ในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
เรื่องราวการเดินทางเพื่อเยียวยาหัวใจ ของผู้หญิงที่ดื้อรั้นและพยศกว่าม้าป่า รักอิสระกว่าอินทรี และเปราะบาง...กว่าตุ๊กตาแก้ว...
หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ
หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ
หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ
หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ
หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
Tags: ภูฏาน มังกรสายฟ้า การเดินทาง ความรัก ศัลยแพทย์
ตอน: Dragon's nest
เรื่องราวการเดินทางเพื่อเยียวยาหัวใจ ของผู้หญิงที่ดื้อรั้นและพยศกว่าม้าป่า รักอิสระกว่าอินทรี และเปราะบาง...กว่าตุ๊กตาแก้ว...
หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ
หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ
หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
----
หลังผ่านเส้นทางบนเทือกเขาสลับซับซ้อน คณะเดินทางก็มาถึงเมืองหลวงของประเทศ ทุกคนตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเนมาหันมาพูดเมื่อผ่านสี่แยกซึ่งมีป้อมตำรวจจราจรอยู่ตรงกลาง
“ที่นี่เราไม่มีสัญญาณไฟจราจรนะครับ เคยมีบริษัทญี่ปุ่นเสนอจะนำสัญญาณไฟมาติดให้ แต่ชาวเมืองเราปฏิเสธ” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ที่ทิมพูเรามีแค่ถนนเล็ก ๆ ไม่กี่สาย จราจรในป้อมเรายังสามารถดูแลการจราจรได้ดีอยู่ครับ”
อรรัมภาและอัญญารีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพป้อมจราจรที่อยู่กลางแยก ตัวป้อมเป็นศาลาวงกลมไม่ใหญ่นัก วาดลวดลายและสีสันตามแบบศิลปะพื้นบ้านำให้ดูมีเสน่ห์น่ามอง
“ถนนเส้นนี้เป็นไฮเวย์สายหลักที่รัฐบาลเพิ่งสร้างขึ้นไม่นานเพื่อเชื่อมต่อกับเมืองรอบข้าง ถนนจึงค่อนข้างดีไม่ขรุขระ” เนมาอธิบายต่อ “เดี๋ยวเราจะเข้าไปที่ทาชิโชซองก่อนนะครับ บางคนเรียกว่าทิมพูซอง หัวใจแห่งทิมพู ที่นั่นเป็นศูนย์กลางการปกครองหลักทั้งทางการเมืองและศาสนา”
“Dragon’s nest” อัญญาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ทำให้ทาชิทั่งนั่งข้าง ๆ หันมาเลิกคิ้วมอง
หญิงสาวแลบลิ้นแตะริมฝีปาก พยายามหาคำอธิบาย “คือ...อัญแค่รู้สึกว่าพวกคุณมีถ้ำเสือคือทักซังที่เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของศาสนา ดังนั้นทาชิโชซองที่เป็นศูนย์กลางการปกครองก็น่าจะเป็นรังมังกร จะได้ฟังเข้ากัน”
คนฟังหัวเราะ พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “คุณคิดได้ดี...ผมชอบนะ dragon’s nest”
รถตู้ของคณะแล่นเข้ามาจอดที่ลานข้างทาชิโชซอง เนมาลงมาเปิดประตูให้คณะก้าวลงไป สุนัขหลายตัววิ่งเข้ามากระดิกหางทักทายราวจะต้อนรับผู้มาเยือน
“เห็นเขาว่าที่พาโรกับทิมพูมีสุนัขจรเยอะมาก”
“น่าจะจริงนะคะ กับระเบิดเต็มเลย” คุณนิภาเมื่อเดินไปบนทางเท้าที่มีมูลสุนัขกองอยู่เป็นระยะ “เดินระวังนะคะ”
สองสาวอย่างอรรัมภาและอัญญาต้องใช้ความระวังเป็นพิเศษ เพราะเดินไปถ่ายรูปไป รู้ตัวอีกทีรองเท้าก็เฉียดกับระเบิดไปนิดเดียวอย่างน่าหวั่นใจ
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”
สนามข้างทาชิโชซองปลูกเป็นแนวกุหลาบหลากสีออกดอกโตสวยตัดกับความงามสง่าเคร่งขรึมของอาคารสี่เหลี่ยมสีขาวตระหง่านและตามแบบป้อมปราการที่กว้างใหญ่
เนมาชี้ให้ดูว่าฝั่งซ้ายของซองเป็นส่วนของการปกครอง ส่วนฝั่งขวาเป็นของศาสนจักร หากมีปัญหาที่ตกลงไม่ได้ ทางฝ่ายการเมืองสามารถจะเข้ามาปรึกษากับฝ่ายศาสนจักรได้ ภายใต้คำแนะนำและการตัดสินจากกษัตริย์และองค์สังฆราชา
“ที่นี่สร้างขึ้นเมื่อปี 1216 เคยถูกไฟไฟม้ไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน แล้วบูรณะกลับมาเมื่อย้ายเมืองหลวงมาที่ทิมพู ลักษณะรอบด้านยังคงรูปแบบของซองคือป้อมปราการณ์เหมือนที่เมืองอื่น ๆ ซึ่งมักจะสร้างอยู่บนเขาเพื่อจุดประสงค์ 3 อย่างคือด้านการเมืองการปกครอง ด้านศาสนา และการป้องกันประเทศ” คำอธิบายบอกชัดว่าการเมืองและศาสนาในภูฏานนั้นมีความสัมพันธ์กันมาจนแทบแยกไม่ออก
“แต่ตอนนี้เมื่อยุคแห่งสงครามสิ้นสุดลง ป้อมส่วนใหญ่จึงคงอยู่ด้วยจุดประสงค์ 2 ประการ คือการเมืองการปกครอง และด้านศาสนา”
เนมาพาทุกคนเดินเลียบทางเท้าด้านหน้าซองไปทางปีกขวาของป้อมปราการซึ่งเป็นส่วนของศาสนจักร เขาพาคณะเดินขึ้นบันไดไปด้านบนซึ่งมีเจ้าหน้าที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างเครื่องตรวจสัมภาระ
“เอากล้องและโทรศัพท์ใส่ไว้ในถาดนะครับ”
อรรัมภาและอัญญาส่งกล้องที่ห้อยคอให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินตามทุกคนผ่านเครื่องตรวจอาวุธเข้าไปด้านใน เจ้าหน้าที่จึงส่งกล้องที่ผ่านเครื่องตรวจแล้วคืนให้
“เหมือนเดิมนะครับ ห้ามถ่ายภาพภายในอาคาร แต่ถ้าภายนอกถ่ายได้ครับ”
ไกด์หนุ่มเดินนำทุกคนขึ้นบันไดไปด้านบน ผนังด้านข้างมีภาพเขียนสีที่เขาบอกว่าเป็น god of power ถัดมามี god of wealth และ god of wisdom ซึ่งเนมาบอกว่าสามองค์มักจะปรากฏอยู่ร่วมกัน เป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญาบริสุทธิ์และความดีงาม
ขึ้นบันไดมาจนสุด ซ้ายมือเป็นลานโล่งกว้างที่คั่นตัวอาคารฝั่งซ้ายและขวา เนมาพาเดินเข้าไป ชี้ให้มองฝั่งซ้ายซึ่งเป็นฝ่ายปกครอง และฝั่งขวาเป็นของศาสนจักร ซึ่งเป็นอาคารสองชั้นสีขาวตระหง่าน แต่งระเบียงและหน้าต่างด้วยไม้สลักวาดลายเขียนสีอันเป็นเอกลักษณ์
“ที่นี่เป็นที่ประทับของพระสังฆราชด้วย แต่ตอนนี้พระองค์ไม่อยู่ เสด็จไปบำเพ็ญภาวนา” ชายหนุ่มบอกก่อนพาทุกคนก้าวขึ้นบันไดอาคารด้านซ้ายมืไปด้านบน กงล้อมนตราถูกติดไว้ทั้งด้านซ้ายและขวา คุณปรีชาเดินเข้าไปหมุนเบา ๆ ก่อนจะกลับมาสบทบกับทุกคน อัญญาหันไปมองเบื้องล่าง ยกกล้องขึ้นมากดบันทึกภาพไว้อย่างรวดเร็ว
เข้าไปภายในตัวอาคารเป็นห้องกว้างเรียงรายด้วยโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวเตี้ย ๆ ตั้งอยู่หน้าเบาะคล้ายที่นั่งประชุมงานเลี้ยงในภาพยนต์จีนยุคโบราณ
หน้าสุดเป็นแท่นสามแท่นตั้งอยู่หน้าต่อรูปจำลองสามองค์ แท่นหนึ่งวางภาพสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน แท่นหนึ่งวางภาพกษัตริย์รัชกาลก่อน และแท่นสุดท้ายคือภาพกษัตริย์องค์ปัจจุบัน
โต๊ะหน้าสุดตรงกลางซึ่งใกล้แท่นขององค์สังฆราชค่อนข้างใหญ่กว่าตัวอื่น ๆ “ที่นี่เป็นเหมือนที่เรียน คุณต้องเข้ามานั่งเรียนเริ่มจากมุมห้องตรงโน้น” เขาชี้ไปที่เบาะเล็ก ๆ รอบห้อง
“ถ้าคุณมาบ่อยคุณก็จะได้เลื่อนที่มาเรื่อย ๆ จนถึงโต๊ะตัวนี้แปลว่าคุณมาเรียนบ่อยที่สุด แล้วก็ย้อนกลับไปต่อแถวใหม่”
“อ้าว...สูงสุดคืนสู่สามัญเสียอย่างนั้น” คุณปรีชาหัวเราะ
“สมบัติผลัดกันชม อาสนะผลัดกันนั่งนะคะ” คุณพรรณีบอกอย่างคนที่ผ่านโลกมามาก
เนมาเดินนำไปที่หน้าองค์พระที่อยู่ซ้ายมือหลังแท่นประทับ ผายมือบอก “นี่คือ god of long life” ยกมือซ้ายขึ้นปิดจมูก แล้วโน้มศีรษะแตะลงที่ฐานองค์พระ
“เวลาเราสักการะ แสดงความเคารพสูงสุด เราจะใช้มือปิดจมูกแล้วกลั้นหายใจ โน้มศีรษะไปแตะแท่นบูชาแบบนี้นะครับ พวกคุณจะทำบ้างไหม...เราเชื่อว่าจะทำให้เรามีชีวิตที่ยาวนาน”
คุณปรีชาเริ่มก่อน ร่างสูงเดินเข้าไปถวายสักการะตามแบบที่เนมาทำ ขณะที่อัญญายกมือขึ้นไหว้ อธิษฐานในใจ ขอพรให้บิดามารดา
ทุกคนทยอยเข้าไปหมดแล้ว แต่อัญญายังยืนนิ่ง ทาชิและเนมาหันมามองหญิงสาวอย่างประหลาดใจ
“คุณไม่เข้าไปหรือครับ” ไกด์หนุ่มเอ่ยถาม
อัญญาส่ายหน้าเร็ว ๆ “ไม่ค่ะ...อัญไม่ต้องการชีวิตที่ยืนยาว”
เนมาเลิกคิ้วมอง “ทำไมล่ะครับ”
“ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยความทุกข์ทั้งนั้น...อัญไม่ต้องการอยู่บนโลกนานเกินไปค่ะ”
ทาชิหลุดหัวเราะขลุกขลักในคอ ขณะที่เนมายังมองหน้าอัญญาเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด แต่เมื่อไม่มีคำอธิบายต่อ ไกด์หนุ่มก็ได้แต่พยักหน้ารับ พาคณะเดินผ่านพร้อมทำความเคารพรูปจำลององค์กูรูรินโปเชที่ประดิษฐานอยู่ตรงกลาง
ไกด์หนุ่มหันมาเล่าประวัติองค์กูรุรินโปเชซึ่งเป็นเสมือนเทพที่เคารพบูชาของชาวภูฏาน พระรูปลักษณะต่างจากองค์พระพุทธ แต่ละม้ายบุรุษร่างใหญ่ท่าทางน่าเกรงขาม
“ตามตำนานของชาวภูฏาน กูรูรินโปเชถือกำเนิดจากดอกบัว เป็นลามะผู้ปูรากฐานพระพุทธศาสนาขึ้นในภูฏาน” เนมาอธิบายช้า ๆ “เราเชื่อว่าท่านมี 8 ปาง นี่เป็นปางหลัก ทำสำคัญมากมีอีกปางที่คุณจะได้เห็นบ่อย ๆ คือปางแห่งอำนาจ ซึ่งเชื่อว่าเป็นปางจำแลงเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย อีกปางที่ท่านขี่เสือขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาที่เขาทักซัง คุณจะได้เห็นเมื่อขึ้นไปที่ทักซัง”
พระรูปองค์สุดท้าย เป็นรูปคล้ายกูรูรินโปเช เป็นลามะที่เนมาเล่าว่า “นี่คือชับดรุงงาวังนำเกล ชับดรุงองค์แรกในทิเบต เดิมท่านเป็นเจ้าชายจากทิเบต เข้ามารวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ เข้าเป็นภูฏาน สร้างรากฐานศาสนาและคำสอนข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน”
ทั้งคณะโน้มตัวไหว้ทำความเคารพ ขณะที่เนมาและทาชิยืนมองอย่างพึงพอใจ
เมื่อออกมาจากโถงกลาง อรรัมภาสังเกตเห็นทหารนายหนึ่งแต่งกายด้วยชุดสีเขียวแปลกตากำลังเดินตรงไปที่เรือนหลังเล็กฝั่งตรงข้าม เธอชี้ให้เนมาดู
“นั่นใครเหรอคะ”
“อ๋อ...ทหารผู้เชิญธงครับ” ไกด์หนุ่มฉีกยิ้มกว้าง “เราโชคดี เดี๋ยวจะมีกองทหารมาเชิญธงลง”
เวลาราชการของที่นี่สิ้นสุดเมื่อห้าโมงเย็น เวลาเชิญธงลงจากเสาร์ก็เช่นกัน คณะใช้เวลาไม่นานในการรอคอย ขบวนทหารกว่ายี่สิบนายก็เดินแถวกันออกมาเพื่อเชิญธงลง เสียงดนตรีโยธวาธิตดังกึกก้อง อัญญาและอรรัมภารีบยกกล้องในมือขึ้นเก็บภาพด้วยความตื่นเต้น
“เหมือนที่บักกิ้งแฮมเลยนะคะ”
“ลองเข้าไปชวนคุยไหม จะนิ่งเหมือนทหารที่อังกฤษหรือเปล่านะ” อรรัมภาขยิบตาให้รุ่นน้องสาว หัวเราะให้กันอย่างร่าเริง
“พี่อรแกล้งเขา”
“อ้าว...น่าลองออก”
“ไม่ทันแล้วค่ะ...โน่นเดินเอาธงไปเก็บก็หายกันไปหมดละค่ะ” เธอชี้ให้ดูนายทหารที่แยกย้ายสลายกองไปอย่างรวดเร็วหลังเสร็จสิ้นภารกิจ
เมื่ออกจากซอง เนมาพาทุกคนเดินข้ามถนนไปที่ลานกว้างด้านหน้า มีต้นสนและไซปรัสปลูกสลับกับต้นไม้หลากชนิด ทหารนายหนึ่งยืนอยู่หน้าบันไดเล็ก ๆ ที่ทอดลงไปสู่เบื้องล่าง อัญญาเหลือบไปมองเห็นเขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ทาชิเดินมาข้างเธอ ผายมือให้มองลงไปข้างล่าง
บ้านไม้หลังหนึ่งไม่ได้ใหญ่โตมากสร้างอยู่ในดงไม้ หากไม่สังเกตคงแทบมองไม่เห็น
“พระราชวังของเรา”
“คะ...” อัญญาเลิกคิ้ว ชะโงกพยายามมองเข้าไปที่ปริเวณโดยรอบ “ไม่ใช่ที่ทาชิโชเหรอคะ”
“นั่นเป็นที่ทำงานครับ ที่ประทับอยู่ที่นี่”
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ เหลือบมองนายทหารที่อยู่หน้าบันไดทางลงอย่างสนใจ ทาชิยกมือไพล่หลัง เดินตามเธอไปช้า ๆ
“ดูเหมือนคิงของเราจะทรงประทับอย่างเรียบง่ายทั้งสององค์เลยนะคะ” เธอคลี่ยิ้มบอก
“คิงของคุณน่าชื่นชมมาก ผมได้ยินว่าท่านเป็นนักปกครอง นักคิดที่ยอดเยี่ยมมาก”
“ค่ะ...ท่านเป็นทั้งนักปกครอง นักคิด นักวิทยาศาสตร์ นักกีฬา นักดนตรี...ทรงพระปรีชาสามารถหลายด้านจนอัญคงบรรยายได้ไม่หมด”
“พี่โมซาติดภาพของท่านไว้ข้าง ๆ ภาพคิง...พี่บอกว่าผู้ชายคนนี้ควรแก่การเคารพ”
“ค่ะ...สำหรับอัญและประชาชนชาวไทย เราทั้งเคารพ ภักดี และบูชา” เธอบอกอย่างภาคภูมิใจ “ไม่ใช่เพราะท่านเป็นคิงหรอกนะคะ แต่เพราะเรารู้...รู้ว่าท่านทรงงานหนักมากมายเพื่อเรามาตลอด”
อัญญาอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้เมื่อคิดถึงพระราชวังสวนจิตรลดาที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนแพทย์ของเธอ “จะมีพระราชวังที่ไหน มีทั้งนาข้าว ทั้งฟาร์มเลี้ยงวัวอีกล่ะคะ แล้วจะมีพระราชาสักกี่พระองค์...ที่เสด็จไปทั่วทุกแห่งแม้ที่กันดารจนรถยนต์เข้าไม่ถึง ก็ยังเสด็จด้วยพระบาท เพียงเพื่อหาทางให้ประชาชนทั่วทั้งแผ่นดินของท่านเป็นสุข”
หญิงสาวหันกลับไปมองที่พระราชวังในเงาไม้อีกครั้ง “คิงจิกมีเคยเสด็จงานฉลองราชสมบัติครบ 60 ปีของพระองค์ด้วยนะคะ ตอนนั้นยังทรงเป็นเจ้าชายรัชทายาท สาวไทยกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ว่าท่านทรงมีพระจริยวัตรงดงามมาก”
“รวมถึงคุณด้วยหรือเปล่า” เขาเลิกคิ้วกึ่งล้อ
อัญญาหัวเราะ พยักหน้ายอมรับ “ค่ะ...อัญสนใจท่านเพราะเรารักและบูชาในสิ่งเดียวกัน ท่านเคยให้สัมภาษณ์ว่าทรงมีพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นแบบอย่าง อัญจึงเชื่อหมดหัวใจว่าท่านจะต้องเป็นกษัตริย์ที่ดีมาก ๆ พระองค์หนึ่ง อีกอย่าง...ท่านน่ารักนะคะ ที่น่ารักมาก ๆ ก็คงเป็น...” เธอยกนิ้วขึ้นแตะขมับ
“ความคิดค่ะ...ท่านเองก็ทรงคิด ทรงงานเพื่อประชาชนของท่าน”
“คุณรู้ไหม ท่านเคยประทานรับสั่งว่า...การรักชาติเป็นสิ่งสำคัญ แต่การรักอย่างชาญฉลาดก็เป็นความสำคัญอีกอย่างหนึ่ง” ทาชิหันมามองหน้าอัญญา “ในความรัก เราต้องการความใส่ใจ และความรับผิดชอบต่อสิ่งที่รัก...เราจึงไม่ได้บอกแค่ว่ารัก แต่เราทำหน้าที่ของเราด้วยความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน นั่นคือความรักชาติของเรา”
คนฟังคลี่ยิ้มบาง โคลงศีรษะลงเบา ๆ อย่างชื่นชม “อัญเชื่อแล้ว...คุณเป็นน้องของพี่โมซาจริง ๆ นั่นล่ะ”
ทั้งคู่เดินมาถึงรถที่จอดรออยู่พอดี ทาชิผายมือให้อัญญาขึ้นไปก่อนที่เขาจะตามขึ้นมานั่งข้าง ๆ
“ตอนพี่โมซาจะกลับ...เราเสนอตำแหน่งอาจารย์ให้” เธอถอนใจเบา ๆ “แต่พี่โมซาบอกว่า...เขาเอาเงินของประเทศมาร่ำเรียน ก็เพื่อกลับไปรับใช้ประเทศ รับใช้แผ่นดินที่ส่งให้เรียน”
ทาชิพยักหน้ารับ เขาย่อมรู้จักคนเป็นพี่ชายดี แล้วชายหนุ่มก็นิ่งมองตรงไปที่ศีรษะของอัญญาที่เกล้าผมขึ้นไปเป็นหางม้า เขายกมือขึ้นปัดผ่านเส้นผมเธอเบา ๆ
“ใบไม้ติดผมคุณน่ะ” ชายหนุ่มแบมือออกให้เห็นเศษใบไม้เล็ก ๆ
เนมาหันมาบอกว่ารถตู้จะนำทุกคนเดินทางไปที่โรงแรมที่พักวันนี้ เขาฉีกยิ้มกว้างขวางอวด “เดี๋ยวผมจะพาไปรับประทานอาหารไทย”
ลูกทัวร์หัวเราะ ปรบมืออย่างชอบใจ คุณนิภาชี้ไปที่ป้ายร้านอาหารไทยข้างอาคารแห่งหนึ่ง
“อุ๊ยนั่น ไทยเรสทัวรอง เขียนตัวโตเชียว”
“ที่นี่ก็มีคนไทยเข้ามาเยอะนะคะ เห็นว่ามีเข้ามาสร้างโรงแรมด้วย” คุณพรรณีบอก
“พ่อครัวจะเป็นคนไทยด้วยหรือเปล่าไม่รู้นะครับ ต่างประเทศส่วนใหญ่ติดป้ายร้านอาหารไทย แต่พ่อครัวไม่ใช่คนไทย” คุณปรีชาบอกเป็นภาษาไทย อรรัมภาหัวเราะ
“ใช่ค่ะ...อรเคยไปที่ดูไบ ติดป้ายร้านอาหารไทยหราเลย แต่พ่อครัวฟิลิปปินส์”
“อร่อยไหมคะ” อัญญาถามอย่างสนใจ
“ไม่เท่าบ้านเรานะ พี่ว่า...อาหารไทยในเมืองไทยล่ะ อร่อยที่สุดแล้ว”
รถตู้จอดลงหน้าอาคารสี่ชั้นเป็นตัวตึกสีขาว แต่งด้วยหน้าต่างไม้วาดลายพื้นเมืองซ่อนอยู่หลังฉากกั้นสูงราวจะแยกส่วนของอาคารออกจาถนนด้านหน้า เนมาลงมาเปิดประตูให้ ก่อนพาทุกคนขึ้นบันไดไปด้านที่หน้าแผนกต้อนรับของโรงแรม
ไกด์หนุ่มผายมือให้ทุกคนนั่งรอที่โซฟารับแขกด้านหน้า ทาชิเดินมานั่งลงข้าง ๆ อัญญา หญิงสาวหันไปมองเขาแล้วถามเบา ๆ
“บ้านคุณอยู่ที่ไหนคะ”
“บ้านผมอยู่ที่พาโร แต่มีบ้านพักที่ทิมพูอยู่” เขาตอบ
อัญญาพยักหน้ารับ แล้วก้มลงเปิดหาสัญญาอินเตอร์เน็ทในโทรศัพท์มือถือ ครู่ใหญ่เนมาก็เดินกลับมาส่งกุญแจให้คุณปรีชา คุณพรรณีและเธอ
“เนมาคะ...ที่นี่มีรหัสไวไฟไหมคะ” เธอเอ่ยถามไกด์หนุ่ม เขาเดินกลับไปพูดคุยบางอย่างกับพนักงานต้อนรับ ก่อนรับกระดาษแผ่นเล็กมาส่งให้
อัญญาพิมพ์รหัสดังกล่าวลงในโทรศัพท์ แล้วส่งต่อให้คุณปรีชา คุณนิภา และอรรัมภา
“พวกคุณหิวหรือยังครับ” เนมาเอ่ยถาม เรียกทุกคนให้เงยหน้าขึ้นจากจอสมาร์ทโฟน
“ยังค่ะ...”
“พอดีวันนี้ร้านอาหารไทยปิด” เขาบอกด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ “เดี๋ยวผมจัดเป็นบุฟเฟต์อาหารเย็นของโรงแรมก่อน แล้ววันหลังเราค่อยกินอาหารไทยนะครับ”
“ได้ค่ะ...ไม่มีปัญหา” อรรัมภาคลี่ยิ้มบอกให้ชายหนุ่มคลายกังวล
“บุฟเฟต์จะเริ่มตอนเจ็ดโมง ที่ห้องขวามือนี่นะครับ” เขาผายมือไปที่ห้องอาหารด้านข้าง ทุกคนต่างพยักหน้ารับ
“แล้วพรุ่งนี้ อาหารเช้าจะเริ่มตอนเจ็ดโมง ผมจะมารับตอนแปดโมงครึ่งนะครับ” ไกด์หนุ่มอธิบาย “พรุ่งนี้เราจะไปพูนาคา ใช้เวลาเดินทางจากทิมพูราวสองชั่วโมง ถนนค่อนข้างขรุขระ อากาศค่อนข้างร้อนประมาณ 27-32 องศา อย่าลืมทาครีมกันแดดนะครับ”
อัญญากระพริบตาปริบ ๆ หันไปมองหน้าบรรดาสาวเมืองกรุงที่ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“คงไม่ร้อนกว่ากรุงเทพฯแน่นอนครับ” คุณปรีชารู้ทันสาวกรุงที่หัวเราะกันโดยพร้อมเพรียง
เนมาฉีกยิ้ม “ครับ...แต่พรุ่งนี้เราจะต้องเดินกลางแจ้งค่อนข้างไกลนะครับ”
“ต้องเข้าวัดหรืออะไรที่ต้องใส่เสื้อคลุมไหมคะ” อัญญาเอ่ยถาม
“จริง ๆ แล้ว เป็นเสื้อคอปกหรือเสื้อแขนยาวก็ถือว่าได้ครับ แล้วก็รองเท้า...ถ้าเป็นรองเท้าผ้าใบน่าจะดีกว่า”
อรรัมภาและอัญญามองหน้ากันตาปริบ ๆ คนหนึ่งสวมรองเท้าแตะ อีกคนเป็นคัชชูส้นเตี้ย สองสาวเอ่ยขอบคุณเบา ๆ
“อย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาบอกกับทุกคน ทาชิลุกขึ้นยืนตาม ก่อนพูดคุยกับไกด์หนุ่มเป็นภาษาถิ่น แล้วหันมาบอก
“อย่างนั้นผมไปก่อนนะ”
อัญญาพยักหน้ารับ “ค่ะ...ขอบคุณนะคะ”
สองหนุ่มชาวภูฏานเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ลูกทัวร์ทั้งคณะกลับมาก้มหน้าก้มตาอยู่กับจอสมาร์ทโฟนอีกครั้ง
อัญญาร้องเบา ๆ เมื่อเห็นภาพที่มารดาส่งมาให้ดู “ว้าย...ถั่งเช่าเซทละเป็นแสนเชียวเหรอคะ” เธอส่งภาพนั้นให้เพื่อนร่วมคณะดู ก่อนจะหันไปรับน้ำชาที่พนักงานต้อนรับของโรงแรมนำมาเสิร์ฟ
“โหย...แพงจริง” อรรัมภาบ่นอุบ
“เขาจะพาเราไปดูไหมคะ เหมือนที่จีนที่พาไปดูบัวหิมะ” คุณนิภาถามอย่างสนใจ
“น่าจะพาไปนะคะ รายได้หลักทางหนึ่งเขาอยู่ที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวนี่คะ” อัญญาคาดเดา
นั่งเล่นสมาร์ทโฟนอยู่ครู่ใหญ่ คุณพรรณีก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ อรรัมภาจึงตามมารดาขึ้นไปด้วย อัญญาขอตัวตามไปจัดของ เมื่อเดินขึ้นบันไดไปด้านบนจึงพบว่ากระเป๋าเดินทางของเธอถูกวางอยู่หน้าประตูห้องพักแล้ว
หญิงสาวลากกระเป๋าเข้าไปในห้องพักซึ่งจัดเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงวางคู่กัน คั่นด้วยโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ วางโคมไฟ เธอยกกระเป๋าขึ้นวางบนโต๊ะข้างตู้เสื้อผ้า เดินสำรวจรอบ ๆ ห้องเพื่อจะพบว่าไม่มีเครื่องปรับอากาศ
สายตาไล่ไปเรื่อยจนมาสะดุดที่เครื่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวที่ติดไว้กับผนังสูงจากพื้นไม่มากนัก เธอเดินไปกดสวิตช์เปิดด้านข้าง ก่อนจะต้องรีบปิดเมื่อรู้สึกถึงไออุ่นออกมาบาง ๆ
“ตายแล้ว...มีฮีตเตอร์แต่ไม่มีแอร์ จะอยู่รอดไหมน้องอัญ” สาวเมืองกรุงบ่นเบา ๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา น้ำเย็นช่วยให้สดชื่นขึ้นไม่น้อย
อัญญานอนกลิ้งไปมาบนเตียง ส่งข้อความสนทนากับมารดาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง เธอมองที่โซฟาหน้าแผนกต้อนรับ คุณปรีชาและคุณนิภาคงขึ้นมาที่ห้องพักแล้ว
ร่างบางเดินลงบันไดออกไปหน้าโรงแรม สายลมเย็นจัดพัดมาแตะร่างทำให้ความกังวลเรื่องเครื่องปรับอากาศในห้องพักลดลง ที่นี่อากาศคงเย็นจัดจนไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศ
อาคารรอบ ๆ โรงแรมเป็นตึกปูน บางแห่งกรุวงกบไม้เขียนลายสวย ข้างตัวโรงแรมคืออาคารทาสีชมพู แบ่งเป็นห้องกระจกสำหรับร้านค้าหลายห้อง อัญญาก้าวไปอย่างไม่มั่นใจนักเมื่อสังเกตเห็นวัยรุ่นชายกลุ่มใหญ่นั่งอยู่ข้างบันได แม้ที่นี่จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธที่สุขสงบ แต่เธอก็ไม่กล้าเสี่ยงกับกิเลสในใจคน หญิงสาวกำลังจะหมุนตัวกลับ แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดลงบนไหล่
สัญชาตญาณหรืออะไรก็ตามแต่ทำให้อัญญาหมุนตัวกลับ ยกหมัดขึ้นอย่างรวดเร็ว โชคดีที่คนตัวโตเบี่ยงตัวหลบแล้วยกมือขึ้นกันไว้ทันท่วงที “อัญญ่า...”
หญิงสาวนิ่งงันไป ก่อนจะตั้งสติได้ เธอมองใบหน้าของคนที่อยู่ข้างตัว สูดลมหายใจยาวก่อนบอก “ขอโทษค่ะ...ไม่คิดว่าเป็นคุณ”
“ถ้าคิดแล้วคุณยังออกหมัด ผมคงไม่กล้าปล่อยมือคุณ” เขาหัวเราะ ก่อนจะปล่อยมืออัญญาให้เป็นอิสระ “พี่โมซาเดาไว้ไม่ผิด ว่าถ้าพักในเมืองคุณคงต้องหนีออกมาเที่ยวเล่น”
“อัญไม่ได้หนี”
“ครับ...แค่ออกมาเดินคนเดียวโดยไม่บอกใคร” เขามองหน้าเธออย่างรู้ทัน “ถึงจะเป็นเมืองพุทธ แต่ก็ยังเป็นมนุษย์นะครับ คนที่นี่ยังมีกิเลส และบางครั้งก็อาจขาดความยับยั้งชั่งใจได้ไม่ต่างกับชาติอื่น”
อัญญาพยักหน้ารับ รู้ดีว่าเธอระวังตัวเองไม่มากพอจริง ๆ เสียงหวานจึงหลุดคำ
“ขอโทษค่ะ”
ทาชินิ่งไปครู่กับคำที่ได้ยิน ก่อนที่เขาจะถอนใจเบา ๆ “ถ้าคุณอยากเดินเล่น ผมจะไปเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ใกล้เจ็ดโมงแล้ว อัญกลับไปรอกินข้าวที่โรงแรมดีกว่า” เธอยกสมาร์ทโฟนขึ้นดูนาฬิกา ทำท่าจะเดินกลับไปที่โรงแรม แต่ทาชิคว้าข้อมือเธอไว้ก่อน
“ถือว่าคุณไปเดินเล่นเป็นเพื่อนผมแล้วกัน” เขาบอกแล้วจูงมือเธอเดินขึ้นบันไดไปที่อาคารสีชมพู
อัญญาก้าวเท้าตามคนตัวสูง ทาชิพาเธอเข้าไปในร้านขายเครื่องทองเหลืองที่อยู่หน้าสุด หยิบกงล้อมนตราอันเล็กออกมาหมุนเบา ๆ “มานิลาคอ...ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบถือหมุนแทนการสวดมนต์”
อัญญารับกงล้อที่มีด้ามจับทำจากไม้มามองดู “คุณแม่อัญอยากได้อยู่พอดี”
“ไว้ผมค่อยพาไปซื้อ ร้านนี้ค่อนข้างแพง” เขาดึงกงล้อในมือเธอวางคืนใส่ตะกร้าตามเดิม
“อ้าว...แล้วคุณพาเข้ามาทำไม” อัญญาเลิกคิ้ว
“ก็ผมบอกแล้ว...พามาเดินเล่น ไม่ได้พามาซื้อของ” แล้วชายหนุ่มก็จูงมือเธอเดินออกจากร้านหน้าตาเฉย
เขาพาเธอเดินเล่นดูร้านค้ารอบ ๆ ไปเรื่อย จนใกล้เวลารับประทานอาหาร ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือก่อนบอก “เดี๋ยวผมพาไปส่งที่โรงแรม คุณเหนื่อยหรือยัง”
“ไม่มากเท่าไรค่ะ ขอบคุณนะคะ” เขาปล่อยมือเธอแล้ว อัญญาเดินตามชายหนุ่มไปเรื่อย ๆ จนถึงโรงแรมที่พัก ที่โซฟาตัวเดิม คุณปรีชา คุณนิภา คุณพรรณีรวมทั้งอรรัมภานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ขอโทษค่ะ อัญออกไปเดินเล่น”
“อ้าว...คุณทาชิยังไม่กลับหรือคะ” คุณพรรณีมองอย่างแปลกใจ
“กำลังจะกลับครับ พอดีเจอเด็กหลงเลยพามาส่งก่อน” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ เรียกสายตาค้อนวงโตจากอัญญาที่ยืนข้าง ๆ
“ทานข้าวด้วยกันก่อนไหมคะ” คุณนิภาเอ่ยชวน
ทาชิส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ดีกว่าครับ เชิญพวกคุณตามสบาย ผมคงต้องขอตัวก่อน”
“แล้วคุณจะกลับยังไงคะ” อัญญาถามเมื่อนึกได้ว่ารถตู้ของทัวร์ออกเดินทางไปแล้ว
“ผมเอารถมา เมื่อครู่...เนมาพาผมกลับไปเอารถที่บ้าน” คำตอบนั้นไม่ปิดบัง อัญญามองอย่างเข้าใจพลางถอนใจเบา ๆ ดูเหมือนเธอจะเป็นภาระให้คนอื่นอยู่ตลอด
หญิงสาวพยักหน้าบอก “ขอบคุณนะ...เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ร่างสูงหันหลังเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว อรรัมภาเดินเข้ามาขยิบตาให้รุ่นน้องสาว เอ่ยแซว “ญาติดีกันแล้วเหรอ”
“ก็...โกรธไปก็เหนื่อยเปล่านี่คะ” เธอบอกเบา ๆ “มีลูกทัวร์เพิ่มอีกคนนะคะ”
“อืม...ดู ๆ ไปแกก็แอบใจดีนะ”
“ค่ะ พี่โมซาก็ใจดี ถ้าน้องชายนิสัยร้ายกาจ อัญจะไปฟ้องอาจารย์ให้เล่นงานพี่โมซา” เธอหัวเราะคิก
-----
แก้ไขแล้วนะคะ ขอบคุณคุณ sunflower มากค่ะ
หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ
หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ
หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
----
หลังผ่านเส้นทางบนเทือกเขาสลับซับซ้อน คณะเดินทางก็มาถึงเมืองหลวงของประเทศ ทุกคนตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงเนมาหันมาพูดเมื่อผ่านสี่แยกซึ่งมีป้อมตำรวจจราจรอยู่ตรงกลาง
“ที่นี่เราไม่มีสัญญาณไฟจราจรนะครับ เคยมีบริษัทญี่ปุ่นเสนอจะนำสัญญาณไฟมาติดให้ แต่ชาวเมืองเราปฏิเสธ” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ที่ทิมพูเรามีแค่ถนนเล็ก ๆ ไม่กี่สาย จราจรในป้อมเรายังสามารถดูแลการจราจรได้ดีอยู่ครับ”
อรรัมภาและอัญญารีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพป้อมจราจรที่อยู่กลางแยก ตัวป้อมเป็นศาลาวงกลมไม่ใหญ่นัก วาดลวดลายและสีสันตามแบบศิลปะพื้นบ้านำให้ดูมีเสน่ห์น่ามอง
“ถนนเส้นนี้เป็นไฮเวย์สายหลักที่รัฐบาลเพิ่งสร้างขึ้นไม่นานเพื่อเชื่อมต่อกับเมืองรอบข้าง ถนนจึงค่อนข้างดีไม่ขรุขระ” เนมาอธิบายต่อ “เดี๋ยวเราจะเข้าไปที่ทาชิโชซองก่อนนะครับ บางคนเรียกว่าทิมพูซอง หัวใจแห่งทิมพู ที่นั่นเป็นศูนย์กลางการปกครองหลักทั้งทางการเมืองและศาสนา”
“Dragon’s nest” อัญญาเอ่ยกลั้วหัวเราะ ทำให้ทาชิทั่งนั่งข้าง ๆ หันมาเลิกคิ้วมอง
หญิงสาวแลบลิ้นแตะริมฝีปาก พยายามหาคำอธิบาย “คือ...อัญแค่รู้สึกว่าพวกคุณมีถ้ำเสือคือทักซังที่เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของศาสนา ดังนั้นทาชิโชซองที่เป็นศูนย์กลางการปกครองก็น่าจะเป็นรังมังกร จะได้ฟังเข้ากัน”
คนฟังหัวเราะ พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “คุณคิดได้ดี...ผมชอบนะ dragon’s nest”
รถตู้ของคณะแล่นเข้ามาจอดที่ลานข้างทาชิโชซอง เนมาลงมาเปิดประตูให้คณะก้าวลงไป สุนัขหลายตัววิ่งเข้ามากระดิกหางทักทายราวจะต้อนรับผู้มาเยือน
“เห็นเขาว่าที่พาโรกับทิมพูมีสุนัขจรเยอะมาก”
“น่าจะจริงนะคะ กับระเบิดเต็มเลย” คุณนิภาเมื่อเดินไปบนทางเท้าที่มีมูลสุนัขกองอยู่เป็นระยะ “เดินระวังนะคะ”
สองสาวอย่างอรรัมภาและอัญญาต้องใช้ความระวังเป็นพิเศษ เพราะเดินไปถ่ายรูปไป รู้ตัวอีกทีรองเท้าก็เฉียดกับระเบิดไปนิดเดียวอย่างน่าหวั่นใจ
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”
สนามข้างทาชิโชซองปลูกเป็นแนวกุหลาบหลากสีออกดอกโตสวยตัดกับความงามสง่าเคร่งขรึมของอาคารสี่เหลี่ยมสีขาวตระหง่านและตามแบบป้อมปราการที่กว้างใหญ่
เนมาชี้ให้ดูว่าฝั่งซ้ายของซองเป็นส่วนของการปกครอง ส่วนฝั่งขวาเป็นของศาสนจักร หากมีปัญหาที่ตกลงไม่ได้ ทางฝ่ายการเมืองสามารถจะเข้ามาปรึกษากับฝ่ายศาสนจักรได้ ภายใต้คำแนะนำและการตัดสินจากกษัตริย์และองค์สังฆราชา
“ที่นี่สร้างขึ้นเมื่อปี 1216 เคยถูกไฟไฟม้ไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน แล้วบูรณะกลับมาเมื่อย้ายเมืองหลวงมาที่ทิมพู ลักษณะรอบด้านยังคงรูปแบบของซองคือป้อมปราการณ์เหมือนที่เมืองอื่น ๆ ซึ่งมักจะสร้างอยู่บนเขาเพื่อจุดประสงค์ 3 อย่างคือด้านการเมืองการปกครอง ด้านศาสนา และการป้องกันประเทศ” คำอธิบายบอกชัดว่าการเมืองและศาสนาในภูฏานนั้นมีความสัมพันธ์กันมาจนแทบแยกไม่ออก
“แต่ตอนนี้เมื่อยุคแห่งสงครามสิ้นสุดลง ป้อมส่วนใหญ่จึงคงอยู่ด้วยจุดประสงค์ 2 ประการ คือการเมืองการปกครอง และด้านศาสนา”
เนมาพาทุกคนเดินเลียบทางเท้าด้านหน้าซองไปทางปีกขวาของป้อมปราการซึ่งเป็นส่วนของศาสนจักร เขาพาคณะเดินขึ้นบันไดไปด้านบนซึ่งมีเจ้าหน้าที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างเครื่องตรวจสัมภาระ
“เอากล้องและโทรศัพท์ใส่ไว้ในถาดนะครับ”
อรรัมภาและอัญญาส่งกล้องที่ห้อยคอให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินตามทุกคนผ่านเครื่องตรวจอาวุธเข้าไปด้านใน เจ้าหน้าที่จึงส่งกล้องที่ผ่านเครื่องตรวจแล้วคืนให้
“เหมือนเดิมนะครับ ห้ามถ่ายภาพภายในอาคาร แต่ถ้าภายนอกถ่ายได้ครับ”
ไกด์หนุ่มเดินนำทุกคนขึ้นบันไดไปด้านบน ผนังด้านข้างมีภาพเขียนสีที่เขาบอกว่าเป็น god of power ถัดมามี god of wealth และ god of wisdom ซึ่งเนมาบอกว่าสามองค์มักจะปรากฏอยู่ร่วมกัน เป็นสัญลักษณ์แห่งปัญญาบริสุทธิ์และความดีงาม
ขึ้นบันไดมาจนสุด ซ้ายมือเป็นลานโล่งกว้างที่คั่นตัวอาคารฝั่งซ้ายและขวา เนมาพาเดินเข้าไป ชี้ให้มองฝั่งซ้ายซึ่งเป็นฝ่ายปกครอง และฝั่งขวาเป็นของศาสนจักร ซึ่งเป็นอาคารสองชั้นสีขาวตระหง่าน แต่งระเบียงและหน้าต่างด้วยไม้สลักวาดลายเขียนสีอันเป็นเอกลักษณ์
“ที่นี่เป็นที่ประทับของพระสังฆราชด้วย แต่ตอนนี้พระองค์ไม่อยู่ เสด็จไปบำเพ็ญภาวนา” ชายหนุ่มบอกก่อนพาทุกคนก้าวขึ้นบันไดอาคารด้านซ้ายมืไปด้านบน กงล้อมนตราถูกติดไว้ทั้งด้านซ้ายและขวา คุณปรีชาเดินเข้าไปหมุนเบา ๆ ก่อนจะกลับมาสบทบกับทุกคน อัญญาหันไปมองเบื้องล่าง ยกกล้องขึ้นมากดบันทึกภาพไว้อย่างรวดเร็ว
เข้าไปภายในตัวอาคารเป็นห้องกว้างเรียงรายด้วยโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวเตี้ย ๆ ตั้งอยู่หน้าเบาะคล้ายที่นั่งประชุมงานเลี้ยงในภาพยนต์จีนยุคโบราณ
หน้าสุดเป็นแท่นสามแท่นตั้งอยู่หน้าต่อรูปจำลองสามองค์ แท่นหนึ่งวางภาพสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน แท่นหนึ่งวางภาพกษัตริย์รัชกาลก่อน และแท่นสุดท้ายคือภาพกษัตริย์องค์ปัจจุบัน
โต๊ะหน้าสุดตรงกลางซึ่งใกล้แท่นขององค์สังฆราชค่อนข้างใหญ่กว่าตัวอื่น ๆ “ที่นี่เป็นเหมือนที่เรียน คุณต้องเข้ามานั่งเรียนเริ่มจากมุมห้องตรงโน้น” เขาชี้ไปที่เบาะเล็ก ๆ รอบห้อง
“ถ้าคุณมาบ่อยคุณก็จะได้เลื่อนที่มาเรื่อย ๆ จนถึงโต๊ะตัวนี้แปลว่าคุณมาเรียนบ่อยที่สุด แล้วก็ย้อนกลับไปต่อแถวใหม่”
“อ้าว...สูงสุดคืนสู่สามัญเสียอย่างนั้น” คุณปรีชาหัวเราะ
“สมบัติผลัดกันชม อาสนะผลัดกันนั่งนะคะ” คุณพรรณีบอกอย่างคนที่ผ่านโลกมามาก
เนมาเดินนำไปที่หน้าองค์พระที่อยู่ซ้ายมือหลังแท่นประทับ ผายมือบอก “นี่คือ god of long life” ยกมือซ้ายขึ้นปิดจมูก แล้วโน้มศีรษะแตะลงที่ฐานองค์พระ
“เวลาเราสักการะ แสดงความเคารพสูงสุด เราจะใช้มือปิดจมูกแล้วกลั้นหายใจ โน้มศีรษะไปแตะแท่นบูชาแบบนี้นะครับ พวกคุณจะทำบ้างไหม...เราเชื่อว่าจะทำให้เรามีชีวิตที่ยาวนาน”
คุณปรีชาเริ่มก่อน ร่างสูงเดินเข้าไปถวายสักการะตามแบบที่เนมาทำ ขณะที่อัญญายกมือขึ้นไหว้ อธิษฐานในใจ ขอพรให้บิดามารดา
ทุกคนทยอยเข้าไปหมดแล้ว แต่อัญญายังยืนนิ่ง ทาชิและเนมาหันมามองหญิงสาวอย่างประหลาดใจ
“คุณไม่เข้าไปหรือครับ” ไกด์หนุ่มเอ่ยถาม
อัญญาส่ายหน้าเร็ว ๆ “ไม่ค่ะ...อัญไม่ต้องการชีวิตที่ยืนยาว”
เนมาเลิกคิ้วมอง “ทำไมล่ะครับ”
“ชีวิตมนุษย์ประกอบด้วยความทุกข์ทั้งนั้น...อัญไม่ต้องการอยู่บนโลกนานเกินไปค่ะ”
ทาชิหลุดหัวเราะขลุกขลักในคอ ขณะที่เนมายังมองหน้าอัญญาเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด แต่เมื่อไม่มีคำอธิบายต่อ ไกด์หนุ่มก็ได้แต่พยักหน้ารับ พาคณะเดินผ่านพร้อมทำความเคารพรูปจำลององค์กูรูรินโปเชที่ประดิษฐานอยู่ตรงกลาง
ไกด์หนุ่มหันมาเล่าประวัติองค์กูรุรินโปเชซึ่งเป็นเสมือนเทพที่เคารพบูชาของชาวภูฏาน พระรูปลักษณะต่างจากองค์พระพุทธ แต่ละม้ายบุรุษร่างใหญ่ท่าทางน่าเกรงขาม
“ตามตำนานของชาวภูฏาน กูรูรินโปเชถือกำเนิดจากดอกบัว เป็นลามะผู้ปูรากฐานพระพุทธศาสนาขึ้นในภูฏาน” เนมาอธิบายช้า ๆ “เราเชื่อว่าท่านมี 8 ปาง นี่เป็นปางหลัก ทำสำคัญมากมีอีกปางที่คุณจะได้เห็นบ่อย ๆ คือปางแห่งอำนาจ ซึ่งเชื่อว่าเป็นปางจำแลงเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย อีกปางที่ท่านขี่เสือขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาที่เขาทักซัง คุณจะได้เห็นเมื่อขึ้นไปที่ทักซัง”
พระรูปองค์สุดท้าย เป็นรูปคล้ายกูรูรินโปเช เป็นลามะที่เนมาเล่าว่า “นี่คือชับดรุงงาวังนำเกล ชับดรุงองค์แรกในทิเบต เดิมท่านเป็นเจ้าชายจากทิเบต เข้ามารวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ เข้าเป็นภูฏาน สร้างรากฐานศาสนาและคำสอนข้อปฏิบัติต่าง ๆ ที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน”
ทั้งคณะโน้มตัวไหว้ทำความเคารพ ขณะที่เนมาและทาชิยืนมองอย่างพึงพอใจ
เมื่อออกมาจากโถงกลาง อรรัมภาสังเกตเห็นทหารนายหนึ่งแต่งกายด้วยชุดสีเขียวแปลกตากำลังเดินตรงไปที่เรือนหลังเล็กฝั่งตรงข้าม เธอชี้ให้เนมาดู
“นั่นใครเหรอคะ”
“อ๋อ...ทหารผู้เชิญธงครับ” ไกด์หนุ่มฉีกยิ้มกว้าง “เราโชคดี เดี๋ยวจะมีกองทหารมาเชิญธงลง”
เวลาราชการของที่นี่สิ้นสุดเมื่อห้าโมงเย็น เวลาเชิญธงลงจากเสาร์ก็เช่นกัน คณะใช้เวลาไม่นานในการรอคอย ขบวนทหารกว่ายี่สิบนายก็เดินแถวกันออกมาเพื่อเชิญธงลง เสียงดนตรีโยธวาธิตดังกึกก้อง อัญญาและอรรัมภารีบยกกล้องในมือขึ้นเก็บภาพด้วยความตื่นเต้น
“เหมือนที่บักกิ้งแฮมเลยนะคะ”
“ลองเข้าไปชวนคุยไหม จะนิ่งเหมือนทหารที่อังกฤษหรือเปล่านะ” อรรัมภาขยิบตาให้รุ่นน้องสาว หัวเราะให้กันอย่างร่าเริง
“พี่อรแกล้งเขา”
“อ้าว...น่าลองออก”
“ไม่ทันแล้วค่ะ...โน่นเดินเอาธงไปเก็บก็หายกันไปหมดละค่ะ” เธอชี้ให้ดูนายทหารที่แยกย้ายสลายกองไปอย่างรวดเร็วหลังเสร็จสิ้นภารกิจ
เมื่ออกจากซอง เนมาพาทุกคนเดินข้ามถนนไปที่ลานกว้างด้านหน้า มีต้นสนและไซปรัสปลูกสลับกับต้นไม้หลากชนิด ทหารนายหนึ่งยืนอยู่หน้าบันไดเล็ก ๆ ที่ทอดลงไปสู่เบื้องล่าง อัญญาเหลือบไปมองเห็นเขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย ทาชิเดินมาข้างเธอ ผายมือให้มองลงไปข้างล่าง
บ้านไม้หลังหนึ่งไม่ได้ใหญ่โตมากสร้างอยู่ในดงไม้ หากไม่สังเกตคงแทบมองไม่เห็น
“พระราชวังของเรา”
“คะ...” อัญญาเลิกคิ้ว ชะโงกพยายามมองเข้าไปที่ปริเวณโดยรอบ “ไม่ใช่ที่ทาชิโชเหรอคะ”
“นั่นเป็นที่ทำงานครับ ที่ประทับอยู่ที่นี่”
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ เหลือบมองนายทหารที่อยู่หน้าบันไดทางลงอย่างสนใจ ทาชิยกมือไพล่หลัง เดินตามเธอไปช้า ๆ
“ดูเหมือนคิงของเราจะทรงประทับอย่างเรียบง่ายทั้งสององค์เลยนะคะ” เธอคลี่ยิ้มบอก
“คิงของคุณน่าชื่นชมมาก ผมได้ยินว่าท่านเป็นนักปกครอง นักคิดที่ยอดเยี่ยมมาก”
“ค่ะ...ท่านเป็นทั้งนักปกครอง นักคิด นักวิทยาศาสตร์ นักกีฬา นักดนตรี...ทรงพระปรีชาสามารถหลายด้านจนอัญคงบรรยายได้ไม่หมด”
“พี่โมซาติดภาพของท่านไว้ข้าง ๆ ภาพคิง...พี่บอกว่าผู้ชายคนนี้ควรแก่การเคารพ”
“ค่ะ...สำหรับอัญและประชาชนชาวไทย เราทั้งเคารพ ภักดี และบูชา” เธอบอกอย่างภาคภูมิใจ “ไม่ใช่เพราะท่านเป็นคิงหรอกนะคะ แต่เพราะเรารู้...รู้ว่าท่านทรงงานหนักมากมายเพื่อเรามาตลอด”
อัญญาอดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้เมื่อคิดถึงพระราชวังสวนจิตรลดาที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนแพทย์ของเธอ “จะมีพระราชวังที่ไหน มีทั้งนาข้าว ทั้งฟาร์มเลี้ยงวัวอีกล่ะคะ แล้วจะมีพระราชาสักกี่พระองค์...ที่เสด็จไปทั่วทุกแห่งแม้ที่กันดารจนรถยนต์เข้าไม่ถึง ก็ยังเสด็จด้วยพระบาท เพียงเพื่อหาทางให้ประชาชนทั่วทั้งแผ่นดินของท่านเป็นสุข”
หญิงสาวหันกลับไปมองที่พระราชวังในเงาไม้อีกครั้ง “คิงจิกมีเคยเสด็จงานฉลองราชสมบัติครบ 60 ปีของพระองค์ด้วยนะคะ ตอนนั้นยังทรงเป็นเจ้าชายรัชทายาท สาวไทยกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ว่าท่านทรงมีพระจริยวัตรงดงามมาก”
“รวมถึงคุณด้วยหรือเปล่า” เขาเลิกคิ้วกึ่งล้อ
อัญญาหัวเราะ พยักหน้ายอมรับ “ค่ะ...อัญสนใจท่านเพราะเรารักและบูชาในสิ่งเดียวกัน ท่านเคยให้สัมภาษณ์ว่าทรงมีพระเจ้าอยู่หัวของเราเป็นแบบอย่าง อัญจึงเชื่อหมดหัวใจว่าท่านจะต้องเป็นกษัตริย์ที่ดีมาก ๆ พระองค์หนึ่ง อีกอย่าง...ท่านน่ารักนะคะ ที่น่ารักมาก ๆ ก็คงเป็น...” เธอยกนิ้วขึ้นแตะขมับ
“ความคิดค่ะ...ท่านเองก็ทรงคิด ทรงงานเพื่อประชาชนของท่าน”
“คุณรู้ไหม ท่านเคยประทานรับสั่งว่า...การรักชาติเป็นสิ่งสำคัญ แต่การรักอย่างชาญฉลาดก็เป็นความสำคัญอีกอย่างหนึ่ง” ทาชิหันมามองหน้าอัญญา “ในความรัก เราต้องการความใส่ใจ และความรับผิดชอบต่อสิ่งที่รัก...เราจึงไม่ได้บอกแค่ว่ารัก แต่เราทำหน้าที่ของเราด้วยความรับผิดชอบต่อแผ่นดิน นั่นคือความรักชาติของเรา”
คนฟังคลี่ยิ้มบาง โคลงศีรษะลงเบา ๆ อย่างชื่นชม “อัญเชื่อแล้ว...คุณเป็นน้องของพี่โมซาจริง ๆ นั่นล่ะ”
ทั้งคู่เดินมาถึงรถที่จอดรออยู่พอดี ทาชิผายมือให้อัญญาขึ้นไปก่อนที่เขาจะตามขึ้นมานั่งข้าง ๆ
“ตอนพี่โมซาจะกลับ...เราเสนอตำแหน่งอาจารย์ให้” เธอถอนใจเบา ๆ “แต่พี่โมซาบอกว่า...เขาเอาเงินของประเทศมาร่ำเรียน ก็เพื่อกลับไปรับใช้ประเทศ รับใช้แผ่นดินที่ส่งให้เรียน”
ทาชิพยักหน้ารับ เขาย่อมรู้จักคนเป็นพี่ชายดี แล้วชายหนุ่มก็นิ่งมองตรงไปที่ศีรษะของอัญญาที่เกล้าผมขึ้นไปเป็นหางม้า เขายกมือขึ้นปัดผ่านเส้นผมเธอเบา ๆ
“ใบไม้ติดผมคุณน่ะ” ชายหนุ่มแบมือออกให้เห็นเศษใบไม้เล็ก ๆ
เนมาหันมาบอกว่ารถตู้จะนำทุกคนเดินทางไปที่โรงแรมที่พักวันนี้ เขาฉีกยิ้มกว้างขวางอวด “เดี๋ยวผมจะพาไปรับประทานอาหารไทย”
ลูกทัวร์หัวเราะ ปรบมืออย่างชอบใจ คุณนิภาชี้ไปที่ป้ายร้านอาหารไทยข้างอาคารแห่งหนึ่ง
“อุ๊ยนั่น ไทยเรสทัวรอง เขียนตัวโตเชียว”
“ที่นี่ก็มีคนไทยเข้ามาเยอะนะคะ เห็นว่ามีเข้ามาสร้างโรงแรมด้วย” คุณพรรณีบอก
“พ่อครัวจะเป็นคนไทยด้วยหรือเปล่าไม่รู้นะครับ ต่างประเทศส่วนใหญ่ติดป้ายร้านอาหารไทย แต่พ่อครัวไม่ใช่คนไทย” คุณปรีชาบอกเป็นภาษาไทย อรรัมภาหัวเราะ
“ใช่ค่ะ...อรเคยไปที่ดูไบ ติดป้ายร้านอาหารไทยหราเลย แต่พ่อครัวฟิลิปปินส์”
“อร่อยไหมคะ” อัญญาถามอย่างสนใจ
“ไม่เท่าบ้านเรานะ พี่ว่า...อาหารไทยในเมืองไทยล่ะ อร่อยที่สุดแล้ว”
รถตู้จอดลงหน้าอาคารสี่ชั้นเป็นตัวตึกสีขาว แต่งด้วยหน้าต่างไม้วาดลายพื้นเมืองซ่อนอยู่หลังฉากกั้นสูงราวจะแยกส่วนของอาคารออกจาถนนด้านหน้า เนมาลงมาเปิดประตูให้ ก่อนพาทุกคนขึ้นบันไดไปด้านที่หน้าแผนกต้อนรับของโรงแรม
ไกด์หนุ่มผายมือให้ทุกคนนั่งรอที่โซฟารับแขกด้านหน้า ทาชิเดินมานั่งลงข้าง ๆ อัญญา หญิงสาวหันไปมองเขาแล้วถามเบา ๆ
“บ้านคุณอยู่ที่ไหนคะ”
“บ้านผมอยู่ที่พาโร แต่มีบ้านพักที่ทิมพูอยู่” เขาตอบ
อัญญาพยักหน้ารับ แล้วก้มลงเปิดหาสัญญาอินเตอร์เน็ทในโทรศัพท์มือถือ ครู่ใหญ่เนมาก็เดินกลับมาส่งกุญแจให้คุณปรีชา คุณพรรณีและเธอ
“เนมาคะ...ที่นี่มีรหัสไวไฟไหมคะ” เธอเอ่ยถามไกด์หนุ่ม เขาเดินกลับไปพูดคุยบางอย่างกับพนักงานต้อนรับ ก่อนรับกระดาษแผ่นเล็กมาส่งให้
อัญญาพิมพ์รหัสดังกล่าวลงในโทรศัพท์ แล้วส่งต่อให้คุณปรีชา คุณนิภา และอรรัมภา
“พวกคุณหิวหรือยังครับ” เนมาเอ่ยถาม เรียกทุกคนให้เงยหน้าขึ้นจากจอสมาร์ทโฟน
“ยังค่ะ...”
“พอดีวันนี้ร้านอาหารไทยปิด” เขาบอกด้วยสีหน้าเจื่อน ๆ “เดี๋ยวผมจัดเป็นบุฟเฟต์อาหารเย็นของโรงแรมก่อน แล้ววันหลังเราค่อยกินอาหารไทยนะครับ”
“ได้ค่ะ...ไม่มีปัญหา” อรรัมภาคลี่ยิ้มบอกให้ชายหนุ่มคลายกังวล
“บุฟเฟต์จะเริ่มตอนเจ็ดโมง ที่ห้องขวามือนี่นะครับ” เขาผายมือไปที่ห้องอาหารด้านข้าง ทุกคนต่างพยักหน้ารับ
“แล้วพรุ่งนี้ อาหารเช้าจะเริ่มตอนเจ็ดโมง ผมจะมารับตอนแปดโมงครึ่งนะครับ” ไกด์หนุ่มอธิบาย “พรุ่งนี้เราจะไปพูนาคา ใช้เวลาเดินทางจากทิมพูราวสองชั่วโมง ถนนค่อนข้างขรุขระ อากาศค่อนข้างร้อนประมาณ 27-32 องศา อย่าลืมทาครีมกันแดดนะครับ”
อัญญากระพริบตาปริบ ๆ หันไปมองหน้าบรรดาสาวเมืองกรุงที่ไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“คงไม่ร้อนกว่ากรุงเทพฯแน่นอนครับ” คุณปรีชารู้ทันสาวกรุงที่หัวเราะกันโดยพร้อมเพรียง
เนมาฉีกยิ้ม “ครับ...แต่พรุ่งนี้เราจะต้องเดินกลางแจ้งค่อนข้างไกลนะครับ”
“ต้องเข้าวัดหรืออะไรที่ต้องใส่เสื้อคลุมไหมคะ” อัญญาเอ่ยถาม
“จริง ๆ แล้ว เป็นเสื้อคอปกหรือเสื้อแขนยาวก็ถือว่าได้ครับ แล้วก็รองเท้า...ถ้าเป็นรองเท้าผ้าใบน่าจะดีกว่า”
อรรัมภาและอัญญามองหน้ากันตาปริบ ๆ คนหนึ่งสวมรองเท้าแตะ อีกคนเป็นคัชชูส้นเตี้ย สองสาวเอ่ยขอบคุณเบา ๆ
“อย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาบอกกับทุกคน ทาชิลุกขึ้นยืนตาม ก่อนพูดคุยกับไกด์หนุ่มเป็นภาษาถิ่น แล้วหันมาบอก
“อย่างนั้นผมไปก่อนนะ”
อัญญาพยักหน้ารับ “ค่ะ...ขอบคุณนะคะ”
สองหนุ่มชาวภูฏานเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ลูกทัวร์ทั้งคณะกลับมาก้มหน้าก้มตาอยู่กับจอสมาร์ทโฟนอีกครั้ง
อัญญาร้องเบา ๆ เมื่อเห็นภาพที่มารดาส่งมาให้ดู “ว้าย...ถั่งเช่าเซทละเป็นแสนเชียวเหรอคะ” เธอส่งภาพนั้นให้เพื่อนร่วมคณะดู ก่อนจะหันไปรับน้ำชาที่พนักงานต้อนรับของโรงแรมนำมาเสิร์ฟ
“โหย...แพงจริง” อรรัมภาบ่นอุบ
“เขาจะพาเราไปดูไหมคะ เหมือนที่จีนที่พาไปดูบัวหิมะ” คุณนิภาถามอย่างสนใจ
“น่าจะพาไปนะคะ รายได้หลักทางหนึ่งเขาอยู่ที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวนี่คะ” อัญญาคาดเดา
นั่งเล่นสมาร์ทโฟนอยู่ครู่ใหญ่ คุณพรรณีก็ขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ อรรัมภาจึงตามมารดาขึ้นไปด้วย อัญญาขอตัวตามไปจัดของ เมื่อเดินขึ้นบันไดไปด้านบนจึงพบว่ากระเป๋าเดินทางของเธอถูกวางอยู่หน้าประตูห้องพักแล้ว
หญิงสาวลากกระเป๋าเข้าไปในห้องพักซึ่งจัดเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงวางคู่กัน คั่นด้วยโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ วางโคมไฟ เธอยกกระเป๋าขึ้นวางบนโต๊ะข้างตู้เสื้อผ้า เดินสำรวจรอบ ๆ ห้องเพื่อจะพบว่าไม่มีเครื่องปรับอากาศ
สายตาไล่ไปเรื่อยจนมาสะดุดที่เครื่องสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวที่ติดไว้กับผนังสูงจากพื้นไม่มากนัก เธอเดินไปกดสวิตช์เปิดด้านข้าง ก่อนจะต้องรีบปิดเมื่อรู้สึกถึงไออุ่นออกมาบาง ๆ
“ตายแล้ว...มีฮีตเตอร์แต่ไม่มีแอร์ จะอยู่รอดไหมน้องอัญ” สาวเมืองกรุงบ่นเบา ๆ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตา น้ำเย็นช่วยให้สดชื่นขึ้นไม่น้อย
อัญญานอนกลิ้งไปมาบนเตียง ส่งข้อความสนทนากับมารดาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินออกมาจากห้อง เธอมองที่โซฟาหน้าแผนกต้อนรับ คุณปรีชาและคุณนิภาคงขึ้นมาที่ห้องพักแล้ว
ร่างบางเดินลงบันไดออกไปหน้าโรงแรม สายลมเย็นจัดพัดมาแตะร่างทำให้ความกังวลเรื่องเครื่องปรับอากาศในห้องพักลดลง ที่นี่อากาศคงเย็นจัดจนไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศ
อาคารรอบ ๆ โรงแรมเป็นตึกปูน บางแห่งกรุวงกบไม้เขียนลายสวย ข้างตัวโรงแรมคืออาคารทาสีชมพู แบ่งเป็นห้องกระจกสำหรับร้านค้าหลายห้อง อัญญาก้าวไปอย่างไม่มั่นใจนักเมื่อสังเกตเห็นวัยรุ่นชายกลุ่มใหญ่นั่งอยู่ข้างบันได แม้ที่นี่จะได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธที่สุขสงบ แต่เธอก็ไม่กล้าเสี่ยงกับกิเลสในใจคน หญิงสาวกำลังจะหมุนตัวกลับ แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดลงบนไหล่
สัญชาตญาณหรืออะไรก็ตามแต่ทำให้อัญญาหมุนตัวกลับ ยกหมัดขึ้นอย่างรวดเร็ว โชคดีที่คนตัวโตเบี่ยงตัวหลบแล้วยกมือขึ้นกันไว้ทันท่วงที “อัญญ่า...”
หญิงสาวนิ่งงันไป ก่อนจะตั้งสติได้ เธอมองใบหน้าของคนที่อยู่ข้างตัว สูดลมหายใจยาวก่อนบอก “ขอโทษค่ะ...ไม่คิดว่าเป็นคุณ”
“ถ้าคิดแล้วคุณยังออกหมัด ผมคงไม่กล้าปล่อยมือคุณ” เขาหัวเราะ ก่อนจะปล่อยมืออัญญาให้เป็นอิสระ “พี่โมซาเดาไว้ไม่ผิด ว่าถ้าพักในเมืองคุณคงต้องหนีออกมาเที่ยวเล่น”
“อัญไม่ได้หนี”
“ครับ...แค่ออกมาเดินคนเดียวโดยไม่บอกใคร” เขามองหน้าเธออย่างรู้ทัน “ถึงจะเป็นเมืองพุทธ แต่ก็ยังเป็นมนุษย์นะครับ คนที่นี่ยังมีกิเลส และบางครั้งก็อาจขาดความยับยั้งชั่งใจได้ไม่ต่างกับชาติอื่น”
อัญญาพยักหน้ารับ รู้ดีว่าเธอระวังตัวเองไม่มากพอจริง ๆ เสียงหวานจึงหลุดคำ
“ขอโทษค่ะ”
ทาชินิ่งไปครู่กับคำที่ได้ยิน ก่อนที่เขาจะถอนใจเบา ๆ “ถ้าคุณอยากเดินเล่น ผมจะไปเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ใกล้เจ็ดโมงแล้ว อัญกลับไปรอกินข้าวที่โรงแรมดีกว่า” เธอยกสมาร์ทโฟนขึ้นดูนาฬิกา ทำท่าจะเดินกลับไปที่โรงแรม แต่ทาชิคว้าข้อมือเธอไว้ก่อน
“ถือว่าคุณไปเดินเล่นเป็นเพื่อนผมแล้วกัน” เขาบอกแล้วจูงมือเธอเดินขึ้นบันไดไปที่อาคารสีชมพู
อัญญาก้าวเท้าตามคนตัวสูง ทาชิพาเธอเข้าไปในร้านขายเครื่องทองเหลืองที่อยู่หน้าสุด หยิบกงล้อมนตราอันเล็กออกมาหมุนเบา ๆ “มานิลาคอ...ผู้เฒ่าผู้แก่ชอบถือหมุนแทนการสวดมนต์”
อัญญารับกงล้อที่มีด้ามจับทำจากไม้มามองดู “คุณแม่อัญอยากได้อยู่พอดี”
“ไว้ผมค่อยพาไปซื้อ ร้านนี้ค่อนข้างแพง” เขาดึงกงล้อในมือเธอวางคืนใส่ตะกร้าตามเดิม
“อ้าว...แล้วคุณพาเข้ามาทำไม” อัญญาเลิกคิ้ว
“ก็ผมบอกแล้ว...พามาเดินเล่น ไม่ได้พามาซื้อของ” แล้วชายหนุ่มก็จูงมือเธอเดินออกจากร้านหน้าตาเฉย
เขาพาเธอเดินเล่นดูร้านค้ารอบ ๆ ไปเรื่อย จนใกล้เวลารับประทานอาหาร ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือก่อนบอก “เดี๋ยวผมพาไปส่งที่โรงแรม คุณเหนื่อยหรือยัง”
“ไม่มากเท่าไรค่ะ ขอบคุณนะคะ” เขาปล่อยมือเธอแล้ว อัญญาเดินตามชายหนุ่มไปเรื่อย ๆ จนถึงโรงแรมที่พัก ที่โซฟาตัวเดิม คุณปรีชา คุณนิภา คุณพรรณีรวมทั้งอรรัมภานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“ขอโทษค่ะ อัญออกไปเดินเล่น”
“อ้าว...คุณทาชิยังไม่กลับหรือคะ” คุณพรรณีมองอย่างแปลกใจ
“กำลังจะกลับครับ พอดีเจอเด็กหลงเลยพามาส่งก่อน” เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ เรียกสายตาค้อนวงโตจากอัญญาที่ยืนข้าง ๆ
“ทานข้าวด้วยกันก่อนไหมคะ” คุณนิภาเอ่ยชวน
ทาชิส่ายหน้าช้า ๆ “ไม่ดีกว่าครับ เชิญพวกคุณตามสบาย ผมคงต้องขอตัวก่อน”
“แล้วคุณจะกลับยังไงคะ” อัญญาถามเมื่อนึกได้ว่ารถตู้ของทัวร์ออกเดินทางไปแล้ว
“ผมเอารถมา เมื่อครู่...เนมาพาผมกลับไปเอารถที่บ้าน” คำตอบนั้นไม่ปิดบัง อัญญามองอย่างเข้าใจพลางถอนใจเบา ๆ ดูเหมือนเธอจะเป็นภาระให้คนอื่นอยู่ตลอด
หญิงสาวพยักหน้าบอก “ขอบคุณนะ...เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ”
ร่างสูงหันหลังเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว อรรัมภาเดินเข้ามาขยิบตาให้รุ่นน้องสาว เอ่ยแซว “ญาติดีกันแล้วเหรอ”
“ก็...โกรธไปก็เหนื่อยเปล่านี่คะ” เธอบอกเบา ๆ “มีลูกทัวร์เพิ่มอีกคนนะคะ”
“อืม...ดู ๆ ไปแกก็แอบใจดีนะ”
“ค่ะ พี่โมซาก็ใจดี ถ้าน้องชายนิสัยร้ายกาจ อัญจะไปฟ้องอาจารย์ให้เล่นงานพี่โมซา” เธอหัวเราะคิก
-----
แก้ไขแล้วนะคะ ขอบคุณคุณ sunflower มากค่ะ
ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2558, 10:44:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ค. 2558, 18:54:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 1281
<< Paro Dzong | BhuddhaDodenma >> |
sunflower 20 ก.ค. 2558, 14:38:34 น.
สวัสดีค่ะ คุณไอซ์ พิมพ์ผิดหรึอเปล่าคะ มี "ตอนพี่โมซาจะกลับ..." ตั้งสองครั้งแน่ะ
ติดตามค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณไอซ์ พิมพ์ผิดหรึอเปล่าคะ มี "ตอนพี่โมซาจะกลับ..." ตั้งสองครั้งแน่ะ
ติดตามค่ะ