ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๑๓ .. คนเก่า คนใหม่



เกือบครึ่งคืนที่รวิรุจน์นั่งดื่มเบียร์เย็นๆ นับตั้งแต่มาถึงบ้านของช่ออัญชัน ทีแรกชายหนุ่มก็กะว่าจะค่อยๆละเลียดจิบไปคุยไปกับเจ้าของบ้าน แต่พอเอาเข้าจริงๆ สิ่งที่คับข้องมันอัดแน่นในอกจนอึดอัด แม้ตรงหน้าจะมีกับแกล้มหลากหลายที่เพื่อนสาวคนสนิทตระเตรียมไว้ มันก็ไม่สามารถดึงความสนใจของคนที่มีแต่ความเคร่งเครียดบนใบหน้าได้

ช่ออัญชันเดินเข้ามาสมทบอีกคราว หลังจากทยอยยกจานอาหารที่พร่องไปจนเกือบหมด กับจานที่เย็นชืดไร้รสชาติไปเก็บ ก่อนวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดเดิมในขวดใหม่ลงตรงหน้า ซึ่งเธออดทักไม่ได้เมื่อเห็นรวิรุจน์มุ่งมั่นกับเมรัยไม่บันยะบันยัง

"เฮ้ยๆ รุจน์ .. กระดกพรวดๆเป็นน้ำเลย เป็นอะไรหรือเปล่า ฮึ"

"อัญเถอะ .. ไหนว่าอยากดื่ม นี่อะไร ตั้งแต่มาเห็นกินแต่กับ เราดื่มอยู่คนเดียว"

"เอ้า .. เราแค่ชวนมาคุยโต้รุ่ง ไม่ได้บอกสักคำว่าจะดื่ม มีแต่รุจน์นั่นล่ะที่อยากดื่ม"

หญิงสาวยอกย้อนเพื่อนชายจนเขาต้องละสายตาที่มองงานไม้แกะสลักเพลิดเพลิน แล้ววางแก้วที่ถือในมือลงบนโต๊ะ หันมาทางเจ้าของสถานที่ซึ่งก้าวมานั่งเบียดใกล้ๆ แล้วอดออกปากเตือนไม่ได้ว่า

"นี่ รู้บ้างมั้ย ว่าเราเป็นผู้ชาย ระวังตัวหน่อยก็ดีนะอัญ"

"เหอะ .. ทำปากดี อ่อยมาสามสี่ปี ยังไม่สำเร็จเลย"

ช่ออัญชันเบ้ปากสวนกลับทันควัน พร้อมกับชำเลืองหางตามองคนพูดราวกับท้าทาย ก่อนที่จะรู้ตัวว่ารวิรุจน์เบี่ยงกายมาจับสองแขนดันร่างสมส่วนโดยไม่ทันได้ตั้งหลัก จนหญิงสาวต้องเอนลงตามแรงผลักในลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน

"แน่ใจ๊ ว่าทำได้ .. หึหึ"

เพราะคำพูดและสายตาของช่ออัญชัน ทำให้รวิรุจน์ที่ออกจะมึนๆอยากลองพิสูจน์ตัวเอง นัยน์ตาระเรื่อปรากฏแววฉ่ำหวานด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ สานสบกับอีกฝ่ายที่มองจ้องไม่ลดละ แม้ว่าเขาจะค่อยๆก้มหน้าลงไปจนเกือบจะชิด หากแต่ช่ออัญชันกลับนิ่งสนิทจนเขาต้องปล่อยมือที่จับยึดไว้ แล้วเป็นฝ่ายกระถดถอยห่างออกมาเอง

"เฮ้ .. นี่ไม่คิดจะรู้สึกอะไรบ้างเลยรึไงอัญ .. ตกใจ หรืออะไรก็ได้ สักนิดก็ยังดี .. แบบนี้เราก็เสียเซลฟ์หมดสิ"

"จะให้รู้สึกอะไรล่ะ ในเมื่อรุจน์ไม่ได้คิดจะทำอะไรจริงๆจังๆสักที"

"อัญ .. อย่ามาล้อเล่นแบบนี้อีกนะ"

"เปล่า เราไม่เคยล้อเล่น .. แต่ก็อาจจะเป็นอย่างที่รุจน์บอก เราคงไม่มีความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ"

รวิรุจน์ขมวดคิ้วไม่เข้าใจความหมายนั้น บางที เขาอาจจะเมาจนคิดอะไรตามเพื่อนไม่ทัน มือข้างหนึ่งจึงยกขึ้นมาลูบไล้หน้าผากของตน พร้อมๆกับคลึงขมับด้วยหัวแม่มือเบาๆ คล้ายขับไล่อาการมึนงง

"เราว่ารุจน์พักผ่อนดีกว่า ดื่มมากไปจะทำงานไม่ไหวนะ หรือว่าจะลางาน"

"อืม"

ช่ออัญชันหลิ่วตามองคนตอบสั้นๆ .. สั้นจนเธอไม่รู้ว่าเขาเลือกที่จะนอน หรือ ลางาน กันแน่

"โทษทีนะอัญ .. มาถึงก็มีแต่ให้อัญดูแล ไม่ได้คุยอะไรเลย"

"อยากระบายมั้ยล่ะ .. เรื่องไหนดี แม่เลี้ยง พี่ชาย รึ สาวเจ้าคนนั้น"

รวิรุจน์เบี่ยงหน้าตวัดสายตาขึงขัง เม้มริมฝีปากบางเฉียบเข้าหากันจนเกือบเป็นเส้นตรง แต่ช่ออัญชันก็ไม่ได้ยี่หระยักไหล่ส่งให้ เพราะรู้ว่าตนเองแตะเรื่องต้องห้ามเข้าเต็มๆ

"รู้ว่าเราไม่ชอบ จะพูดถึงทำไม"

"ไม่ชอบ? .. สาวเจ้าคนนั้นน่ะเหรอ"

ชายหนุ่มส่ายศีรษะถอนหายใจแรงๆ เพราะเพื่อนสาวหลบหลีกไปได้ สงสัยว่าเขาคงจะต้องหยุดดื่มก่อนเสียท่าไปมากกว่านี้

"ล้อเล่นน่า ไม่พูดก็ไม่พูด"

"แล้วอัญล่ะ มีอะไร ถึงได้อยากมีเพื่อนคุยโต้รุ่งน่ะ"

คราวนี้เป็นหญิงสาวคนสนิทที่ต้องถอนใจไม่ต่างกัน ทีท่าหนักอกหนักใจของช่ออัญชันทำให้รวิรุจน์ลูบหน้าตนเองด้วยฝ่ามือ กระตุ้นสติประคองให้รับฟังเพื่อนได้ตลอดรอดฝั่ง

"เรื่องเดิมๆน่ะ"

"นักวิจัยคนนั้น?"

รวิรุจน์ถามเสียงสูงอย่างคนที่รู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องราวของช่ออัญชันเป็นอย่างดี การพยักหน้าน้อยๆยอมรับคือสิ่งที่ชายหนุ่มคิดไว้อยู่แล้ว

"ทำไม? ไหนว่าตัดใจได้แล้วไง ถึงไปบอกเลิกกับเขาน่ะ"

"เราคิดว่ามันง่ายไง อีกอย่างรุจน์ก็รู้ว่าบ้านเราทำอะไร .. ถึงมันจะไม่ผิด แต่ในสายตาเขามันไม่ใช่ .. หลายครั้งกับคำพูดของเขามันเหมือนยังทิ่มแทงอยู่เลย .. เรื่องที่เราไม่อยากฟัง"

ชายหนุ่มรับฟังเงียบๆ เขาไม่มีคำแนะนำใดจะมอบให้เพื่อน เพราะหากมองย้อนมาดูตัวเอง เขาก็ยังไปไหนไม่รอดเช่นกัน

"มันเป็นธุรกิจนี่ บ้านอัญไม่ได้สัมปทานตัดไม้เองซะหน่อย แค่รับแปรรูป .. ไม่ใช่เหรอ"

"ถ้าเป็นเมื่อก่อน .. เราก็คิดแบบนั้น .. เราคิดว่าพ่อเราแค่ซื้อมาขายไป ทำไมเขาไม่เข้าใจเราบ้าง ในเมื่อคบกันต่อไปมันมีแต่จะแย่ลง ทำให้มันจบไปเลยดีกว่า"

"แล้วอะไรล่ะ ที่เป็นปัญหาตอนนี้ ทั้งๆที่เรื่องของอัญกับเขามันก็จบไปแล้ว"

รวิรุจน์ถามตรงประเด็นจากสิ่งที่เขารับรู้ว่า ช่ออัญชันเคยมีคนรักที่เป็นนักวิจัยพันธุ์พืช แต่เพราะไปกันไม่ได้เธอจึงเลือกยุติความสัมพันธ์ เพราะไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งหากวันหนึ่งทั้งสองคนจะมาใช้ชีวิตร่วมกัน

เรื่องมันก็ผ่านมาราว ๓-๔ ปีเห็นจะได้ ชายหนุ่มยังเคยคิดเลยว่า เพื่อนของเขาใจคอเด็ดเดี่ยวมาก ไม่อาลัยอาวรณ์กับความรักครั้งนั้นให้เห็นแม้สักครั้ง

"พ่อให้เราไปช่วยงาน เราก็ว่าดีกว่าอยู่ว่างๆหลังจากผัดผ่อนมานาน .. แล้วพอได้ไปช่วยงานจริง จากที่เราได้รับรู้ มันไม่ใช่แค่นั้น .. เขาเคยเตือนเราแล้วนะรุจน์ แต่เราไม่เชื่อ .."

น้ำเสียงของช่ออัญชันไม่หลงเหลือแววขี้เล่นหรือท้าทายที่แสดงออกก่อนหน้านี้ สีหน้าและดวงตาสดใสดูหม่นหมองลง แม้เจ้าตัวจะพยายามคงความปกติเอาไว้ก็ตาม

"เตือน? หรือว่า สาเหตุที่ทำให้อัญเลิกกับเขา .. เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า"

"ใช่"

รวิรุจน์สังหรณ์ใจแปลกๆกับการยอมรับหนักแน่นของช่ออัญชัน ความสนิทสนมทำให้ต่างฝ่ายแทบไม่มีความลับต่อกัน ทว่า ทั้งสองคนก็ไม่ละลาบละล้วงก้าวก่ายเรื่องของอีกฝ่าย หากไม่มีการเอ่ยออกมาเองก็จะไม่มีการซักไซ้ใดๆให้ขุ่นข้อง เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัว

แม้ว่าเขาจะรู้ความเป็นมาเป็นไปของเพื่อนสนิท แต่ก็ใช่ว่าจะทราบรายละเอียดทุกอย่างหมดจด พวกเขายังมีพื้นที่ว่างให้แก่กันเสมอ แต่ดูเหมือนว่า วันนี้ช่ออัญชันคงไม่รู้ว่า จะจัดการพื้นที่ตรงนั้นอย่างไรดี

"ร้ายแรง?"

"รุจน์ .. เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง สิ่งที่เรารู้สึกได้ คือ .. มัน .. มันทำให้เรานึกถึงเขา .. คิดถึงเขาขึ้นมา .."

ชายหนุ่มหลับตารู้สึกได้ว่าเส้นประสาทแถวขมับเต้นตุบๆ หัวคิ้วเริ่มตึงและหน่วงหนึบจนปวดถี่ขึ้นเรื่อยๆ เขานึกไม่ออกจริงๆว่า ช่ออัญชันกำลังจะบอกอะไรกันแน่

"รุจน์ ในฐานะที่รุจน์เป็นผู้ชาย .. รุจน์จะคิดยังไง ถ้าคนที่เป็นฝ่ายบอกเลิก .. คนเก่าคนเดิมอย่างเรา อยากจะกลับไปขอโอกาสเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง .. กับเขา"

"มันก็พูดยาก .."

รวิรุจน์เอนกายจนหลังพิงพนักนวม พาดศีรษะบนขอบโซฟามองเพดานห้อง ก่อนตอบในสิ่งที่เพื่อนสาวคนสนิทรำพึงกึ่งขอความเห็นอย่างตรงไปตรงมา

"เริ่มต้นอย่างเพื่อน มันก็โอเค ถ้าไม่ได้โกรธเกลียดกันถึงขนาดผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ .. แต่ถ้าเป็นความสัมพันธ์เดิมๆ มันก็อยู่ที่ว่า ฝ่ายนั้นเขามีใครใหม่หรือยัง .. เหตุผลเยอะแยะไป"

ช่ออัญชันชายตามองคนพูดสะดุดใจกับคำบางคำ .. ฝ่ายนั้นมีใครใหม่แล้วหรือยัง!

หญิงสาวรอคำแนะนำจากรวิรุจน์ชั่วครู่ แต่ไม่เห็นว่าเขาจะพูดอะไรอีก ต่างคนจึงต่างเงียบจมอยู่ในความคิดของตนเอง

ทว่า คำพูดที่สะดุดใจช่ออัญชัน มันก็ย้อนกลับไปสะกิดความคิดของรวิรุจน์ ถึงใครอีกคนด้วยเช่นกัน





แม้วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่องก์อัมพุทจะได้ทำหน้าที่คุณครูจำเป็น แต่หญิงสาวคงไม่สามารถลืมประสบการณ์ในช่วงหนึ่งของชีวิตไปได้

ประสบการณ์ที่ทำให้เธอได้รือฟื้นความรู้สึกเมื่อวัยเยาว์ ครั้งเมื่อยังเป็นเด็กนักเรียนมีสังคมที่เหมาะสมกับวัยของตน แล้วค่อยเจริญเติบโตขึ้นผ่านการเรียนรู้ ได้พบปะผู้คนที่หลากหลายแตกต่างกัน แล้วพัฒนาไปตามลำดับชั้นการศึกษา

ยามที่ได้เห็นนักเรียนอนุบาลตัวน้อยๆ มันยิ่งทำให้องก์อัมพุทนึกถึงช่วงเวลาดีๆของวันวาน ซึ่งเธอก็หวังว่า เด็กๆจะได้มีโอกาสเรียนรู้ และก้าวไปตามเส้นทางที่ใฝ่ฝันสมความตั้งใจในอนาคต

๕ วันนับจากต้นสัปดาห์ถึงขณะนี้ หญิงสาวคิดว่า หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่ปนเปทั้งเรื่องที่ไม่คาดคิด เรื่องน่าประทับใจ รวมถึงบางอย่างที่ติดค้างในใจมาเนิ่นนาน

ไม่น่าเชื่อเลย ..ทุกสิ่งกลับมารวมกัน ณ ห้วงเวลานี้ ก่อนที่เธอจะกลับไปดำเนินชีวิตอย่างที่แล้วมา

"คุณครูขา .. คุณครูนิ่มบอกว่า คุณครูหนูพุดจะกลับไปทำงาน .. คุณครูจะไม่มาเล่านิทาน .. ให้ฟังแล้วเหรอคะ .. จริงเหรอคะ"

เด็กหญิงมิรันดาเอ่ยถามเสียงดังฟังชัด หลังจากที่องก์อัมพุทเหม่อมองไปรอบห้องระหว่างการอำลาลูกศิษย์ของเธอ โดยมีนิรามัยเป็นตัวแทนมาแจ้งเด็กๆก่อน ซึ่งพอจบคำเสียงฮือฮาเซ็งแซ่ราวกับมีจำนวนประชากรนักเรียนเกินกว่า ๑๕ คน

เช่นเคย .. เด็กหญิงคนกล้าคือตัวแทนสมาชิกร่วมชั้น และแสดงออกยิ่งกว่าใคร เมื่อเธอลุกจากเก้าอี้เดินออกมาหน้าห้องเรียน แล้วยกมือน้อยๆเกาะกุมมือบาง พร้อมแหงนเงยมองคุณครูด้วยนัยน์ตาใสแจ๋ว สื่อความรู้สึกถึงผู้ที่เล่านิทานได้ถูกอกถูกใจนักหนา ซึ่งยืนรออยู่ต้องก้มสบสายตาตอบเจ้าของร่างเล็กๆ ชนิดที่ผู้ใหญ่อย่างองก์อัมพุทเห็นแล้วก็ให้ใจหายไม่รู้ตัว

หญิงสาวค่อยย่อกายลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นคุกเข่าให้ความสูงอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน โอบแขนรอบตัวเด็กหญิงเบาๆเม้มปากแน่น ไม่อยากให้การจากลาเป็นไปอย่างเศร้าสร้อย

องก์อัมพุทกะพริบตาถี่ไล่รอยรื้นตื้นตัน แล้วจึงคลายอ้อมกอดเพื่อตอบคำถาม ที่เด็กหญิงและเพื่อนร่วมห้องต่างเฝ้ารอใจจดใจจ่อ

'คุณครูหนูพุด' ของเด็กๆคลี่ยิ้มอ่อนโยนช้าๆมองตามิรันดา ดวงตาของเธอวาววามเล็กน้อยยามต้องแสง แม้หยดน้ำใสจะไม่ได้หลั่งริน แต่มันก็ไม่อาจปกปิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้

"ใช่ค่ะ คุณครูต้องกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง .. เหมือนกับที่น้องมะระและเพื่อนๆก็กำลังทำหน้าที่อยู่ตอนนี้"

"คุณครู .. ไม่ไป .. ไม่ได้ .. เหรอคะ"

เด็กน้อยเริ่มเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่า หลังจากนี้ไป พวกเธอจะไม่ได้พบกับ 'คุณครูคนนี้' อีกแล้ว น้ำเสียงทื่เอ่ยออกไปจึงขาดห้วงและสั่นเครือ

องก์อัมพุทลำบากใจที่จะตอบถ้อยคำถามไร้เดียงสานั้น เพราะไม่ว่าจะตอบอย่างไร ก็ดูเหมือนจะกระทบกระเทือนใจด้วยกันทุกคน

"คุณครูหนูพุด .. ขอกอดน้องมะระ แล้วก็ทุกๆคน .. เพื่อเก็บเอาไว้ในใจของคุณครูนะคะ คุณครูจะไม่มีวันลืมลูกศิษย์ตัวน้อยๆ .. ของคุณครูเลย"

ไม่ทันขาดคำดี คุณครูจำเป็นก็รวบตัวเด็กหญิงเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแน่น แล้วน้ำตาหยดแรกที่ไม่อาจห้ามได้ก็ร่วงหล่นลงมา

นักเรียนชั้นอนุบาลในความดูแลขององก์อัมพุทเห็นดังนั้น ก็พร้อมใจกันลุกขึ้น วิ่งกรูมาโอบล้อมรอบกายเธอ จากนั้นเสียงร่ำไห้ที่หาต้นเสียงไม่ได้ก็ดังขึ้นจนระงมไปทั้งห้อง

นิรามัยที่คอยทำหน้าที่ผู้ช่วยถึงกับแอบซับหัวตา กับภาพความประทับใจและตื้นตันแกมเศร้า ที่ได้เห็นคุณครูจำเป็นคนหนึ่งผู้มีคุณสมบัติมากพอ จนสามารถเป็นที่ยอมรับของเด็กๆวัยอนุบาลได้ในเวลาอันแสนสั้น ก่อเกิดความผูกพันตราตรึง .. ก่อนจากลา



เภตราหวนคิดถึงคำพูดของพักตราเมื่อคืนด้วยความกลัดกลุ้ม ไม่เคยมีสักครั้งในชีวิตที่มารดาจะบังคับกะเกณฑ์ให้เธอต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะสิ่งนั้นขึ้นอยู่กับความพอใจของตน

แต่กับเรื่องของคนที่ชื่อ 'มัตติก์' แม้ผู้เป็นแม่จะไม่ได้ถึงขั้นบีบบังคับให้ต้องมาดูตัว ทว่า จากบทสนทนาบอกให้หญิงสาวรู้ได้เลยว่า มารดาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความหวังในเชิงธุรกิจ .. หวังว่าเรือล่มในหนอง เงินทองรึจะไปไหนเสีย

ทำไมเธอจึงต้องมาเจอการคลุมถุงชน ในยุคที่หญิงชายมีสิทธิ์เลือกใช้ชีวิตคู่ได้พอๆกัน และเธอก็เลือกไปแล้ว!

ในชีวิตของเภตรา มันมีอะไรผิดพลาดตรงไหนกัน .. ไม่เลย ทุกเรื่องเธอคิด .. เธอตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งนั้น

แล้วแม่ของเธอ ยังจะส่งใครมายุ่งวุ่นวายในชีวิตกันอีกล่ะนี่

แวบหนึ่งของความคิด ก็กระหวัดไปถึงความสัมพันธ์ที่มีมาได้ ๓ ปี .. ระหว่างเธอกับเมฆพัด ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เธอได้เลือกแล้ว .. เช่นกัน

เภตราเสยผมไม่ให้ปรกหน้าผากและขมับที่กำลังกุมพลางนวดคลึงไปพลาง ความตึงเครียดแผ่ไปทุกอณูจนไม่อยากจะทำงานทำการใดแล้ว

เมื่อคืนอารามตกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้รู้ ทำให้ถึงกับผลุนผลันออกจากห้อง หวังว่าจะให้องก์อัมพุทช่วยรับฟังและเป็นที่ปรึกษา

ระหว่างที่กระหน่ำเคาะประตูอย่างไม่กลัวว่ามันจะพัง หรือมือจะเจ็บ หญิงสาวก็ได้สติขึ้นมา

'แล้วเราจะบอกยัยพุดว่ายังไง?'

ทันทีที่เห็นสีหน้าอันตื่นตระหนกของเพื่อนสนิท ยามเปิดประตูออกมาเผชิญหน้ากัน เภตรากลับมองเห็นใบหน้าของใครอีกคนที่ทับซ้อนอยู่บนดวงหน้าองก์อัมพุท และถึงใบหน้านั้นจะมีหนวดเครารกเรื้อแค่ไหน เขาก็ยังดูลึกลับมีเสน่ห์น่าค้นหาเสมอในสายตาของเธอ

พอเอาเข้าจริงๆ หญิงสาวก็ไม่กล้าปริปากจนเพื่อนสาวได้แต่งุนงงสงสัย กับท่าทีร้อนรนเคาะประตูก่อนหน้านี้

เภตราแกล้งยิ้มแก้เก้อ บอกเสียงอ่อยกลบเกลื่อนให้แนบเนียนที่สุดว่า 'ไม่มีไร .. ลืม .. ไปล่ะ'

จากนั้นจึงหันหลังรีบสาวเท้ากลับเข้าห้องตัวเองไปดื้อๆ ปล่อยองก์อัมพุทไว้อย่างนั้น

กระทั่งตอนเช้าที่คิดว่า อาจถูกซักไซ้ไล่เลียง .. แต่ก็ไม่เป็นไปอย่างที่คาด ซึ่งเธอก็รู้สึกโล่งใจอยู่ไม่น้อย

"ปวดหัวเหรอเภา .."

เภตราเงยหน้าขึ้นมององก์อัมพุททั้งที่มือยังกุมขมับ แล้วรีบลดมือลงพร้อมคำพูดเตรียมเอ่ยปฏิเสธ แต่ก็ติดแค่ริมฝีปากเท่านั้น ก่อนต้องส่งมันกลืนกลับลงในคอ พลันที่ได้เห็นนัยน์ตาบวมแดง ราวกับคนที่ร้องไห้มาอย่างหนัก

"เฮ้ย พุด .. แกเป็นอะไร ไปทะเลาะกะใครมา ถึงร้องไห้ขี้มูกโป่ง ตาพองขนาดนี้"

"จะบ้าเหรอเภา .. ไม่มีใครทะเลาะกับใครหรอก .. ฉัน .. ฉันร่ำลาเด็กๆมาต่างหาก"

องก์อัมพุทสูดจมูกเล็กน้อย อารมณ์ยังไม่มั่นคงดีนัก แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ตนเองจมน้ำตาเหมือนเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ ก็ต้องให้นิรามัยช่วยกันปลอบประโลมทั้งคุณครูจำเป็นขี้แย และลูกศิษย์ตัวน้อยที่งอแงไม่ยอมหยุด

"อ่อ .. ไม่คิดว่าแกจะอินกับการเป็นครูแฮะ"

"อืม ไม่คิดเหมือนกัน .. แค่ ๕ วันเอง"

ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลท่องนทีเก็บซ่อนความหม่นหมองของตัวได้ฉับพลัน มือคว้ากระดาษซับหน้ายื่นส่งให้องก์อัมพุท เพราะเห็นกำลังยกมือขึ้นเอานิ้วแตะๆบริเวณรอบดวงตา

"เอ้า ซับซะหน่อย แล้วเรียบร้อยดีนะ"

"ขอบใจ .. ก็อดใจหายไม่ได้เหมือนกัน เฮ้อ .. ฉันคงคิดถึงเด็กๆกับเวลาดีๆที่นี่"

เภตราอมยิ้มกับคำพูดของเพื่อน แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา ไวเท่ากันกับการยื่นข้อเสนอที่เสี่ยงพอดู แต่คนฟังถึงกับชะงักกิริยาที่บรรจงซับรอบๆขอบตาไปเลย

"มาทำงานกับฉันมั้ยล่ะ .. ฉันให้เงินเดือนแกเป็นอีกเท่าของที่เก่าเลย"

"จะบ้าเหรอ เภา .."

องก์อัมพุทอุทานเสียงดัง ลืมไปเลยว่า ตัวเองยังอยู่ในหน้าที่ และเพื่อนคือผู้อำนวยการ

"ไม่บ้า .. ถ้าแกตกลง ฉันให้เวลาแกสามเดือนระหว่างปิดเทอมใหญ่ไปเตรียมตัว แล้วจะโทรไปบอกคุณครูคนที่เบี้ยวงาน .. ว่าไม่ต้องมาแล้ว"

คำพูดกอปรกับสีหน้าที่ดูไม่ปกติของเภตรา ยิ่งทำให้เพื่อนอย่างองก์อัมพุทสามารถจับความรู้สึกได้ไม่ยาก เพราะในเนื้อความที่กล่าวออกมา นอกจากเต็มไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ยังเจือความไม่ชอบมาพากลแทรกปนมาเป็นพิรุธ

"เภา .. แกมีอะไรหรือเปล่า .. สองสามวันมานี้ ฉันรู้สึกว่า แกกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่นะ"

“ปิดบัง .. จะบ้าเหรอพุด .. ฉันมีอะไรต้องปิดบังแก”

คนมีพิรุธย้อนคำเดียวกันกลับมา แต่ต่อให้ปฏิเสธอย่างไร อีกฝ่ายย่อมสังเกตได้แจ่มชัด แล้วยิ่งกับคนที่เปิดเผยอย่างเภตรา พอมีเรื่องไม่สบายใจทำไมองก์อัมพุทจะดูไม่ออก

“เภา .. ถ้าแกยังเห็นฉันเป็นเพื่อน .. มีเรื่องอะไรฉันยินดีรับฟังแกนะ ..”

“...”

เภตรามองหน้าองก์อัมพุทที่มีแต่ความห่วงใยส่งมาให้ ใจหนึ่งอยากเหลือเกินที่จะบอกความจริงที่เร้นลับ หากอีกใจก็หน่วงเหนี่ยวไว้ว่า ยังไม่ถึงเวลา

ความอัดอั้นที่ทับถมจนแน่นอกทั้งเรื่องเก่าที่ยังไม่รู้ว่า จะจัดการกับชีวิตนอกลู่ของตนอย่างไร แล้วยังจะมีเรื่องใหม่ซึ่งครอบครัวกำลังจะล้อมกรอบกักกัน

“พุด ..”

เสียงแผ่วระโหยครางชื่อเพื่อนที่ตั้งตารอฟังอย่างจริงใจ เภตรามองเห็นเจตนนาดีที่มีให้เสมอมาขององก์อัมพุท ไม่ว่าเรื่องใดแม้จะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ เพื่อนคนนี้ไม่เคยอิดออดเลยสักครั้ง .. ดูอย่างตอนนี้ ที่เจ้าตัวลงทุนลางานมาเป็นครูชั้นอนุบาลทั้งๆที่ไร้ประสบการณ์ยังทำให้ได้

เภตรากล้ำกลืนความทุกข์ที่ซุกซ่อน ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า เภตราในอดีตที่เก่งกล้าลบเลือนไปไหนแล้ว จึงเหลือไว้แต่ผู้หญิงขี้ขลาดคนหนึ่ง

ผู้หญิงขี้ขลาดที่กลัวไปหมดทุกสิ่ง .. กลัวสูญเสียความรัก กลัวสูญสิ้นความไว้เนื้อเชื่อใจ

กลัวเสียจนปล่อยให้มันเป็นความลับ ที่ไม่อาจจะบอกมันให้ใครรู้ .. กระทั่งเพื่อนรักของตน

โอกาสมาถึงตรงหน้านี้แล้ว .. องก์อัมพุทกำลังส่งมันมาให้ถึงมือ อยู่ที่เธอจะคว้ามันไว้หรือเปล่า ซึ่งในที่สุดก็ตัดสินใจได้เสียที

“แกแน่ใจนะพุด .. ว่าแกจะรับได้ ถ้าฉันบอกความจริงกับแก”

“ได้สิ .. แกยังเคยช่วยฉันได้เลยเภา ทำไมฉันจะช่วยแกไม่ได้”

ท่าทีกระตือรือร้นขององก์อัมพุท สะกิดปมในใจของเภตรา .. วูบหนึ่งนั้นคือ ความละอาย

“ฉัน .. แม่ของฉันจะจับฉันคลุมถุงชนกับครูคนใหม่ที่กำลังจะมา .. แกคิดว่า ฉันควรทำยังไงดีล่ะ .. พุด”





เมฆพัดและทีมวิจัยพันธุ์พืชเดินทางเข้าไปในป่าเขตอุทยานแห่งชาติ หน้าที่ของพวกเขาคือเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อ และชิ้นส่วนของพันธุ์ไม้มีค่าอย่างพะยูง เพื่อนำมาเพาะขยายพันธุ์ รวมถึงเก็บรักษาสายพันธุ์ให้อยู่รอด เนื่องจากมีการลักลอบตัดจนเกือบหมด เกรงว่า หากปล่อยไปเรื่อยๆ พะยูงสายพันธุ์ดีๆอาจสูญพันธุ์ไปจากแผ่นดินไทยก็ได้

กว่า ๑๐ ปีกับโครงการนี้ ทุกคนทุ่มเทแรงกายแรงใจ แต่ก็ยังไม่ทันกับปริมาณความต้องการจากภายนอก จนนำมาซึ่งพวกเห็นแก่ได้ บุกรุกเข้ามาลักลอบตัดไม้พะยูงในเขตอุทยาน แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยยากเพียงใด เมฆพัดก็ไม่เคยคิดจะถอนตัวจากงานนี้เลย

แต่เพราะมันมาพร้อมกับความเสี่ยง เสี่ยงอันตรายทั้งจากสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ล้อมรอบด้วยป่าเขา อันตรายจากพวกลักลอบที่ไม่รู้ว่า วันดีคืนดีจะบังเอิญมาปะทะกันไม่จุดใดก็จุดหนึ่งในป่า และพวกเขาก็เป็นเป้านิ่งดีๆนี่เอง

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เมฆพัดเลี่ยงหลบ ที่จะบอกความจริงกับครอบครัวมาตลอดว่า งานของเขาคืออะไรกันแน่

ที่สำคัญ เขาไม่อยากทำให้กงล้อประวัติศาสตร์เวียนมาอีก .. ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่า กำลังถลำตามรอยเท้าของผู้เป็นพ่อ มากว่าครึ่งตัวแล้ว

“ไง .. พัด ไม่คิดจะกลับไปจัดการปัญหาที่มันคาราคาซังหน่อยเหรอ”

ทแกล้วเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงขณะหยุดพักงาน ท่ามกลางแดดยามบ่ายที่ระอุร้อน ร่มเงาไม้ใหญ่ไม่ต้องพูดถึง เพราะงานเก็บเนื้อเยื่อที่พวกเขาต้องทำนั้นเรียบร้อยไปแล้ว

แต่ที่ยังมาอยู่กันกลางแดดเปรี้ยงเช่นนี้ เนื่องจากพบต้นพะยูงที่ถูกโค่นก่อนหน้าเมื่อไม่กี่ชั่วโมง ทำให้ต้องเข้ามาตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดคุ้มกันป่าไม้อีกนาย ที่ติดตามมารักษาความปลอดภัย

วันนี้รุ่นพี่หนุ่มใหญ่ทำหน้าที่นำทีมแทนอาจารย์ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัย โดยสลับสับเปลี่ยนกันตามความเหมาะสม ส่วนใหญ่ทั้งคู่มักจะจับคู่กันออกมาแบบนี้บ่อยๆ เพราะค่อนข้างคล่องตัวจึงทำให้งานเดินหน้าได้รวดเร็ว

เมฆพัดยังคงก้มหน้าก้มตาสำรวจวงปีไม้เพื่อคำนวณอายุคร่าวๆ ซึ่งดูจากลำต้นที่โค่นลงมาคาดว่าจะมีอายุราว ๒๐ – ๓๐ ปี ซึ่งไม่มากไม่น้อย หากคุณสมบัติของมันคือสิ่งล้ำค้าที่พวกลักลอบสามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ถ้าพวกมันขนเล็ดลอดออกไปได้

“ผมยังไม่รู้เลยว่า ต้องทำยังไง .. พี่แนะนำหน่อยสิ ในฐานะกูรู ผู้รู้จริง”

“ใจเย็นเข้าไปเถอะ .. ระวังแม้แต่หัวเข่าจะไม่มีให้เช็ดน้ำตา”

ทแกล้วเตือนเสียงขรึมพลางควักบุหรี่ยี่ห้อเดิมที่ยังเหลือออกมาจุดสูบ ความหวังดีของเขาคงบอกรุ่นน้องคนสนิทได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเมฆพัดว่าจะคิดเห็นอย่างไร หรือจะทำใจอย่างเดียว

“พี่ .. พวกเราได้แต่เก็บสะสม เพาะขยายพันธุ์ลูกไม้พวกนี้ จนมันเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ แต่มันก็ยังไม่พอที่จะปลูกชดเชย โตไม่ทันซ่อมแซมผืนป่า .. ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี กว่าที่มันจะใหญ่เท่าต้นนี้ แทบจะหมดอายุขัยพวกเราเลยนะ”

รุ่นพี่ยืนฟังอย่างพยายามใจเย็น อากาศร้อนไม่ใช่ปัญหาเพราะความคุ้นชิน แต่อาการอารัมภบทอ้อยอิ่งยืดยาวของคนพูด มันเริ่มจะเพิ่มองศาเดือดของความอดทนทีละน้อย

“ใช่ .. ไม่ถึง ๕ นาที .. มันก็ระเนระนาด .. แล้วมันเกี่ยวอะไรกับปัญหาของนายวะ”

“กับงานผมยังให้เวลาได้ .. เรื่องของความเข้าใจ ทำไมผมจะรอไม่ได้ล่ะครับ”

ชายหนุ่มตอบทั้งยังก้มหน้ากรอกตัวเลขข้อมูลลงในกระดาษ ราวกับว่าหากคลาดสายตาจะทำให้ทุกอย่างผิดพลาดไปหมด

ทแกล้วฟังคนใจเย็นยิ่งกว่าเขาพูดแล้ว ก็แทบจะเดินหนีเลยทีเดียว เขาอัดนิโคตินเข้าปอดอย่างแรงและระบายมันออกมารวดเร็ว ไม่รู้จะใช้คำใดกับชายหนุ่มที่สร้างภาพว่าเยือกเย็นกลางเปลวแดดแผดร้อน

หนุ่มรุ่นพี่จึงพูดทิ้งท้ายเตือนสติเมฆพัดอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังก้าวยาวๆไปให้พ้นจากตรงนั้น เพราะหมั่นไส้พ่อหนุ่มที่แสนจะสุขุมเหลือกำลัง

แล้วมันก็ได้ผล เพราะรุ่นน้องที่เอาการเอางานถึงกับละมือแหงนหน้ามองพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว จากประโยคกระแทกกระทั้นที่ว่า

“เออ นายจะรออะไรก็รอไป .. แต่ถ้าผู้หญิงเขาไม่รอ นายอย่าเอาหัวเข่าเสยลูกกะตาตัวเอง แทนผ้าเช็ดหน้าก็แล้วกัน”










********************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...

ขอขอบคุณทุกการติดตาม .. กำลังใจที่มีให้ และการกดไลค์นะฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ค. 2558, 04:06:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ค. 2558, 04:06:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1133





<< บทที่ ๑๒ .. กลับตาลปัตร   บทที่ ๑๔ .. ข่าวที่น่ายินดี >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account