ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๑๔ .. ข่าวที่น่ายินดี



บ้านเดี่ยวชั้นเดียวขนาดร้อยกว่าตารางเมตรที่ถูกเจ้าของทิ้งไปหนึ่งสัปดาห์เต็ม บัดนี้มันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เมื่อองก์อัมพุทเดินทางมาถึงและลงมือเก็บกวาดทำความสะอาด โดยไม่ยอมเสียเวลาพักให้หายเหนื่อยก่อน

หญิงสาวบอกตัวเองได้เลยว่า เธอไม่มีทางเดินเหยียบย่ำกองฝุ่นไปที่ไหนๆในบ้านได้แน่ ถึงแม้มันจะไม่ได้จับหนาเตอะ แต่มันรู้สึกได้ถึงความไม่สะอาดมากจริงๆ

นอกจากนี้ยังมีเรื่องให้ต้องขบคิดมากมาย ทั้งของตนและเพื่อน

องก์อัมพุทยังตื่นเต้นไม่หาย หลังจากตกใจกับเรื่องราวของเภตรา ว่าเพื่อนรักกำลังจะถูกครอบครัวบงการชีวิต ถ้าเป็นเรื่องหน้าที่การงาน หญิงสาวก็พอเข้าใจได้ และเห็นด้วยว่า เพื่อนของเธอทำได้ดีแค่ไหน

แต่นี่ .. คุณน้าพักตรา .. มารดาของเภตรา หมายวางแผนชีวิตของเพื่อนโดยใช้วิธีคลุถุงชน!

เธอไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าละอองชลแม่ของเธอ มีความคิดเช่นนี้บ้าง .. ถึงเวลานั้น เธอควรทำอย่างไรดี

องก์อัมพุทก็คงจะทำเหมือนกับที่เภตราทำ คือ หาใครสักคนเพื่อปรึกษาในเรื่องนี้

หญิงสาวถอนหายใจกับปัญหาของเพื่อน แต่พอคิดว่าไหนๆเภตราก็ยังไม่มีใคร เธอก็อดคิดไมได้ว่า เภตราน่าจะลองเปิดโอกาสให้ตัวเองและคนที่คุณน้าพักตราหมายมาด ได้มาทำความรู้จักกันเสียหน่อยคงไม่เสียหายอะไร

ความคิดนี้เรียกรอยยิ้มเบิกบานทดแทนความเหนื่อยล้า จากการทำความสะอาดบ้านมาพักใหญ่ได้พอสมควร

หรือว่า องก์อัมพุทควรสนับสนุนเภตรา กับว่าที่คู่หมายคนนั้น .. ที่ชื่อ ‘มัตติก์’ ดีนะ

ทว่า พอคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา องก์อัมพุทก็หวนกลับมานึกถึงเรื่องของตัวเอง ก่อนจะละมือจากเครื่องเรือนชิ้นสุดท้ายในห้องนอนที่ต้องทำความสะอาด

ผ้าขี้ริ้วถูกซักบิดพอหมาดนำไปผึ่งไว้ด้านหลังเรียบร้อย เธอจึงล้างมือเช็ดให้แห้งแล้วเดินออกมาข้างนอก ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้านดังเดิม

หญิงสาวเหลียวมองอย่างพึงพอใจ จนสายตามาหยุดอยู่ที่ตะกร้าใบเชื่องมีฝาปิดอย่างดี กระทั่งเผลออมยิ้มเมื่ออะไรบางอย่างเริ่มขยับกระดุกกระดิก กระทั่งมันลุกขึ้นนั่งช้าๆคล้ายงุนงง แล้วส่งเสียงทักเมื่อมันหันมาเห็นเธอผ่านช่องเล็กๆ

“เงี๊ยววว”

“ไง เจ้าแมวน้อย ตื่นแล้วเหรอ .. หิวล่ะสิ รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวไปเทนมมาให้”

องก์อัมพุทพูดกับสิ่งมีชีวิตน้อยๆ ราวกับมันเป็นเด็กเล็กที่รู้ภาษา ไม่นานนักเธอก็ถือจานใบหนึ่งออกมาจากครัว พร้อมน้ำนมสำหรับลูกแมวที่เทพอประมาณ มานั่งลงข้างตะกร้าแล้วเปิดฝาหลังจากวางจานนมไม่ห่างตัว

“มานี่ซิ .. อืม ฉันพาเรามาแบบนี้ หวังว่า คุณวิชชุ์คงจะไม่ว่าอะไรเนอะ .. ก็ช่วยไม่ได้นี่นา คุณวิชชุ์ไม่อยู่ ฉันก็ต้องกลับมาทำงาน ใครจะทิ้งเราได้ลงคอ .. จริงมั้ย”

หญิงสาวเอื้อมมือลูบหัวเจ้าแมวน้อยแผ่วเบาทำความคุ้นเคย พลางพูดคุยเหมือนมันเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ขัดคอในทุกคำที่เปรยขึ้น ซึ่งเจ้าตัวยังวิตกกังวลไม่น้อยกับการถือวิสาสะพาลูกแมวในความรับผิดชอบของวิชชุ์วิธูมา โดยไม่ได้บอกกล่าวเขาก่อน

ครู่หนึ่งเธอก็รู้สึกได้ว่า แมวน้อยมีปฏิกิริยาตอบรับ มันใช้ปลายลิ้นสากเล็กน้อยเลียปลายนิ้วเมื่อจบคำถาม

“เราก็เห็นด้วยกับฉันใช่มั้ยล่ะ .. มาอยู่ด้วยกันดีกว่า เราตัวเดียว .. ทำไมฉันจะเลี้ยงไม่ได้”

“เงี๊ยววว”

องก์อัมพุทยิ้มกว้างกับมิตรภาพระหว่างกัน ที่ดูท่าว่าไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว หญิงสาวค่อยช้อนตัวลูกแมวขึ้นมา พอพ้นขอบตะกร้าก็นำมาวางลงบนตัก ก่อนจะปล่อยตัวลงพื้นที่มีจานนมรออยู่

“เอ้า .. กินซะ เย็นๆฉันจะลองให้อาหารเม็ดเราละกันนะ ตอนนี้กินนมรองท้องไปก่อน .. ไม่รู้ว่า คุณวิชชุ์จะกลับเมื่อไหร่ด้วย แต่ฉันก็บอกคุณลุงหัสไว้แล้วล่ะ .. ว่า เราจะมาอยู่ด้วยกัน”

เจ้าลูกแมวน้อยตัวลายพร้อยสีเทาแกมจุดดำก้มหน้าก้มตาเลียนม ไม่ได้สนใจกับเสียงบอกเล่าขององก์อัมพุทเท่าใดนัก จนมันเงยหน้าขึ้นมองรอบตัวแล้วแหงนสบตาหญิงสาว ลิ้นสีชมพูแลบตวัดเช็ดปากทั้งบนและล่างไม่เหลือร่องรอยน้ำนม ท่าทางแบบนั้นบอกให้คนที่เฝ้าดูถามกลั้วหัวเราะเบาๆ

“อิ่มแล้วล่ะสิ .. เอ .. ฉันจะเรียกเราว่าอะไรดีนะ .. เรียกเจ้าเหมียวๆ มันโหลไป .. อืมม ชื่ออะไรดี”

เจ้าเหมียวได้แต่เอียงคอมองตาแป๋ว ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรกับตัวเอง ทว่า พอหนังท้องตึง ก็ได้เวลาหาที่อุ่นๆซบ ตอนนี้ที่ที่เหมาะในสายตาของมัน ก็อยู่ตรงหน้านี่เอง

ขนฟูๆตัวนุ่มๆเดินต้วมเตี้ยมไม่กี่ก้าว ก็พาตัวของมันขึ้นมาอยู่บนตักขององก์อัมพุท จนหญิงสาวที่กำลังใช้ความพยายามนึกชื่อเรียกให้ ต้องก้มลงมองแล้วก็พบว่า มันจัดระเบียบตัวเองด้วยการขดกลมหลับตาซุกหัวหลับไปแล้ว

องก์อัมพุทสำรวจรูปพรรณสีขนที่หม่นๆเทาๆนั้นอย่างเอ็นดู ลวดลายดังเมฆลอยคว้างกลางฟ้ายามค่ำคืนทะมึนดำ คล้ายคลึงกับความหมายในชื่อของเธอ แล้วจู่ๆก็พาให้นึกถึงกวีบทหนึ่งขึ้นมา ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบทที่เธอตราตรึงไม่รู้ลืม

ทว่า บทนี้หญิงสาวก็ประทับใจไม่แพ้กัน เพราะความหลังที่เคยฝังจำเนิ่นนานมา

เฉิดฉันฉายแจ่มจ้า จันทรา
เผยผ่องศศิประภา ผ่านเร้น
สุกสว่างพรางดารา กลืนกลบ
ไฉนจึ่งมิวายเว้น สะท้อนหวนหา ฯ


“เจ้าจัน .. ชื่อเจ้าจัน ก็แล้วกันนะ .. เพราะคนที่เจอเราก่อนน่ะ เขาก็เป็นพระจันทร์สำหรับฉันเหมือนกัน .. สูงลิบหากอาจเอื้อม ไขว่คว้าวังเวงฯ ..”

หญิงสาวขานชื่อเจ้าลูกแมวน้อย พลางรำลึกถึงโคลงบาทสุดท้าย .. อย่างหงอยเหงา โดยไม่รู้ตัว





วิชชุ์วิธูหงุดหงิดจนเกือบหัวเสียอยู่ไม่น้อยที่ไม่ได้เจอหน้ารวิรุจน์ แต่ก็ไม่อาจแสดงออกมาได้ เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้แหวนวง มารดาของเขาไม่สบายใจ

ดูท่าว่า ชายหนุ่มยังมีเรื่องต้องทำความเข้าใจกับน้องชายอีกมาก หากเจ้าน้องตัวดีกลับหลบลี้หนีหน้า แม้แต่วันสุดท้ายของการทำงานที่ยังเหลืออยู่เมื่อวาน ที่เขาคิดว่ายังไงรวิรุจน์ก็คงต้องแวะมาบ้านเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างล่ะน่า

“ลองบอกว่าติดงาน น้องคงพักทำงานแล้วล่ะวิชชุ์ .. บางทีงานยืดเยื้อก็เลยขนเสื้อผ้าไปทิ้งๆไปที่นั่น ที่ทำงานก็ดีนะ จัดห้องหับรับรองไว้ด้วย”

แหวนวงเล่าให้บุตรชายคนโตฟัง เมื่อสังเกตว่า วิชชุ์วิธูคอยชำเลืองมองทางลานจอดรถบ่อยครั้ง ก็นึกรู้ได้ไม่ยากถึงการที่เขายอมอยู่ค้างคืนเป็นเพื่อน

“รุจน์ทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียวบ่อยหรือครับ”

“แม่ .. ชินแล้วลูก

ผู้เป็นมารดาระงับคำ ‘ถูกทิ้ง’ ไว้ในลำคอได้ทัน เธอไม่ต้องการให้วิชชุ์วิธูรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขาเลย แต่ถึงจะเข้าใจมากแค่ไหน ก็ยังไม่พอที่จะทำให้ลูกชายคนเล็กเชื่อและเข้าใจสิ่งที่ผ่านไปแล้วได้

คำพูดเรียบง่ายแฝงรอยบอบช้ำ ตอกย้ำความรู้สึกของวิชชุ์วิธูไม่ต่างกัน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า แท้จริงแล้ว มารดายังไม่อาจลืมความเจ็บปวดหนหลังได้ ทุกอย่างสะท้อนผ่านการกระทำของรวิรุจน์ไม่ต้องสงสัย

น้องชายของวิชชุ์วิธูอาจดูเหมือนเด็กไม่ยอมโต แต่ก็ต้องยอมรับว่า รวิรุจน์คือคนที่เข้าถึงจิตใจและอยู่เคียงข้างมารดาได้ดีกว่าเขา

ในขณะที่ชายหนุ่มกลับเลือกที่จะเป็นคนกดคมมีด แล้วกรีดเปิดปากแผลในใจของคนทั้งสองให้ยิ่งลึกลงไป เสมือนคนสมรู้ร่วมคิดทำลายครอบครัวตัวเองด้วยน้ำมือตน

“แล้ววิชชุ์ล่ะลูก ไม่มีธุระที่ไหนหรือ .. แม่อยู่คนเดียวได้ วันนี้ก็วันเสาร์ เผื่อ .. ทางโน้น ..”

“พ่อมีเกรซอยู่ด้วย .. ผมก็หมาหัวเน่าครับแม่”

บุตรชายทราบดีว่ามารดาเอ่ยหมายไปถึงใคร แต่เขาก็ชิงตอบไปเสียอีกทาง อย่างน้อยกับเด็กเล็กๆที่แหวนวงรู้อยู่เต็มอกว่า อย่างน้อยก็เลือดเนื้อเชื้อไขเหมือนกันกับบุตรของตน .. ครึ่งหนึ่ง

“อ่อ .. ลูกสาวของเขา? .. กี่ขวบแล้วล่ะ คงจะโตมากสินะ”

“๑๐ ขวบแล้วครับ .. น่ารัก ช่างพูดช่างคุย แต่ก็ขี้เกรงใจพอๆกับขี้น้อยใจ”

จากที่แหวนวงรับฟังแกนๆ เพราะไม่อยากใส่ใจ แต่พอเห็นวิชชุ์วิธูเล่าถึงน้องสาวต่างแม่ สีหน้าท่าทางของเขากลับดูอ่อนโยนขึ้นทันตา ทำให้เธอนึกสนใจข้อมูลขึ้นมาครามครัน

“อะไร๊ .. เด็กตัวแค่นั้น พ่อแม่รึก็มีครบ จะต้องมีนิสัยน้อยใจใครอีก”

คำถามเสียงสูงที่เผลอแสดงความเห็นออกมา สะท้อนให้คนเล่าแอบเก็บยิ้มพอใจเงียบๆ ที่สามารถดึงให้มารดาขยับเข้าใกล้ความเข้าใจได้อีกนิด

“เกรซเป็นเด็กไวต่อความรู้สึกของคนรอบข้างครับแม่ เหมือนน้องจะรู้สึกได้ว่า ตัวเองเกิดมาแบบไหน”

แหวนวงถึงกับชะงักนัยน์ตาไหววูบแล้วเบือนหน้าไปอีกทาง วิชชุ์วิธูที่จับตาดูมารดาอยู่พอจะจับความรู้สึกสะเทือนใจได้ จึงหยุดเรื่องราวของตรีวธูเพียงเท่านี้

“สงสัย เจ้ารุจน์คงไม่โผล่มาให้ผมเจอหน้าแน่ๆ .. บ่ายนี้ผมคงต้องกลับแล้วครับ มีธุระอย่างที่แม่ว่าจริงๆ”

น้ำเสียงบอกเล่าเรียบเรื่อยอย่างชวนคุยเรียกความสนใจจากแหวนวงได้อีกครั้ง เธอหันหน้ามาจ้องใบหน้าที่ติดจะเคร่งครัดอยู่เป็นนิจ แต่ก็ยังชวนมองอยู่ดี จนหลายหนก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า บุตรชายคนโตก็ใช่จะขี้ริ้วแต่ทำไมไม่เห็นเขาคบใครจริงจังสักคน

“เมื่อวานวันทำงานแท้ วิชชุ์ก็ยังมาอยู่กับแม่ได้ทั้งวัน พอวันหยุดกลับต้องติดธุระ แทนที่จะได้พักผ่อน”

“ไม่ใช่งานหรอกครับ .. พอดีครบกำหนดที่ต้องไปรับเจ้าเหมียวกลับ”

“เจ้าเหมียว?”

คราวนี้วิชชุ์วิธูได้แต่ยิ้มกว้างให้มารดา แต่ไม่บอกอะไรเพิ่มเติม มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ดีว่า นั่นเพราะเหตุใด





องก์อัมพุทปล่อยเจ้าจันเดินสำรวจไปทั่วบ้าน แต่เธอก็ยังคอยสังเกตอยู่ไม่ห่างว่ามันจะทำเลอะเทอะตรงไหนหรือไม่ และถ้าหากเห็นท่าว่าเจ้าแมวน้อยกำลังจะปฏิบัติภารกิจส่วนตัว เธอก็จะรีบเดินเข้ามาหาแล้วพามันพร้อมทั้งของที่ขับถ่ายออกมาไปไว้ยังถาดที่จัดไว้ ซึ่งคงจะต้องฝึกกันอีกสักพักกว่าเจ้าจันจะเข้าใจ

ระหว่างที่หญิงสาวอยู่ในครัวเตรียมมื้อเย็นสำหรับตนเอง เจ้าจันก็คอยคลอเคลียอยู่ไม่ห่าง เมื่อมันไม่พบสิ่งใดน่าสนใจภายในบ้านอีกแล้ว

“ว่าไงเจ้าจัน .. หิวรึยัง ฉันทำสลัดทูน่ากับซุปฟักทองเป็นมื้อเย็น สนใจมั้ยล่ะ ทูน่าน่ะ”

คนถามถามราวกับว่าจะมีคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่งหลุดจากปากเจ้าลูกแมว แต่ในความเป็นจริงที่เธอได้เห็นคือ มันแค่เงยหน้าสบตามองตามเสียงที่ได้ยิน แล้วก็ละจากข้อเท้าที่คลอเคลีย เดินหางโบกไปมากลับไปยังที่นอนของตัวเอง

“อ้าว .. จะนอนแล้วเหรอ .. สงสัยจะยังอิ่ม”

องก์อัมพุทเปรยเบาๆ แล้วก็หัวเราะออกมาพลางส่ายศีรษะช้าๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่า .. นี่เราคุยคนเดียวก็ได้แล้วเหรอเนี่ย

ขณะที่กำลังตักซุปใส่ถ้วยกระเบื้อง เสียงโทรศัพท์ก็แว่วมาให้ได้ยิน จนแม่ครัวต้องรีบวางกระบวยที่ถืออยู่บนจานรอง ปิดฝาหม้อซุปแล้วสาวเท้าเร็วรี่มารับสาย เพราะเธอวางมันไว้ที่ห้องนั่งเล่น

“ค่ะ .. พี่พัด .. เป็นไงบ้าง เงียบไปเลย .. สบายดีนะ”

“ทำอะไรอยู่น่ะ .. เปิดบ้านให้พี่หน่อยสิ”

“อะไรนะ?..”

องก์อัมพุทถามเกือบจะเป็นแหวใส่โทรศัพท์ เหลียวมองไปทางประตูหน้าบ้าน แล้วคนที่ปรากฏต่อสายตาที่ยืนอยู่นอกรั้วคือ .. เมฆพัด

“พี่พัด ..”

เท่านั้นเองหญิงสาวตัดสายแทบจะโยนอุปกรณ์สื่อสารลงไปที่เดิม ดีว่าสภาพพื้นที่รองรับเป็นตะกร้าบุผ้าเนื้อนุ่มนิ่ม โทรศัพท์ของเธอจึงไม่ถูกกระแทกแรงมากนัก

เจ้าจันที่นอนอยู่ในตะกร้าขอบเตี้ยซึ่งองก์อัมพุทจัดไว้ให้ยังสะดุ้งตกใจ เมื่อคนเลี้ยงถลามาเปิดประตูออกไปข้างนอก จนมันต้องลุกขึ้นแล้ววิ่งตามไป แต่ติดอยู่แค่นั้นเพราะประตูถูกปิดไว้

สภาพของเมฆพัดเมื่อแรกที่องก์อัมพุทเห็นคือ หนวดเคราที่รุงรัง ผิวคล้ำเข้มขึ้นอีกนิดหน่อยจากสัปดาห์ก่อน ส่วนนัยน์ตาซ่อนอยู่หลังแว่นกันแดดเรแบนสีดำ

“พี่พัด .. มายังไงเนี่ย แล้วดูสิแต่งตัวยังกะรูปที่ห้อยท้ายรถบรรทุก”

“ขอบใจ .. ที่ชมว่าพี่หล่อเหมือนเซอร์ปิโก้*”

เมฆพัดพูดทีเล่นทีจริงหลังจากน้องสาวไขกุญแจรั้ว เปิดรับพี่ชายให้เขาเข้ามาข้างใน ก่อนจะปิดแล้วล็อกอย่างแน่นหนาอีกครั้ง

คนที่เพิ่งเดินทางมาถึงก้าวยาวๆไม่กี่ก้าวก็มาหยุดยืนที่หน้าประตู ชายหนุ่มไม่รอคนที่กำลังเดินตามมา เปิดประตูไม้หวังเข้าไปข้างในปลดสัมภาระที่แบกมา บวกกับอากาศอบอ้าวนึกอยากอาบน้ำให้เร็วที่สุด

แต่แล้วเท้าของเมฆพัดเหมือนไปเหยียบอะไรเข้า และความสงสัยก็อยู่กับเขาไม่นาน เนื่องจากเสียงเล็กๆร้องลั่นบอกให้ทราบแล้วว่า มันคืออะไร

“แง๊ววววว”

“อ้าว .. เฮ้ย .. เข้ามาอยู่ในนี้ได้ไง”

“พี่พัด .. ทำอะไรเจ้าจันน่ะ .. ตายแล้ว ร้องลั่นเลย .. เจ็บมากไหมน่ะ”

นอกจากเสียงแหลมเล็กของลูกแมวนำมาก่อน ตามด้วยเสียงทุ้มห้าวของเมฆพัด และสุดท้ายองก์อัมพุทที่เผลอเสียงดังใส่พี่ชาย จากนั้นจึงวิ่งแทรกตัวคนก่อเหตุเข้าไปดูผู้บาดเจ็บอย่างรวดเร็ว

เจ้าจันวิ่งหนีไปซุกอยู่มุมตะกร้าตัวสั่นงันงก จนองก์อัมพุทต้องอุ้มมาลูบหัวปลอบอาการหวาดกลัว เนื่องจากคนแปลกหน้าที่ทำให้เจ็บตัวและตกใจ

“ไม่เป็นไรแล้วนะเจ้าจัน .. พี่พัด .. ทำไมไม่ระวังเลย ดูสิ เกือบเหยียบเจ้าจันเลย .. เห็นมั้ย”

“พี่จะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าพุดมีตัวอะไรอยู่ในบ้าน”

เมฆพัดถอดแว่นตาออก ปรับสายตาคู่หนึ่งก็เห็นเจ้าขนฟูอยู่ในอ้อมกอดน้องสาว เจ้าตัวเล็กจ้องเขาท่าทางเอาเรื่องทีเดียว

“ไหน ดูซิ .. ลายสวยซะด้วย .. ไปเอามาจากไหนน่ะพุด”

“คุณวิชชุ์ .. เอ่อ .. มีคนเจอในบ้านเพื่อนเค้าน่ะ .. เภาไง .. พี่พัดจำเภา เพื่อนเค้าได้รึเปล่าล่ะ ..”

ชื่อที่หลุดมาคำแรกดึงดูดความสนใจคนรอคำตอบพอสมควร แต่ก็ถูกกลบอย่างไวแต่เกลื่อนด้วยพิรุธ ต่อให้คนพูดปรับเสียงให้ดูออดอ้อนอ่อนหวานอย่างที่เคยใช้กันมา ก็ยังรู้สึกได้อยู่ดี

ทีแรกเมฆพัดเตรียมอ้าปากแซวองก์อัมพุท ที่จู่ๆเขาก็ได้ยินชื่อใครบางคนซึ่งฟังแล้วรู้ทันทีว่า ต้องเป็นผู้ชายที่ไม่ธรรมดาแน่ แต่ชื่อเพื่อนของน้องสาวทำให้เขาต้องกลืนคำพูดลงคอ .. และเงียบฟัง

หากที่กำลังส่งเสียงดังคือบางสิ่งที่เต้นเร่ากึกก้องอยู่ภายใน

องก์อัมพุทมองเสี้ยวหน้าพี่ชาย ระหว่างที่เขาเอี้ยวตัววางแว่นตาลงบนโต๊ะ โดยไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ เนื่องจากเมฆพัดซุกซ่อนมันไว้ได้อย่างมิดชิดแนบเนียน

“แต่พี่พัดไม่เคยสนใจเพื่อนเค้าเลยนี่นา .. จำไม่ได้ก็ไม่เห็นแปลก”

หญิงสาวไม่ได้รู้ตัวเลยว่า คำพูดของเธอกำลังทิ่มแทงใจใครคนหนึ่ง .. จนปวดแปลบไปหมด

และเธอคิดว่า ที่พี่ชายเงียบนั้น อาจเพราะจำไม่ได้จริงๆ ด้วยความหวังดี น้องสาวจึงช่วยทบทวนความทรงจำ ขณะลูบหัวตลอดตัวเจ้าจัน จนมันเคลิ้มไปกับสัมผัสนั้นจนหลับตาพริ้ม

“พูดถึงเภา .. เค้าก็กลุ้มใจไม่รู้จะช่วยเพื่อนยังไงดี .. ทั้งๆที่เภาก็มีเรื่องมาปรึกษา”

“เรื่อง?”

เมฆพัดอดใจใคร่รู้ไม่ไหว แม้จะพยายามวางตัวดูท่าที หากพอได้ยินว่าคนที่เขาคิดถึง .. กำลังมีปัญหา ก็พานให้คิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ .. หรือ เภตราจะบอกเรื่องระหว่างเขาและเธอกับองก์อัมพุทแล้ว

วูบหนึ่งกับความคิดนั้น ชายหนุ่มยกมุมปากแววตาฉายประกายระยับ หัวใจคับพองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ใช่ค่ะ .. ดีเลย ที่พี่พัดมา อย่างน้อยพุดก็จะได้ขอความเห็นจากสายตาของผู้ชาย ว่าเค้าควรจะช่วยเภาแค่ไหน”

“เหรอ .. ให้พี่เดา .. คงไม่พ้นเรื่อง .. หัวใจ”

พี่ชายทำวางฟอร์มขรึมทั้งที่บุคลิกก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่เพราะสิ่งที่คาดหวังในใจมันคอยจะกระตุ้นความรู้สึกให้ลิงโลด ราวกับเป็นเรื่องของตนอย่างไรอย่างนั้น

“รู้ได้ยังไงน่ะ พี่พัด .. ถ้าบอกว่าที่หายๆไปเนี่ย หายไปรับจ๊อบหมอดู เค้าก็เชื่อเลยนะ”

“แสดงว่า .. ใช่”

แทนที่จะเห็นสีหน้ายิ้มแย้มขององก์อัมพุท เมฆพัดกลับสัมผัสได้ถึงความหนักใจ จนเริ่มก่อตัวเป็นเค้าลางว่า ต้องมีอะไรมากกว่าที่คิด

“เฮ้อ .. เค้าเคยคิดนะ สมัยก่อนตอนที่เภาบอกชอบพี่พัด .. ทำไมพี่พัดต้องปฏิเสธเภาแบบไม่เหลือเยื่อใยด้วย ..”

“หือ .. มันเกี่ยวอะไรกันล่ะ”

เมฆพัดอยากกัดลิ้นตัวเองนัก ที่เผลอเผยไต๋ออกไปว่า เขาจำเภตราได้ .. อันที่จริง ก็ยิ่งกว่าจำได้เสียอีก แต่ดูเหมือนว่าองก์อัมพุทจะเคร่งเครียดกับเรื่องของเพื่อนมากจนไม่ทันฟังที่เขาพูด

“แต่พอมาคิดอีกที .. เค้าก็เข้าใจแล้วล่ะ คนไม่ได้รักไม่ได้ชอบ จะมาให้ความหวังกันทำไม .. แล้วพวกเราก็ยังเด็กจริงๆ ..”

คำรำพันเสมือนทบทวนความทรงจำในอดีตราวกับเป็นเรื่องตนเองของน้องสาว กลับสร้างความกระอักกระอ่วนปั่นป่วนแก่พี่ชายได้เกินกว่าจะหยั่ง .. ยิ่งกับคำว่า ‘ไมได้รักไม่ได้ชอบ’ ยิ่งทำให้เขาถึงกับต้องกำมือพร้อมกับขบกรามแน่นไม่รู้ตัว

“แต่ตอนนี้ .. เราก็โตๆกันแล้ว ถ้าจะรักจะชอบใคร ถึงจะผิดหวังบ้าง .. ก็ช่างมันได้ ใช่มั้ยล่ะ พี่พัด”

“หา .. เอ่อ .. อืม งั้นล่ะมั้ง”

ราวกับต่างคนต่างคิดไปคนละทาง ก่อนที่องก์อัมพุทจะคิดได้ว่า พี่ชายเพิ่งมาถึงคงยังเหนื่อยถึงได้ดูไม่ค่อยตั้งใจฟังเรื่องราวที่เธอพูดเท่าไหร่

“พี่พัดไปอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวเค้าจะทำกับข้าวเพิ่มให้ ไม่รู้นี่นาว่าจะมา .. เค้าเลยมีแค่สลัดผักกับซุปฟักทอง”

“แค่นั้นก็ได้ .. พี่ .. กินไม่ค่อยลง”

เมฆพัดบอกไปตามตรงอย่างคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะโลดแล่นไปอยู่กับใครที่เป็นประเด็นเสียนานแล้ว ซึ่งเขาเองคงต้องขอทำใจอีกสัก ๕ นาที ๑๐ นาที แล้วค่อยมารับฟังปัญหาของเภตรา .. ที่เขาคิดถึงใจจะขาด

ติดอยู่ที่ว่า เขาควรจะหาวิธีเข้าหน้าเธออย่างไร .. เธอถึงจะไม่หนีจากเขาไปอีก




ขณะที่องก์อัมพุทรอเมฆพัดทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย เธอก็จัดโต๊ะอาหารเย็นไปด้วยพลางๆ ส่วนเจ้าจันก็จดๆจ้องๆอาหารเม็ดสำหรับลูกแมว ที่เทไว้ให้ดมนิดๆหน่อยๆมันก็ถอยกลับไปซุกตัวที่ตะกร้า ไม่มีทีท่าว่าจะกินอาหาร

หญิงสาวมองแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ กลัวว่ามันจะหิวแต่ก็ยังคงอดทนรอดูมันอีกสักหน่อย กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เธอจึงเดินมาหยิบเครื่องมือสื่อสาร ซึ่งปรากฏหมายเลขที่ไม่รู้จัก

“สวัสดีค่ะ .. องก์อัมพุทพูดค่ะ”

“คุณครูหนูพุด”

เสียงทุ้มที่ส่งผ่านสัญญาณเครือข่ายไร้สาย สร้างรอยประหลาดใจจนเจ้าของชื่อเรียกต้องเลิกคิ้วงงงัน .. ใครกัน? มีไม่กี่คนที่เรียกเธอแบบนี้ พอนึกได้คิดว่าเป็นคนในความคิด ก็อดยิ้มไม่ได้รีบทักทายกลับไปไม่รีรอ

“คุณลุงหัส .. ใช่ไหมคะ”

“นี่เสียงผม .. แก่ขนาดเสียงพ่อเลยหรือครับ .. คุณพุด”

“คุณ .. วิชชุ์!”

หัวใจขององก์อัมพุทแทบหล่นไปอยู่ที่พื้น รู้สึกได้ว่ามือไม้เย็นเฉียบขึ้นมาฉับพลัน เมื่อรู้แน่ชัดว่า คนที่กำลังถือสายสนทนาด้วย .. คือ วิชชุ์วิธู

“ครับ .. ผมเพิ่งรู้จากพ่อ .. ว่าคุณลักพาเจ้าแมวน้อยไปด้วย .. เราตกลงกันไว้ว่ายังไงครับ .. หรือคุณลืม?”

“ปละ .. เปล่าค่ะ .. คือ ฉัน .. เอ่อ พุด รอคุณวิชชุ์ .. ไม่ใช่ค่ะ .. คือครบกำหนดแล้ว แต่ไม่เห็นคุณวิชชุ์มา เลยไปรับมาก่อน แล้วฝากคุณลุงบอกคุณค่ะ .. พร้อมกับเบอร์โทร. พุดไม่ได้ลักพามาสักหน่อย”

หญิงสาวไม่มีทางรู้เลยว่า คำพูดตะกุกตะกักที่แสนยืดยาวนั้น ทำให้คนฟังเกิดปฏิกิริยาเช่นไรบ้าง แต่คำพูดที่เธอได้ยินจากเขานี่สิ ไม่รู้ว่าใช่สาเหตุที่ทำให้แก้มของเธอตึงๆร้อนๆหรือเปล่า

“ผมล้อเล่นครับ .. ต้องขอบคุณคุณด้วยซ้ำ .. แล้วผมจะมีโอกาสได้เจอเจ้าเหมียวน้อยบ้างมั้ยครับ”

“ถ้าวันไหนพุดแวะไปหาเภา .. พุดจะพาเจ้าจัน .. เอ่อ เจ้าเหมียวน้อยของคุณไปด้วยค่ะ”

“เจ้าจันทร์? .. จันทร์เจ้าหรือครับ .. ชื่อเหมือน .. เอ่อ ชื่อน่ารักน่ะครับ”

ตายแล้ว .. องก์อัมพุทครางในใจ แค่ได้ยินชื่อเขายังรู้เลยว่าหมายถึงอะไร แต่ว่า .. คงไม่รู้ลึกไปถึงใจเธอหรอกน่า คือคำปลอบประโลมขวัญตัวเองไม่ให้กระเจิงไปกว่านี้

“ผมไม่รบกวนคุณพุดแล้ว .. สบายใจว่า เจ้าจันทร์ .. จันทร์เจ้า มีคนดูแลดี ..”

“ค่ะ ..”

“สวัสดีครับ”

แม้ว่าสายจะถูกตัดไป แต่ในความรู้สึกขององก์อัมพุทมันเหมือนได้ต่อเติมบางสิ่ง .. ที่ชื่อว่า ความสัมพันธ์ และถ้าเป็นไปอย่างนี้เรื่อยๆ .. เธอพอจะคาดหวังอีกครั้งได้ใช่ไหม

“คุยกับใคร .. ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียวยัยพุด”

“อะไร .. ไหน ใครยิ้ม เค้าเปล่าซะหน่อย .. พี่พัดนั่นล่ะมาช้า”

เมฆพัดดูก็รู้แล้วว่า น้องสาวพยายามปิดบังบางอย่าง แต่คงจะยาก เพราะมันแสดงออกมาจากท่าทางขัดเขิน และสีหน้าเปล่งปลั่งแกมระเรื่อ

“มาคุยต่อให้จบสิ .. เรื่องเพื่อนน่ะ .. พี่ช่วยได้ก็จะช่วย”

ชายหนุ่มอยากรู้เหลือเกินกับปัญหาของเภตรา เขาภาวนาตั้งแต่ได้ยินกระทั่งเข้าห้องส่วนตัว จนออกมายืนอยู่ตรงนี้ว่า ให้เป็นเรื่องของเขาด้วยซ้ำ
ท่าทีสุขุมพร้อมรับฟังและให้คำปรึกษาของพี่ชาย ก่อให้เกิดความไว้วางใจแก่องก์อัมพุทมาก อย่างน้อยเผื่อเธอก็จะได้ส่งแนวทางที่พอจะช่วยอะไรได้บ้าง ไปยังเพื่อนรักของเธอ

สองพี่น้องเดินตามมาคุยกันที่ห้องนั่งเล่น ต่างเลือกมุมของตน

เมฆพัดเอนกายพิงพนักโซฟา ด้วยท่าทางผ่อนคลายผิดกับจิตใจลุ้นระทึก พร้อมกับรอให้องก์อัมพุทบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างออกมา

“พี่พัด .. สมมติ ถ้าพี่พัดต้องแต่งงาน แต่ยังไม่มีใครรู้จักใครดีพอ พี่พัดคิดว่าจะทำยังไง”

คำถามนี้ โน้มนำให้รู้สึกได้ถึงความคับพองในอก นึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ แต่คนฟังยังรักษาความนิ่งเอาไว้ ตอบช้าๆแต่ชัดเจนว่า

“พี่เหรอ .. ก็ต้องทำความรู้จัก เรียนรู้กันไป .. ต้องให้โอกาสทั้งตัวเองและอีกฝ่าย”

.. เหมือนที่เขาเคยทำ เมื่อนานมาแล้ว ..

“คิดเหมือนกันเลย .. เอาล่ะ เค้าได้คำตอบแล้ว ขอบคุณนะคะ .. พี่พัด”

“แค่นี้?”

เมฆพัดทำหน้าเหรอหรา เมื่อองก์อัมพุทตัดจบการสนทนาสั้นๆง่ายๆ ทั้งที่ก่อนหน้าทำราวกับเป็นปัญหาหนักหนาจนยากต่อการแก้ไข

แล้วอะไรล่ะ คือ ปัญหาที่แท้จริงของเภตรา .. ถ้าไม่ใช่เรื่องที่คิดว่ามีเขาเข้าไปเกี่ยวข้อง

“ค่ะ .. แต่ไหนๆเราก็เป็นพี่น้องกัน เค้าบอกอีกนิดก็ได้ จะได้ช่วยกันแสดงความยินดี .. ถือว่าเป็นข่าวดีของเพื่อนเค้าเลย”

องก์อัมพุทเกรงว่าพี่ชายจะรู้สึกไม่ดี ที่ตั้งใจช่วยแล้วกลับไม่ได้ช่วยเต็มที่ เธอจึงหันกลับมาอีกครั้งหลังจากลุกขึ้นยืน กำลังเดินเข้าครัวไปได้สองก้าว

“คุณน้าพักตราน่ะค่ะ .. แม่ของเภานั่นล่ะ ท่านจะส่งคู่หมายมาให้ยัยเภาดูตัว .. เหมือนทางผู้ใหญ่จะหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ด้วยล่ะ .. ว่ากันตามจริง เภาก็น่าจะมีใครสักคนมาตั้งนานแล้ว .. สงสัยเภาคงได้ลงจากคานเร็วๆนี้ล่ะพี่พัด”

คนพูดพูดจบก็เดินหันหลังเข้าครัวไป แต่คนที่เพิ่งลุกขึ้นยืนเพราะนั่งไม่ติด เมื่อได้ยินถนัดชัดสองหูว่า 'ผู้หญิงของเขา' กำลังจะไปแต่งงานกับคนอื่น

เมฆพัดได้แต่ยืนคว้างอย่างมึนงง ชาวาบตั้งแต่ศีรษะลงไปสะกดให้แข็งค้างอยู่กับที่ เลือดในกายก็ราวกับเหือดหาย .. นี่เขาจะถูกชิงของรักจริงๆหรืออย่างไร ..

ก่อนที่ความความรู้สึกจะลดลงจนเยียบเย็น มันกลับค่อยๆทวีองศาเดือดพล่านขึ้นทีละน้อย นัยน์ตาจ้องเขม็งวาววับไปยังความว่างเปล่า ราวกับ ‘ว่าที่คู่หมาย’ ของคนที่เคยอยู่ในอ้อมกอด ยืนเผชิญหน้าท้าทายเขาเช่นกัน

ใครจะยอมให้เป็นอย่างนั้น .. หน้าไหนก็อย่าหวังได้เภตราไปจากเขา .. ไม่มีวัน







*Frank Serpico นายตำรวจนิวยอร์คที่ได้ชื่อว่าตงฉินที่สุดช่วงยุค ค.ศ.1971 ทำการปราบปรามยาเสพติดจนตำรวจด้วยกันเองที่มีผลประโยชน์วางแผนสังหาร แต่เขารอดมาได้ก่อนเข้าให้การในคดีนั้น หลังเกษียณเขาสนับสนุนกลุ่มผู้จุดตะเกียง หรือ Lamp Lighters ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านความอยุติธรรมและคอรัปชั่น

ทั้งนี้ เรื่องราวของเขาได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ นำแสดงโดย อัล ปาชิโน (Al Pacino) ซึ่งจะพบเห็นได้ตามท้ายรถบรรทุกด้วยภาพชายหนุ่มหนวดเคราครึ้ม คาดแว่นกันแดดบนศีรษะ







******************************************************************









โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ค. 2558, 12:23:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ค. 2558, 12:23:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1109





<< บทที่ ๑๓ .. คนเก่า คนใหม่   บทที่ ๑๕ .. หนทางที่เลือกแล้ว >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account