คนเหลือทน! คุณพูดมันออกมาแล้วต่างหาก”

Tags: ฮาร์คิฟ - อภินรา

ตอน: ตอนที่ 10 100%

รุ่งเช้าอภินราเดินลงมาชั้นล่างไวกว่าปกติ ใบหน้าอิดโรยเกิดจากการนอนไม่หลับทั้งคืน แววตาหม่นหมองและความสงสัยที่ชวนให้ขบคิดทั้งคืนนั้นทำให้เธอเริ่มทบทวนในคำพูดของผู้เป็นพ่อ

จิดาภาคือผู้หญิงที่จะเข้าพิธีวิวาห์กับอังเดรเมื่อสามปีที่แล้ว เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้วาเรียต้องจบชีวิตลงเช่นนั้น แล้วเป็นไปได้หรือที่เขาจะคบหากับผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุให้น้องสาวฆ่าตัวตาย?

เมื่อคำถามแรกเกิดขึ้น คำถามต่อไปอีกมากมายก็ตามมา หากเธอกลับไม่สามารถหาคำตอบได้เลยสักข้อ การเปิดอกพูดคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมาดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีเดียวที่จะคลายความคลางแคลงใจของเธอได้เร็วที่สุด

“ฮาร์คิฟ... ทำไมวันนี้ลุงมาแต่เช้าเลยฮะ” เสียงของซีโลดังขึ้นอย่างตื่นเต้นดีใจ ปล่อยมือผู้เป็นอาแล้ววิ่งไปหาคุณลุงที่ยืนเป็นสง่าอยู่ตรงประตูใหญ่ ลุงและหลานยังคงทักทายกันด้วยฟีสบั้พม์เช่นเคย

“ไปเรียนแต่เช้าเชียว กินข้าวรึยังครับ” ฮาร์คิฟถามด้วยความเอ็นดู เขายื่นมือไปขยี้ผมหลานชายพลางเหลือบมองอภินราที่ยืนนิ่งอยู่ไม่ไกล ใบหน้าอิดโรยแววตาเศร้าหมองของเธอทำให้สิ่งที่ตั้งใจมาเป็นอย่างดีแทบจะเลือนหายจนสิ้น

“ยังเลยฮะ ฮาร์คิฟมากินข้าวด้วยกันนะ” หากยังไม่ทันได้รับคำตอบเสียงของผู้เป็นอาก็แทรกขึ้นเสียก่อน

“กำลังคิดว่าจะโทรหาอยู่เลยค่ะ ฉันมีเรื่องบางอย่างอยากถามคุณ”

น้ำเสียงราบเรียบที่ได้ยินบ่งบอกถึงความห่างเหินยิ่งนัก หากฮาร์คิฟต้องสลัดความรู้สึกละเอียดอ่อนเหล่านั้นออกไปเพราะยังมีเรื่องสำคัญที่รอให้เขาจัดการอยู่ หากไม่อยากให้หลานชายต้องมารับรู้ในการกระทำเห็นแก่ตัวของผู้ใหญ่รู้ดีว่าไม่กี่นาทีต่อจากนี้อาจเกิดการปะทะคารมกันอย่างรุนแรง

“ดูเหมือนเราจะใจตรงกันนะเอลก้า” ฮาร์คิฟมองร่างน่าปรารถนาที่เดินใกล้เข้ามา สายตาและน้ำเสียงห่างเหินที่เธอมีให้ยังไม่อาจทำให้เขาละสายตาจากเรียวขาสวยที่พ้นจากกระโปรงตัวสั้น ชุดจากแบรนด์ระดับไฮเอ็นที่อยู่บนตัวเธอแล้วทำให้เขาร้อนฉ่าได้อย่างเหลือเชื่อ

เขายังมองเธอด้วยสายตาร้อนแรงและใช้คำพูดล่อลวงเช่นเคย หากตอนนี้ความสงสัยที่เกิดขึ้นมันมีมากเสียจนไม่ทำให้เกิดความหวั่นไหวใด เธอกวักมือเรียกซีโลให้เขาไปหาแล้วชี้แจงเช่นทุกวันที่ทำมา “วันนี้ซีโลทานข้าวคนเดียวไปก่อนนะจ๊ะ อามีเรื่องคุยกับคุณลุงสักหน่อย พอทานข้าวแล้วก็ให้พี่ขวัญกับคนรถไปส่งที่โรงเรียน ตอนเย็นอาจะไปรับซีโลเอง”

“เย็นนี้คุณไม่ต้องไปเดตกับหมอนั่นแล้วเหรอ?” ฮาร์คิฟพลั้งปากถาม แต่เธอไม่ตอบกลับมองมาด้วยความเฉยเมยราวกับว่าเขากำลังวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของเธอ

เธอยังปฏิบัติตัวกับซีโลด้วยความอ่อนโยน สั่งการจบแล้วก็ดึงตัวเข้ามาหอมแก้มสองข้าง ยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู แต่เพียงแค่ละสายตาจากหลานชายอากัปกิริยาอันดีงามอ่อนโยนนั้นก็เหือดหาย แห้งแล้งไม่หลงเหลือเผื่อแผ่มาให้เขาสักนิด ฮาร์คิฟเบ้ปากยอมเดินตามไปยังห้องรับแขกเมื่อเธอผายมือเชื้อเชิญและเดินนำหน้าอย่างเป็นทางการ ทั้งที่ความจริงแล้วอยากดึงเธอเข้ามากอด ระดมจูบไปทั่วร่าง


เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องรับแขกต่างฝ่ายต่างนั่งมองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ อภินรามีคำถามข้องใจมากมายแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วเธอกลับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นด้วยประโยคใด

“พ่อคุณไปไหน ผมมาตั้งนานแล้วไม่เห็น” ฮาร์คิฟเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา เขาคิดว่าอานันท์ควรจะอยู่ตรงนี้ รับฟังทุกอย่างที่ออกจากปากเขาพร้อมๆกัน หากเขาไม่ได้เรียกว่า ‘พ่อบุญธรรม’ เช่นเคยยิ่งทำให้อภินราเริ่มหวั่นใจมากขึ้น

“ปกติท่านจะทานอาหารเช้าข้างบนสักสายๆถึงจะลงมาค่ะ” นอกเสียจากว่าจะเรื่องสำคัญคุยกับเธอถึงจะลงมาทานอาหารเช้าด้วย หากไม่ได้อธิบายต่อเพราะคิดว่าเขาคงไม่ได้อยากรับรู้นัก “คุณ...”

ฮาร์คิฟยังจ้องมองเธอไม่กะพริบตา เขารอที่จะฟังคำถามของเธอ น้ำเสียงสั่นเครือและท่าทางหวาดหวั่นยิ่งทำให้เขาอยากดึงเธอมากอดปลอบประโลมจนต้องกำมือทั้งสองข้างเอาไว้แน่น

“ทั้งหมดเป็นแผนการของคุณอย่างนั้นเหรอคะ?” ถามออกไปทั้งที่ไม่รู้ว่ามันมีเรื่องใดบ้างที่เขาวางแผน ถามทั้งที่ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาหว่านเสน่ห์เพื่อล่อลวงอย่างนั้นหรือ แต่เธอเลือกใช้คำถามที่รวมเอาทุกอย่างไว้ทั้งหมดแล้ว

“ถ้าจะกรุณาขยายความให้ชัดเจนกว่านี้สักหน่อย”

สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงคือท่าทียียวนและคำพูดคำจาที่เธอต้องตีความอยู่เสมอ “คุณเข้ามาหาฉัน ทำดีกับฉัน จงใจหว่านเสน่ห์จริงๆรึเปล่า คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับอันธพาลสี่คนในวันที่ฉันยื่นซองประมูลงานจริงๆน่ะเหรอ เมื่อคืนฉันถามเรื่องจิดาภาทำไมไม่ตอบ ทำไมถึงได้ปิดเครื่องไปเสียดื้อๆ”

“แล้วถ้าผมถามกลับว่าวาเรียตายยังไง พวกคุณจะตอบยังไง” เมื่อเขาได้ยินคำถามสุดท้าย ฮาร์คิฟก็ไม่รีรอที่จะถามกลับทันที
“วาเรียยิงอังเดรแล้วก็ยิงตัวตายตาม ตำรวจสรุปออกมาอย่างนั้นและก็ปิดคดีนี้ไปแล้ว”

“แล้วพวกคุณได้เล่าให้มาร่าฟังบ้างไหมว่าทำไมอังเดรคิดจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น จนวาเรียทนไม่ได้ต้องหาทางออกด้วยวิธีการคิดสั้นแบบนั้น” ฮาร์คิฟโต้กลับด้วยสิ่งที่ตนเพิ่งรู้เมื่อมาถึงประเทศไทย “คุณรู้ไหมเอลก้าว่ามาร่าน่าสงสารแค่ไหน ตอนวาเรียตายมาร่าร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด มาร่าบอกผมกับพ่อว่า วาเรียคิดสั้นจบชีวิตลงเพราะมีอาการของโรคซึมเศร้า หวาดระแวงหาเรื่องทะเลาะกับอังเดรไม่เว้นแต่ละวัน”

อภินรามึนงงไปหมดเพราะเธอเคยถามพ่อถึงเรื่องนี้ หลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีทางศาสนาของทั้งคู่ ท่านก็ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าเล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้มาร่าได้รับรู้ และไม่ได้ติดใจเรื่องใด

“สามปีนะเอลก้า สามปีที่ผมไม่เคยรู้เลยว่าอังเดรมันคิดไม่ซื่อกับน้องสาว สามปีที่วาเรียตายและพวกคุณยังโยนบาปให้เธอรับผิดชอบเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้น ถ้าผมไม่มากรุงเทพด้วยตัวเองผมจะมีโอกาสรู้ไหมว่าความหวาดระแวงที่เกิดขึ้นกับวาเรียมันมาจากสาเหตุที่อังเดรนอกใจจนถึงขั้นจะแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น”

“แปลว่าที่คุณเข้ามาหาพวกเราเพราะติดใจเรื่องนี้” อภินราถามออกไปราวกับละเมอ ถึงแม้ว่าคำพูดของเขากับการกระทำของพ่อจะเป็นคนละเรื่องกัน แต่การที่เขาไม่ได้ปฏิเสธคำถามเธอสักข้อ นั่นก็ชี้ให้เห็นว่าเธอเข้าใจไม่ผิดเลยสักนิด

“ผมไม่เคยติดใจ แต่ ผมแค้นใจ” ฮาร์คิฟแก้คำพูดให้ตรงกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันจนคนฟังรับรู้ได้ถึงความแค้นนั้นเป็นอย่างดี

“แล้วทำไมไม่ถามตรงๆ ทำเรื่องน่าละอายแบบนั้นได้ยังไง คุณหลอกฉันทำไม” อภินราตวาดถามด้วยความโมโหระคนเสียใจ
“กับคนขี้โกง จ้องจะฮุบแต่สมบัติคนอื่นมาเป็นของตัวเอง จะกล้ายอมรับความผิดได้ยังไง คุณกล้ายอมรับเหรอว่าเอาสมบัติของวาเรียไปหมดแล้วทุกชิ้น”

ข้อกล่าวหาร้ายแรงที่ได้ยินทำให้เธอลุกขึ้นมองเขาด้วยสายตาปวดร้าว แต่เขาก็เลือกที่จะเบือนหน้าหนีแววตาเจ็บปวดนั้น

“เอาอะไรมาพูด ฉันกับพ่อทำงานอย่างหนัก ไม่ได้นั่งงอมืองอเท้าขอขายสมบัติกิน พวกเราจะไปฮุบสมบัติอะไรของวาเรีย มีแต่คิดว่าจะเก็บเอาไว้ให้ซีโล อย่ามาใส่ความกันนะคนเลว” อภินราตวาดกลับออกไปด้วยแรงโทสะอันเดือดพล่านไม่แพ้กัน

ฮาร์คิฟส่ายหน้าไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน “เฮอะ!... นับตั้งแต่วาเรียตายจนถึงวันนี้ เคยนับดูบ้างไหมว่าพวกคุณเอาที่ดินของวาเรียไปสร้างคอนโดฯขายกี่แปลงแล้ว ถ้าคิดจะเก็บไว้ให้ซีโลจริงทำไมถึงไม่ปล่อยเช่าเพื่อทำรายได้ ทำไมถึงได้ขายสิทธิ์ขาดไปอย่างนั้น”

อภินราไม่สามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้ สมองของเธอกำลังประมวลผลถึงการกระทำที่ผ่านมาของผู้เป็นพ่อ เธอไม่เคยรู้หรอกว่าที่ดินแต่ละแปลงแต่ละไร่นั้นท่านได้มาอย่างไร เพราะทุกครั้งที่ขึ้นโครงการใหม่ท่านก็จะเป็นคนกำหนดว่าจะก่อสร้างบนที่ดินผืนใด ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือ ที่ดินเหล่านั้นท่านซื้อมาด้วยเงินจากธุรกิจที่ทำอยู่

จริงสินะ! ที่ดินในย่านบางใหญ่ที่กำลังเร่งสร้างคอนโดมิเนียมราคาแพงอยู่นี้ เธอก็เคยถามท่านด้วยความแปลกใจเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าท่านจะมีที่ดินแปลงงามอยู่ในมือ ซึ่งท่านก็ตอบให้เข้าใจว่ามันเป็นที่ดินที่ซื้อเก็บไว้นานแล้ว

ฮาร์คิฟเกือบกระโจนเข้าไปคว้าร่างของคนที่เข่าอ่อนทรุดตัวลงไปนั่งบนโซฟา เขาถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่เพราะเธอไม่รู้จักระมัดระวังเอาเสียเลย หากไม่มีโซฟาอยู่ด้านหลังคงได้ทรุดลงไปกองกับพื้นให้เจ็บตัวกันบ้าง “ที่เงียบนี่เพราะเถียงไม่ออก จำนนต่อความผิดที่ก่อเอาไว้ใช่ไหม”

หากเธอจะบอกเขาไปว่าไม่เคยรู้เรื่องที่ผู้เป็นพ่อทำมาก่อน ก็ดูจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อนัก อีกทั้งยังไม่ได้ไถ่ถามจากท่านให้รู้ถึงข้อเท็จจริง หากด่วนสรุปก็คงไม่เป็นการยุติธรรมนัก

“หวังว่าการตัดสินใจของมิสเตอร์ลินเนอุส คงไม่เกี่ยวกับคุณหรอกนะ”

“ไม่เอาน่า... เอลก้า คุณรู้ดีแก่ใจแล้วนี่ จะถามอีกทำไม”

อภินราแทบสิ้นสติเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น หากเสียงร้องขอผู้เป็นพ่อที่ดังขึ้นมาอย่างคนเหลืออดทำให้บทสนทนาชะงักงันให้ไปมองยังร่างที่นั่งอยู่บนรถเข็น ตะโกนร้องออกมาราวกับคนสติแตกกระเจิง

“อ้าก... ไอ้คนชั่ว ฉันจะฆ่าแก... ขอจองเวรกับแกตลอดไป...” อานันท์ตะเบ็งเสียงออกมาด้วยความเหลืออด เมื่อได้ยินบทสนทนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้อง หากสิ้นเสียงเขากลับไร้ความรู้สึกใดๆ

“คุณพ่อ... คุณพ่ออย่าเป็นอะไรนะคะ” อภินราวิ่งเข้าไปหาร่างของผู้เป็นพ่อที่หมดสติ คอพับอยู่บนรถเข็น “คุณพ่อ! ไม่นะ ช่วยด้วย ใครอยู่แถวนี้มาช่วยฉันที...”

ฮาร์คิฟตกใจไม่น้อยกับภาพที่เห็น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลอย่างอานันท์จะล้มพับไปอย่างง่ายดายเพียงนี้
“ถอยไปไกลๆนะ อย่ามายุ่ง!” อภินราตวาดสุดเสียง เมื่อเห็นเขาทำท่าจะเข้ามาพยุงพ่อของตน ตอนนี้เธอไม่ต้องการเห็นหน้าผู้ชายคนนี้อีกต่อไป

ฮาร์คิฟมองร่างไร้สติของอานันท์ที่ถูกคนในบ้านหามไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องรับแขก ทุกคนในบ้านกรูเข้าไปดูอาการของอานันท์ เหลือไว้เพียงเขาคนเดียวที่ยืนนิ่งบอกไม่ถูกว่าดีใจหรือสะใจที่ได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ แต่เขาเกลียดสายตาเคียดแค้นที่เธอมีให้ เขาไม่อยากเห็นแววตาเจ็บช้ำที่มองอย่างร้าวราน น้ำตาที่ได้เห็นเมื่อครู่มันบีบคั้นหัวใจเขาจนแทบหายใจไม่ออก

ทำไมเขาถึงรับรู้ได้แต่ความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้น ทำไมเขาไม่ดีใจ สะใจ ที่ได้เห็นความปั่นป่วนของคนตระกูลวรโชติอย่างที่เคยคิดเอาไว้!

ในระหว่างที่ทุกคนยังอลหม่านอยู่กับประมุขของบ้าน เขากลับต้องถอยหลังทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเดิม รอคอยที่จะได้เห็นหน้าเธออีกครั้ง แม้ว่าสายตาที่มีให้จะไม่เหมือนเดิม


อภินรารีบเดินเข้าไปนั่งข้างเตียง มือเรียวจ่อยาดมเข้าใกล้จมูกเพื่อปฐมพยาบาลเบื้องต้นในระหว่างที่หมอกำลังเดินทาง มืออีกข้างก็บีบนวดฝ่ามือเรื่อยไปยังแขนของท่านอย่างเป็นจังหวะ ไม่ถึงสิบนาทีท่านก็ค่อยๆขยับตัวแล้วลืมตาตามลำดับ

“คุณพ่อ คุณพ่อฟื้นแล้วเหรอคะ” อภินราชะโงกหน้าเข้าไปถามด้วยความดีใจ

“มีลูกหลานไม่เชื่อฟังคำสั่งแบบแก ฉันคงอยู่ต่อไปอีกไม่นานหรอก” อานันท์พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวทั้งยังหันหน้าหนีจากลูกสาวไปอีกทาง

“หนูขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ แต่...”

“ไม่ต้องมาแก้ตัว ออกไปให้พ้นๆ ออกไปให้หมดทุกคน ฉันอยากอยู่คนเดียว”

เธออาจจะผิดเรื่องที่เผลอใจให้เขาเต็มเปา ไม่เชื่อฟังคำเตือนของท่านแต่ก็ยังอยากรู้จากปากท่านว่าสิ่งที่เขาพูด ในเรื่องวาเรียและทรัพย์สินนั้นเป็นเช่นที่เขากล่าวหาหรือไม่

“หนูแค่อยากรู้เรื่องทรัพย์สินของวาเรีย พ่อเก็บไว้ให้ซีโลหรือเอามันไปสร้างคอนโดฯขายไปแล้ว” อภินราไม่คิดจะอ้อมค้อมอีกต่อไป หากคำตอบของพ่อทำให้เธอต้องคิดหนัก

“ที่ฉันทำงานหนักทุกวันนี้ก็เพื่อแกเพื่อซีโล ทำไมแกถึงกล้าดีใช้คำถามนี้กับฉัน ไอ้ฮาร์คิฟมันแค้นใจเรื่องวาเรีย แล้วแกเคยคิดถึงหัวอกพ่ออย่างฉันบ้างไหม ฉันก็เป็นคนที่สูญเสียลูกไปเหมือนกัน”

เรื่องนั้นเธอรู้ดีและเสียใจไปไม่น้อยกว่าท่าน หากไม่ทันได้ซักถามอะไรต่อแม่บ้านก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ของคุณหมอ “คุณหมอมาแล้วค่ะ”

อภินราลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่ตั้งไว้ข้างเตียงเพื่อหลีกทางให้หมอประจำตัวได้ตรวจอาการของท่านโดยสะดวก

“ออกไป ฉันบอกให้ออกไปให้หมด” อานันท์ยังตวาดดุ หอบหายใจจนคุณหมอต้องหันมาขอร้องอีกครั้ง ด้วยตรวจรักษากันมาหลายปีจึงพอรู้นิสัยของคนไข้ในความดูแลอยู่บ้างว่าค่อนข้างจะเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้งแลไม่ชอบให้ใครมาขัดคำสั่ง


อภินราจำใจเดินออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกย่ำแย่เป็นที่สุด เหมือนว่าตนเป็นต้นเหตุทำให้พ่อต้องล้มป่วยทั้งที่ท่านก็ไม่ได้แข็งแรงสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่แล้ว หากต้องชะงักการก้าวเดินเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่กลางห้องโถง

“จะเอาอะไรจากพวกเราอีก เท่าที่เห็นอยู่นี่ยังไม่สะใจอีกหรือไง” อภินราถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นคงนักทว่าแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาด จนคนฟังอดใจหายไม่ได้ หากบอกตัวเองว่าเรื่องนี้ครอบครัวของเขาไม่ผิด แต่กลับต้องมีตราบาปติดตามมาตลอดสามปี

“พูดอย่างกับว่าผมเป็นคนฮุบสมบัติพวกคุณไปนะ ทั้งที่ความจริงแล้วพวกคุณปล้นได้แม้กระทั่งของที่ควรเป็นของซีโลยังกล้ามาถามว่าผมจะเอาอะไรจากคุณอีก” หากต้องสะท้อนใจกับอากัปกิริยาที่เธอแสดงให้เห็น

อภินรายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดตาเพราะกระบอกตาเธอร้าวไปหมด ดูท่าว่าสิ่งที่เขาประณามนั้นจะเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้เธอขอเวลาให้พ่ออาการดีขึ้น และที่สำคัญเธอยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับผู้ชายหลอกลวงคนนี้ “กลับไปก่อนได้ไหม รอให้ท่านใจเย็นกว่านี้ก่อนแล้วฉันจะคุยกับท่านให้รู้เรื่อง”

“หึ! จะให้ผมเชื่อว่าคุณไม่รู้ไม่เห็นเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น”

“ไม่บังอาจหรอกค่ะ แค่ได้รู้ว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรามันเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ ฉันก็พอจะรู้แล้วว่าความแค้นใจของคุณมันมากมายจนทุกอย่างในครอบครัวฉันติดลบไปหมด ฉันแค่ขอเวลา...” ข่มใจพูดกับเขาอย่างร้องขอ แต่เขายังไม่ยอมให้เธอพูดจนจบประโยคด้วยซ้ำ

“มันนานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่พวกคุณต้องชดใช้” ฮาร์คิฟตอบอย่างไม่ผ่อนปรน

“ทำไมถึงได้ใจร้ายนัก ฉันขอแค่เวลาอีกไม่นานเท่านั้น คุณก็เห็นแล้วว่าคุณพ่อฉันเป็นลม นอนอยู่ข้างใน” อภินราขึ้นเสียง เริ่มหงุดหงิดใจเมื่อเขาไม่ยอมเหลือทางไว้ให้เดิน

“ทำไมต้องหงุดหงิดใจขนาดนั้นด้วย ทีผมถามว่าวาเรียยิงตัวตายหรืออังเดรยิงวาเรีย คุณยังโยกโย้” ฮาร์คิฟถามกลับในสิ่งที่ตนข้องใจมาตลอด

“ฉันไม่ได้โยกโย้ แต่ตำรวจสรุปคดีออกมาแล้วว่าวาเรียบันดาลโทสะพลั้งมือยิงอังเดร แล้วก็ยิงตัวเอง”

“ผมรู้แค่ว่าวาเรียทำเรื่องร้ายๆแบบนั้นเพราะอังเดรมันคิดไม่ซื่อ ลองคิดดูนะเอลก้า สมบัติของติโมชุกที่ครอบครัวคุณฮุบไปครองมันมหาศาลแค่ไหน”

อภินราหัวเราะพรืด เมินหน้าหนีจากคนที่กำลังก้าวเข้ามาหา “ถ้าคุณต้องการสมบัติของวาเรียที่พวกเราตั้งใจเก็บไว้ให้ซีโล ก็พูดมาตรงๆได้นี่คะ ทำไมต้องเข้ามาปั่นป่วน สร้างความเดือดร้อนแบบนี้ด้วย”

“คำพูดคนตระกูลวรโชตินี่สวยหรูจริงๆนะ ดูเป็นคนดีจนคนอื่นเลวได้ถนัดตา” ฮาร์คิฟพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแสแสร้งอีกต่อไป สองพ่อลูกตระกูลวรโชติต้องชดใช้ในสิ่งที่เขาสูญเสียอย่างสาสม

“ฉันเลี้ยงดูซีโลด้วยเงินของตัวเองทุกบาททุกสตางค์ เลี้ยงเพราะเขาคือหลานชาย ไม่เคยคิดว่าเลี้ยงเขาเพราะหวังสมบัติพัสถานอะไร แล้วฉันก็ไม่รู้ว่าคุณโกรธแค้นเราเรื่องอะไร ต่อให้คุณเดินเอาปืนมายิงฉันให้ตายตามวาเรียไป ฉันยังไม่เสียความรู้สึกเท่านี้”
“มันก็ไม่ต่างจากที่พวกคุณทำหรอก ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น พอเจอกับตัวเองเข้าหน่อยทำเป็นเจ็บปวด มาร่าต้องทนทรมานคิดถึงลูกหลานตั้งสามปี ยังไม่มีใครสนใจจะไปดูดำดูดี” จริงอยู่ว่าดวงตากลมโตของเธอที่มองเขาอย่างผิดหวังทำให้เกือบใจอ่อน แต่เมื่อคิดถึงสภาพจิตใจอันย่ำแย่ของมาร่าแล้ว ฮาร์คิฟก็สลัดความรู้สึกต่อเธอออกไปได้อย่างรวดเร็ว “ผมให้เวลาพวกคุณสนุกมามากพอแล้ว ถึงเวลาผมเอาคืนอย่าโอดครวญนักเลย”

อภินรากัดริมฝีปากล่างจนเจ็บร้าว หากไม่อยากโต้เถียงกับเขาไปมากกว่านี้เพราะรู้ดีว่าต่างฝ่ายต่างกำลังร้อนเป็นไฟ อีกทั้งยังอยากไถ่ถามกับผู้เป็นพ่อให้แน่ชัดว่าสิ่งที่รู้มากับสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ จึงหมุนตัวกลับเข้าไปหาท่านอีกครั้ง หากถูกท่อนแขนแข็งแรงรวบเข้าที่เอวคอดกิ่วจากด้านหลัง

“ปล่อยนะ!”

“รู้ความผิดแล้วคิดจะหนีหรือไง” ฮาร์คิฟออกแรงยกร่างอรชนเพียงเล็กน้อย ปลายเท้าก็ลอยหวือเหนือพื้น “อยู่ชดใช้ความผิดให้ผมคลายความโกรธก่อนสิคนสวย”

อภินราย่นคอพลางเบี่ยงหน้าหนีจากคนที่เข้าประชิดตัวอย่างสนิทชิดเชื้อ น้ำเสียงยั่วเย้าที่ดังขึ้นข้างหูทำให้เธอขนลุกทั่วสรรพางกาย “ไม่ได้หนี ฉันจะไปถามพ่อให้รู้เรื่องว่าไปเอาสมบัติอะไรของพวกคุณมากันแน่ แต่ถ้าฉันมีหลักฐานมายืนยันว่าคุณเข้าใจผิด ก็อย่าลืมชดใช้ให้ความรู้สึกดีๆที่ฉันสูญเสียไปด้วยล่ะ”

ฮาร์คิฟระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงผนังห้องและพลิกร่างเธอให้หันมาเผชิญหน้า ใช้ผนังห้องอย่างเป็นประโยชน์จนได้มองใบหน้างดงามที่แดงก่ำด้วยความโกรธ ทั้งยังมั่นใจว่าคนที่อยู่ในห้องต้องได้ยินบทสนทนานี้อย่างชัดเจน
“อู๊ว... คนสวยนี่เวลาโกรธยิ่งสวยสินะ รู้อะไรไหมเอลก้า คุณทำให้ผมนึกถึงผู้หญิงตอนที่มีเซ็กซ์กัน พวกเธอจะตัวแดงก่ำ ผิวสวยน่ามองเหมือนผิวคุณตอนนี้ล่ะ”

“จำเป็นต้องหยาบคายกับฉันแบบนี้ด้วยเหรอคนเลว แล้วคุณต้องเสียใจที่ทำกับฉันแบบนี้ คุณต้องชดใช้ความรู้สึกดีๆที่ฉันเสียไป” อภินราโต้กลับอย่าไม่ยอมเช่นกัน

“พนันกันไหมว่าคนที่ต้องชดใช้คือคุณ”

“ไม่” ตวาดดุทั้งถลึงตาใส่ เพราะดิ้นรนเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เขาจัดการตรึงข้อมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะ จงใจเบียดเนื้อตัวอันอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรงเข้าหาโดยไม่เกรงใจ

“ขี้โกงแถมยังขี้ขลาดอีกด้วย” ฮาร์คิฟบอกพลางขยิบตาใส่อย่างยั่วเย้า “ฮุบสมบัติผมไปจนหมดตัวก็รับเลี้ยงผมด้วยแล้วกัน ผมไม่มูมมามแต่จะค่อยๆละเลียดไปเรื่อยๆ อาจจะใช้เวลานานหน่อยกว่าจะอิ่มแล้วปล่อยคุณลงจากเตียง แต่ก็นั่นแหละ รับรองว่าสนุกกว่าทุกครั้งที่คุณเคยมา และ... ความสนุกนั่นเป็นแค่ดอกเบี้ย”

“จะมากไปแล้วนะฮาร์คิฟ!”

“คุณก็ชอบความมักมากของผมนี่จ๊ะ ตาคุณมันฟ้องว่าอยากได้ผมเหมือนกันนั่นแหละเอลก้า”

“แล้วคุณจะต้องเสียใจที่ทำกับฉันแบบนี้” อภินราตวาดออกมาอย่างเหลืออด ทั้งโมโหทั้งโกรธตัวเองที่เผลอมีใจให้กับคนอวดดีอย่างเขา หากความหงุดหงิดใจที่เธอแสดงออกมากลับทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิดแปลกจากที่ควรจะเป็น เธอเหมือนนางมารเจ้าอารมณ์ที่เขาเห็นว่าเซ็กซี่ขาดใจ

“เสียใจจริงๆ แต่เสียใจที่ปล่อยให้พวกคุณทำเรื่องร้ายๆอยู่นาน ผมน่าจะมัดคุณไว้บนเตียงตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน” พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ หากสายตาคมกริบที่กวาดมองอย่างไม่เกรงใจ ทำให้อภินรารู้สึกอับอายเหมือนเปลือยเปล่าทั้งที่ยังสวมเสื้อผ้าครบถ้วน “ถึงคราวชดใช้ก็อย่าบ่นมากนักนางมารน้อย คุณล้วงเงินผมไปจนเกลี้ยง ผมก็จะล้วงคุณให้ทั่วทุกซอกทุกมุมเหมือนกัน ผมจะเอาคืน เอาให้ถึงใจแบบที่ผมชอบนั่นแหละ”


“คุณกลายเป็นคนแบบนี้ได้ยังไง ต้องการอะไรจากฉันกันแน่” อภินราแทบสติแตกกับคำข่มขู่นั้น

“ผมจะพาซีโลกลับยูเครน”

“ไม่ได้นะ ฉันไม่ยอมให้คุณพรากซีโลไปแน่ ฉันเลี้ยงของฉันมา อยู่ๆคุณจะมาแย่งเขาไปไม่ได้” เมื่อเห็นเขานิ่งเงียบเช่นเดิม อภินราจึงต่อรองอีกครั้ง “ฉันจะทำทุกอย่างที่คุณต้องการ จะคืนทุกสิ่งที่คุณเรียกร้อง แต่ขอแค่ซีโลได้ไหม”

“ผมพูดไปชัดเจนแล้วเอลก้า แค่ทำตามและไม่มีข้อต่อรอง”

น้ำเสียงหนักแน่น เฉียบขาดเขาทำให้อภินราอ้าปากค้าง จากที่คิดว่าจะไม่ร้องไห้ให้เขาเห็นเด็ดขาด น้ำตากลับไหลลงมาอย่างไม่สามารถห้ามมันได้เลย “ทำไมถึงได้ใจ...ร้ายแบบนี้!”

ให้นรกสูบเขาจมธรณีด้วยเถอะ! ทำไมถึงได้อึดอัดจนหายใจไม่ออกเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงสั่นเครือที่ได้ยินแผ่วเบาจนปลายประโยคแทบหายเข้าไปในลำคอ แต่ฮาร์คิฟก็บอกตัวเองว่าไม่มีเวลาอีกแล้ว เขาต้องพาซีโลกับยูเครนให้เร็วที่สุด เพราะมันอาจจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ซีโลมีโอกาสได้เห็นหน้ายาย

หากความเงียบงันที่เข้าครอบคลุมชั่วขณะทำให้ทั้งคู่จ้องมองกันนิ่ง ต่างฝ่ายต่างมองกันอย่างค้นคว้า อีกคนหาความจริงใจ แต่อีกคนกลับเกิดคำถามขึ้นมาว่าความเจ็บปวดที่ได้เห็นมันคือเรื่องจริงหรือเธอแค่แสดงละครตบตา หลอกให้เขาตายใจ จนไม่รู้ตัวว่ามีบุคคลที่สามก้าวเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์ด้วย

“เกิดอะไรขึ้น คุณร้องไห้ทำไมเอลก้า” ตฤณเดินเข้ามาประคองว่าที่เจ้าสาว ไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง หากอภินราเบี่ยงตัวออกจากการเกาะกุม เดินเข้าไปเผชิญหน้ากับฮาร์คิฟด้วยใบหน้าแววตามุ่งมั่น จริงจัง

“ฉันยอมทำตามทุกเรื่องยกเว้นเรื่องของซีโล ถ้าคุณอยากได้ซีโลไปดูแลก็ทำให้ถูกกฎหมาย หัวเด็ดตีนขาดฉันก็ไม่ยอมยกซีโลให้หรือถ้าจะแย่งไปให้ได้ ก็ฆ่าฉันให้ตายเสียก่อน!”

ฮาร์คิฟนิ่งงันไปชั่วอึดใจ ความเด็ดเดี่ยวที่เพิ่งเคยได้เห็นทำให้เขาใจแกร่งของเขากระตุกวาบ แต่เสียงของอานันท์ที่ตะโกนลอดออกมาจากห้อง ก็ทำให้ความโกรธของเขาคุกรุ่นขึ้นมาอีกครั้ง

“ออกไปจากบ้านของฉัน แกไม่มีวันได้อะไรสักอย่าง ทุกอย่างมันเป็นของๆฉัน แกนั่นแหละไสหัวออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้... ออกไป... ออกไป!”

สิ้นเสียงอาละวาดนั้นเสียงคุณหมอก็ดังขึ้น ทั้งห้ามทั้งเตือนให้ท่านใจเย็น

“พ่อคุณประกาศสงครามกับผมเองนะ คุณจะมาหาว่าผมใจร้ายไม่ได้” ฮาร์คิฟพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกจนคนฟังเข่าอ่อน เขาโกรธที่อานันท์ยังไม่ยอมรับความผิด ยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นเธออยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนอื่น

อภินรามองเขาด้วยความรวดร้าวใจ หากตฤณไม่เข้ามาประคอง เธอคงต้องล้มทั้งยืนกับคำพูดไร้หัวใจนั้น เขาเดินจากไปโดยไม่เห็นกลับมามอง คำขอร้องของเธอยังไม่เกิดประโยชน์ นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าความรู้สึกอ่อนโยน คำพูดหวานหูที่เขาใช้หว่านล้อม มันเป็นเพียงหลุมพรางที่สร้างขึ้นเพื่อล่อลวงให้เธอตายใจ หาความจริงใจในการกระทำนั้นไม่ได้เลยสักนิด

ฮาร์คิฟก้าวขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่ด้านหน้าด้วยอารมณ์หลากหลาย คำพูดท้าทาย ไม่ยอมรับผิดในเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขาตัดสินใจจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยแผนการขั้นเด็ดขาด แม้ว่าวิธีการที่คิดไว้มันจะไร้อารยะธรรมสักหน่อยแต่ก็เหมาะสมกับคนมากเล่ห์ ขี้โกงอย่างอานันท์แล้ว

“จัดการตามแผนสำรอง จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในบ่ายวันนี้”

“ครับท่าน” แม้จะนิ่งอึ้งไปกับคำสั่งของเจ้านายชั่วครู่แต่รามานก็รับคำอย่างหนักแน่น ความต้องการของท่านมันทำได้ยากนักแต่เมื่อเทียบกับค่าตอบแทนและอิทธิพลอันล้นมือของติโมชุกแล้ว เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็ง่ายกว่าการพลิกผ่ามือ



ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ค. 2558, 11:20:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ค. 2558, 11:20:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1243





<< ตอนที่ 9 100%   ตอนที่ 11 50% >>
konhin 1 ก.ค. 2558, 13:21:41 น.
ว้าวววววววววว เด็กหน่ะอยู่ตรงกลาง ยังไงก็ต้องสงสารเด็กน้าาาาาาาาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account