ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม
เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา
.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม
เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา
.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ
ตอน: บทที่ ๑๒ .. กลับตาลปัตร
แหวนวงตื่นเต้นยินดีมากเกินกว่าจะเสียเวลามาแปลกใจ ที่จู่ๆบุตรชายคนโตก็มาหาโดยไม่บอกกล่าวให้รู้ตัวล่วงหน้า สตรีสูงวัยตอบรับการทำความเคารพของสายเลือดในอกด้วยอ้อมกอดของแม่ ที่มีแต่ความรักและคิดถึงต่อวิชชุ์วิธู
ขณะชายหนุ่มกอดตอบวงแขนอบอุ่น เขาเองก็อดคิดไม่ได้เหมือนกันว่า ตนนั้นห่างเหินกับมารดาเกินไปหรือเปล่า แต่เพราะคิดว่าแม่ของเขายังมีน้องชายคอยดูแลอย่างดี จึงสามารถวางใจและกลับไปทำหน้าที่ลูกที่ดีต่อบิดาอีกทาง
"แม่สบายดีไหมครับ"
"ตามอัตภาพน่ะลูก .. วิชชุ์ล่ะ เป็นยังไงบ้าง งานยุ่งหรือลูก ถึงไม่ค่อยแวะมาหาแม่บ้างเลย"
แหวนวงบอกบุตรชายน้ำเสียงเรียบเรื่อย ใบหน้าอิ่มเอิบที่ประดับริ้วรอยกาลเวลายังแย้มยิ้ม คนฟังจึงไม่รู้สึกว่ากำลังถูกตำหนิที่ละเลย หากมีแต่ความห่วงใยฉายชัดในแววตาอ่อนโยน
วิชชุ์วิธูเปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นโอบประคองพาแหวนวงมานั่งบนชุดเก้าอี้ยาวบุนวม ก่อนที่จะตอบคำถามมารดาตามความจริง .. ไม่ปิดบังว่า เขากำลังทำงานอะไร .. ให้ใคร
"ช่วงนี้เราเริ่มเข้าไปลองงานประมูล ผมเลยต้องช่วย 'ทางนั้น' เขาดูอะไรหลายๆอย่างครับ"
"ท่าทางจะไม่ได้หยุดกันเลยสินะ"
หญิงสูงวัยผู้ผ่านตัวเลขหลักหกมาไม่นานเปรยเบาๆ แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจดีว่า มารดากำลังหมายถึง .. ปารตี
วิชชุ์วิธูมีเพียงการยิ้มรับเจือจางไม่เอ่ยอะไร ที่จะทำให้แหวนวงคิดมากไปกว่านี้ เพราะเขารู้จักมารดาของตนดีว่า ถึงแม้ท่านจะวางท่าทีเรียบเฉย แต่สิ่งที่ล่วงไปแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อน มันสั่นสะเทือนความรู้สึกของคนที่ถือตำแหน่ง 'ภรรยาตามกฎหมาย' ไม่น้อย
"ปกติรุจน์กลับถึงบ้านกี่โมงครับ"
ชายหนุ่มเปลี่ยนมาเข้าเรื่องของเขาทันที อย่างน้อยก็จะได้เบี่ยงประเด็นการสนทนาที่ชวนให้อึดอัดได้ผ่อนคลายลง ทว่า คำถามธรรมดาที่แหวนวงรู้สึกได้ว่า มันคงไม่ธรรมดาทำให้เธอจ้องตาเขานิ่งก่อนถามซึ่งหน้า
"มีอะไรกันหรือเปล่าวิชชุ์ ?"
สีหน้าของวิชชุ์วิธูตอนนี้เคลือบความลำบากใจให้เห็น เขาไม่แน่ใจว่าควรจะบอกความจริงบางอย่างที่ตกค้างแรมปีดีไหม เผื่อว่าบางที แหวนวงจะได้เข้าใจเรื่องราวในอดีตมากขึ้น
"นิดหน่อยครับ .. แต่อยากคุยกับรุจน์ก่อน"
"วิชชุ์.."
แหวนวงเห็นท่าทางบุตรชายคนโตก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า รวิรุจน์ต้องไปทำอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควร และอาจเกี่ยวข้องกับ 'ทางนั้น' จนวิชชุ์วิธูถึงกับต้องมาตามหาถึงที่นี่
ชื่อของเขาที่ถูกเรียกด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เคร่งครัด ทำให้หวนคิดไปถึงอาจารย์ฝ่ายปกครองโรงเรียนสตรีที่แหวนวงเคยทำหน้าที่เกือบ ๒๕ ปี แล้วต้องมาลาออกก่อนถึงวัยเกษียณ เพราะไม่อาจฝืนจิตใจทนรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวได้
แต่เมื่อวิชชุ์วิธูเลือกที่จะนิ่งเงียบ เท่ากับเขาจะไม่พูดอะไรจนกว่าจะได้พบกับรวิรุจน์ แหวนวงจึงได้แต่ระบายลมหายใจหนักๆให้บรรเทาความแน่นหน่วงในอก
"ผมมาทำให้แม่ไม่สบายใจ"
"ไม่มีใครสบายใจ ถ้ารู้ว่าคนใกล้ตัวเอาแต่ปิดๆบังๆหรอกลูก .. แต่แม่ก็ดีใจที่ได้เห็นหน้า ได้คุยกับลูกนะ"
แหวนวงพูดไปตามใจคิด หลังจากที่ผ่านความทุกข์ตรมขมไหม้ในชีวิตมานาน สุดท้ายการเรียนรู้และพยายามเข้าใจ ว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน มันทำให้ผู้หญิงที่เกิดมาครึ่งค่อนอายุพอจะปรับตัวปรับใจให้ก้าวข้ามมันไปได้ .. แม้จะยังไม่ทั้งหมดก็ตาม
"แล้วไม่มีเบอร์โทร.ติดต่อรุจน์หรือลูก"
"รุจน์ไม่ยอมรับสาย ผมเลย .."
"มิน่า .. ร้อยวันพันปีแม่เคยได้คุยกะวิชชุ์ที่ไหน แทบจะนับครั้งได้ .. ดีเหมือนกัน เดี๋ยวแม่จะโทร.หารุจน์บอกยังไม่ต้องกลับ วิชชุ์จะได้อยู่คุยกับแม่นานๆ"
ผู้เป็นมารดาร่ายยาวราวตัดพ้อต่อบุตรชาย แต่เพราะคำพูดกลั้วหัวเราะอารมณ์ดี ทำให้วิชชุ์วิธูถึงกับหัวเราะออกมาด้วย
"ถ้ารุจน์มันไม่กลับบ้าน .. ผมคงต้องยึดพื้นที่ หรือไม่ก็ .. ไปนอนคุยกับแม่ .. อืม คงต้องเป็นแบบนั้นแล้วล่ะครับ"
ชายหนุ่มผ่อนคลายตนเองเหมือนที่เคยเป็น หลายครั้งที่เขารู้สึกเหนื่อย อ่อนล้า .. แม่คือที่พักพิงที่ดีที่สุดของเขา
แต่เพราะต้องอยู่ในฐานะลูกคนโต ในฐานะพี่ชาย .. ฐานะเหล่านี้จึงถือเป็นหน้าที่ที่ทำให้ต้องยอมถอยห่าง เมื่อในวันหนึ่งเขาสามารถยืนอยู่ได้ด้วยสองขาของตน
ระหว่างที่วิชชุ์วิธูกำลังหวนนึกถึงวันเก่าๆ เสียงแจ้งเตือนว่ามีสายโทร.เข้ามายังแหวนวงก็ดังขึ้น อดีตอาจารย์บรรณารักษ์เหลือบตามองก็พบว่า มารดากำลังยิ้มชื่นดีใจกับชื่อที่ปรากฏหน้าจอ ซึ่งถ้าเขาทายไม่ผิด คงจะเป็น ..
"รุจน์ .. ใกล้เลิกงานหรือยังลูก รีบกลับบ้านนะ มีใครบางคนมารอเจอลูกอยู่นะ"
คนนั่งฟังทางนี้ ยกยิ้มมุมปากแอบขำน้อยๆกับสรรพนามแทนตัวเขา ที่สตรีสูงวัยที่เขารักมาทั้งชีวิตใช้เรียกขาน โดยไม่ยอมบอกให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่า คนที่มารอเจอเป็นใคร .. แม่ของเขาน่ารักเสมอ
"อ้าว .. เหรอลูก งั้นก็ขับรถระวังๆนะ .. จ้ะ ไม่ต้องห่วง ถึงแล้วบอกแม่ด้วยก็แล้วกัน"
เสียงอุทานแกมผิดหวังของแหวนวงเรียกความสนใจจากวิชชุ์วิธูที่รอฟังอยู่ไม่ห่าง กับเนื้อความสนทนาที่เขาพอจะเดาได้ว่า รวิรุจน์ 'นกรู้' ขนาดไหน
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากบางเฉียบหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนปรับสีหน้าให้เป็นปกติดังเดิม เมื่อมารดายุติการสนทนาลดมือที่ถืออุปกรณ์สื่อสารลงมาไว้แค่ที่ตัก แล้วมองมายังเขาด้วยสีหน้ากังวลใจที่ลูกทั้งสองอาจจะไม่ได้พบกัน
"รุจน์โทร.มาบอกว่า ต้องไปต่างจังหวัดกะทันหันน่ะวิชชุ์ .. ยังไม่รู้งานจะเสร็จเมื่อไหร่ คงคลาดกันแล้วล่ะลูก"
"หึ .. ครับ ผมก็คิดไว้เหมือนกัน"
แหวนวงฉงนกับคำพูดยอมรับราบเรียบของบุตรชาย ยิ่งทำให้เธอนึกสงสัยขึ้นไปอีกว่า สองพี่น้องต้องมีเรื่องเคืองขัดงัดข้อกันมาแน่ๆ แล้วด้วยนิสัยของทั้งสองคน มีหรือที่คนเป็นแม่อย่างเธอจะไม่รู้ว่า 'ใครหลบใคร' ในตอนนี้
แต่ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยการที่ได้อยู่กับลูกชาย ที่แยกตัวไปใช้ชีวิตห่างจากอกอีกครั้ง ก็นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับเธอมากกว่าจะเสียเวลาคิดวิตกให้ปวดหัว
ส่วนเรื่องใดก็ตามที่มันทำให้ชีวิตวุ่นวาย แหวนวงใคร่ครวญกับตนเองแล้วว่า เธอจะปล่อยและวางมันให้ได้ เพื่อตัวของเธอเอง
รวิรุจน์หน่ายตัวเองอยู่ไม่น้อยกับความรู้สึกคล้ายจะสำนึกได้ถึงผิดชอบชั่วดี ที่มันคอยตามมารุมเร้าย้ำเตือนให้เกิดความสับสนในใจว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้นมันสนองได้แค่ความสะใจชั่วครู่ชั่วยาม แล้วสุดท้ายมันก็ทำให้เขาไม่อาจจะกลับไปสู้หน้า 'ใครบางคน' ที่มาดักรออยู่ที่บ้านได้
ตั้งแต่ขับรถพ้นย่านพุทธมณฑลมา รวิรุจน์รู้สึกว่า เขาเหมือนคนกำลังหลงทางเคว้งคว้างไร้จุดหมาย มากกว่านักบริหารการตลาดที่มักมีภาพความสุขุมแยบคายให้ใครต่อใครชื่นชม
แต่วันนี้เขารู้ตัวเลยว่า ได้ทำเรื่องงี่เง่าที่สุด เท่าที่เคยทำมาในชีวิตเลยทีเดียว
พอเริ่มได้สติคนที่เขานึกถึงคือ ตรีวธู เด็กหญิงตัวน้อยที่ให้ความไว้วางใจต่อพี่ชายไร้หัวคิดคนนี้ ถ้าวันหนึ่งน้องสาวได้รู้ว่า คนที่เธอเชื่อมั่นและไว้ใจ คือคนที่หาทางทำร้ายความรู้สึกแม่ของตนเองทุกทาง .. เด็กหญิงจะยังหลงเหลือความรู้สึกดีๆให้เขาอีกไหม
น่าแปลก .. ทำไมเขาต้องแคร์ด้วยว่า ตรีวธูจะคิดอย่างไร ในเมื่อคนสร้างเรื่องก็ไม่เห็นสนใจความรู้สึกของคนอื่นเลย
น้องยังเล็ก .. คือความคิดขัดแย้งที่ดังขึ้นในหัวของรวิรุจน์ จนเขาต้องให้สัญญาณไฟขอทางเพื่อจอดเลียบฟุตปาธกะทันหัน ก่อนจะหยุดรถโดยไม่ดับเครื่องยนต์ ระบายอารมณ์กับพวงมาลัยด้วยการตบฝ่ามือทั้งสองข้างลงไปพร้อมกันอย่างแรง
"โธ่โว้ย!"
ชายหนุ่มสบถลั่นก้องอยู่ในห้องโดยสาร แล้วซบหน้าลงบนหลังมืออยู่อย่างนั้น วันนี้เขาทำแต่เรื่องน่าละอาย มันไม่ได้ช่วยสร้างความสบายใจให้ตัวเองเอาเสียเลย
ล่อหลอกเด็กหญิงตัวเล็กๆเป็นเครื่องมือ ให้ผู้ใหญ่คลุ้มคลั่ง .. ถือเป็นการกลั่นแกล้งเล็กๆน้อยๆ ถ้าเทียบกับสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นทำกับแม่ของเขา
หันหลังให้พ่อของตัวเอง ทั้งที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้พบกัน .. รู้ทั้งรู้ว่า จะทำให้อีกฝ่ายเสียใจแค่ไหน มันก็วัดได้จากตัวเขานี่ล่ะ
ปิดบังความจริงกับมารดา ด้วยการอ้างเรื่องงาน .. เพราะรู้ว่า พี่ชายไม่มีทางพูดในสิ่งที่เกิดขึ้นให้คนที่เขารักที่สุดฟังแน่ๆ
ทำไม เวรกรรมถึงไร้ความยุติธรรม .. ทีเขาไม่เห็นต้องรอข้ามภพข้ามชาติ มันก็เหมือนกับว่า อะไรที่ทำลงไปแล้วรู้ว่าไม่ดี มันย้อนกลับมาหาเขารวดเร็วเหลือเกิน
แต่กับคนที่เขาชิงชัง .. กลับอยู่ดีมีความสุขกายสบายใจ และดูเหมือนว่าจะเจริญรุ่งเรืองในแวดวงธุรกิจ ทั้งที่ไม่ควรจะเชิดหน้าชูคอในสังคมได้ด้วยซ้ำ
ทำไม?
คำถามนั้นยิ่งก่อความอึดอัดคับข้องแก่รวิรุจน์ไม่สิ้นสุด แต่แล้วก็ถูกขัดจังหวะเมื่อโทรศัพท์เครื่องสำรองส่งเสียงตามหน้าที่ของมัน
ช่ออัญชัน!
ชื่อนี้ทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วประหลาดใจได้ทุกครั้ง ก่อนจะรับสายยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู ทักทายทั้งที่อารมณ์ยังขุ่นหากแต่จริงๆ ก็รู้สึกดีไม่น้อยที่อีกฝ่ายติดต่อมาราวกับมีญาณทิพย์หยั่งรู้
"โทร.มาพอดีเลยอัญ ตอนนี้ว่างมั้ย .. อยากให้มานั่งดื่มด้วยกันหน่อย"
"เฮ้ย รุจน์ .. อย่ามาล้อเล่นนะ นี่ก็นึกถึงนั่นล่ะ กดมาชวน .. ใจตรงกันบ่อย มาเป็นแฟนเราจริงๆเลยมั้ย ฮ่าๆ"
รวิรุจน์ได้ฟังคำยั่วล้อจึงพอจะยิ้มออกและสลัดความมืดหม่นในใจไปได้ ช่ออัญชันเป็นเพื่อนที่ยิ่งกว่าเพื่อน สนิทกันเกินกว่าใครจะคาดคิด เข้าใจกันดีในทุกสิ่ง .. แต่เขากลับไม่สามารถรักเธอในแบบที่ชายหนุ่มจะรักหญิงสาวได้ ซึ่งความคิดนี้ก็คงไม่ต่างจากช่ออัญชันเช่นกัน
"อย่าเลย เกิดตัวจริงอัญกลับมา .. เราก็หมา .. สิ"
"ทำเป็นเล่นตัว .. แล้วว่าไง จะมามั้ย วันนี้ไม่รู้มันอะไรนักหนา อยากหาเพื่อนคุยโต้รุ่ง .. เบื่อ"
"เออๆ .. รอก่อน ตอนนี้ยังอยู่แถวๆตลิ่งชัน เดี๋ยววนรถไปออกแถวปทุมฯ .. ไม่น่าจะช้านะ"
ชายหนุ่มรับปากอย่างไม่ต้องไตร่ตรองให้มากความ ไหนๆเขาก็ไม่คิดจะกลับบ้านอยู่แล้ว ปากช่องแค่นี้การเดินทางไปกลับภายในไม่กี่ชั่วโมง ไม่ใช่เรื่องยากลำบากเกินเลย
แต่ก่อนจะได้วางสาย คนชักชวนอดรนทนไม่ได้กับความสงสัยในเส้นทางที่เพื่อนเพิ่งบอกเมื่อครู่
"ไปทำไรแถวนั้นน่ะ .. หรือทำเนียนขับตามสาวที่หมายตา"
"สู่รู้ .. พอๆ เดี๋ยวเจอกัน ไปถึงเมื่อไรเรามีเรื่องต้องเคลียร์กันเยอะนะอัญ .. หึหึ"
รวิรุจน์ใช้คำพูดห้าวห้วนตรงความหมาย แต่ช่ออัญชันกลับหัวเราะลั่นจนเขาอดหัวเราะตามไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายต่างรู้ดีว่า ในความเป็นกันเองระหว่างกันนั้น มันผิดแผกแปลกไปกว่าคนกันเองทั่วไปพึงปฏิบัติต่อกันคนละโลก
สองสาวแวะไปที่คลีนิกรักษาสัตว์ที่รับดูแลเจ้าลูกแมวตัวน้อยเอาไว้ หลังสอบถามจากนายสัตวแพทย์ได้ความว่า อาการโดยรวมปกติดีไม่มีภาวะโรคแทรกซ้อน หรือภาวะที่จะเป็นอันตรายแล้ว ถ้าสะดวกก็สามารถรับตัวกลับได้ก่อนที่กำหนด
หญิงสาวที่เป็นคนอุ้มมันมาในคราวแรก ออกตัวว่าคงต้องขอฝากเอาไว้อีกคืน เพราะต้องรอถามคนที่เป็นเจ้าของไข้ตัวจริงเสียก่อน
แต่จริงๆแล้วเธอก็ยินดีที่จะรับไปดูแลเอง ติดตรงที่ไม่ได้เตรียมตัวเพื่อรับกลับ และหลังจากเยี่ยมเจ้าเหมียวน้อย พวกเธอกำลังจะออกไปหาอะไรกินด้วย
ทางคุณหมอเห็นถึงความจำเป็น ก็ได้แต่ยิ้มไม่ว่าอะไร ถือเอาความสะดวกของคนดูแลเป็นหลัก ก่อนจะร่ำลากันออกมาจากคลีนิกนั้น
เภตราหันมามองฝั่งเบาะผู้โดยสาร รอให้เพื่อนก้าวขึ้นมานั่งด้านข้างเรียบร้อย แล้วถามในสิ่งที่คาใจมาแต่แรก
"พุด .. แกอย่าบอกนะว่าจะรับเจ้าตัวเล็กนั่นไปเลี้ยงน่ะ"
"ก็อยากอยู่ แต่ต้องรอถามคุณวิชชุ์"
"แล้วถ้าไม่เจอกันล่ะ"
"อืม .. คุณหมอบอกเมื่อวานว่า จะดูอาการ ๓ วัน นี่เพิ่งวันแรก กว่าจะครบกำหนดฉันก็เตรียมกลับบ้านพอดี ก็อาจจะมารับไปด้วยกันวันกลับ .. ถ้าไม่เจอเขาอย่างที่แกว่า"
องก์อัมพุทอธิบายให้เภตราฟังได้กระจ่างพอควร แสดงว่าเพื่อนของเธอคิดการล่วงหน้าไปไกล ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลใช้ปลายนิ้วที่ไว้เล็บยาวตัดแต่งสวยงาม เคาะกับพวงมาลัยรถเป็นจังหวะ ชั่งใจว่าจะถามอะไรบางอย่างออกไป หรือรอไปเรื่อยๆอย่างนี้ดี
"เภา เป็นอะไรหรือเปล่า .. วันนี้ดูแกเครียดๆตั้งแต่เช้าแล้ว"
"หืม .. อ๊ะ เปล่าๆ .. เอ่อ ก็นิดหน่อย"
เภตราถูกเสียงเรียกขัดจังหวะความคิด ทำให้ต้องหันมาตอบตะกุกตะกักเหมือนคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตัว ไม่เหลือความเป็นสาวมั่นให้องก์อัมพุทเห็นเลย จนเธอต้องตัดบทไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกว่าถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัวเกินไป
"ไปกินข้าวกัน .. มีอะไรไว้ถึงบ้านค่อยคุย"
องก์อัมพุทและเภตรากลับมาถึงบ้านก่อนนาฬิกาบอกเวลา ๓ ทุ่มเล็กน้อย ทั้งสองคนมีเรื่องสัพเพเหระคุยกันตลอด แต่มันกลับเป็นเพียงเรื่องผิวเผินฉาบฉวย ที่แค่ยกมาสนทนากันความเงียบเท่านั้น
ภายในบ้านหลังใหญ่มีเพียงสองสาวเพื่อนสนิท ซึ่งต่างแยกย้ายอยู่ในห้องส่วนตัว แต่ถ้าจะมีใครสามารถมองเห็นความคิดของแต่ละคนเป็นรูปธรรมได้ ก็คงจะรู้แน่ว่า จิตใจของใครอยู่ที่ใดกันบ้าง
องก์อัมพุทอาบน้ำเรียบร้อย อยู่ในชุดนอนปาจามาสเนื้อนิ่มลายสก็อตสีเทาฟ้า กำลังแปรงผมที่เริ่มยาวจากต้นคอมาระบ่า จนให้ความรู้สึกรำคาญบ้างในบางครั้ง พร้อมกับนั่งมองเงาที่สะท้อนผ่านกระจก
ภาพที่เธอเห็นเบื้องหน้า คือหญิงสาวหน้าตาเกลี้ยงเกลาคนหนึ่ง จุดกึ่งกลางดวงตาดำขลับแล้วค่อยอ่อนลงจนออกเป็นสีน้ำตาลเข้ม ยามเพ่งมองสีของมันจริงจัง ภายในนั้นทับซ้อนด้วยเงาเล็กๆของตัวเองอีกชั้น
หากในความรู้สึกเธออยากรู้ อยากเห็นให้ลึกกว่านี้ .. ลึกลงไปถึงก้นบึ้งภายใจจิตใจ ดังนิยามที่เขาว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ
น่าเสียดาย ที่หน้าต่างบานนั้นไม่ยอมแง้มให้เห็นอะไร เกี่ยวกับความรู้สึกที่แท้จริงของเธอ .. แม้แต่นิดเดียว
และคงจะไม่ต่างจากเจ้าของบ้านที่อยู่ห้องตรงกันข้าม ตอนนี้ก็ได้แต่กำโทรศัพท์มือถือของตนไว้แน่น หลังจากพยายามไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ในการติดต่อซึ่งไม่ว่าเมื่อไหร่ก็พบแต่ .. ความล้มเหลว
จนเภตราชักจะไม่มั่นใจแล้วว่า เมฆพัดเคยมีเยื่อใยกับเธอจริงๆ .. บ้างหรือเปล่า
กระทั่งโทรศัพท์เครื่องบางส่งแรงสั่นสะเทือนในอุ้งมือ จนหญิงสาวคิดไปอย่างดีใจว่า อีกฝ่ายคงตอบกลับมา หากก็ต้องผิดหวังซ้ำซาก จากที่ผิดหวังนับครั้งไม่ถ้วน เพราะชื่อที่เห็นกลับกลายเป็นคนที่ยกกิจการงานทุกอย่างให้เธอดูแล
"สวัสดีค่ะแม่ .. ไปเที่ยวกับแฟนสนุกมั้ยคะ"
แม้เภตราจะกำลังคิดถึงใครอยู่ก็ตาม แต่กับบุคคลในสายตอนนี้ คือคนที่มีความสำคัญต่อเธอที่สุดแล้ว
"ดูพูดเข้า .. เดี๋ยวพ่อมาได้ยินเข้า แม่จะได้ถูกลดขั้นเป็นแค่กิ๊กไปน่ะสิ"
"แหม ฟังดูก็รู้แล้วว่ารักกันดี .. พ่อกับแม่สบายดีนะคะ"
พักตราหัวเราะเบาๆ เมื่อลูกสาวคนเดียวของเธอไม่ยอมเล่นล้อต่อมุกอีก ก่อนจะตอบคำถามและบอกเจตนาอื่น ที่จำเป็นต้องโทรศัพท์ทางไกลข้ามแดนมาถึงเภตรา
"สบายดีจ้ะเภา แล้วเรื่องครูคนใหม่ล่ะ"
"แม่รู้? .. รู้ได้ไงคะว่าเราจะมีครูคนใหม่มา .."
พอเป็นเรื่องของครอบครัวและการงาน เภตราถึงกับลืมเมฆพัดไปถนัดใจ ความไม่ชอบมาพากลฟุ้งกระจายจนรู้สึกได้ จนเป็นตัวกระตุ้นให้เธอสังหรณ์ใจต่อสิ่งที่มารดากำลังเกริ่นนำ ว่ามันต้องมีเลศนัยซุกซ่อนเกี่ยวพันมาถึงตน
"ก็ต้องรู้สิ .. เภาเป็นแค่ผู้อำนวยการฯ แต่พ่อกับแม่ยังเป็นเจ้าของอยู่นะ ถึงจะถ่ายโอนให้ลูกไปบริหารก็เถอะ .. คุณวิริญเขาทำหน้าที่ฝ่ายคัดสรรบุคลากร ยังไงเขาก็ต้องรายงานให้แม่รู้"
"มิน่าล่ะ .. ครูคนใหม่ที่รออยู่ เขาถึงกล้าเบี้ยวไม่มาตามนัด เพราะแม่ส่งมานี่เอง"
เภตราสรุปเรื่องราวทั้งหมดได้ทันทีว่า 'ครูคนใหม่' ที่ทางคุณวิริญจัดหาและดำเนินการให้ มีที่มาที่ไปอย่างไร หลังจากเธอแจ้งความประสงค์เรื่องต้องการบุคลากรเพิ่ม และได้คำตอบรับอย่างรวดเร็ว .. เกินไป
พักตรารู้อยู่แล้วว่า ลูกสาวจะต้องโวยวายแน่ แต่อาจจะโวยหนักกว่านี้ ถ้าทราบความจริงทั้งหมดในความคิดของผู้เป็นแม่
"อ๋อ .. ตาดินไม่ได้เบี้ยวลูก พอดีทางมหา'ลัยของพ่อเขา เรียกตัวกะทันหันจะปฏิเสธไม่ดูดำดูดีก็กระไรอยู่ .."
"แม่ .. แม่คะ พอเถอะค่ะ ไม่ต้องออกตัวแทนคุณมัตติก์ขนาดนั้น .. เภาก็เพิ่งรู้นะคะว่า แม่กับตาดิน .. คุณมัตติก์สนิทกัน ไม่เห็นบอกกันบ้างเลยนะคะ .. ลับลมคมในจนน่าสงสัย"
เมื่อเห็นว่าลูกสาวจับไต๋ได้ และคนเป็นแม่ก็ไม่อยากพิรี้พิไรยื้อเกมนาน จึงบอกความตั้งใจหมดเปลือก จะได้ไม่ค้างคาอยู่ในใจ กะว่าหลังจากนี้จะให้เป็นหน้าที่ของเด็กๆเองก็แล้วกัน
"แม่ก็ไม่อยากปิดบังอะไรลูกหรอกนะ แต่แม่เห็นว่า งานของเราจะเติบโตก้าวหน้า มันต้องมีใครสักคนมาช่วยดูแล แล้วแม่ก็เห็นว่า ตาดิน .. คุณมัตติก์ของเภาน่ะ เหมาะสมที่สุด"
"เดี๋ยวค่ะแม่ .. เขามาเป็นของเภาตั้งแต่เมื่อไหร่ .. เอ๊ะ .. เมื่อกี้แม่บอกว่า พ่อของเขามีมหา'ลัย .. ใช่มั้ยคะ แม่อย่าบอกนะว่า จะจับลูกตัวเองคลุมถุงชนกับลูกชายคนอื่นในศตวรรษที่ ๒๑ .. เนี่ยนะคะ"
"แม่ไม่ผิดหวังในตัวลูกเลย .. และแม่เชื่อว่า ลูกจะไปกันได้ดีกับคนที่เข้าใจในตัวเรา จริงมั้ยลูกจ๋า"
พักตราสรุปความคิดทุกสิ่งสรรพ์อย่างรวดเร็ว ไม่รอให้เภตราขัดคอหรือแย้งมากกว่านี้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายก่อนเอ่ยลาลูกสาว ที่คนฟังทำได้เพียงยืนอึ้งก้าวขาไม่ออกอยู่กลางห้องนอนของเธอ
"อีกอย่างแม่เห็นว่าลูกยังไม่มีใคร เมื่อก่อนแม่ก็นึกว่าพี่ชายหนูพุด เขาสนใจเราซะอีก .. แต่พอเห็นกลับมาร้องห่มร้องไห้ว่าอกหัก แถมครองตัวเป็นโสดจนมีแววจะขึ้นคาน .. แม่ก็เสียดายว่า สิ่งที่สร้างมาให้ลูกเผื่อไปถึงหลานมันจะสั้นกุด เถอะน่า .. ลองดูกันไปก่อน แม่เอาใจช่วยให้ลูกแม่ลงจากคานไวๆ .. แฟนแม่เรียกไปกินข้าวละ แค่นี้นะลูกรัก .. บายจ้ะ"
เภตราได้แต่กำโทรศัพท์แนบหูค้างไว้ราวกับถูกสตัฟฟ์ ทั้งที่อีกฝ่ายตัดสัญญาณสนทนาไปแล้ว
นี่มันอะไรกัน .. เธอกำลังจะถูกจับแต่งงานอย่างนั้นหรือ?
แล้วเมฆพัดล่ะ .. เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอกันนี่
องก์อัมพุทหยิบโทรศัพท์ของตนมาเปิดไล่ดูรายชื่อแต่ละบุคคล หญิงสาวกลับพบว่า พอถึงเวลาคับขันหรือต้องการหันหน้าปรึกษาหารือใครสักคน เหตุใดจึงดูยากเย็นแสนเข็ญปานนี้
ละอองชล .. แม่ของเธอ ป่านนี้น่าจะกำลังพักผ่อน การนำปัญหาที่ไม่มีที่มาที่ไปของตนเองไปบอกกล่าว อาจทำให้ท่านไม่สบายใจไปด้วย
เมฆพัด .. ชายของเธอ ตอนนี้เขาจะอยู่ที่ไหนบนผืนแผ่นดินประเทศไทยกันนะ ถ้าใครมาถามว่า พี่ชายทำอะไรแล้วเธอไม่สามารถตอบได้ มันคงเป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี .. แต่เธอตลกไม่ออกเลย เมื่อมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
กระทั่งเลื่อนลงมาเจอชื่อเจ้านายของเธอ .. รวิรุจน์
สำหรับบุคคลนี้คงต้องเป็นข้อยกเว้นและผ่านเลย
แม้ชายผู้นี้จะมีความสำคัญในองค์กร และดูเหมือนบางครั้งเขาพยายามเข้ามามีบทบาทนอกเหนือจากตำแหน่งหน้าที่ มากกว่าความเป็นเจ้านายลูกน้องกับองก์อัมพุท
แต่เพราะความนิ่งและการวางตัวดี ตลอดระยะเวลาในการทำงานได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย จึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันให้ใครๆต่างก็เกรงใจเธอไม่น้อย รวมถึงรวิรุจน์ที่ได้แต่รักษาสัมพันธภาพระหว่างกันไว้เพียงเพราะหน้าที่
องก์อัมพุทมองไม่เห็นใครอีกแล้วในยามนี้ นอกจากเภตรา .. เพื่อนรักคนเดียวเท่านั้น
เสียงเคาะประตูเป็นสัญญาณหน้าห้อง ดังมากพอที่จะทำให้หญิงสาวที่กำลังกวาดตาดูรายชื่อไปพลางใช้ความคิดไปพลางถึงกับสะดุ้ง ก่อนที่จะตามมาด้วยสุ้มเสียงคนที่นึกถึงคนสุดท้ายเมื่อครู่
“พุด .. หลับรึยัง ฉันมีเรื่องอยากปรึกษาแก .. ด่วนมาก ด่วนที่สุด”
*************************************************
โปรดติดตามตอนต่อไป ...
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอขอบคุณสำหรับการกดไลค์ฮะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ค. 2558, 11:22:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ค. 2558, 11:22:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1337
<< บทที่ ๑๑ .. หรือมันคือ การเริ่มต้น | บทที่ ๑๓ .. คนเก่า คนใหม่ >> |