ลองรัก
ศิญาดา...หญิงสาวโลกส่วนตัวสูง

กับ

เจค...หนุ่ม(ที่เคย)มาดขึม

เมื่อสวิตซ์หัวใจถูกเปิดเพียงแค่สบตา ชายหนุ่มพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครองหัวใจเธอ ส่วนหญิงสาวกลับตั้งมั่นที่จะรักษากำแพงโลกส่วนตัวเอาไว้ให้ตลอด

...สุดท้าย ระหว่าง "เขา" กับ "เธอ" จะลงเลยกันได้อย่างไร ติดตามได้ใน...

~~~~ ลองรัก~~~~
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3 ไม่อยากจะเชื่อสายตา 50%


วันนี้เป็นวันที่ทีมงานของศิญาดาต้องออกไปตรวจสอบบัญชีที่บริษัทของลูกค้า เป็นการตรวจสอบตามปกติของงานบัญชีที่เธอทำ งานตรวจสอบบัญชีเป็นการตรวจความถูกต้องของการลงบัญชีเพื่อทำให้การลงบัญชีเป็นไปในทางที่ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีทั้งยังต้องให้คำปรึกษากับลูกค้าในเวลาที่ลูกค้ามีปัญหาได้ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานที่มีความเครียดและกดดันพอสมควร และบริษัทของลูกค้าที่จะต้องมาตรวจในวันนี้ค่อนข้างอยู่ไกลจะออฟฟิศของเธอมาจึงทำศิญาดาต้องออกจากห้องแต่เช้าเพราะทุกคนนัดแนะกันไว้ว่าจะออกจากออฟฟิศตอน 7 โมงเช้าเพื่อหลีกเลี่ยงรถติด โดยจะแวะทานอาหารเช้าระหว่างทางที่จะไปบริษัทของลูกค้าซึ่งตอนนี้รถที่ทุกคนนั่งมาก็กำลังจะเลี้ยวเข้าร้านอาหารที่เลือกเอาไว้ ร้านนี้เป็นร้านข้าวต้มเลือดหมูซึ่งเมนูทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีหมูเป็นส่วนประกอบทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นข้าวต้มเลือดหมูซึ่งเป็นเมนูเด่นของร้าน ข้าวหมูกรอบ ข้าวหมูแดง กุนเชียงหมูและอื่นๆ อีกมากมายเรียกได้ว่าคนที่ชอบเมนูหมูคงถูกใจอย่างยิ่ง แต่สำหรับศิญาดาแล้วเธอไม่ได้มีตัวเลือกอื่นเลยเพราะเธอไม่กินเนื้อหมู ไม่ใช่ว่าไม่กินเพราะการนับถือศาสนาหรือแพ้แต่อย่างใดเพียงแต่ที่เธอไม่กินเพราะไม่อยากจะกินสัตว์ใหญ่เท่านั้นเอง และก็รวมถึงเนื้อวัวด้วยที่เธอไม่กิน แต่ก็ใช่ว่าจะไม่กินเลยซะทีเดียวถ้าไม่มีตัวเลือกอื่นเธอก็กินได้เพราะไม่อยากให้เรื่องของเธอเพียงคนเดียวทำให้คนอื่นต้องยุ่งยากไปด้วย
“ดา!” อยู่ๆ เสียงของรมิตาก็ดังดัง
“มีอะไรหรอ” หญิงสาวถามอย่างสงสัย
“เราลืมไปว่าดาไม่กินหมู” รมิตายังคงทำหน้าเศร้าที่ตัวเองลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท
“นึกว่าเรื่องอะไร ไม่เห็นเป็นไรเลยเรากินได้ สบายมาก” ศิญาดายิ้มให้เพื่อน
“แน่ใจนะ” รมิตายังคงไม่สบายใจอยู่ดี
“น่า บอกแล้วว่าสบายมาก คราวก่อนเราก็ยังกินเลย ไม่เป็นไรหรอกอย่าทำให้คนอื่นต้องยุ่งยากกับเรื่องแค่นี้เลย” ศิญาดาอธิบายเสียยายเพื่อให้เพื่อนสบายใจ
“โอเค” เมื่อยอมตามเหตุผลของเพื่อนก็ถามต่อด้วยความเป็นห่วง “แล้วตาจะกินไรดีล่ะมีแต่หมูทั้งนั้นเลย”
“ก็กินเมนูขึ้นชื่อของร้านไง”
“ระวังจะอร่อยจนกลับมากินหมูตลอดไปล่ะ” รมิตากระเซ้าเพื่อน
“ไม่เอาล่ะ เริ่มแก่แล้วชักจะย่อยยาก” พอศิญาดาพูดจบสองสาวก็หัวเราะขึ้นทันที
“แก่แล้วก็งี้แหละ ทำใจหน่อยนะ” พูดจบรมิตาก็เดินหัวเราะไปสั่งอาหารสำหรับตนเองปล่อยให้ศิญาดายืนหัวเราะเบาๆ รอสั่งอาหารของตัวเองต่อ
ด้วยอายุที่กำลังจะเข้า 29 ปีเต็มของศิญาดาและรมิตาที่เป็นรองแต่หัวหน้าเท่านั้นที่ฝ่ายนั้นวัยเข้าหลักสี่ต้นๆ แล้ว ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็ล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นน้องของเธอทั้งนั้นจึงทำให้สองสาวถูกน้องๆ เรียกจนชินหูแล้วว่าป้ากับเจ้ แม้ตอนแรกที่ถูกเรียกแบบนั้นเธอกับรมิตาจะไม่ชอบใจนักเพราะความจริงแล้วเธอกับรมิตาก็อายุมากว่าแค่ 3-5 ปีเท่านั้นเอง จนเธอถึงกับขู่บรรดาน้องๆ ว่าถ้าใครเรียกอีกระวังจะศพไม่สวย แต่เมื่อเจอเหตุผลของหนึ่งในบรรดาน้องๆ ที่บอกกลับมาว่า ‘ก็พี่สองคนอายุมากว่าพวกเรานี่นาเรียกป้ากับเจ้ก็ถูกแล้ว เพราะรักหรอกค่ะถึงได้เรียกแบบนี้’ แต่เธอกับรมิตาก็เกี่ยงกันที่จะเป็นป้า อย่างน้อยคำว่า “เจ้” ก็ยังดีกว่าคำว่า “ป้า” อยู่แล้ว แต่เมื่อเถียงกันไม่ลงตัวจึงต้องรับไปทั้งสองอย่างทั้ง “เจ้” และ “ป้า” ซึ่งก็แล้วแต่อารมณ์ของบรรดาน้องๆ อีกนั่นแหละว่าจะเรียกแบบไหน ประมาณว่าตามอารมณ์ของคนเรียกนั่นเอง
หลังอาหารมื้อเช้าผ่านไปหัวหน้าของเธอก็คุยเพื่อทบทวนรายละเอียดงานของที่จะทำในวันนี้อีกครั้งแล้วจากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปยังบริษัทของลูกค้า ทันทีที่ถึงบริษัทของลูกค้าทุกคนก็ได้พูดคุยทักทายกับพนักงานของบริษัทที่เข้าไปตรวจเพื่อทำความรู้จักจะได้เพิ่มความสะดวกในการทำงานมากขึ้น จากนั้นก็เริ่มลงมือทำงานทันทีแต่จนถึงครึ่งวันก็ยังเหมือนกับว่างานยังไม่คืนหน้าเท่าที่ควรทั้งๆ ที่ศึกษาข้อมูลมาก่อนหน้านี้แล้ว พอเที่ยงทุกคนก็พากันไปรับประทานอาหารโดยเลือกร้านอาหารเล็กๆ ใกล้ๆ นั่นเอง
“เป็นไงกันบ้างทุกคน” เสียงของสุรัตนาผู้เป็นหัวหน้าก็เอ่ยขึ้น
“ยังจับประเด็นอะไรไม่ได้มากเลยค่ะพี่ รอดูตอนบ่ายน่าจะเริ่มไปได้เร็วขึ้น” รมิตาเป็นฝ่ายตอบออกมาก่อน
“อืม แล้วดาล่ะ” สุรัตนาหันมาถามศิญาดาต่อ
“เหมือนกันกับหวานเลยค่ะ แต่บ่ายนี้ก็ไปได้เร็วขึ้น” พูดจบก็เอามือคลึงขมับเบาๆ
“เป็นอะไรหรอดา” เมื่อเห็นอาการของเพื่อนรมิตาก็ถามอย่างเป็นห่วง
“นั่นน่ะสิ ไม่สบายรึป่าว” สุรัตนาถามด้วยความเป็นห่วงอีกคน
“ปวดหัวนิดหน่อยค่ะ” ทันทีที่พูดจบศิญาดาก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าตั้งแต่เช้าแล้วเธอยังไม่ได้กินกาแฟแม้แต่แก้วเดียว มิน่าเธอถึงได้ปวดหัวแบบนี้
“มัวแต่ยุ่งๆ เลยลืมกินกาแฟไปเลยค่ะ” หญิงสาวอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนพร้อมกับรอยยิ้มแหย
“ฉันล่ะเชื่อแกเลยดา” ได้ยินคำอธิบายของเพื่อนทำเอารมิตาถึงกับทำหน้าเซ็ง
“ต้องขึ้นคำเตือนข้างล่างมั๊ยเจ้ว่า กาแฟเป็นอันตรายต่อสุขภาพ” เสียงของนิษฐาน้องร่วมงานที่เด็กสุดพูดแซวเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคน
“ได้ก็ดีนะ” ถึงแม้จะยังปวดหัวอยู่แต่ก็ยังรับมุกของน้องต่อ
“งั้นก็กินข้าวให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปหากาแฟกิน พี่ก็ไม่อยากให้ใครมาลงแดงตายตอนทำงานเพราะไม่ได้กินกาแฟเหมือนกัน” เสียงหัวเราะดังประสานกันขึ้นอีกครั้ง
“ก็ใช่สิคะ พี่สุกินมาแล้วนี่นา”
“อย่างพี่ไม่มีทางพลาดอยู่แล้วจ้า”
“พอกันทั้งคู่เลยนะเนี้ย” รมิตาแทรกขึ้น พอสิ้นเสียงของรมิตาอาหารที่สั่งไว้ก็มาถึง จากนั้นความเงียบก็ปกคลุมโต๊ะอาหารทันทีเพราะต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าของตนเองด้วยความหิว โดยมื้อนี้ก็มีหัวหน้าผู้ใจดีเป็นเจ้ามือตามเคย
“ไปเดินย่อยอาการกันดีว่าพวกเรา” สุรัตนาเอ่ยชวนน้องๆ
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ หวานจะได้ไปเซเว่นตรงนั้น” รมิตาหมายถึงร้านสะดวกซื้อที่เป็นที่นิยมและมีอยู่แทบทุกที่ของเมืองไทยเลยก็ว่าได้
“แหมพี่หวาน มาตั้งไกลยังจะเข้าอีกหรือเซเว่นน่ะ ไม่เบื่อบ้างรึไง” น้ำฝนรุ่นน้องอีกคนเอ่ยแซวรมิตาบ้าง
“ฉันจะซื้อผ้าอนามัยแกจะให้ฉันไปซื้อร้านข้าวราดแกงรึไงล่ะ” รมิตาสวนกลับอย่างรวดเร็วตามสไตล์
“อ้าวป้า! นึกว่าหมดไปแล้ว”
“ไอ้ฝน! เดี๋ยวแกจะโดนไม่ใช่น้อย” รมิตาขู่อย่างไม่จริงจังนัก
“ไปกันได้แล้ว มัวแต่เถียงกันอยู่นั่นแหละ” สุรัตนาเป็นฝ่ายห้ามศึกย่อมๆ จากนั้นทุกคนก็เดินออกจากร้าน
“พี่สุคะ เดี๋ยวดาลองเดินไปดูร้านกาแฟทางนี้หน่อยนะคะ น่าจะมีขาย” ศิญาดาชี้ไปทางที่จะเดินที่ซึ่งมีคอนโดมิเนียมสุดหรูตั้งอยู่
“ให้เราไปเป็นเพื่อนมั๊ยดา” รมิตาถาม
“ไม่เป็นไรหรอก หวานจะไปซื้อของไม่ใช่หรอ”
“งั้นก็ได้ อย่าหลงล่ะ ถ้าหลงก็โทรมานะ” เมื่อโดนเพื่อนเย้าแบบนี้ศิญาดาก็สวนกลับทันที
“ได้ ไว้หลงเมื่อไหร่แล้วจะโทรให้ไปรับนะ” พูดจบก็หัวเราะ “ไปก่อนนะคะ” หันไปบอกหัวหน้าแล้วก็หมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่คิดไว้
“เฮ้ยดา! อย่าไปฉุดใครมาล่ะ นี่ยังกลางวันอยู่นะ” พูดเสร็จก็หัวเราะแล้วเดินจากไปพร้อมกับทุกคน
“ไม่รับปากนะ” ศิญาดาอยากจะหัวเราะดังๆ แต่ก็กลัวคนอื่นจะหาว่าบ้าเลยต้องเดินอมยิ้มต่อไปยังร้านที่ดูคล้ายจะเป็นร้านกาแฟทันที

วันนี้เป็นวันที่เจคต้องเดินทางกลับอเมริกาโดยเที่ยวบินของเขาจะออกตอน 4 ทุ่มคืนนี้ เมื่อไม่รู้จะทำอะไรดีหลังจากที่คุยกับลูกน้องคนสนิทเรื่องงานเสร็จเขาก็ทำงานต่ออีกร่วมชั่วโมง จากนั้นก็เดินไปห้องฟิตเนสเพี่อออกกำลังกายอีกหนึ่งชั่วโมงจนกระทั่งอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จก็สั่งอาหารขึ้นมากินที่ห้องแล้วก็ยังมีเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าที่เขาจะต้องเดินทางออกจากห้องพัก ชายหนุ่มตัดสินใจออกไปเดินเล่นใกล้ๆ แถวนี้เป็นการฆ่าเวลา แต่ทันทีที่เขาก้าวเท้าพ้นเขตของคอนโดมิเนียมที่เขาพักอยู่ ภาพตรงหน้าเขาตอนนี้ทำให้เขาถึงกับยืนนิ่ง แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าภาพที่เขาเห็นตรงนี้ตอนนี้คือเธอ เธอที่ตามไปดักรอที่งานสัปดาห์หนังสือเพียงเพื่อหวังว่าจะได้เจอเธออีกสักครั้งแต่สุดท้ายแล้ว 5 วันที่เขาไปนั้นกลับล้มเหลวไม่ได้เจอเธอแม้แต่เงา แต่พอเขาคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอเธออีกแล้วเธอกลับมาอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ไวเท่าความคิดเจคตัดสินใจเดินเข้าไปหาเธอทันทีที่เห็นว่าเธอกำลังก้าวเข้าไปในร้านกาแฟ
ร้านกาแฟเล็กๆ ตรงทางเข้าคอนโดมิเนียมหรูคือเป้าหมายของหญิงสาวในวันนี้ ทันทีที่ผลักประตูร้านเข้าไปเสียงกระดิ่งเล็กๆ ก็ดังขึ้นราวกับว่ากำลังกล่าวต้อนรับลูกค้า
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ” เสียงใสๆ ของพนักงานกล่าวทักทาย ถ้าเดาจากเสียงแล้วก็หน้าตาศิญาดาคิดว่าน่าจะอายุไม่ถึง 20 ปีแน่นอน ซึ่งเธอคิดว่าน่าจะเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่มาหารายได้พิเศษระหว่างเรียน
“สวัสดีค่ะ” ศิญาดาเอ่ยทักทายกลับ “ขอเอสเพรสโซ่เย็นหวานน้อยค่ะ” หญิงสาวสั่งกาแฟรสที่ดื่มประจำ
“เอสเพรสโซ่เย็นหวานน้อยหนึ่งที่นะคะ เชิญนั่งรอสักครู่ค่ะ” พนักงานวัยใสทวนชื่อเครื่องดื่มที่เธอสั่งแล้วก็ผายมือเชื้อเชิญให้เธอนั่งรอยังโต๊ะที่ยังว่างอยู่
ศิญาดาเดินไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ตามที่พนักงานเชิญ นิตยสารบันเทิงชื่อดังถูกหยิบขึ้นมาเปิดดูฆ่าเวลา ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังขึ้นต้อนรับลูกค้าอีกครั้งแต่ศิญาดาก็ไม่ได้หันไปมองยังคงก้มหน้าก้มตาดูนิตยสารในมือต่อไป ทันใดนั้นสำเนียงภาษาอังกฤษก็ดังขึ้นใกล้ๆ เธอ สำเนียงที่เหมือนเคยได้ยินมาก่อนทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง ‘เขา’ คนนั้น คนที่เธอเดินชนที่งานหนังสัปดาห์หนังสือ นี่กรุงเทพฯ มันแคบขนาดนั้นเลยหรือนี่
“สวัสดีครับ” เจคเอ่ยทักทายเป็นครั้งที่สองเมื่อเห็นว่าการทักทายครั้งแรกของเขาไม่มีการตอบกลับ

***************************
ขออภัยทุกคนนะคะที่ตอนนี้มาช้าไปหน่อย งานเยอะเลยสลบเลย ^_^
ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาอ่านนะคะ



ศิริรตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ค. 2558, 20:07:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ค. 2558, 20:07:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 959





<< 2. แค่สบตา   ไม่อยากจะเชื่อสายตา 100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account