แก้วขวัญวันรัก "ประกาศิตรักแก้วกัลยา"
เป็นเรื่องราวต่อยอดมาจาก แก้วขวัญวันรัก
โดยเรานำเรื่องราวของนางเอกทั้งสี่แบ่งพาสเป็นเรืองของตัวเองประกอบไปด้วย
"ประกาสิตรักแก้วกัลยา"
"พันธนาการรักขวัญชีวัน"
"ละลายรักวันวิวาห์"
"กลบ่วงรักรักจิรา"
โดยเรื่องแรกของ แก้วขวัญวันรักที่นำมาให้ได้อ่านกันคือ "ประกาศิตรักแก้วกัลยา"
แก้วกัลยาพี่สาวของโตของบ้านสิทธิทรัพย์อาภา
เมื่อถูกกดดันให้คลุมถุงชนกับเจษฎา เธอจึงต้องหาทางดิ้นให้พ้นบ่วงนี้
เธอจึงออกปากท้าอากง ว่าจะหาสามีที่ดีมาโชว์ให้ได้
แก้วกัลยาเลือก "เพทาย" ประธานหนุ่มแห่งวินัสมีเดีย
ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ผู้ชายที่เธออยากจะเอาชนะใจ
ผู้ชายที่ติดอยู่ในความทรงจำของเธอมาตลอดเจ็ดปี
แก้วกัลยาจะพิชิตใจเพทายได้หรือไม่ติดตามได้ใน "ประกาศิตรักแก้วกัลยา"
โดยเรานำเรื่องราวของนางเอกทั้งสี่แบ่งพาสเป็นเรืองของตัวเองประกอบไปด้วย
"ประกาสิตรักแก้วกัลยา"
"พันธนาการรักขวัญชีวัน"
"ละลายรักวันวิวาห์"
"กลบ่วงรักรักจิรา"
โดยเรื่องแรกของ แก้วขวัญวันรักที่นำมาให้ได้อ่านกันคือ "ประกาศิตรักแก้วกัลยา"
แก้วกัลยาพี่สาวของโตของบ้านสิทธิทรัพย์อาภา
เมื่อถูกกดดันให้คลุมถุงชนกับเจษฎา เธอจึงต้องหาทางดิ้นให้พ้นบ่วงนี้
เธอจึงออกปากท้าอากง ว่าจะหาสามีที่ดีมาโชว์ให้ได้
แก้วกัลยาเลือก "เพทาย" ประธานหนุ่มแห่งวินัสมีเดีย
ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ ผู้ชายที่เธออยากจะเอาชนะใจ
ผู้ชายที่ติดอยู่ในความทรงจำของเธอมาตลอดเจ็ดปี
แก้วกัลยาจะพิชิตใจเพทายได้หรือไม่ติดตามได้ใน "ประกาศิตรักแก้วกัลยา"
Tags: แก้วกัลยา เพทาย ความรัก เดิมพัน
ตอน: ตอนที่ 13 ห่วงหา
13
ห่วงหา
แก้วกัลยาทำหน้าหงุดหงิดใจเมื่อต้องมานอนแบ็บอยู่บนเตียงคนไข้อีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันข้ามวันใหม่ ที่สำคัญห้องพักยังเป็นห้องเดียวกับครั้งก่อน แก้วกัลยาทำหน้าเบื่อหน่าย โชคดีที่เธอกลิ้งลงมาหยุดที่ชานพักของบันได ไม่อย่างนั้นแขนที่ไม่ได้ใส่เฝือกอาจได้ใส่เฝือกจริง ๆ เพิ่มเฝือกคอกับขาไปอีก สภาพเธอโดยรวมไม่ต่างจากผักต้มที่เหี่ยวแห้ง แผลตามตัวที่เมื่อไม่มีเสื้อแขนยาวพลางไว้มันก็เห็นชัดขึ้นมาก ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอาง เห็นรอยช้ำที่จางลงจากเหตุการณ์ปองร้ายครั้งก่อน แม้มันจะสร้างรอยตำหนิให้บนหน้าแต่ก็ไม่ได้อำพรางความสง่าให้หายไปได้
“แก้ว” แก้วกัลยาหันไปมองเจษฎาที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าห่วงกังวล
“เฮียเจต มาได้ยังไง”
“รักโทรไปบอก มิลาไม่ว่างปลีกตัวมาไม่ได้ คุณมงกุฎก็ปิดเครื่องเงียบไป รักมีเรื่องต้องไปทำ เฮียเลยมาดูเราแทน แล้วเป็นไงถึงตกบันไดได้ฮะเรานะ” เจษฎามองร่างที่บอบช้ำนั้นด้วยความเจ็บปวดแทน
“อุบัติเหตุค่ะ แต่ไม่เป็นอะไรมาก พรุ่งนี้ก็...”
“เราต้องนอนพักหนึ่งอาทิตย์ แม้จะมีคนบอกว่าเราน่ะกระดูกเหล็กตกมาแล้วไม่หนักถึงขั้นใส่เฝือกจริง ๆ” แก้วกัลยามองแขนข้างที่เคยใส่เฝือกด้วยสายตาหมองลง เมื่อเช้าหมอเข้ามาตรวจร่างกาย เอ่ยต่อว่าเล็กน้อยเรื่องใส่เฝือกเล่น
“ได้ไงเฮีย แก้วคิดว่า...”
“เชื่อเฮียบ้าง ได้ดูสภาพตัวเองบ้างหรือเปล่า แผลเก่ายังไม่หาย ได้แผลใหม่มาอีกแล้ว พักผ่อนบ้าง ช่วงนี้แก้วหมกมุ่นเรื่องคุณเพทายเขามากไป”
“แก้ว...”
“รักเล่าให้ฟังแล้ว การที่เขากำลังโกรธ เรายิ่งไปเจอหน้าเขาตอนนี้ก็ยิ่งทำให้ไฟโหมแรงขึ้น รออีกสักพักให้เขาอารมณ์เย็นแก้วค่อยไปพบเขา เชื่อสิ เขาไม่โกรธแก้วไปมากกว่านี้หรอก แก้วทำอะไรให้เขาตั้งเยอะ เสี่ยงตายแค่ไหนเขาต้องเห็นถึงความจริงใจตรงนี้แน่ ๆ ให้เวลาคุณเพชรเขาบ้าง”
“เฮียเจต...”
“เฮียแวะมาดู เดี๋ยวเฮียต้องกลับไปคุยกับลูกค้าต่ออีก เฮียกลัวแก้วเหงาเลยมาคุยเป็นเพื่อน อยู่คนเดียวเดี๋ยวก็คิดมากอีก เดี๋ยวเฮียเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวเฮียออกมาคุยด้วย” เจษฎาเดินเข้าห้องน้ำไป แก้วกัลยาหยิบหนังสือนิตยสารบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาอ่าน ภาพข่าวซุบซิบไฮโซในนิตยสารทำเอามือที่กำลังถือหนังสืออยู่สั่น และเริ่มกำมันแน่ขึ้น สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวก็กระชากกระดาษนั้นขึ้นมากำเป็นก้อน ๆ และปาทิ้งไม่สนทิศทางของกระดาษ
“โธ่เว้ย!!!”
“แก้ว” แก้วกัลยาหันไปมอง และเห็นกระดาษที่พุ่งไปโดนหัวของคนที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำอย่างแม่นยำ แก้วกัลยานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แก้ว...ขอโทษ”
“ไม่เป็นอะไร ว่าแต่ทำไมถึงฉีกกระดาษเล่นแบบนี้” เจษฎาเอ่ย แต่เหมือนแก้วกัลยาจะไม่ฟังตั้งท่าจะหยิบแก้วขึ้นมาปาเหมือนเช่นเคย เจษฎาวิ่งเข้าไปคว้ามาถือไว้ทัน แก้วกัลยาถลึงตามองอย่างไม่ชอบใจ
“นิสัยปาข้าวของแก้ไม่หายเลยนะแก้ว”
“เฮียอย่ามายุ่งกับแก้ว” แก้วกัลยาหันไปรอบนี้แก้วกัลยาคว้าหยิบแจกันบนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง เจษฎารีบแย่งดึงออกจากมือแก้วกัลยา แก้วกัลยามีท่าทีไม่พอใจที่โดนห้าม
“โตแล้วนะแก้ว ไม่พอใจอะไรทำลายข้าวของเป็นเด็ก ๆ ไม่ได้ แก้วต้องรู้จักใจเย็น ๆ ทำลายข้าวของไปมีประโยชน์อะไรกัน มองเฮีย มองหน้าเฮีย” แก้วกัลยาหันไปจ้องหน้าเจษฎาที่มีน้ำเสียงดุขึ้นกว่าทุกครั้ง ดวงตาที่มองมามีประกายของความห่วงใย
“หลับตา” แก้วกัลยายอมหลับตาลง เจษฎาเดินไปหยิบน้ำเย็นขวดหนึ่งออกมาและยัดใส่มือแก้วกัลยาแต่ยังกุมมือเธอไว้ไม่ปล่อย
“อย่าพึ่งลืมตา จับขวดน้ำไว้ ให้ความเย็นมันซึมเข้าไป ทีนี้หายใจเข้าลึก ๆ” แก้วกัลยาทำตามอย่างว่าง่าย “หายใจออกยาว ๆ แล้วลืมตาขี้น” แก้วกัลยาลืมตามองหน้าเจษฎาที่ปล่อยมือออกจากมือเธอแล้ว “ดื่มน้ำนี่สิ”
“แก้วไม่หิวน้ำ”
“โกรธมาก ๆ ดื่มเข้าไป ดื่มไปเยอะ ๆ ดื่มไปจนกว่าจะหาย” แก้วกัลยาทำสีหน้าไม่เข้าใจ แต่สายตาที่ออกคำสั่งทำให้แก้วกัลยายอมเปิดขวดและกรอกน้ำเข้าปากหลุดมาดความสง่างาม แก้วกัลยาดื่มจนหมดขวด
“เป็นไง”
“ไม่เห็นหายโกรธวิธีนี้สู้ปาของไม่ได้หรอก”
“แต่เย็นขึ้นไหมล่ะ” แก้วกัลยานิ่งและพยักหน้า “บางทีคนเราจะโกรธ จะโมโหมันก็ไม่แปลก แต่อยู่ที่เราจะหาทางลงกับมันยังไง แก้วอาจจะบอกว่าแก้วลงกับสิ่งของไม่ได้ลงกับคน แต่รู้ไหมเหตุผลของการที่คนทำร้ายตบตีกัน จนถึงพลั้งมือฆ่ากันเวลาโกรธ มันก็เริ่มจากอาละวาดแบบนี้แหละ แก้วสังเกตไหมยิ่งแก้วโกรธมากของรอบ ๆ ตัวก็ยิ่งพังมาก แล้วของพวกนั้นผิดอะไร ของที่แก้วเอามาพังบางชิ้นแก้วอาจจะบอกว่าแก้วมีตังค์ จานชามแก้วหาซื้อมาใช้ได้ แต่แก้วคิดหรือเปล่ามีเด็กกี่คนที่ต้องกินข้าวจากพื้นสกปรก สู้แก้วเอาจานชามไปบริจาคให้วัด เอาแก้วบริจาคให้เด็กได้ใช้มันไม่ดีกว่าการเอามาทำลายทิ้งหรอ” แก้วกัลยานิ่งไป
“แก้วโมโห แก้วไม่อยากทำร้ายใคร พาลกับใคร”
“นี่ไงวิธีที่เฮียบอก กินน้ำ กินไปจนกว่าจะหาย เฮียเคยโกรธมาก ๆ เฮียกินน้ำไปเกือบสิบขวด”
“เฮียเคยโกรธด้วยหรอ”
“เคยสิ แต่เฮียคิดว่าโกรธเราเก็บไว้มันก็มีแต่ทรมาน เฮียจะกินน้ำ กินไปจนกว่าจะจุก พอจุกเฮียจะหลับ” แก้วยิ้มออกมาทันทีที่เจษฎาบอกว่ากินจนจุกแล้วหลับ “พอหลับตื่นมา สมองเฮียจะโล่ง แล้วเฮียจะคิดแก้ปัญหาต่อไป”
“ขอบคุณค่ะเฮีย” แก้วกัลยาเอ่ย เจษฎายิ้มและวางมือลงบนหัวและขยี้เหมือนแก้วกัลยาเป็นเด็ก ๆ
“ไหนขอดูต้นเหตุของพายุสิ” เจษฎาเดินไปหยิบกระดาษขึ้นมาคลี่ออก ภาพข่าวที่เพทายอุ้มดารินทิพย์ไปส่งโรงพยาบาลด้วยท่าทีร้อนใจคือต้นเหตุที่ทำให้แก้วกัลยาร้อนเป็นไฟ
...ข่าวแซบวงการไฮโซ มีคนตาดีเห็นประธานหนุ่มวีนัสควงไอโซสาวหน้าหวานไปโรงพยาบาล หรือจะเลื่อนขั้นคบเป็นแฟนมาแต่งงานกันเลย คงต้องรอลุ้นกันต่อไป...
“นี่คือต้นเหตุที่แก้วโกรธ”
“คุณเพชรไม่ได้ไปไหนกับยัยน้องดามาเกือบเดือนแล้ว คุณเพชรโกรธแก้วเพราะยัยซูซี่คนเดียว”
“ทำไมไม่โทษตัวเองบ้างล่ะ เราไปโกหกเขาก่อนนะ” แก้วกัลยาทำสีหน้าไม่พอใจอีกครั้ง
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นกับเฮีย เราไม่ใช่หรอโกหกคุณเพชรเขาก่อน เพราะโกหก เพราะมีความผิด ถ้าเราไม่มีความผิดก็ไม่มีใครมาเปิดโปงเรา คนที่เขาไม่หวังดีเขาก็รอโอกาสแบบนี้อยู่แล้ว แก้วไม่ควรโกหกตั้งแต่แรก”
“แก้วรู้ว่าแก้วผิด แต่...”
“ถ้ารู้ว่าผิดก็ไม่ต้องมีแต่ แล้วรู้ไหมคนผิดต้องทำยังไง” แก้วกัลยาพยักหน้า “ดังนั้นตอนนี้ทำใจให้สบาย ทำตัวให้สบาย พร้อมแล้วค่อยกลับไปแก้ปัญหา ยังไงคุณเพชรก็ไม่หนีแก้วไปไหนหรอกเชื่อเฮียสิ” แก้วกัลยาถอนหายใจและพยักหน้า
“เฮียหวังว่านี่จะเป็นบทเรียนให้แก้วได้บ้าง และเฮียคิดว่าการปาของพวกนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก แก้วเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากพอแล้ว อย่าทำให้ใครมาว่าแก้วเป็นเด็กได้”
“รู้แล้ว” แก้วกัลยาเอ่ย เธอรู้สึกเหมือนเดจาวู เมื่อวานพึ่งโดนรักจิราว่า วันนี้มาเจอเจษฎาต่ออีก
“รู้แล้วก็ทำด้วย แก้วน่ะเป็นคนหัวไว คิดเป็น และรู้ว่าแก้วเข้าใจที่เฮียพูด เดี๋ยวเฮียจะกลับมาตอนเที่ยง อยากได้อะไรไหม” เจษฎาเอ่ย แก้วกัลยานั่งนิ่งและส่ายหน้าอย่างเนือย ๆ แต่เมื่อเจษฎากำลังจะก้าวออกไป
“เฮียเจตคะ” เจษฎาหันกลับมา “เฮียช่วยอะไรแก้วอย่างหนึ่งได้ไหมคะ” เขาคิดอย่างชั่งใจก่อนจะพยักหน้ารับ แก้วกัลยายิ้มอย่างดีใจ
“เฮียช่วย...”
...หนึ่งอาทิตย์ต่อมา...
“ขวัญ” แก้วกัลยาลืมตาขึ้นเมื่อฝันประหลาดว่าเห็นขวัญชีวันมาหาเธอในสภาพที่ร่างโชกไปด้วยเลือด ในฝันขวัญชีวันมองหน้าเธอและขยับปากพูดกับเธอแต่เธอมองไม่ออก เธอไม่เคยฝันร้าย ถ้าฝันร้ายเท่ากับเป็นลางบอกเหตุ ซึ่งไม่บ่อยครั้งที่เธอจะฝันร้ายแบบนี้ เธอเริ่มกังวลเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์กดโทรหาขวัญชีวันแต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับ แก้วกัลยาจึงเปลี่ยนไปโทรหารักจิราแทน
(เจ๊แก้วเค้าไม่ว่านะ ไว้ค่อยคุยกัน ไอ้เฮียเปามันกำลังจะมารับเค้า เค้าต้องรีบออกจากบ้านแค่นี้นะ) สายถูกตัดไปแล้ว แก้วกัลยาถอนหายใจคิดหนักเปลี่ยนไปโทรหาวันวิวาห์แทน
(ว่าไงแก้ว)
“วันฉันฝันประหลาด ฉันฝันว่าขวัญตายแล้ว ตอนนี้ติดต่อขวัญไม่ได้ฉันเป็นห่วง”
(ไม่มีอะไรหรอก เมื่อวานวันโทรไปหารัก รักบอกว่าขวัญยังปกติ ช่วงนี้ต้องไปหาวัตถุดิบทำขนมกับเชฟคนโปรดนอกสถานที่เลยไม่ได้พกโทรศัพท์ เห็นบอกว่าถ้ากลับจากเตรียมหาวัตถุดิบจะโทรกลับ รักเองก็บอกว่าเสียงปกติ)
“หรอแต่ฉันห่วงขวัญนะวัน”
(เอาอย่างนี้เดี๋ยววันจะลองโทรไปอีกที แก้วพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ดูแลตัวเองให้หายก่อนนะ ร่างกายตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นเลยตอนนี้ สามวันดีสี่วันไข้ไม่ใช่หรอ)
“ยัยรักโทรไปฟ้อง”
(ไม่ได้ฟ้องสักหน่อย อย่าไปดุรักล่ะ เอาเป็นดูแลตัวเองด้วย)
(ทางต้นสังกัดบอกหรือยังว่าจะให้คีตะกลับมาเมื่อไหร่ นี่มันครบสองอาทิตย์แล้วนะ)
(ยังไม่เห็นติดต่อมาเลย คุณคีตะบอกว่าอาจจะรอจนกว่าจะหาตัวคนร้ายได้ แก้ว...เดี๋ยวสาย ๆ วันมีธุระต่อ ไว้ค่อยคุยกันใหม่ วันจะลองติดต่อไปหาขวัญอีกครั้งได้เรื่องยังไงจะโทรกลับนะ)
“ได้ ๆ บาย” แล้วสายก็ตัดไป แม้จะรู้ข่าวคราวจากวันวิวาห์แต่แก้วกัลยาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ในบรรดาพี่น้องขวัญชีวันคือคนที่น่าเป็นห่วงที่สุด ขวัญชีวันไม่เคยหายไปจากบ้านนานขนาดนี้ แถมพวกเธอก็ติดต่อไม่ได้ มีรักจิราเพียงคนเดียวที่ติดต่อได้ เธอเองก็สงสัยไม่น้อยว่าเพราะอะไรกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แก้วกัลยาหันไปมองบานประตูที่ดังขึ้น ไม่ได้เอ่ยอะไรประตูก็เปิดออก แก้วกัลยากลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อวานหลังจากอ้อนวอนคุณหมอแทบทุกวันคุณหมอก็อนุญาตให้กลับได้แต่เธอต้องพักผ่อนมาก ๆ และกินยาให้ครบทุกมื้อร่างกายจะได้กลับมาปกติ แม้จะได้กลับบ้านแต่หลายวันมานี้เธอไม่ได้ข่าวเพทายเลย ทั้งเจษฎา รักจิรา ต่างพากันกักขังเธอไว้ในบ้าน ยึดงานเธอไปทำ ปิดข่าวเพทายไม่ให้เธอรับรู้ และยังให้คนมานั่งจับตาเฝ้าเธออีก
“เฮียทำข้าวต้มมาให้ เห็นพวกรักโทรมาบอกว่ารักออกไปทำงานแต่เช้า ไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้ และคงจะไม่เข้ามาตอนเที่ยงด้วย เฮียเลยแวะมามาดูเราก่อน”
“เฮียเอาของไปให้เขาหรือเปล่าคะเมื่อเช้า”
“เฮียเอาไปฝากพนักงานให้เอาขึ้นไปให้แล้ว เขาไม่ให้เฮียขึ้นไป แต่เฮียรอจนดอกไม้ถึงมือเขาเองเลยนะ ถ้าเขาไม่อยู่บริษัทเฮียก็เอาไปให้เขาที่บ้าน”
“เขาจะหายโกรธแก้วไหมคะ”
“แก้วขอโทษเขาทุกวัน แถมยังให้ของที่แก้วหวงไปอีก อีกไม่นานเขาก็หายโกรธแน่เชื่อเฮียสิ เลิกสนใจเขาสักวันดีกว่าไหม พูดถึงเขาทีไรแก้วหมองลงไปทุกที”
“แก้วไม่ได้เจอหน้าเขามาหนึ่งอาทิตย์แล้วนะคะ เสียงก็ไม่ได้ยิน แก้วกลัวเขาจะเกลียดแก้ว”
“ไม่ต้องคิดมากนะแก้ว กินข้าวแล้วพักผ่อนอีกวัน พรุ่งนี้เฮียพาไปส่งที่วีนัส หนึ่งอาทิตย์แล้วเขาอาจจะอารมณ์เย็นลงแล้ว เขาต้องยกโทษให้แก้วแน่ ๆ แก้วของเฮียออกจะ...แสนดี”
“คำว่าแสนดีของไม่เหมาะกับแก้วหรอกค่ะ ไม่อย่างนั้นเฮียคงไม่ทำหน้านึกนานแบบนั้น” แก้วกัลยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงงอน ๆ เหมือนแกล้งเจษฎาเล่น ๆ
“แต่แก้วก็ดีแบบของแก้วไง อาจจะร้ายบ้างในบางครั้ง แต่แก้วก็จริงใจ ใครดีมาแก้วดีตอบ แก้วอาจทำอะไรไร้เหตุผล แต่แก้วก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
“ก็มีแต่เฮียที่เข้าใจแก้ว คุณเพชรเขาน่าจะเข้าใจแก้วแบบเฮียบ้าง”
“ถ้าคุณเพชรเข้าใจแก้วแบบเฮียเจต เธอก็รักเฮียเจต รักฉันไปแล้วสิ” คนที่เดินเข้ามาคือแมททิว มิลาเดินก้มหน้าตามมาด้านหลัง แก้วกัลยาหันไปมองด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก
“ใครเชิญนายมาเนี่ย”
“ฉันเชิญตัวเอง ฉันไม่เข้าใจว่าเธอเอาตัวเข้าไปทุ่มกับผู้ชายคนนั้นทำไม เขาไม่เห็นจะสนใจใยดีเธอ ถ้าเป็นเฮียเจต ฉันอาจจะยอมรับได้ แต่ไอ้หมอนั่นหน้าเธอมันยังไม่อยากจะมองเลย มีแต่เธอที่รักมันข้างเดียว”
“ถ้าคิดคำพูดดี ๆ ไม่ได้ หยุดพูดไปเลยนะ”
“พูดความจริงก็รับไม่ได้อีก”
“ฉันไม่ชอบฟังความจริงจากปากนาย แล้วมาทำไม หรือจะคืนมิลา”
“ใครบอก”
“ถ้าไม่มีอะไรนายก็กลับไป ฉันจะพักผ่อน”
“ฉันแค่จะมาบอกเรื่องคนร้าย ฉันให้คนของฉันไปสืบแล้ว ขอถามก่อนหนึ่งในสองมีคนหนึ่งเหมือนตาจะบาดเจ็บใช่หรือเปล่า” แก้วกัลยาพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ผิดตัว พวกมันเป็นพวกนักโทษหนีคดี ตอนนี้มันหนีไปกบดานอยู่แถวสระแก้ว ฉันกำลังจะให้คนของฉันตามจับ แต่เมื่อวานพวกมันสองคนถูกฆ่าปิดปาก มีคนเจอศพมันลอยน้ำแถว ๆ สะพานพระรามเก้า”
“คนที่อยู่เบื้องหลังมันก็กลัวเราจะสืบไปถึงพวกมัน ถ้าคนร้ายตัวจริงยังลอยนวลอยู่ เธอควรจะออกห่างจากนายเพชรนั่น นายเพชรคนนี้เป็นสาเหตุให้เธอต้องเป็นแบบนี้แน่ ๆ”
“นายมีงานก็ไปทำเถอะ”
“เดี๋ยวมีปัญหาอย่ามาขอร้องให้ฉันช่วยอีกล่ะ มิลาอยู่กับเจ้านายเธอเถอะ วันนี้ฉันไม่มีวานให้เธอทำ แล้วอย่าชวนกันไปทำอะไรแผลง ๆ ” แมททิวเดินออกไปเมื่อสั่งเสร็จ มิลาหันมามองหน้าแก้วกัลยาเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง
“พูดมามิลา”
“คือ...คุณพิตต้าเธอพึ่งกลับมาเมื่อวานค่ะ ดิฉันเจอเธอแล้ว เธอฝากมาบอกว่าอย่าลืมงานวันเกิดของเธอค่ะ”
“งานวันเกิด หึ...” แก้วกัลยาสบถเสียงออกมา
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเฮียไปก่อน แก้วมีมิลาแล้ว เดี๋ยวเย็น ๆ เฮียซื้อขนมมาฝาก” เจษฎาเอาขนมมาหลอกล่อราวกับแก้วกัลยาเป้นเด็กก่อนจะเดินออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงสองสาวเจ้านายกับลูกน้องขี้กลัว
“ดิฉันจะไปอุ่นข้าวต้มให้คุณแก้ว”
“ไม่ต้อง ไปเอาไอแพดเธอมาให้ฉันยืมหน่อยสิ” มิลานิ่งไป
“มิลา” มิลาเดินไปหยิบไอแพดของตนออกมาส่งให้กับแก้วกัลยา แก้วกัลยาเช็คข่าวของเพทาย ข่าวดูเหมือนจะเงียบไป ไม่มีข่าวของเขาและดารินทิพย์ไปมากกว่าภาพที่อุ้มดารินทิพย์ไปโรงพยาบาลในวันนั้น อีกข่าวคืองานแถลงข่าวเรื่องคนร้ายในคดีของภีมะที่จัดแถลงข่าวไปเมื่อวาน ภีมะรอดจากการเป็นเหนื่อยของคนร้ายในเงามืด ที่เพทายเดาว่าเป็นนายเมฆา เจ้าของทีเอ็มมิวสิค มีการตามจับนายสมชายแล้วแต่ยังหาตัวไม่พบ ตอนนี้นายเมฆาถูกเล่นข่าวเรื่องนี้เพราะสมชายเคยเป็นคนขับรถของตน แต่เมฆาก็ออกมาให้ข่าวปฏิเสธว่าตนเองไม่เกี่ยวข้องกับสมชาย แต่ใครจะไปเชื่อ เรื่องของบัณฑิตาและเรื่องข่าวร้าย ๆ ทุกคนกำลังมองว่าเป็นฝีมือของเมฆา เหลือเพียงมีหลักฐานมากพอในการมายืนยันความบริสุทธิ์ของบัณฑิตา
“ทานข้าวหน่อยนะคะคุณแก้ว” มิลาถือชามข้าวต้มเข้ามาในห้อง
“เธอกลับบ้านไปเถอะ ฉันดูแลตัวเองได้ ฉันไม่ใช่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายต้องให้ใครมาเฝ้า”
“ไม่ได้นะคะคุณแก้ว ถ้าคุณรักรู้คุณรักต้องฆ่าดิฉันแน่”
“แต่ฉันอยู่ได้ เอาอย่างนี้ เธอช่วยกลับไปเอาสมุดออเดอร์ครีมจากที่ร้านมาให้ฉันที” มิลามองอย่างไม่แน่ใจ
“ไปเถอะ ฉันอยู่ได้ รีบไปรีบกลับแล้วกัน”
“ค่ะดิฉันจะรีบไปรีบกลับนะคะ” แล้วมิลาก็เดินออกไป แก้วกัลยามองมิลาที่เดินพ้นออกไป ก็ลุกขึ้นจากเตียงและหยิบเสื้อผ้าวิ่งเข้าห้องน้ำไปในทันที
“ดิฉันขอโทษจริง ๆ นะคะ แต่ท่านประธานไม่อนุญาตให้คุณแก้วเข้าพบไม่อนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนด้วย พวกเราขอโทษจริง ๆ นะคะ” พนักงานประชาสัมพันธ์สาวเอ่ยเสียงเบา เพราะกลัวเจ้าแม่ขาวีนคนนี้จะวีนเธอขึ้นมา
“แต่ฉันอยากพบคุณเพชร” แก้วกัลยาเอ่ย เธอใช้จังหวะที่มิลาขับรถออกไปออกมาจากบ้านเพื่อมาพบเพทาย เธอรอพรุ่งนี้ไม่ไหวหรอก นี่มันหนึ่งอาทิตย์แล้ว เธออยากรู้ว่าเขาหายโกรธเธอบ้างหรือยัง อยากเจอหน้าเขา เธอยอมให้เขาโกรธอย่างน้อยโกรธง้อยังหาย แต่เกลียดมันยากจะกูอะไรหลับมา เธอยอมอยู่เฉย ๆ มาหนึ่งอาทิตย์ ยอมดูแลตัวเองเพื่อจะมาเจอหน้าเขาอีกครั้ง เขาจะอภัยให้เธอบ้างหรือยัง
“ดิฉันให้คุณแก้วขึ้นไปไม่ได้จริง ๆ ขอโทษนะคะคุณแก้ว แต่ถ้าปล่อยให้คุณขึ้นไปท่านประธานต้องไล่พวกเราออกแน่เลยค่ะ”
“ก็ได้ ฉันไม่ขึ้นก็ได้ แต่ฉันจะนั่งรอตรงนี้ จนกว่าคุณเพชรจะยอมให้ฉันเข้าพบ” พนักงานแต่ละคนทำหน้าไม่ถูก แก้วกัลยาเดินไปนั่งที่โซฟาด้านข้างประชาสัมพันธ์ มุมสำหรับติดต่องาน แก้วกัลยาหยิบนิตยสารขึ้นมาเปิดโดยไม่แคร์สายตาใคร
“แฟ้มเซ็นอนุมัติค่ะ” เพทายที่เหม่อใจลอยหันไปมองมินตราที่ถือแฟ้มเอกสารเดินเข้ามา เขารับแฟ้มมาเปิดตรวจตราก่อนจะเซ็นส่งคืนให้กับมินตรา มินตรากำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวคุณมินตรา”
“คะ” มินตราหันกลับมามองเจ้านาย
“คุณแก้วกลับไปหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ มาตั้งแต่สาย ๆ จนนี่จะเย็นแล้วนะคะ ท่านประธานไม่ลงไปพบเธอหน่อยหรอคะ ดิฉันเองก็ไม่รู้ว่าคุณแก้วเธอทำผิดอะไร แต่จากสิ่งที่ผ่านมาคุณแก้วเธอจริงใจกับท่านมากนะคะ มานั่งรอขนาดนี้เห็นแล้วน่าสงสารนะคะ แถมเธอดูซูบ ๆ เหมือนคนป่วยด้วย ท่านประธาน...”
“คุณมินตรา” มินตราทำหน้าเจื่อนเมื่อเจ้านายเริ่มแสดงสีหน้าดุใส่
“ขอโทษค่ะ ดิฉันแค่อยากออกความเห็น ท่านประธานจะกลับเลยหรือเปล่าคะ”
“คุณกลับไปได้เลย ผมจะอยู่ตรวจเอกสารอีกพัก อาทิตย์หน้าให้คีตะกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่คงต้องหาบอดี้การ์ดเพิ่ม ฝากให้บอกคุณจีน่าด้วย”
“ค่ะ” มินตราเดินออกจากห้องไป เพทายเอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้ดวงตาคมปิดลงเหมือนกำลังใช้ความคิด จนเสียงข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู นาฬิกาที่หน้าจอบอกเวลาหกโมงตรง พร้อมกับข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมา จากแก้วกัลยา นับจากวันที่เขารู้ความจริงเขาไม่ได้ติดต่อแก้วกัลยาอีกเลย แต่เธอก็พยายามขอโทษเขาด้วยกลวิธีของเธอนั่นคือส่งแคคตัส หรือกระบองเพชรมาให้เขา เป็นผู้หญิงที่มีวิธีง้อที่แปลก แก้วกัลยาส่งกระบองเพชรจะมาวันละต้น โดยแนบการ์ดเขียนคำขอโทษมาด้วย ส่วนกระดาษอีกใบติดแถมมาคือวิธีดูแลต้นกระบองเพชร รวมถึงแอบอวดตามนิสัยว่าตัวเธอปลูกเอง ซึ่งเขาก็ไม่อยากจะเชื่อ
นอกจากการ์ดขอโทษที่ส่งมา อีกสิ่งคือ Message ที่ส่งมาเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน เป็นข้อความถามสารทุกข์สุขดิบ รวมถึงคำขอโทษ คำถามที่ถามทุกวันว่าหายโกรธเธอหรือยัง แต่เขาก็ไม่เคยตอบกลับไป เขาบอกไม่เต็มปากหรอกว่าโกรธ หรือไม่โกรธ สิ่งที่เธอทำให้เขาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมามันเยอะมาก เขาเคยอึดอัดเวลาเจอหน้าเธอ แต่วันหนึ่งได้รู้จักเธอเขากลับคิดว่านี่มันเป็นนิสัยธรรมชาติของผู้หญิงคนนี้ ถ้าไม่คิดอะไรเธอคงไม่แยแสเลย แต่เขาก็ยังคงผิดหวัง อีกอย่างอาจรู้สึกเสียหน้าที่โดนหลอก ถามว่าวันนี้ยังโกรธไหม เขาอาจจะหายไปแล้วยิ่งรู้ว่าตัวเธอทุกข์ร้อนกับความผิดความโกรธที่มีก็ค่อยหายไป เสียงโทรศัพท์ของบริษัทที่วางอยู่มุมโต๊ะดังขึ้น เขากดปุ่มเปิดรับสาย
“คุณเพทายคะ รปภ.สมชาย ขึ้นมาขอพบค่ะ” เสียงมินตราเอ่ย
“ให้เข้ามา” และรปภ.คนนั้นก็เดินเข้ามา พร้อมกับต้นกระบองเพชรต้นที่เจ็ดของสัปดาห์นี้
“คุณแก้วกัลยาฝากให้ผมเอาขึ้นมาให้ท่านประธานครับ เธอบอกด้วยนะครับว่าจากนี้เธอจะมาทุกวัน จะรอจนกว่าคุณเพทายจะยอมพบเธอครับ”
“วางไว้แล้วก็ลงไป” รปภ.วางกระถางต้นไม้ลงที่โต๊ะทำงานก่อนจะเดินออกไป เพทายมองต้นกระบองเพชรต้นเล็ก และมองไปที่ริมหน้าต่างที่มีวางเรียงกันอีกหกต้น รวมต้นที่ได้รับวันนี้ก็เจ็ดต้นแล้ว แต่ต้นนี้พิเศษกว่าหกต้นที่ผ่านมาก็เพราะว่าแก้วกัลยามาหาเขาเอง ส่วนอีกหกต้นพนักงานบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเอามันมาให้ เพทายหยิบขึ้นมาหมุนดู พร้อมเปิดการ์ดที่ติดมาด้วย เพทายมองข้อความวันนี้ที่เหมือนจะยาวกว่าทุกวัน
... Golden Barrel Cactus หรือถังทอง กระบองเพชรตระกูล Echinocactus...
...ตอนเด็ก ๆ อากงมักจะมีกิจกรรม มาให้พวกฉันสี่พี่น้องทำคลายเหงา หนึ่งในนั้นคือการปลูกต้นไม้ กระบองเพชรเป็นต้นเดียวที่ฉันดูแลแล้วไม่ตาย นอกจากกระบองเพชรจะมีความเชื่อเรื่องโชคลาภ กระบองเพชรยังมีอีกหนึ่งความเชื่อคือ จะช่วยป้องกันภยันอันตราย คุ้มครองผู้ปลูกไม่ให้ได้รับอันตรายจากศัตรู หรือทำให้ผู้ประสงค์ร้ายเกิดความเกรงกลัวไม่กล้ามาคิดร้ายอีก ฉันดูแลคุณปกป้องคุณไม่ได้ในตอนนี้ ก็ให้กระบองเพชรปกป้องคุณแทนแล้วกันนะคะคุณเพชร
ถังทองต้นนี้เป็นต้นนำโชคของฉันที่ฉันติดมาจากระยองเชียว เป็นหนึ่งในต้นสุดหวง หนึ่งในบรรดาคอลเลคชั่นของฉันที่ชอบมาก ๆ เลยนะ เพราะฉันเพาะเอง ฉันตัดสินใจยกมันให้คุณ มันอาจจะแทนคำขอโทษฉันไม่ได้ แต่ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริง ๆ ฉันยอมรับทุกความผิด ฉันไม่กล้าพูดยอมรับว่าจะไม่ทำอีก เพราะถ้าวันหนึ่งฉันทำไม่ได้คุณก็จะโกรธฉันอีก แต่ฉันขอให้คุณอย่าเกลียดฉันนะ ดูแลตัวเองด้วย ฉันเป็นห่วงคุณนะ แล้วฉันจะมาอีก มาจนกว่าคุณจะให้ฉันพบ ให้อภัยฉัน ฉันขอโทษ...
เพทายลุกจากเก้าอี้เดินไปที่หน้าต่าง วันนี้เขาอยู่ที่ชั้นห้าไม่ได้ขึ้นไปทำงานที่ชั้นบนสุดของตึกเพราะมีคุยกับโปรดิวเซอร์เพลง พอคุยเสร็จเขาก็ปักหลักนั่งอยู่ในห้องเคลียร์งานในห้องนี้ตั้งแต่บ่ายจรดเย็น เขามองลงไปข้างล่างมองเห็นว่าเธอกำลังเดินออกจากตึกแล้วแต่เธอยังไม่เดินไปไหน เธอหยุดนิ่งอยู่หน้าตึกวีนัสและเงยหน้าขึ้นมองมาบนตึก โชคดีที่กระจกของตึกเป็นกระจกสองด้านที่สะท้อนภาพจากด้านนอกให้เห็นเท่านั้น
แก้วกัลยาถอนหายใจและเดินขึ้นแท็กซี่ไป นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้ขับรถมา ท่าทางดูอ่อนแรงอย่างที่มินตราบอกไม่มีผิด เขายืนเหมือนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันหลังไปหยิบกระถางกระบองเพชรต้นเล็กทั้งสี่ใส่กล่องใบเล็กที่นำติดมาด้วย และรีบวิ่งลงจากตึกไปที่ลานจอดรถและขับรถตามแก้วกัลยาไป เขาพยายามเว้นระยะห่างไม่ให้แก้วกัลยารู้ตัว ถ้าแก้วกัลยารู้ว่าหนุ่มสุดรักขับรถตามไปส่งคงได้กรี๊ดบ้านแตกเป็นแน่ เพทายจอดรถลงที่ทางเลี้ยวแยกที่จะไปสู่บ้านแก้วกัลยา เมื่อแก้วกัลยาลงจากรถเข้าบ้านไปอย่างปลอดภัยเขาเลี้ยวลดกลับ จนโทรศัพท์ดังขึ้น
“ฮัลโหล ว่าไงนะ!!!”
“เกิดเรื่องแล้วเจ๊แก้ว ตัวได้ดูข่าวยัง” แก้วกัลยามองน้องสาวที่อยู่ ๆ ก็เปิดประตูพรวดเข้ามาในเวลาเช้า เช้ามาก ๆ เพราะนี่พึ่งหกโมง แก้วกัลยาเงยหน้าจากโน็ตบุ๊คและหันไปมองน้องสาวที่เปิดประตูเข้ามาอย่างไร้มารยาทเช่นทุกครั้ง แถมยังเข้ามาส่งเสียงดังลั่นห้องไม่เกรงใจคนที่พึ่งหายป่วยสักนิด ผิดที่เธอไม่เคยล็อกประตูห้องเพราะมันเป็นกฎของบ้าน
“ทำไมตื่นเช้าจังวันนี้จัง” รักจิราพูดราวกับเจ้าเรื่องที่ประหลาดที่สุดในจักรวาล
“ฉันไปใส่บาตรมา ช่วงนี้ดวงตก” แก้วกัลยาตอบขณะที่สายตายังไม่ละจากหน้าจอคอม
“เจ๊แก้วทำบุญสงสารฝนจะตก เมื่อวานหนีไปหาคุณเพชรเค้ายังไม่ฟ้องเฮียเจตเลย ตัวพึ่งหายป่วยควรจะนอนพักเยอะ ๆ มากกว่ามานั่งเล่นคอมนะ” แก้วกัลยาส่งสายตาค้อนให้กับรักจิรา
“แต่ฉันกำลังดูกล้องวงจรปิดอยู่ย่ะ”
“กล้องวงจรปิดอะไรของตัวนะเจ๊แก้ว”
“กล้องในผับที่แบร์ไปไง” รักจิราเดินมาหยุดดูข้าง ๆ และมองภาพกล้องวงจรปิดในวันที่แบร์ไปผับซึ่งมีตั้งแต่บัณฑิตาเข้าไปจนถึงตอนเหตุการณ์ชุลมุน
“แกมาดูนี่แกคิดว่ามันน่าสงสัยไหม” รักจิราเดินเข้าไปดูและมองตาม กล้องตัวนี้เป็นกล้องที่อยู่หน้าห้องน้ำ บัณฑิตาเดินเข้าห้องน้ำในสภาพคล้ายกำลังจะหมดสติ ก่อนจะเกิดเหตุชุลมุนขึ้นเมื่อตำรวจเข้าล้อมจับ วัยรุ่นวิ่งกระจัดกระจาย และตอนนั้นเองที่มีคนวิ่งเบียดเสียดจะหนีไปทางหนีไฟ มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ วิ่งหายเข้าไปพักหนึ่งก็วิ่งออกมาก่อนตำรวจจะเข้าไปด้านใน
“มันอาจจะปวดฉี่แล้วมันชุลมุนเลยแวะเข้าไปก็ได้”
“สาบานว่าแกคิดแบบนั้นไอ้รัก” รักจิรายิ้มขำ ๆ ก่อนเอ่ย
“โห่ ขำ ๆ เจ๊แก้ว แต่เรื่องนี้ชักจะไม่ธรรมดาซะแล้วสิ มันดูมีอะไรมากกว่านั้น”
“มันไม่ธรรมดาตั้งแต่นายบริกรคนนี้เป็นคนไปรับแบร์ที่หน้าผับเข้ามาด้านใน แกคิดว่ามันเริ่มทะแม่ง ๆ บ้างไหมล่ะ” แก้วกัลยาเปลี่ยนมาที่ภาพลานจอดรถที่บัณฑิตาขับรถมาคนเดียวและพอจอดรถก็มีบริกรเดินมารับ
“เดี๋ยวนะ เจ๊แก้วตัวลองซูมหน้าไปที่ไอ้บริกรคนนั้นอีกนิดสิ เค้ารู้สึกคุ้น ๆ หน้ามัน” รักจิราเอ่ย แก้วกัลยาซูมภาพใบหน้าของบริกรคนนั้นเข้ามาใกล้อีก รักจิราขมวดคิ้วแทบชนกันก่อนจะร้องออกมา
“นี่มัน...”
“แกรู้จักหรอ”
“ไม่”
“อ้าว แล้วแก...”
“ไม่ได้รู้จักผิวเผิน แต่รู้จักดีเลยต่างหาก ก็ไอ้หมอนี่มันเป็นรุ่นน้องเค้าเรียนมัธยมต้น แล้วมันไปต่อช่างกลเค้าเคยช่วยมันไว้ตอนมันเกือบโดนกระทืบตาย แล้วมันก็เลยสนิทกับเค้า แต่พอเรียนจบก็ไม่ค่อยได้เจอกันอีก”
“แกจะบอกว่าแกรู้จักมัน ถ้าอย่างนั้น...”
“แค่ตามตัวมันมาเค้นปากให้มันตอบว่ามันเข้าไปทำอะไร”
“ถ้าอย่างนั้น”
“ตัวจะไม่ฟังข่าวที่เค้าจะบอกก่อนหรอ ไอ้เอกมันไม่หนีไปไหนหรอก เค้ารู้จักเพื่อนมันโทรไปถามที่อยู่อีกสองชั่วโมงก็รู้แล้ว แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคุณเพชร”
“เรื่องอะไรไอ้รัก เรื่องดีหรือไม่ดี แกบอกมาให้หมด ทำไมแกไม่บอก ไอ้รัก” แก้วกัลยาที่ถลาตัวลุกขึ้นมาหาน้องสาวทันทีที่รู้ว่าข่าวที่น้องสาวมาบอกคือของของเพทาย แต่เธอกลับไม่เว้นจังหวะให้รักจิราได้พูดเอาแต่เขย่าตัวจนรักจิราหัวสั่นหัวงอนไปมา
“ก็ถ้าตัวไม่หยุดเขย่าแล้วเค้าจะพูดได้ยังไง เค้าไม่ใช้เซียมซีนะ ปล่อยได้แล้ว” แก้วกัลยาปล่อยมือออกแล้วมองน้องสาวที่ตั้งตัวได้
“เมื่อคืนคุณพรทิพย์แม่ของคุณเพทายประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ อาการสาหัส”
“แต่คุณน้าปฏิบัติธรรมอยู่ที่อินเดียไม่ใช่หรอ เห็นว่าจะไปทำบุญต่อที่อื่นอีกสามเดือน นี่ยังไม่ครบสามเดือนเลย”
“คิดว่าคงกลับมาก่อนกำหนด มาถึงเมื่อตอนตีสี่กำลังนั่งรถกลับ แต่รถพลิกคว่ำ ตอนนี้ยังอยู่ห้องไอซียูอยู่เลย ข่าวออกเมื่อเช้าสด ๆ เลยนะ”
“แล้วทำไมแกไม่รีบบอกฉันล่ะ”
“เอ้า ก็มัวแต่สนเรื่องคดี”
“ฉันจะไปหาคุณเพชร” รักจิราจับมือแก้วกัลยาไว้ก่อที่จะตัวจะวิ่งออกจากห้องนอนไป
“จะไปในสภาพนี้เนี่ยนะ เค้าว่าตัวไปอาบน้ำก่อนไหม ขืนไปแบบนี้คนเขาจะแตกตื่นเอาว่าผีบ้าที่ไหนบุกโรงพยาบาล”
“แต่...”
“ตามใจอยากไปก็ไป” รักจิราเดินออกไป แก้วกัลยาก้มมองชุดนอนของตนเองและเดินเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยน และนี่เป็นประวัติศาสตร์ต้องจารึกแก้วกัลยาอาบน้ำแต่งตัวเร็วที่สุด ประวัติคงต้องจารึกแม้แต่ชุดที่ใส่ยังธรรมดาสุด ๆ ยังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แก้วกัลยาวิ่งลากแขนรักจิรา
“ตัวจะรีบไปไหนเจ๊แก้ว”
“ก็ไปหาคุณเพชรไงล่ะ”
“รู้ โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลขนาดนั้นที่สำคัญ ตัวคิดว่าคุณเพชรเขาหายโกรธตัวหรือยัง”
“ไม่รู้ เรื่องโกรธไม่โกรธไว้ว่ากันตอนไปถึง คุณน้ากำลังเจ็บคุณเพชรคงกำลังแย่ แม้จะยืดเรื่องปลดตำแหน่งออกไปได้ แต่มันยังไม่จบไอ้แก่ทรงกลดมันต้องรอแทงคุณเพชรตอนแย่ ๆ อยู่แน่” รักจิรารีบวิ่งตามออกไป
....ติดตามตอนต่อไป....
จบไปอีกตอน เจ๊แก้วเราก็มีมุมมุ้งมิ้งปลูกต้นไม้รักสัตว์เหมือนกันนะ
แล้วมาลุ้นกันในตอนหน้าว่าคุณเพชรจะกลับมาคืนดีกันไหม
หรือแก้วต้องไปซบอกเฮียเจตต์ร้องไห้
ขอบคุณคอมเมนส์นะคะ แล้วพบกันค่ะ
ห่วงหา
แก้วกัลยาทำหน้าหงุดหงิดใจเมื่อต้องมานอนแบ็บอยู่บนเตียงคนไข้อีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันข้ามวันใหม่ ที่สำคัญห้องพักยังเป็นห้องเดียวกับครั้งก่อน แก้วกัลยาทำหน้าเบื่อหน่าย โชคดีที่เธอกลิ้งลงมาหยุดที่ชานพักของบันได ไม่อย่างนั้นแขนที่ไม่ได้ใส่เฝือกอาจได้ใส่เฝือกจริง ๆ เพิ่มเฝือกคอกับขาไปอีก สภาพเธอโดยรวมไม่ต่างจากผักต้มที่เหี่ยวแห้ง แผลตามตัวที่เมื่อไม่มีเสื้อแขนยาวพลางไว้มันก็เห็นชัดขึ้นมาก ใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอาง เห็นรอยช้ำที่จางลงจากเหตุการณ์ปองร้ายครั้งก่อน แม้มันจะสร้างรอยตำหนิให้บนหน้าแต่ก็ไม่ได้อำพรางความสง่าให้หายไปได้
“แก้ว” แก้วกัลยาหันไปมองเจษฎาที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าห่วงกังวล
“เฮียเจต มาได้ยังไง”
“รักโทรไปบอก มิลาไม่ว่างปลีกตัวมาไม่ได้ คุณมงกุฎก็ปิดเครื่องเงียบไป รักมีเรื่องต้องไปทำ เฮียเลยมาดูเราแทน แล้วเป็นไงถึงตกบันไดได้ฮะเรานะ” เจษฎามองร่างที่บอบช้ำนั้นด้วยความเจ็บปวดแทน
“อุบัติเหตุค่ะ แต่ไม่เป็นอะไรมาก พรุ่งนี้ก็...”
“เราต้องนอนพักหนึ่งอาทิตย์ แม้จะมีคนบอกว่าเราน่ะกระดูกเหล็กตกมาแล้วไม่หนักถึงขั้นใส่เฝือกจริง ๆ” แก้วกัลยามองแขนข้างที่เคยใส่เฝือกด้วยสายตาหมองลง เมื่อเช้าหมอเข้ามาตรวจร่างกาย เอ่ยต่อว่าเล็กน้อยเรื่องใส่เฝือกเล่น
“ได้ไงเฮีย แก้วคิดว่า...”
“เชื่อเฮียบ้าง ได้ดูสภาพตัวเองบ้างหรือเปล่า แผลเก่ายังไม่หาย ได้แผลใหม่มาอีกแล้ว พักผ่อนบ้าง ช่วงนี้แก้วหมกมุ่นเรื่องคุณเพทายเขามากไป”
“แก้ว...”
“รักเล่าให้ฟังแล้ว การที่เขากำลังโกรธ เรายิ่งไปเจอหน้าเขาตอนนี้ก็ยิ่งทำให้ไฟโหมแรงขึ้น รออีกสักพักให้เขาอารมณ์เย็นแก้วค่อยไปพบเขา เชื่อสิ เขาไม่โกรธแก้วไปมากกว่านี้หรอก แก้วทำอะไรให้เขาตั้งเยอะ เสี่ยงตายแค่ไหนเขาต้องเห็นถึงความจริงใจตรงนี้แน่ ๆ ให้เวลาคุณเพชรเขาบ้าง”
“เฮียเจต...”
“เฮียแวะมาดู เดี๋ยวเฮียต้องกลับไปคุยกับลูกค้าต่ออีก เฮียกลัวแก้วเหงาเลยมาคุยเป็นเพื่อน อยู่คนเดียวเดี๋ยวก็คิดมากอีก เดี๋ยวเฮียเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวเฮียออกมาคุยด้วย” เจษฎาเดินเข้าห้องน้ำไป แก้วกัลยาหยิบหนังสือนิตยสารบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาอ่าน ภาพข่าวซุบซิบไฮโซในนิตยสารทำเอามือที่กำลังถือหนังสืออยู่สั่น และเริ่มกำมันแน่ขึ้น สุดท้ายเมื่อทนไม่ไหวก็กระชากกระดาษนั้นขึ้นมากำเป็นก้อน ๆ และปาทิ้งไม่สนทิศทางของกระดาษ
“โธ่เว้ย!!!”
“แก้ว” แก้วกัลยาหันไปมอง และเห็นกระดาษที่พุ่งไปโดนหัวของคนที่พึ่งออกมาจากห้องน้ำอย่างแม่นยำ แก้วกัลยานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แก้ว...ขอโทษ”
“ไม่เป็นอะไร ว่าแต่ทำไมถึงฉีกกระดาษเล่นแบบนี้” เจษฎาเอ่ย แต่เหมือนแก้วกัลยาจะไม่ฟังตั้งท่าจะหยิบแก้วขึ้นมาปาเหมือนเช่นเคย เจษฎาวิ่งเข้าไปคว้ามาถือไว้ทัน แก้วกัลยาถลึงตามองอย่างไม่ชอบใจ
“นิสัยปาข้าวของแก้ไม่หายเลยนะแก้ว”
“เฮียอย่ามายุ่งกับแก้ว” แก้วกัลยาหันไปรอบนี้แก้วกัลยาคว้าหยิบแจกันบนโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง เจษฎารีบแย่งดึงออกจากมือแก้วกัลยา แก้วกัลยามีท่าทีไม่พอใจที่โดนห้าม
“โตแล้วนะแก้ว ไม่พอใจอะไรทำลายข้าวของเป็นเด็ก ๆ ไม่ได้ แก้วต้องรู้จักใจเย็น ๆ ทำลายข้าวของไปมีประโยชน์อะไรกัน มองเฮีย มองหน้าเฮีย” แก้วกัลยาหันไปจ้องหน้าเจษฎาที่มีน้ำเสียงดุขึ้นกว่าทุกครั้ง ดวงตาที่มองมามีประกายของความห่วงใย
“หลับตา” แก้วกัลยายอมหลับตาลง เจษฎาเดินไปหยิบน้ำเย็นขวดหนึ่งออกมาและยัดใส่มือแก้วกัลยาแต่ยังกุมมือเธอไว้ไม่ปล่อย
“อย่าพึ่งลืมตา จับขวดน้ำไว้ ให้ความเย็นมันซึมเข้าไป ทีนี้หายใจเข้าลึก ๆ” แก้วกัลยาทำตามอย่างว่าง่าย “หายใจออกยาว ๆ แล้วลืมตาขี้น” แก้วกัลยาลืมตามองหน้าเจษฎาที่ปล่อยมือออกจากมือเธอแล้ว “ดื่มน้ำนี่สิ”
“แก้วไม่หิวน้ำ”
“โกรธมาก ๆ ดื่มเข้าไป ดื่มไปเยอะ ๆ ดื่มไปจนกว่าจะหาย” แก้วกัลยาทำสีหน้าไม่เข้าใจ แต่สายตาที่ออกคำสั่งทำให้แก้วกัลยายอมเปิดขวดและกรอกน้ำเข้าปากหลุดมาดความสง่างาม แก้วกัลยาดื่มจนหมดขวด
“เป็นไง”
“ไม่เห็นหายโกรธวิธีนี้สู้ปาของไม่ได้หรอก”
“แต่เย็นขึ้นไหมล่ะ” แก้วกัลยานิ่งและพยักหน้า “บางทีคนเราจะโกรธ จะโมโหมันก็ไม่แปลก แต่อยู่ที่เราจะหาทางลงกับมันยังไง แก้วอาจจะบอกว่าแก้วลงกับสิ่งของไม่ได้ลงกับคน แต่รู้ไหมเหตุผลของการที่คนทำร้ายตบตีกัน จนถึงพลั้งมือฆ่ากันเวลาโกรธ มันก็เริ่มจากอาละวาดแบบนี้แหละ แก้วสังเกตไหมยิ่งแก้วโกรธมากของรอบ ๆ ตัวก็ยิ่งพังมาก แล้วของพวกนั้นผิดอะไร ของที่แก้วเอามาพังบางชิ้นแก้วอาจจะบอกว่าแก้วมีตังค์ จานชามแก้วหาซื้อมาใช้ได้ แต่แก้วคิดหรือเปล่ามีเด็กกี่คนที่ต้องกินข้าวจากพื้นสกปรก สู้แก้วเอาจานชามไปบริจาคให้วัด เอาแก้วบริจาคให้เด็กได้ใช้มันไม่ดีกว่าการเอามาทำลายทิ้งหรอ” แก้วกัลยานิ่งไป
“แก้วโมโห แก้วไม่อยากทำร้ายใคร พาลกับใคร”
“นี่ไงวิธีที่เฮียบอก กินน้ำ กินไปจนกว่าจะหาย เฮียเคยโกรธมาก ๆ เฮียกินน้ำไปเกือบสิบขวด”
“เฮียเคยโกรธด้วยหรอ”
“เคยสิ แต่เฮียคิดว่าโกรธเราเก็บไว้มันก็มีแต่ทรมาน เฮียจะกินน้ำ กินไปจนกว่าจะจุก พอจุกเฮียจะหลับ” แก้วยิ้มออกมาทันทีที่เจษฎาบอกว่ากินจนจุกแล้วหลับ “พอหลับตื่นมา สมองเฮียจะโล่ง แล้วเฮียจะคิดแก้ปัญหาต่อไป”
“ขอบคุณค่ะเฮีย” แก้วกัลยาเอ่ย เจษฎายิ้มและวางมือลงบนหัวและขยี้เหมือนแก้วกัลยาเป็นเด็ก ๆ
“ไหนขอดูต้นเหตุของพายุสิ” เจษฎาเดินไปหยิบกระดาษขึ้นมาคลี่ออก ภาพข่าวที่เพทายอุ้มดารินทิพย์ไปส่งโรงพยาบาลด้วยท่าทีร้อนใจคือต้นเหตุที่ทำให้แก้วกัลยาร้อนเป็นไฟ
...ข่าวแซบวงการไฮโซ มีคนตาดีเห็นประธานหนุ่มวีนัสควงไอโซสาวหน้าหวานไปโรงพยาบาล หรือจะเลื่อนขั้นคบเป็นแฟนมาแต่งงานกันเลย คงต้องรอลุ้นกันต่อไป...
“นี่คือต้นเหตุที่แก้วโกรธ”
“คุณเพชรไม่ได้ไปไหนกับยัยน้องดามาเกือบเดือนแล้ว คุณเพชรโกรธแก้วเพราะยัยซูซี่คนเดียว”
“ทำไมไม่โทษตัวเองบ้างล่ะ เราไปโกหกเขาก่อนนะ” แก้วกัลยาทำสีหน้าไม่พอใจอีกครั้ง
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นกับเฮีย เราไม่ใช่หรอโกหกคุณเพชรเขาก่อน เพราะโกหก เพราะมีความผิด ถ้าเราไม่มีความผิดก็ไม่มีใครมาเปิดโปงเรา คนที่เขาไม่หวังดีเขาก็รอโอกาสแบบนี้อยู่แล้ว แก้วไม่ควรโกหกตั้งแต่แรก”
“แก้วรู้ว่าแก้วผิด แต่...”
“ถ้ารู้ว่าผิดก็ไม่ต้องมีแต่ แล้วรู้ไหมคนผิดต้องทำยังไง” แก้วกัลยาพยักหน้า “ดังนั้นตอนนี้ทำใจให้สบาย ทำตัวให้สบาย พร้อมแล้วค่อยกลับไปแก้ปัญหา ยังไงคุณเพชรก็ไม่หนีแก้วไปไหนหรอกเชื่อเฮียสิ” แก้วกัลยาถอนหายใจและพยักหน้า
“เฮียหวังว่านี่จะเป็นบทเรียนให้แก้วได้บ้าง และเฮียคิดว่าการปาของพวกนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก แก้วเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากพอแล้ว อย่าทำให้ใครมาว่าแก้วเป็นเด็กได้”
“รู้แล้ว” แก้วกัลยาเอ่ย เธอรู้สึกเหมือนเดจาวู เมื่อวานพึ่งโดนรักจิราว่า วันนี้มาเจอเจษฎาต่ออีก
“รู้แล้วก็ทำด้วย แก้วน่ะเป็นคนหัวไว คิดเป็น และรู้ว่าแก้วเข้าใจที่เฮียพูด เดี๋ยวเฮียจะกลับมาตอนเที่ยง อยากได้อะไรไหม” เจษฎาเอ่ย แก้วกัลยานั่งนิ่งและส่ายหน้าอย่างเนือย ๆ แต่เมื่อเจษฎากำลังจะก้าวออกไป
“เฮียเจตคะ” เจษฎาหันกลับมา “เฮียช่วยอะไรแก้วอย่างหนึ่งได้ไหมคะ” เขาคิดอย่างชั่งใจก่อนจะพยักหน้ารับ แก้วกัลยายิ้มอย่างดีใจ
“เฮียช่วย...”
...หนึ่งอาทิตย์ต่อมา...
“ขวัญ” แก้วกัลยาลืมตาขึ้นเมื่อฝันประหลาดว่าเห็นขวัญชีวันมาหาเธอในสภาพที่ร่างโชกไปด้วยเลือด ในฝันขวัญชีวันมองหน้าเธอและขยับปากพูดกับเธอแต่เธอมองไม่ออก เธอไม่เคยฝันร้าย ถ้าฝันร้ายเท่ากับเป็นลางบอกเหตุ ซึ่งไม่บ่อยครั้งที่เธอจะฝันร้ายแบบนี้ เธอเริ่มกังวลเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์กดโทรหาขวัญชีวันแต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับ แก้วกัลยาจึงเปลี่ยนไปโทรหารักจิราแทน
(เจ๊แก้วเค้าไม่ว่านะ ไว้ค่อยคุยกัน ไอ้เฮียเปามันกำลังจะมารับเค้า เค้าต้องรีบออกจากบ้านแค่นี้นะ) สายถูกตัดไปแล้ว แก้วกัลยาถอนหายใจคิดหนักเปลี่ยนไปโทรหาวันวิวาห์แทน
(ว่าไงแก้ว)
“วันฉันฝันประหลาด ฉันฝันว่าขวัญตายแล้ว ตอนนี้ติดต่อขวัญไม่ได้ฉันเป็นห่วง”
(ไม่มีอะไรหรอก เมื่อวานวันโทรไปหารัก รักบอกว่าขวัญยังปกติ ช่วงนี้ต้องไปหาวัตถุดิบทำขนมกับเชฟคนโปรดนอกสถานที่เลยไม่ได้พกโทรศัพท์ เห็นบอกว่าถ้ากลับจากเตรียมหาวัตถุดิบจะโทรกลับ รักเองก็บอกว่าเสียงปกติ)
“หรอแต่ฉันห่วงขวัญนะวัน”
(เอาอย่างนี้เดี๋ยววันจะลองโทรไปอีกที แก้วพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ดูแลตัวเองให้หายก่อนนะ ร่างกายตัวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นเลยตอนนี้ สามวันดีสี่วันไข้ไม่ใช่หรอ)
“ยัยรักโทรไปฟ้อง”
(ไม่ได้ฟ้องสักหน่อย อย่าไปดุรักล่ะ เอาเป็นดูแลตัวเองด้วย)
(ทางต้นสังกัดบอกหรือยังว่าจะให้คีตะกลับมาเมื่อไหร่ นี่มันครบสองอาทิตย์แล้วนะ)
(ยังไม่เห็นติดต่อมาเลย คุณคีตะบอกว่าอาจจะรอจนกว่าจะหาตัวคนร้ายได้ แก้ว...เดี๋ยวสาย ๆ วันมีธุระต่อ ไว้ค่อยคุยกันใหม่ วันจะลองติดต่อไปหาขวัญอีกครั้งได้เรื่องยังไงจะโทรกลับนะ)
“ได้ ๆ บาย” แล้วสายก็ตัดไป แม้จะรู้ข่าวคราวจากวันวิวาห์แต่แก้วกัลยาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ในบรรดาพี่น้องขวัญชีวันคือคนที่น่าเป็นห่วงที่สุด ขวัญชีวันไม่เคยหายไปจากบ้านนานขนาดนี้ แถมพวกเธอก็ติดต่อไม่ได้ มีรักจิราเพียงคนเดียวที่ติดต่อได้ เธอเองก็สงสัยไม่น้อยว่าเพราะอะไรกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แก้วกัลยาหันไปมองบานประตูที่ดังขึ้น ไม่ได้เอ่ยอะไรประตูก็เปิดออก แก้วกัลยากลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อวานหลังจากอ้อนวอนคุณหมอแทบทุกวันคุณหมอก็อนุญาตให้กลับได้แต่เธอต้องพักผ่อนมาก ๆ และกินยาให้ครบทุกมื้อร่างกายจะได้กลับมาปกติ แม้จะได้กลับบ้านแต่หลายวันมานี้เธอไม่ได้ข่าวเพทายเลย ทั้งเจษฎา รักจิรา ต่างพากันกักขังเธอไว้ในบ้าน ยึดงานเธอไปทำ ปิดข่าวเพทายไม่ให้เธอรับรู้ และยังให้คนมานั่งจับตาเฝ้าเธออีก
“เฮียทำข้าวต้มมาให้ เห็นพวกรักโทรมาบอกว่ารักออกไปทำงานแต่เช้า ไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้ และคงจะไม่เข้ามาตอนเที่ยงด้วย เฮียเลยแวะมามาดูเราก่อน”
“เฮียเอาของไปให้เขาหรือเปล่าคะเมื่อเช้า”
“เฮียเอาไปฝากพนักงานให้เอาขึ้นไปให้แล้ว เขาไม่ให้เฮียขึ้นไป แต่เฮียรอจนดอกไม้ถึงมือเขาเองเลยนะ ถ้าเขาไม่อยู่บริษัทเฮียก็เอาไปให้เขาที่บ้าน”
“เขาจะหายโกรธแก้วไหมคะ”
“แก้วขอโทษเขาทุกวัน แถมยังให้ของที่แก้วหวงไปอีก อีกไม่นานเขาก็หายโกรธแน่เชื่อเฮียสิ เลิกสนใจเขาสักวันดีกว่าไหม พูดถึงเขาทีไรแก้วหมองลงไปทุกที”
“แก้วไม่ได้เจอหน้าเขามาหนึ่งอาทิตย์แล้วนะคะ เสียงก็ไม่ได้ยิน แก้วกลัวเขาจะเกลียดแก้ว”
“ไม่ต้องคิดมากนะแก้ว กินข้าวแล้วพักผ่อนอีกวัน พรุ่งนี้เฮียพาไปส่งที่วีนัส หนึ่งอาทิตย์แล้วเขาอาจจะอารมณ์เย็นลงแล้ว เขาต้องยกโทษให้แก้วแน่ ๆ แก้วของเฮียออกจะ...แสนดี”
“คำว่าแสนดีของไม่เหมาะกับแก้วหรอกค่ะ ไม่อย่างนั้นเฮียคงไม่ทำหน้านึกนานแบบนั้น” แก้วกัลยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงงอน ๆ เหมือนแกล้งเจษฎาเล่น ๆ
“แต่แก้วก็ดีแบบของแก้วไง อาจจะร้ายบ้างในบางครั้ง แต่แก้วก็จริงใจ ใครดีมาแก้วดีตอบ แก้วอาจทำอะไรไร้เหตุผล แต่แก้วก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”
“ก็มีแต่เฮียที่เข้าใจแก้ว คุณเพชรเขาน่าจะเข้าใจแก้วแบบเฮียบ้าง”
“ถ้าคุณเพชรเข้าใจแก้วแบบเฮียเจต เธอก็รักเฮียเจต รักฉันไปแล้วสิ” คนที่เดินเข้ามาคือแมททิว มิลาเดินก้มหน้าตามมาด้านหลัง แก้วกัลยาหันไปมองด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก
“ใครเชิญนายมาเนี่ย”
“ฉันเชิญตัวเอง ฉันไม่เข้าใจว่าเธอเอาตัวเข้าไปทุ่มกับผู้ชายคนนั้นทำไม เขาไม่เห็นจะสนใจใยดีเธอ ถ้าเป็นเฮียเจต ฉันอาจจะยอมรับได้ แต่ไอ้หมอนั่นหน้าเธอมันยังไม่อยากจะมองเลย มีแต่เธอที่รักมันข้างเดียว”
“ถ้าคิดคำพูดดี ๆ ไม่ได้ หยุดพูดไปเลยนะ”
“พูดความจริงก็รับไม่ได้อีก”
“ฉันไม่ชอบฟังความจริงจากปากนาย แล้วมาทำไม หรือจะคืนมิลา”
“ใครบอก”
“ถ้าไม่มีอะไรนายก็กลับไป ฉันจะพักผ่อน”
“ฉันแค่จะมาบอกเรื่องคนร้าย ฉันให้คนของฉันไปสืบแล้ว ขอถามก่อนหนึ่งในสองมีคนหนึ่งเหมือนตาจะบาดเจ็บใช่หรือเปล่า” แก้วกัลยาพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ผิดตัว พวกมันเป็นพวกนักโทษหนีคดี ตอนนี้มันหนีไปกบดานอยู่แถวสระแก้ว ฉันกำลังจะให้คนของฉันตามจับ แต่เมื่อวานพวกมันสองคนถูกฆ่าปิดปาก มีคนเจอศพมันลอยน้ำแถว ๆ สะพานพระรามเก้า”
“คนที่อยู่เบื้องหลังมันก็กลัวเราจะสืบไปถึงพวกมัน ถ้าคนร้ายตัวจริงยังลอยนวลอยู่ เธอควรจะออกห่างจากนายเพชรนั่น นายเพชรคนนี้เป็นสาเหตุให้เธอต้องเป็นแบบนี้แน่ ๆ”
“นายมีงานก็ไปทำเถอะ”
“เดี๋ยวมีปัญหาอย่ามาขอร้องให้ฉันช่วยอีกล่ะ มิลาอยู่กับเจ้านายเธอเถอะ วันนี้ฉันไม่มีวานให้เธอทำ แล้วอย่าชวนกันไปทำอะไรแผลง ๆ ” แมททิวเดินออกไปเมื่อสั่งเสร็จ มิลาหันมามองหน้าแก้วกัลยาเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง
“พูดมามิลา”
“คือ...คุณพิตต้าเธอพึ่งกลับมาเมื่อวานค่ะ ดิฉันเจอเธอแล้ว เธอฝากมาบอกว่าอย่าลืมงานวันเกิดของเธอค่ะ”
“งานวันเกิด หึ...” แก้วกัลยาสบถเสียงออกมา
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวเฮียไปก่อน แก้วมีมิลาแล้ว เดี๋ยวเย็น ๆ เฮียซื้อขนมมาฝาก” เจษฎาเอาขนมมาหลอกล่อราวกับแก้วกัลยาเป้นเด็กก่อนจะเดินออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงสองสาวเจ้านายกับลูกน้องขี้กลัว
“ดิฉันจะไปอุ่นข้าวต้มให้คุณแก้ว”
“ไม่ต้อง ไปเอาไอแพดเธอมาให้ฉันยืมหน่อยสิ” มิลานิ่งไป
“มิลา” มิลาเดินไปหยิบไอแพดของตนออกมาส่งให้กับแก้วกัลยา แก้วกัลยาเช็คข่าวของเพทาย ข่าวดูเหมือนจะเงียบไป ไม่มีข่าวของเขาและดารินทิพย์ไปมากกว่าภาพที่อุ้มดารินทิพย์ไปโรงพยาบาลในวันนั้น อีกข่าวคืองานแถลงข่าวเรื่องคนร้ายในคดีของภีมะที่จัดแถลงข่าวไปเมื่อวาน ภีมะรอดจากการเป็นเหนื่อยของคนร้ายในเงามืด ที่เพทายเดาว่าเป็นนายเมฆา เจ้าของทีเอ็มมิวสิค มีการตามจับนายสมชายแล้วแต่ยังหาตัวไม่พบ ตอนนี้นายเมฆาถูกเล่นข่าวเรื่องนี้เพราะสมชายเคยเป็นคนขับรถของตน แต่เมฆาก็ออกมาให้ข่าวปฏิเสธว่าตนเองไม่เกี่ยวข้องกับสมชาย แต่ใครจะไปเชื่อ เรื่องของบัณฑิตาและเรื่องข่าวร้าย ๆ ทุกคนกำลังมองว่าเป็นฝีมือของเมฆา เหลือเพียงมีหลักฐานมากพอในการมายืนยันความบริสุทธิ์ของบัณฑิตา
“ทานข้าวหน่อยนะคะคุณแก้ว” มิลาถือชามข้าวต้มเข้ามาในห้อง
“เธอกลับบ้านไปเถอะ ฉันดูแลตัวเองได้ ฉันไม่ใช่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายต้องให้ใครมาเฝ้า”
“ไม่ได้นะคะคุณแก้ว ถ้าคุณรักรู้คุณรักต้องฆ่าดิฉันแน่”
“แต่ฉันอยู่ได้ เอาอย่างนี้ เธอช่วยกลับไปเอาสมุดออเดอร์ครีมจากที่ร้านมาให้ฉันที” มิลามองอย่างไม่แน่ใจ
“ไปเถอะ ฉันอยู่ได้ รีบไปรีบกลับแล้วกัน”
“ค่ะดิฉันจะรีบไปรีบกลับนะคะ” แล้วมิลาก็เดินออกไป แก้วกัลยามองมิลาที่เดินพ้นออกไป ก็ลุกขึ้นจากเตียงและหยิบเสื้อผ้าวิ่งเข้าห้องน้ำไปในทันที
“ดิฉันขอโทษจริง ๆ นะคะ แต่ท่านประธานไม่อนุญาตให้คุณแก้วเข้าพบไม่อนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนด้วย พวกเราขอโทษจริง ๆ นะคะ” พนักงานประชาสัมพันธ์สาวเอ่ยเสียงเบา เพราะกลัวเจ้าแม่ขาวีนคนนี้จะวีนเธอขึ้นมา
“แต่ฉันอยากพบคุณเพชร” แก้วกัลยาเอ่ย เธอใช้จังหวะที่มิลาขับรถออกไปออกมาจากบ้านเพื่อมาพบเพทาย เธอรอพรุ่งนี้ไม่ไหวหรอก นี่มันหนึ่งอาทิตย์แล้ว เธออยากรู้ว่าเขาหายโกรธเธอบ้างหรือยัง อยากเจอหน้าเขา เธอยอมให้เขาโกรธอย่างน้อยโกรธง้อยังหาย แต่เกลียดมันยากจะกูอะไรหลับมา เธอยอมอยู่เฉย ๆ มาหนึ่งอาทิตย์ ยอมดูแลตัวเองเพื่อจะมาเจอหน้าเขาอีกครั้ง เขาจะอภัยให้เธอบ้างหรือยัง
“ดิฉันให้คุณแก้วขึ้นไปไม่ได้จริง ๆ ขอโทษนะคะคุณแก้ว แต่ถ้าปล่อยให้คุณขึ้นไปท่านประธานต้องไล่พวกเราออกแน่เลยค่ะ”
“ก็ได้ ฉันไม่ขึ้นก็ได้ แต่ฉันจะนั่งรอตรงนี้ จนกว่าคุณเพชรจะยอมให้ฉันเข้าพบ” พนักงานแต่ละคนทำหน้าไม่ถูก แก้วกัลยาเดินไปนั่งที่โซฟาด้านข้างประชาสัมพันธ์ มุมสำหรับติดต่องาน แก้วกัลยาหยิบนิตยสารขึ้นมาเปิดโดยไม่แคร์สายตาใคร
“แฟ้มเซ็นอนุมัติค่ะ” เพทายที่เหม่อใจลอยหันไปมองมินตราที่ถือแฟ้มเอกสารเดินเข้ามา เขารับแฟ้มมาเปิดตรวจตราก่อนจะเซ็นส่งคืนให้กับมินตรา มินตรากำลังจะเดินออกไป
“เดี๋ยวคุณมินตรา”
“คะ” มินตราหันกลับมามองเจ้านาย
“คุณแก้วกลับไปหรือยัง”
“ยังเลยค่ะ มาตั้งแต่สาย ๆ จนนี่จะเย็นแล้วนะคะ ท่านประธานไม่ลงไปพบเธอหน่อยหรอคะ ดิฉันเองก็ไม่รู้ว่าคุณแก้วเธอทำผิดอะไร แต่จากสิ่งที่ผ่านมาคุณแก้วเธอจริงใจกับท่านมากนะคะ มานั่งรอขนาดนี้เห็นแล้วน่าสงสารนะคะ แถมเธอดูซูบ ๆ เหมือนคนป่วยด้วย ท่านประธาน...”
“คุณมินตรา” มินตราทำหน้าเจื่อนเมื่อเจ้านายเริ่มแสดงสีหน้าดุใส่
“ขอโทษค่ะ ดิฉันแค่อยากออกความเห็น ท่านประธานจะกลับเลยหรือเปล่าคะ”
“คุณกลับไปได้เลย ผมจะอยู่ตรวจเอกสารอีกพัก อาทิตย์หน้าให้คีตะกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่คงต้องหาบอดี้การ์ดเพิ่ม ฝากให้บอกคุณจีน่าด้วย”
“ค่ะ” มินตราเดินออกจากห้องไป เพทายเอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้ดวงตาคมปิดลงเหมือนกำลังใช้ความคิด จนเสียงข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู นาฬิกาที่หน้าจอบอกเวลาหกโมงตรง พร้อมกับข้อความหนึ่งเด้งขึ้นมา จากแก้วกัลยา นับจากวันที่เขารู้ความจริงเขาไม่ได้ติดต่อแก้วกัลยาอีกเลย แต่เธอก็พยายามขอโทษเขาด้วยกลวิธีของเธอนั่นคือส่งแคคตัส หรือกระบองเพชรมาให้เขา เป็นผู้หญิงที่มีวิธีง้อที่แปลก แก้วกัลยาส่งกระบองเพชรจะมาวันละต้น โดยแนบการ์ดเขียนคำขอโทษมาด้วย ส่วนกระดาษอีกใบติดแถมมาคือวิธีดูแลต้นกระบองเพชร รวมถึงแอบอวดตามนิสัยว่าตัวเธอปลูกเอง ซึ่งเขาก็ไม่อยากจะเชื่อ
นอกจากการ์ดขอโทษที่ส่งมา อีกสิ่งคือ Message ที่ส่งมาเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน เป็นข้อความถามสารทุกข์สุขดิบ รวมถึงคำขอโทษ คำถามที่ถามทุกวันว่าหายโกรธเธอหรือยัง แต่เขาก็ไม่เคยตอบกลับไป เขาบอกไม่เต็มปากหรอกว่าโกรธ หรือไม่โกรธ สิ่งที่เธอทำให้เขาตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมามันเยอะมาก เขาเคยอึดอัดเวลาเจอหน้าเธอ แต่วันหนึ่งได้รู้จักเธอเขากลับคิดว่านี่มันเป็นนิสัยธรรมชาติของผู้หญิงคนนี้ ถ้าไม่คิดอะไรเธอคงไม่แยแสเลย แต่เขาก็ยังคงผิดหวัง อีกอย่างอาจรู้สึกเสียหน้าที่โดนหลอก ถามว่าวันนี้ยังโกรธไหม เขาอาจจะหายไปแล้วยิ่งรู้ว่าตัวเธอทุกข์ร้อนกับความผิดความโกรธที่มีก็ค่อยหายไป เสียงโทรศัพท์ของบริษัทที่วางอยู่มุมโต๊ะดังขึ้น เขากดปุ่มเปิดรับสาย
“คุณเพทายคะ รปภ.สมชาย ขึ้นมาขอพบค่ะ” เสียงมินตราเอ่ย
“ให้เข้ามา” และรปภ.คนนั้นก็เดินเข้ามา พร้อมกับต้นกระบองเพชรต้นที่เจ็ดของสัปดาห์นี้
“คุณแก้วกัลยาฝากให้ผมเอาขึ้นมาให้ท่านประธานครับ เธอบอกด้วยนะครับว่าจากนี้เธอจะมาทุกวัน จะรอจนกว่าคุณเพทายจะยอมพบเธอครับ”
“วางไว้แล้วก็ลงไป” รปภ.วางกระถางต้นไม้ลงที่โต๊ะทำงานก่อนจะเดินออกไป เพทายมองต้นกระบองเพชรต้นเล็ก และมองไปที่ริมหน้าต่างที่มีวางเรียงกันอีกหกต้น รวมต้นที่ได้รับวันนี้ก็เจ็ดต้นแล้ว แต่ต้นนี้พิเศษกว่าหกต้นที่ผ่านมาก็เพราะว่าแก้วกัลยามาหาเขาเอง ส่วนอีกหกต้นพนักงานบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเอามันมาให้ เพทายหยิบขึ้นมาหมุนดู พร้อมเปิดการ์ดที่ติดมาด้วย เพทายมองข้อความวันนี้ที่เหมือนจะยาวกว่าทุกวัน
... Golden Barrel Cactus หรือถังทอง กระบองเพชรตระกูล Echinocactus...
...ตอนเด็ก ๆ อากงมักจะมีกิจกรรม มาให้พวกฉันสี่พี่น้องทำคลายเหงา หนึ่งในนั้นคือการปลูกต้นไม้ กระบองเพชรเป็นต้นเดียวที่ฉันดูแลแล้วไม่ตาย นอกจากกระบองเพชรจะมีความเชื่อเรื่องโชคลาภ กระบองเพชรยังมีอีกหนึ่งความเชื่อคือ จะช่วยป้องกันภยันอันตราย คุ้มครองผู้ปลูกไม่ให้ได้รับอันตรายจากศัตรู หรือทำให้ผู้ประสงค์ร้ายเกิดความเกรงกลัวไม่กล้ามาคิดร้ายอีก ฉันดูแลคุณปกป้องคุณไม่ได้ในตอนนี้ ก็ให้กระบองเพชรปกป้องคุณแทนแล้วกันนะคะคุณเพชร
ถังทองต้นนี้เป็นต้นนำโชคของฉันที่ฉันติดมาจากระยองเชียว เป็นหนึ่งในต้นสุดหวง หนึ่งในบรรดาคอลเลคชั่นของฉันที่ชอบมาก ๆ เลยนะ เพราะฉันเพาะเอง ฉันตัดสินใจยกมันให้คุณ มันอาจจะแทนคำขอโทษฉันไม่ได้ แต่ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริง ๆ ฉันยอมรับทุกความผิด ฉันไม่กล้าพูดยอมรับว่าจะไม่ทำอีก เพราะถ้าวันหนึ่งฉันทำไม่ได้คุณก็จะโกรธฉันอีก แต่ฉันขอให้คุณอย่าเกลียดฉันนะ ดูแลตัวเองด้วย ฉันเป็นห่วงคุณนะ แล้วฉันจะมาอีก มาจนกว่าคุณจะให้ฉันพบ ให้อภัยฉัน ฉันขอโทษ...
เพทายลุกจากเก้าอี้เดินไปที่หน้าต่าง วันนี้เขาอยู่ที่ชั้นห้าไม่ได้ขึ้นไปทำงานที่ชั้นบนสุดของตึกเพราะมีคุยกับโปรดิวเซอร์เพลง พอคุยเสร็จเขาก็ปักหลักนั่งอยู่ในห้องเคลียร์งานในห้องนี้ตั้งแต่บ่ายจรดเย็น เขามองลงไปข้างล่างมองเห็นว่าเธอกำลังเดินออกจากตึกแล้วแต่เธอยังไม่เดินไปไหน เธอหยุดนิ่งอยู่หน้าตึกวีนัสและเงยหน้าขึ้นมองมาบนตึก โชคดีที่กระจกของตึกเป็นกระจกสองด้านที่สะท้อนภาพจากด้านนอกให้เห็นเท่านั้น
แก้วกัลยาถอนหายใจและเดินขึ้นแท็กซี่ไป นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้ขับรถมา ท่าทางดูอ่อนแรงอย่างที่มินตราบอกไม่มีผิด เขายืนเหมือนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาหันหลังไปหยิบกระถางกระบองเพชรต้นเล็กทั้งสี่ใส่กล่องใบเล็กที่นำติดมาด้วย และรีบวิ่งลงจากตึกไปที่ลานจอดรถและขับรถตามแก้วกัลยาไป เขาพยายามเว้นระยะห่างไม่ให้แก้วกัลยารู้ตัว ถ้าแก้วกัลยารู้ว่าหนุ่มสุดรักขับรถตามไปส่งคงได้กรี๊ดบ้านแตกเป็นแน่ เพทายจอดรถลงที่ทางเลี้ยวแยกที่จะไปสู่บ้านแก้วกัลยา เมื่อแก้วกัลยาลงจากรถเข้าบ้านไปอย่างปลอดภัยเขาเลี้ยวลดกลับ จนโทรศัพท์ดังขึ้น
“ฮัลโหล ว่าไงนะ!!!”
“เกิดเรื่องแล้วเจ๊แก้ว ตัวได้ดูข่าวยัง” แก้วกัลยามองน้องสาวที่อยู่ ๆ ก็เปิดประตูพรวดเข้ามาในเวลาเช้า เช้ามาก ๆ เพราะนี่พึ่งหกโมง แก้วกัลยาเงยหน้าจากโน็ตบุ๊คและหันไปมองน้องสาวที่เปิดประตูเข้ามาอย่างไร้มารยาทเช่นทุกครั้ง แถมยังเข้ามาส่งเสียงดังลั่นห้องไม่เกรงใจคนที่พึ่งหายป่วยสักนิด ผิดที่เธอไม่เคยล็อกประตูห้องเพราะมันเป็นกฎของบ้าน
“ทำไมตื่นเช้าจังวันนี้จัง” รักจิราพูดราวกับเจ้าเรื่องที่ประหลาดที่สุดในจักรวาล
“ฉันไปใส่บาตรมา ช่วงนี้ดวงตก” แก้วกัลยาตอบขณะที่สายตายังไม่ละจากหน้าจอคอม
“เจ๊แก้วทำบุญสงสารฝนจะตก เมื่อวานหนีไปหาคุณเพชรเค้ายังไม่ฟ้องเฮียเจตเลย ตัวพึ่งหายป่วยควรจะนอนพักเยอะ ๆ มากกว่ามานั่งเล่นคอมนะ” แก้วกัลยาส่งสายตาค้อนให้กับรักจิรา
“แต่ฉันกำลังดูกล้องวงจรปิดอยู่ย่ะ”
“กล้องวงจรปิดอะไรของตัวนะเจ๊แก้ว”
“กล้องในผับที่แบร์ไปไง” รักจิราเดินมาหยุดดูข้าง ๆ และมองภาพกล้องวงจรปิดในวันที่แบร์ไปผับซึ่งมีตั้งแต่บัณฑิตาเข้าไปจนถึงตอนเหตุการณ์ชุลมุน
“แกมาดูนี่แกคิดว่ามันน่าสงสัยไหม” รักจิราเดินเข้าไปดูและมองตาม กล้องตัวนี้เป็นกล้องที่อยู่หน้าห้องน้ำ บัณฑิตาเดินเข้าห้องน้ำในสภาพคล้ายกำลังจะหมดสติ ก่อนจะเกิดเหตุชุลมุนขึ้นเมื่อตำรวจเข้าล้อมจับ วัยรุ่นวิ่งกระจัดกระจาย และตอนนั้นเองที่มีคนวิ่งเบียดเสียดจะหนีไปทางหนีไฟ มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ วิ่งหายเข้าไปพักหนึ่งก็วิ่งออกมาก่อนตำรวจจะเข้าไปด้านใน
“มันอาจจะปวดฉี่แล้วมันชุลมุนเลยแวะเข้าไปก็ได้”
“สาบานว่าแกคิดแบบนั้นไอ้รัก” รักจิรายิ้มขำ ๆ ก่อนเอ่ย
“โห่ ขำ ๆ เจ๊แก้ว แต่เรื่องนี้ชักจะไม่ธรรมดาซะแล้วสิ มันดูมีอะไรมากกว่านั้น”
“มันไม่ธรรมดาตั้งแต่นายบริกรคนนี้เป็นคนไปรับแบร์ที่หน้าผับเข้ามาด้านใน แกคิดว่ามันเริ่มทะแม่ง ๆ บ้างไหมล่ะ” แก้วกัลยาเปลี่ยนมาที่ภาพลานจอดรถที่บัณฑิตาขับรถมาคนเดียวและพอจอดรถก็มีบริกรเดินมารับ
“เดี๋ยวนะ เจ๊แก้วตัวลองซูมหน้าไปที่ไอ้บริกรคนนั้นอีกนิดสิ เค้ารู้สึกคุ้น ๆ หน้ามัน” รักจิราเอ่ย แก้วกัลยาซูมภาพใบหน้าของบริกรคนนั้นเข้ามาใกล้อีก รักจิราขมวดคิ้วแทบชนกันก่อนจะร้องออกมา
“นี่มัน...”
“แกรู้จักหรอ”
“ไม่”
“อ้าว แล้วแก...”
“ไม่ได้รู้จักผิวเผิน แต่รู้จักดีเลยต่างหาก ก็ไอ้หมอนี่มันเป็นรุ่นน้องเค้าเรียนมัธยมต้น แล้วมันไปต่อช่างกลเค้าเคยช่วยมันไว้ตอนมันเกือบโดนกระทืบตาย แล้วมันก็เลยสนิทกับเค้า แต่พอเรียนจบก็ไม่ค่อยได้เจอกันอีก”
“แกจะบอกว่าแกรู้จักมัน ถ้าอย่างนั้น...”
“แค่ตามตัวมันมาเค้นปากให้มันตอบว่ามันเข้าไปทำอะไร”
“ถ้าอย่างนั้น”
“ตัวจะไม่ฟังข่าวที่เค้าจะบอกก่อนหรอ ไอ้เอกมันไม่หนีไปไหนหรอก เค้ารู้จักเพื่อนมันโทรไปถามที่อยู่อีกสองชั่วโมงก็รู้แล้ว แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคุณเพชร”
“เรื่องอะไรไอ้รัก เรื่องดีหรือไม่ดี แกบอกมาให้หมด ทำไมแกไม่บอก ไอ้รัก” แก้วกัลยาที่ถลาตัวลุกขึ้นมาหาน้องสาวทันทีที่รู้ว่าข่าวที่น้องสาวมาบอกคือของของเพทาย แต่เธอกลับไม่เว้นจังหวะให้รักจิราได้พูดเอาแต่เขย่าตัวจนรักจิราหัวสั่นหัวงอนไปมา
“ก็ถ้าตัวไม่หยุดเขย่าแล้วเค้าจะพูดได้ยังไง เค้าไม่ใช้เซียมซีนะ ปล่อยได้แล้ว” แก้วกัลยาปล่อยมือออกแล้วมองน้องสาวที่ตั้งตัวได้
“เมื่อคืนคุณพรทิพย์แม่ของคุณเพทายประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ อาการสาหัส”
“แต่คุณน้าปฏิบัติธรรมอยู่ที่อินเดียไม่ใช่หรอ เห็นว่าจะไปทำบุญต่อที่อื่นอีกสามเดือน นี่ยังไม่ครบสามเดือนเลย”
“คิดว่าคงกลับมาก่อนกำหนด มาถึงเมื่อตอนตีสี่กำลังนั่งรถกลับ แต่รถพลิกคว่ำ ตอนนี้ยังอยู่ห้องไอซียูอยู่เลย ข่าวออกเมื่อเช้าสด ๆ เลยนะ”
“แล้วทำไมแกไม่รีบบอกฉันล่ะ”
“เอ้า ก็มัวแต่สนเรื่องคดี”
“ฉันจะไปหาคุณเพชร” รักจิราจับมือแก้วกัลยาไว้ก่อที่จะตัวจะวิ่งออกจากห้องนอนไป
“จะไปในสภาพนี้เนี่ยนะ เค้าว่าตัวไปอาบน้ำก่อนไหม ขืนไปแบบนี้คนเขาจะแตกตื่นเอาว่าผีบ้าที่ไหนบุกโรงพยาบาล”
“แต่...”
“ตามใจอยากไปก็ไป” รักจิราเดินออกไป แก้วกัลยาก้มมองชุดนอนของตนเองและเดินเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยน และนี่เป็นประวัติศาสตร์ต้องจารึกแก้วกัลยาอาบน้ำแต่งตัวเร็วที่สุด ประวัติคงต้องจารึกแม้แต่ชุดที่ใส่ยังธรรมดาสุด ๆ ยังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แก้วกัลยาวิ่งลากแขนรักจิรา
“ตัวจะรีบไปไหนเจ๊แก้ว”
“ก็ไปหาคุณเพชรไงล่ะ”
“รู้ โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลขนาดนั้นที่สำคัญ ตัวคิดว่าคุณเพชรเขาหายโกรธตัวหรือยัง”
“ไม่รู้ เรื่องโกรธไม่โกรธไว้ว่ากันตอนไปถึง คุณน้ากำลังเจ็บคุณเพชรคงกำลังแย่ แม้จะยืดเรื่องปลดตำแหน่งออกไปได้ แต่มันยังไม่จบไอ้แก่ทรงกลดมันต้องรอแทงคุณเพชรตอนแย่ ๆ อยู่แน่” รักจิรารีบวิ่งตามออกไป
....ติดตามตอนต่อไป....
จบไปอีกตอน เจ๊แก้วเราก็มีมุมมุ้งมิ้งปลูกต้นไม้รักสัตว์เหมือนกันนะ
แล้วมาลุ้นกันในตอนหน้าว่าคุณเพชรจะกลับมาคืนดีกันไหม
หรือแก้วต้องไปซบอกเฮียเจตต์ร้องไห้
ขอบคุณคอมเมนส์นะคะ แล้วพบกันค่ะ
พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ค. 2558, 21:19:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ค. 2558, 21:22:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 967
<< ตอนที่ 12 พายุเฮอริเคน | ตอนที่ 14 พยานปากเอกรายใหม่ >> |