เมียบำเรอครึ่งคืน
“ทำไมเธอไม่ห้ามฉัน! โอ... ไม่ไหวแล้วนะ ทำไมถึงน่ากินอย่างนี้...”
จบคำพูดเวทิศก็คุกเข่าก้มปากและจมูกเข้าหาส่วนที่ ‘น่ากิน’
และทำตามความอยากของตัวเองอย่างไม่รีรอ
‘กันตาภา’ พนักงานเงินเดือนระดับล่างมีเหตุผลที่ดีในการ ‘ดูถูก’ นักธุรกิจหนุ่มมหาเศรษฐี
รูปหล่อ คมเข้ม เซ็กซี่ และหยิ่งยโสอย่าง ‘เวทิศ วิชิตเมธา’ CEO หนุ่มของบริษัทที่เธอทำงานอยู่
และผู้ชายคนนี้เองที่เป็น ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้เธอ ‘ถูกล่อลวง’ ไปที่โรงแรมในคืนนั้น เขาแย่งชิงเอา
‘ความสาว’ และศักดิ์ศรีความเป็นหญิงของเธอไปด้วยกำลัง ทิ้งให้เธอถูกความอัปยศครั้งนั้นตาม
หลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา!
จริงอยู่ ตอนนี้เขาอาจเต็มใจที่จะชดใช้ความผิดด้วยการปกป้องและดูแลเธอในฐานะ
‘เมียที่เกิดจากความผิดพลาด’ ด้วยข้อเสนอที่ยั่วยวนใจ... ทั้งเครื่องเพชร เงินสดในบัญชีทุกๆ เดือน
เสื้อผ้าแบรนด์เนม รถยนต์คันหรู และคฤหาสน์ แต่ผู้หญิงที่ถือดีและหยิ่งผยองอย่างกันตาภาไม่มีทาง
ที่จะยอมรับมัน ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะสามารถลบเลือนความเกลียดชังที่มีต่อเขา... หรือความโหดร้ายที่
เขาทำไว้กับเธอได้ แต่เวทิศ ผู้ชายจอมโอหังก็มีวิธีการคุกคาม ข่มขู่ และ ‘บังคับ’ ในรูปแบบของเขาเอง
เสมอๆ ซึ่งซาตานหนุ่มรู้ดีว่าหญิงสาวที่ไร้เดียงสาอย่างเธอยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกมากเพื่อทําหน้าที่ใน
ฐานะ ‘เมียลับ’ และกันตาภาเองก็รู้ดีไม่แตกต่างกันว่าเธอจะต้องเรียนรู้มันให้ไว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเรียนรู้เรื่อง ‘เสแสร้งรัก’ เพื่อเอาตัวรอดจากอํานาจอันอํามหิตของเขาเพื่อรอวันหลบหนี!
“คนจะรักกันมันไม่จำเป็นต้องใช้แรงหรอกส้มโอ โยกเบาๆ คลึงนิ่มๆ ก็สุขหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าเธอยังหัวรั้น ดื้อดึงอยู่อย่างนี้ อีกนานกว่าจะรู้ว่าต้องควบคุมฉันยังไง”
“มาแล้วค่ะคุณขา ศิริพารา นักประพันธ์ระดับ Bestselling Author
มีหลายๆ ท่านถามหาผลงานเล่มเล็กของเธอกันจนสายโทรศัพท์แทบไหม้ หยิบไปเลยค่ะ
แค่นามปากกาก็การันตีความมัน! เพราะถ้าหยิบไม่ทัน หมดก่อนแบบรอบที่แล้ว
จะหาว่าดิฉันไม่บอกไม่ได้นะคะ”
รองสนิท ณ สงขลา บรรณาธิการที่ปรึกษา
จบคำพูดเวทิศก็คุกเข่าก้มปากและจมูกเข้าหาส่วนที่ ‘น่ากิน’
และทำตามความอยากของตัวเองอย่างไม่รีรอ
‘กันตาภา’ พนักงานเงินเดือนระดับล่างมีเหตุผลที่ดีในการ ‘ดูถูก’ นักธุรกิจหนุ่มมหาเศรษฐี
รูปหล่อ คมเข้ม เซ็กซี่ และหยิ่งยโสอย่าง ‘เวทิศ วิชิตเมธา’ CEO หนุ่มของบริษัทที่เธอทำงานอยู่
และผู้ชายคนนี้เองที่เป็น ‘ต้นเหตุ’ ที่ทำให้เธอ ‘ถูกล่อลวง’ ไปที่โรงแรมในคืนนั้น เขาแย่งชิงเอา
‘ความสาว’ และศักดิ์ศรีความเป็นหญิงของเธอไปด้วยกำลัง ทิ้งให้เธอถูกความอัปยศครั้งนั้นตาม
หลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา!
จริงอยู่ ตอนนี้เขาอาจเต็มใจที่จะชดใช้ความผิดด้วยการปกป้องและดูแลเธอในฐานะ
‘เมียที่เกิดจากความผิดพลาด’ ด้วยข้อเสนอที่ยั่วยวนใจ... ทั้งเครื่องเพชร เงินสดในบัญชีทุกๆ เดือน
เสื้อผ้าแบรนด์เนม รถยนต์คันหรู และคฤหาสน์ แต่ผู้หญิงที่ถือดีและหยิ่งผยองอย่างกันตาภาไม่มีทาง
ที่จะยอมรับมัน ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะสามารถลบเลือนความเกลียดชังที่มีต่อเขา... หรือความโหดร้ายที่
เขาทำไว้กับเธอได้ แต่เวทิศ ผู้ชายจอมโอหังก็มีวิธีการคุกคาม ข่มขู่ และ ‘บังคับ’ ในรูปแบบของเขาเอง
เสมอๆ ซึ่งซาตานหนุ่มรู้ดีว่าหญิงสาวที่ไร้เดียงสาอย่างเธอยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกมากเพื่อทําหน้าที่ใน
ฐานะ ‘เมียลับ’ และกันตาภาเองก็รู้ดีไม่แตกต่างกันว่าเธอจะต้องเรียนรู้มันให้ไว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเรียนรู้เรื่อง ‘เสแสร้งรัก’ เพื่อเอาตัวรอดจากอํานาจอันอํามหิตของเขาเพื่อรอวันหลบหนี!
“คนจะรักกันมันไม่จำเป็นต้องใช้แรงหรอกส้มโอ โยกเบาๆ คลึงนิ่มๆ ก็สุขหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว
แต่ถ้าเธอยังหัวรั้น ดื้อดึงอยู่อย่างนี้ อีกนานกว่าจะรู้ว่าต้องควบคุมฉันยังไง”
“มาแล้วค่ะคุณขา ศิริพารา นักประพันธ์ระดับ Bestselling Author
มีหลายๆ ท่านถามหาผลงานเล่มเล็กของเธอกันจนสายโทรศัพท์แทบไหม้ หยิบไปเลยค่ะ
แค่นามปากกาก็การันตีความมัน! เพราะถ้าหยิบไม่ทัน หมดก่อนแบบรอบที่แล้ว
จะหาว่าดิฉันไม่บอกไม่ได้นะคะ”
รองสนิท ณ สงขลา บรรณาธิการที่ปรึกษา
Tags: เมียบำเรอครึ่งคืน, เวทิศ, กันตาภา
ตอน: ตอนที่ 9 100%
ปริ๊น... ปริ๊น...
เสียงแตรที่ดังขึ้นทำให้กันตาภาหันกลับไปมองด้านหลัง ในขณะที่เดินอีกไม่กี่ก้าวจะถึงสถานีรถไฟใต้ดิน รถสปอร์ตเปิดประทุนสีเหลืองบาดใจมาพร้อมกับคนขับหน้าตาหล่อเหลา หากแต่เขาเป็นผู้ชายหล่อที่ไม่น่าเข้าใกล้ควรอยู่ให้ห่างมากที่สุด!
“ส้มโอ... ขึ้นมาเร็ว” เวทิศบอกเมื่อเทียบรถยนต์เข้าจอดริมฟุตบาท
“ไม่ ฉันไปทำงานเองได้” พูดจบก็รีบเดินหนีเพราะไม่ชอบใจที่เห็นสายตาหลายคู่จ้องมองมาราวกับตนเป็นของเล่นของพวกเศรษฐี หากแรงรั้งที่ต้นแขนทำให้กันตาภาและดึงออกมาให้พ้นจากบันไดทางลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน
“บอกว่าให้ไปขึ้นรถ จะไปทำงานไม่ใช่เหรอ ไปด้วยกันสิ จะไปเสียเวลานั่งรถไฟให้ลำบากทำไม” เวทิศพูดพลางหันไปมองรถยนต์ที่จอดสตาร์ทเครื่องไว้อยู่เป็นระยะๆ
“ก็บอกว่าจะไปเอง” พูดได้เพียงเท่านั้น กันตาภาก็ต้องเดินไปตามแรงดึงของผู้ชายที่ตัวโตกว่า แรงเยอะกว่าและไม่มีท่าทีว่าจะสู้แรงเขาได้แม้แต่น้อย “เอ๊ะ! ทำไมพูดไม่รู้เรื่องนะ ฉันบอกว่า...”
“เงียบ” เวทิศสั่งด้วยน้ำเสียงดุ หลังจากที่กดเธอให้นั่งในรถยนต์เรียบร้อยแล้วจึงเดินอ้อมไปอีกฝั่งพลางสอดตัวเข้ามานั่งเคียงคู่กับคนหน้าบึ้ง “กินข้าวเช้ารึยัง?”
“ลากฉันขึ้นมาทำไม พูดไม่เข้าใจหรือไงว่าต่อไปนี้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยว ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก” กันตาภาไม่ได้ตอบคำถาม หากเบี่ยงตัวถามคนที่กำลังบังคับรถยนต์ให้เคลื่อนตัวอยู่บนถนนด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเอามากๆ
“แสดงว่ายังไม่กิน งั้นเราแวะปั๊มน้ำมันก่อนแล้วกัน ในปั๊มมีร้านอาหารหลายร้าน ให้เธอเป็นคนเลือกแล้วกันว่าจะทานร้านไหน” เวทิศไม่ได้ตอบคำถามของเธอเช่นกัน
กันตาภาเหลืออดกับท่าทางของผู้ชายตรงหน้านัก เขาช่างไม่รับรู้ในสิ่งที่เธอสื่อสารหรือต้องการเอาเสียเลย “ดี... จอดปั๊มข้างหน้าแล้วแยกกันตรงนั้นเลย”
“แยกกันได้ก็ตามกลับมาได้” พูดจบก็ตีคิ้วใส่ดวงตากลมโตอย่างกวนอารมณ์
“แล้วจะเอายังไง?” กันตาภาระงับสติอารมณ์ พยายามถามอย่างใจเย็น
“จะกินข้าว หิว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน คุณหิวก็ไปกินคนเดียวสิ จะมาลากฉันไปด้วยทำไม”
“เพราะเธอต้องกินยาจึงจำเป็นต้องกินข้าวก่อน รับรองว่าถ้าเธอหายดีเป็นปกติทุกอย่าง ฉันจะไม่มาให้เห็นหน้าเลย” เวทิศพูดพลางเลี้ยวรถเข้าไปจอดในปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งไทยและต่างประเทศให้เลือกมากมาย
“หึ! คงจะกลัวความผิดมากสินะถึงได้มาทำดีกับฉันอย่างนี้ สบายใจได้เรื่องที่เกิดขึ้นฉันไม่คิดจะบอกพี่น้องหรอก” กันตาภาเอ๊ย... เขาไม่ได้เป็นห่วงอะไรเธอนักหนาหรอกก็แค่กลัวว่าพี่น้องของเธอจะมาเล่นงานเท่านั้นหรอก
เวทิศส่ายหน้าให้กับคำพูดไม่เพียงเห็นว่าเขาเป็นไอ้หื่นกาม แต่ตอนนี้ยังเป็นไอ้คนขี้ขลาด กลัวความผิดที่ตัวเองทำไว้อีกด้วย แต่ก็ขี้คร้านจะต่อความยาวสาวความยืดกับเธอ หากจะพูดออกไปตรงๆอย่างที่ใจคิด เดี๋ยวเธอจะรับไม่ได้ ร้องไห้ฟูมฟาย ใช่ว่าเขาจะชอบน้ำตาของเธอเสียเมื่อไหร่ เห็นมันทีไรปวดใจชะมัด
“อือ... รู้อย่างนี้ก็รีบหายไวๆ แต่ระหว่างที่ยังไม่หายดีก็ทนเหม็นหน้าฉันไปก่อนแล้วกัน” เวทิศบอกพลางดับเครื่องยนต์แล้วหันไปกระตุ้นผู้หญิงหน้าบึ้งที่ยังนั่งนิ่งเช่นเดิม “เร็วๆเข้า เลือกสักร้าน ฉันหิว”
“ชิ! ไอ้โรคจิต” กันตาภาว่าอย่างไม่เต็มเสียง แต่ก็มั่นใจว่าเขาได้ยินอย่างชัดเจนแล้วเปิดประตูเดินสะบัดนำหน้าไปทันที ทิ้งให้เวทิศมองตามด้วยความเจ็บใจ
“นี่! สะบัดเบาๆหน่อยนะแม่คุณ เดี๋ยวได้คอเคล็ดหรอก”
กันตาภาไม่สนใจกับเสียงดุที่ดังไล่หลังมานั่น เธอรีบเดินเข้ามาในร้านอาหารไทยที่มีสาขาอยู่มากมายทั้งในห้างสรรพสินค้าและปั๊มขนาดใหญ่ ไม่นานนักเวทิศก็เดินตามเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม ต่างคนต่างสั่งอาหารสำหรับตัวเอง ระหว่างรออาหารก็ไม่พูดไม่จากันสักคำ
ความจริงแล้วเวทิศก็อยากจะพูดคุยกับเธอ มีปฏิสัณฐานกันบ้างตามประสาคนนั่งร่วมโต๊ะอาหารกัน แต่ดูท่าทางเธอแล้วคงไม่ยอมญาติดีด้วยง่ายๆ จึงคิดว่าคอยสังเกตพฤติกรรมเธอไปเงียบๆดีกว่าที่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอีก
ราวชั่วโมงต่อมา ก่อนที่รถสปอร์ตสุดหรูของเวทิศจะเคลื่อนตัวมาถึงหน้าบริษัท จู่ๆกันตาภาก็สั่งให้เขาจอดรถตรงป้ายรถเมล์ ซึ่งอยู่ห่างจากทางเข้าบริษัทราวสามร้อยเมตร
“จอด ฉันจะลงตรงนี้”
“ทำไมต้องลงตรงนี้” เวทิศถามอย่างแปลกใจ ก็อดทนนั่งด้วยกันมาตั้งนาน อีกไม่กี่อึดใจก็ถึงที่หมายแล้ว
“เพราะฉันอายที่ต้องเข้าบริษัทไปพร้อมคุณ ไม่อยากต้องเป็นขี้ปากชาวบ้าน เข้าใจไหม” กันตาภากระแทกเสียงตอบและมันได้ผล เมื่อรถยนต์สีบาดใจเบรกกะทันหันจนตัวโก่ง นี่ถ้าไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเนื้อตัวคงได้บาดแผลอีกเป็นแน่
เวทิศบดกรามเป็นสันนูน เมื่อเห็นว่าเธอก้าวลงจากรถเรียบร้อยก็เหยียบคันเร่ง บึ่งออกไปด้วยอารมณ์โกรธ...
ไม่เข้าใจว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าตรงไหน เธอถึงได้อับอายนักยามที่อยู่ด้วยกัน เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ไม่เคยพะเน้าพะนอเขาอย่างเช่นผู้หญิงทุกคน เป็นผู้หญิงคนแรกที่ออกปากไล่เขาแทบจะทุกนาที และไม่เคยเอ่ยปากขอบคุณในสิ่งดีๆที่เขาตั้งใจทำให้เธอเลยสักครั้ง
เป็นอีกวันหนึ่งที่เธอทำให้อารมณ์อันเบิกบานของเขาต้องมัวหม่น เวทิศจอดรถยนต์แล้วเดินเข้ามาในบริษัทด้วยหน้าตาบึ้งตึงจนพนักงานหลายคนไม่กล้ามองหน้า ใครก็รู้ว่าเวลาท่านรองประธานโกรธต้องแก้ไขที่สาเหตุหรือตัวต้นเหตุของความโกรธเท่านั้น อารมณ์ของท่านจึงจะเบาบางลงได้
ปัง!...
เสียงประตูห้องทำงานของรองประธานดังอย่างแรงนั่นเกิดจากเจ้าผู้เป็นเจ้าของห้อง ซึ่งทำให้พนักงาน เลขานุการหน้าห้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะไม่รู้ว่าทำไมหมู่นี้เจ้านายของตนถึงอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยนัก
“ใครทำให้คุณกายอารมณ์เสียแต่เช้าเลย เมื่อวานนี้ยังดีๆอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?” ผู้ช่วยเลขานุการชายใจหญิงถามขึ้น ยังจำน้ำเสียงของเจ้านายในช่วงบ่ายที่ท่านสั่งงานทางโทรศัพท์ได้ดีว่านุ่ม ทุ้มน่าฟังแค่ไหน เดาได้ไม่ยากว่าท่านคงอารมณ์ดีสุดๆ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้อารมณ์เสียสุดๆทั้งที่เวลาห่างกันเพียงแค่ข้ามคืน
“ถามอะไรตอบยากจัง ฉันจะรู้ไหมเนี่ย ก็นั่งอยู่ด้วยกันตลอด” เลขานุการรุ่นพี่ได้แต่ส่ายหน้าพลางรีบเดินไปเตรียมกาแฟก่อนที่เจ้านายจะโมโหไปมากกว่านี้
สิ่งที่แรกที่เวทิศต้องทำคืออ่านเอกสารในแต่ละแฟ้มที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะให้จบแล้วลงนามรับทราบหรืออนุญาตซึ่งกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง งานแบบนี้สินะที่เขาเบื่อหน่ายนักหนา จากนั้นจึงหยิบเอาเอกสารต่างๆที่ส่งถึงตนโดยตรง ซึ่งเลขานุการหน้าห้องจะทำการเปิดผนึกจดหมายเหล่านี้เสียก่อน หากไม่มีอะไรสำคัญก็จะคัดแยกออกไปไม่ต้องเอาเรื่องเล็กน้อยเข้ามาให้เสียเวลา
เวทิศขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นแผ่นดิสก์ซึ่งซึ่งเขียนไว้ว่า “ลับเฉพาะเวทิศ” ซึ่งเป็นลายมือหวัดๆไม่คุ้นตา จึงนำแผ่นดิสก์นั้นใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์
เพียงแค่โปรแกรมเริ่มทำงานภาพเปลือยล่อนจ้อนของตัวเองแล้วกระโจนเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตาภาก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจออย่างชัดเจน มันเป็นภาพในโรงแรมเมื่อวันที่เกิดเรื่อง ไม่ต้องดูต่อจนจบก็รู้ว่าจากนี้มันมีแต่เขาและเธอที่กลายเป็นพระนางแสดงกันสองต่อสอง
“ไอ้ระยำ รับรองว่าแกไม่ตายดีแน่” เวทิศสบถออกมาด้วยความโกรธ รู้ได้ทันทีว่ามันคงติดต่อกลับมาเพื่อเรียกเงินในเร็ววัน เขาน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่เธอน่ะสิจะรับได้ยังไง จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง
ไวเท่าความคิดนิ้วมือเรียวยาวของเขาก็กดปุ่มอินเตอร์คอม สั่งการเลขนุการหน้าห้อง “เชิญคุณกันตาภามาพบฉันด่วน”
เวทิศใช้เม้าท์กดลัดเวลาในวิดีโอไปเรื่อยๆและรู้ได้ว่ามันได้ทำการตัดต่อเอามาเฉพาะในตอนที่กำลังร่วมรักกันเท่านั้น!
ห้องทำงานฝ่ายการตลาด
ผู้ช่วยเลขานุการชายใจหญิงวิ่งกระหืดกระหอบไปหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของกันตาภา “คุณกันตาภาคะ ท่านรองประธานให้พบที่ห้องด่วนค่ะ”
เสียงห้าวที่พยายามบีบให้เล็กลงเลียนเสียงผู้หญิงดังขึ้นไม่เบานัก ทำให้หลายคนจ้องมองมายังเธอด้วยความสนใจ กันตาภาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น “ค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ”
“ด่วนเลยนะคะ ท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ย้ำอีกครั้ง
“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะตามไปค่ะ” กันตาภาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร
ผู้ช่วยเลขานุการถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อได้ยินเสียงหวานรับคำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วจึงเดินออกมาจากฝ่ายการตลาดด้วยคิดว่าเธอคงจะตามมาติดๆ
รุจิราเงยหน้าขึ้นจากเอกสารและมองเพื่อนร่วมงานอย่างแปลกใจ เมื่อเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้วกันตาภายังนั่งทำงานเช่นเดิม
“ส้มโอ เธอไม่ไปพบท่านรองเหรอ?” รุจิราขยับเข้ามาถามเบาๆให้พอได้ยินกันสองคน
“ก็บอกว่าเดี๋ยวไปไง” พูดจบก็มองนาฬิกาซึ่งใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงเต็มที จึงเอ่ยปากชวนรุจิราไปรับประทานอาหาร “เดี๋ยววันนี้เราไปทานบะหมี่ฝั่งตรงข้ามกันนะ ฉันอยากทานเกี๊ยวกุ้ง หิวแล้วด้วย”
ความจริงแล้วไม่ได้หิวมากมายนักแต่ไม่อยากให้รุจิราซักไซ้ไล่เลียงต่อเท่านั้นเอง
“เออ ไปสิ” รุจิราตอบพลางเก็บของที่อยู่บนโต๊ะทำงานของตน และยิ้มออกมาอย่างดีใจที่คาดการไว้ไม่ผิดว่ากันตาภาจะไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านบะหมี่ฝั่งตรงกันข้าม ที่เธอนัดแนะกับปราโมทย์ไว้ให้ไปรออยู่ก่อนแล้ว
ปราโมทย์ขอให้เธอเป็นแม่สื่อแม่ชักเพราะอยากคบหารู้ใจกับกันตาภา ซึ่งรุจิราก็ไม่ติดใจเพราะปราโมทย์นั้นก็เป็นคนดี ขยันทำงานคนหนึ่ง
ไม่นานนักทั้งคู่ก็เดินออกจากบริษัทข้ามสะพานลอยไปยังร้านบะหมี่ โดยปล่อยให้คนที่ร้อนใจต้องนั่งคอยเกือบสิบห้านาที
เวทิศเดินกลับไปกลับมาด้วยความร้อนใจอยู่คนเดียว หากเวลาที่นานเกินไปทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าแม่ตัวดีคงแสดงฤทธิ์เดชเข้าให้แล้ว เธอคงไม่ยอมมาหาง่ายๆหรอกก็ในเมื่อเธอพูดเองว่าไม่ต้องมาเห็นหน้า ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
ไม่ยุ่งก็ต้องยุ่งแล้วล่ะ ให้เธอมาดูหนังที่ตัวเองแสดงนำก่อนแล้วกัน อยากรู้นักว่าที่ร่ำๆไล่เขาไปให้พ้นเนี่ย ถ้าไปจริงๆใครหน้าไหนมันจะมาช่วยเธอแก้ปัญหานี้วะ! เวทิศคิดในใจพลางเดินออกจากห้องทำงานของตนไปยังฝ่ายการตลาดซึ่งเธอทำงานอยู่ หากต้องข่มอารมณ์โกรธไว้อย่างที่สุด เมื่อเดินมาถึงแล้วพบเพียงความว่างเปล่า
หากไม่ใช่เวลาพักกลางวันเช่นนี้พนักงานหลายคนคงกลัวจนตัวสั่นงันงก เมื่อได้เห็นสีหน้าของเจ้านายที่มีเพียงความร้ายกาจฉาบไว้บนหน้าตาอันหล่อเหลา ร่างกายสูงใหญ่ที่ดูน่าเกรงขามกลับกลายเป็นน่ากลัว เมื่อความฉุนเฉียวแผ่รังสีอยู่รอบตัว เขาต้องเดินกลับมายังห้องทำงานของตนอีกครั้งหนึ่งเพื่อปรึกษากับเพื่อนที่เป็นตำรวจ เพราะตามรูปการณ์แล้วอีกไม่นานรวิคงต้องเรียกร้องของมีค่าสักอย่างเพื่อแลกกับวิดีโอชุดนี้เป็นแน่
ในขณะที่อีกคนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กันตาภากลับรู้สึกสบายใจมากขึ้น หัวเราะได้บ่อยขึ้น เมื่อได้พูดคุยกับรุจิรา ทั้งยังมีเพื่อนใหม่อย่างปราโมทย์ซึ่งเป็นคนมีอารมณ์ขันที่สุด
หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วและรอพนักงานนำเงินทอนมาคืนให้ ปราโมทย์ตั้งคำถามขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่สองสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามตอบคำถามของตนพลาดไปหลายคำถามนัก
“เหรียญบาด(บาท)ไปไหน?” ปราโมทย์ถามและอมยิ้มออกมาอย่างผู้ชายที่กำลังตกหลุมรักผู้หญิงสักคน เมื่อมองหน้าของกันตาภา
“ไปโรงพยาบาล” กันตาภาตอบพลางลุกขึ้นเดินนำหน้าออกมาจากร้านบะหมี่ ซึ่งเป็นเวลาพักกลางวันภายในร้านซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ห้องเดี่ยวจึงคับคั่งไปด้วยลูกค้า
“เออ... จริงด้วย ต้องไปโรงพยาบาล” รุจิราเสริมพลางเดินตามหลังกันตาภาก้าวขึ้นสะพานลอยกลับมายังบริษัท
“ถามมาหลายคำถามเลยถูกจับทางได้ ชักไม่สนุกแล้ว” ปราโมทย์พูดยิ้มๆ ท่าทางมีความสุขของกันตาภาทำให้เขาใจชื้น อยากสานสัมพันธ์ให้ต่อเนื่อง “เลิกงานเราไปกินหมูกระทะกันไหม นั่งรถไฟไปแค่สามสถานีก็ถึงแล้ว ไม่ไกลจากที่ทำงานของเราเท่าไหร่”
“ดีสิ ดีไปใหญ่ถ้านายเลี้ยงเราสองคน” รุจิราตอบ
“ไม่มีปัญหา ตัวเล็กๆแค่นี้จะกินได้สักเท่าไหร่กันเชียว” ปราโมทย์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงและใบหน้าดีใจ เร่งความเร็วให้เดินนำหน้าทั้งสองสาวเมื่อเดินใกล้จะถึงหน้าบริษัทเต็มที “ตกลงเลิกงานเย็นนี้เราเจอกันที่หน้าบริษัทนะ”
“ไว้วันหลังได้ไหมคะ เพิ่งฟื้นจากไข้ใหม่ๆ ยังไม่นึกอยากทานเลย” กันตาภาบอก หากสีหน้าที่สลดลงอย่างเห็นได้ชัดของปราโมทย์ก็ทำให้กันตาภาสงสาร “เอาอย่างนี้ดีไหม เย็นวันศุกร์เราค่อยไปทานหมูกระทะกัน จะได้มีเวลานั่งคุยกันนานๆ”
ปราโมทย์เปิดยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “จริงๆนะ ส้มโอสัญญาแล้วนะ”
“ค่ะ” กันตาภารับคำพลางเดินเข้ามาบริเวณด้านหน้าของบริษัท โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองอยู่ในสายตาของเวทิศอยู่ตั้งแต่เดินพ้นรั้วที่เปิดกว้างตรงทางเข้าบริษัทแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฝากคำถามไว้ให้สองสาวไปช่วยกันคิด ถ้าตอบถูกพรุ่งนี้จะเลี้ยงข้าวเที่ยง”
“อะไร รีบๆถามมาเลย” รุจิรารีบถาม หูผึ่งตั้งแต่ได้ยินว่าจะมีเจ้ามือเลี้ยงอาหารเที่ยง
“ม้าลายนี่สีขาวลายดำ หรือสีดำลายขาว?...” หากยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ สายตาของปราโมทย์ก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของเจ้านายที่ยืนหน้าบึ้งจัดอยู่ตรงประตูด้านหน้าบริษัท
กันตาภามองผู้ชายที่อยู่กลางประตูเปิดปิดอัตโนมัติจนพนักงานหลายคนต้องเดินเลี่ยงไปใช้อีกประตู แต่คนวางอำนาจบาตรใหญ่ยังไม่ขยับตัวสักนิด ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธจัดที่เธอไม่ไปพบตามคำสั่ง หากไม่เข้าใจว่าการฝ่าฝืนคำสั่งของตนต้องทำให้เขาอารมณ์เสียจนต้องถอดเนกไทและปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกหนึ่งเม็ด พันแขนเสื้อขึ้นไว้บริเวณข้อศอก แตกต่างจากที่เห็นเมื่อเช้าโดยสิ้นเชิง
เวทิศไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเข้าไปคว้าข้อมือบางของกันตาภาแล้วกลับเข้าไปในบริษัท เมื่อเธอขืนตัวไว้เขาก็ใช้อีกมือจับที่ข้อศอกแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงดุ “ถ้ามากเรื่องนัก ฉันจะอุ้มพาดบ่าเลย ไม่เชื่อก็ลองดู”
กันตาภากัดริมฝีปากตัวเองเพราะหากเถียงหรือต่อต้านสักน้อย ก็รู้ดีว่าเขาพร้อมทำอย่างที่พูดอีกทั้งสายตาหลายคู่ของพนักงานในบริษัทที่มองมามันทำให้เธออับอาย บางคนมองแล้วหลบตา บางคนมองแล้วหันไปซุบซิบกันราวกับเกิดเรื่องสนุกปากขึ้นแล้ว
“อย่าลากได้ไหม ฉันเจ็บ” กันตาภาบอกเมื่อเขาลากเข้ามาอยู่ในลิฟต์ผู้บริหารแล้วยังไม่ยอมปล่อยมือจากข้อศอกของตน
“ให้คนไปตามตั้งนาน ทำไมไม่มาหาฉัน” เวทิศถามพลางคลายแรงรัดที่ข้อศอกมนแต่ยังจับเธอไว้อยู่เช่นเดิม
“ก็มาแล้วนี่ไง มีอะไรก็รีบๆพูดมาสิ แล้วปล่อยฉันด้วย ลากฉันมาอย่างนี้เห็นไหมว่าคนมองกันใหญ่ ฉันคงไม่พ้นต้องเป็นขี้ปากชาวบ้าน”
เวทิศแทบจะตะโกนถามเธอว่าเขามีอะไรที่น่าอาย มีอะไรด้อยกว่าผู้ชายคนอื่นตรงไหน เธอถึงได้มองเขาเหมือนตัวเชื้อโรคอย่างนี้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมายังหัวร่อต่อกระซิกกับผู้ชาย ไม่เห็นจะกลัวเป็นขี้ปากชาวบ้านเลย
“ทำไมทีพูดเรื่องไร้สาระกับไอ้หนุ่มนั่นทำไมไม่เห็นอายใคร ถูกรองประธานของบริษัทจับแขนนี่มันเสียหายนักเหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“มากเลย...” กันตาภาลากเสียงยาว “รู้อย่างนี้ก็ปล่อยด้วย ถ้าอยากเจอฉันเพราะแค่อยากหาเรื่องทะเลาะแค่นี้”
“รับรองว่าเรื่องที่ฉันจะพูดจะพาไปดูให้เห็นกับตาเนี่ย มันมีสาระกว่าคำถามปัญญาอ่อน ม้าลายนี่สีดำลายขาวหรือสีขาวลายดำก็แล้วกัน”
“อือ... แล้วตอบได้ไหมล่ะว่ามันสีอะไรกันแน่ ถ้าคุณปัญญาแข็งนัก” กันตาภาถาม
“เฮอะ! ฉันต้องเสียเวลาอันมีค่ามาหาคำตอบให้กับมุขจีบสาวห่วยๆพวกนี้ด้วยเหรอ ไม่มีประโยชน์ ไร้สาระสิ้นดี” เวทิศอดประชดออกมาไม่ได้ เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าไอ้หมอนั่นมันชอบเธอ กำลังจีบเธอ
“ก็โอเคนะ ถึงเขาจะไร้สาระสิ้นดีแต่ก็ทำให้ฉันยิ้มออก หัวเราะได้ น่าเบื่อน้อยกว่าอยู่ใกล้ๆคนมีสาระก็แล้วกัน” กันตาภาลอยหน้าลอยตาตอบ
“เออ... งั้นต่อไปนี้ชีวิตเธอก็ต้องผูกติดกับคนน่าเบื่ออย่างฉันไปจนกว่าทุกสิ่งอย่างมันจะคลี่คลายนั่นแหละ” จบคำพูดประตูลิฟต์ก็เปิดออก เวทิศจึงพาเธอเดินกึ่งลากกึ่งจูงไปจนถึงห้องทำงานของตัวเองพลางนึกอัศจรรย์ใจว่า... ทำไมเธอถึงได้ต่อปากต่อคำกับเขาอย่างไม่เคยจนแต้ม ทุกประโยคที่เธอตอกกลับมันเหมือนปล่อยหมัดฮุกเข้าตามส่วนต่างๆของร่างกาย ให้จุก มึนงงไปชั่วขณะทุกครั้งไป!
เสียงแตรที่ดังขึ้นทำให้กันตาภาหันกลับไปมองด้านหลัง ในขณะที่เดินอีกไม่กี่ก้าวจะถึงสถานีรถไฟใต้ดิน รถสปอร์ตเปิดประทุนสีเหลืองบาดใจมาพร้อมกับคนขับหน้าตาหล่อเหลา หากแต่เขาเป็นผู้ชายหล่อที่ไม่น่าเข้าใกล้ควรอยู่ให้ห่างมากที่สุด!
“ส้มโอ... ขึ้นมาเร็ว” เวทิศบอกเมื่อเทียบรถยนต์เข้าจอดริมฟุตบาท
“ไม่ ฉันไปทำงานเองได้” พูดจบก็รีบเดินหนีเพราะไม่ชอบใจที่เห็นสายตาหลายคู่จ้องมองมาราวกับตนเป็นของเล่นของพวกเศรษฐี หากแรงรั้งที่ต้นแขนทำให้กันตาภาและดึงออกมาให้พ้นจากบันไดทางลงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน
“บอกว่าให้ไปขึ้นรถ จะไปทำงานไม่ใช่เหรอ ไปด้วยกันสิ จะไปเสียเวลานั่งรถไฟให้ลำบากทำไม” เวทิศพูดพลางหันไปมองรถยนต์ที่จอดสตาร์ทเครื่องไว้อยู่เป็นระยะๆ
“ก็บอกว่าจะไปเอง” พูดได้เพียงเท่านั้น กันตาภาก็ต้องเดินไปตามแรงดึงของผู้ชายที่ตัวโตกว่า แรงเยอะกว่าและไม่มีท่าทีว่าจะสู้แรงเขาได้แม้แต่น้อย “เอ๊ะ! ทำไมพูดไม่รู้เรื่องนะ ฉันบอกว่า...”
“เงียบ” เวทิศสั่งด้วยน้ำเสียงดุ หลังจากที่กดเธอให้นั่งในรถยนต์เรียบร้อยแล้วจึงเดินอ้อมไปอีกฝั่งพลางสอดตัวเข้ามานั่งเคียงคู่กับคนหน้าบึ้ง “กินข้าวเช้ารึยัง?”
“ลากฉันขึ้นมาทำไม พูดไม่เข้าใจหรือไงว่าต่อไปนี้ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยว ไม่ต้องมาเจอหน้ากันอีก” กันตาภาไม่ได้ตอบคำถาม หากเบี่ยงตัวถามคนที่กำลังบังคับรถยนต์ให้เคลื่อนตัวอยู่บนถนนด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเอามากๆ
“แสดงว่ายังไม่กิน งั้นเราแวะปั๊มน้ำมันก่อนแล้วกัน ในปั๊มมีร้านอาหารหลายร้าน ให้เธอเป็นคนเลือกแล้วกันว่าจะทานร้านไหน” เวทิศไม่ได้ตอบคำถามของเธอเช่นกัน
กันตาภาเหลืออดกับท่าทางของผู้ชายตรงหน้านัก เขาช่างไม่รับรู้ในสิ่งที่เธอสื่อสารหรือต้องการเอาเสียเลย “ดี... จอดปั๊มข้างหน้าแล้วแยกกันตรงนั้นเลย”
“แยกกันได้ก็ตามกลับมาได้” พูดจบก็ตีคิ้วใส่ดวงตากลมโตอย่างกวนอารมณ์
“แล้วจะเอายังไง?” กันตาภาระงับสติอารมณ์ พยายามถามอย่างใจเย็น
“จะกินข้าว หิว”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน คุณหิวก็ไปกินคนเดียวสิ จะมาลากฉันไปด้วยทำไม”
“เพราะเธอต้องกินยาจึงจำเป็นต้องกินข้าวก่อน รับรองว่าถ้าเธอหายดีเป็นปกติทุกอย่าง ฉันจะไม่มาให้เห็นหน้าเลย” เวทิศพูดพลางเลี้ยวรถเข้าไปจอดในปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งไทยและต่างประเทศให้เลือกมากมาย
“หึ! คงจะกลัวความผิดมากสินะถึงได้มาทำดีกับฉันอย่างนี้ สบายใจได้เรื่องที่เกิดขึ้นฉันไม่คิดจะบอกพี่น้องหรอก” กันตาภาเอ๊ย... เขาไม่ได้เป็นห่วงอะไรเธอนักหนาหรอกก็แค่กลัวว่าพี่น้องของเธอจะมาเล่นงานเท่านั้นหรอก
เวทิศส่ายหน้าให้กับคำพูดไม่เพียงเห็นว่าเขาเป็นไอ้หื่นกาม แต่ตอนนี้ยังเป็นไอ้คนขี้ขลาด กลัวความผิดที่ตัวเองทำไว้อีกด้วย แต่ก็ขี้คร้านจะต่อความยาวสาวความยืดกับเธอ หากจะพูดออกไปตรงๆอย่างที่ใจคิด เดี๋ยวเธอจะรับไม่ได้ ร้องไห้ฟูมฟาย ใช่ว่าเขาจะชอบน้ำตาของเธอเสียเมื่อไหร่ เห็นมันทีไรปวดใจชะมัด
“อือ... รู้อย่างนี้ก็รีบหายไวๆ แต่ระหว่างที่ยังไม่หายดีก็ทนเหม็นหน้าฉันไปก่อนแล้วกัน” เวทิศบอกพลางดับเครื่องยนต์แล้วหันไปกระตุ้นผู้หญิงหน้าบึ้งที่ยังนั่งนิ่งเช่นเดิม “เร็วๆเข้า เลือกสักร้าน ฉันหิว”
“ชิ! ไอ้โรคจิต” กันตาภาว่าอย่างไม่เต็มเสียง แต่ก็มั่นใจว่าเขาได้ยินอย่างชัดเจนแล้วเปิดประตูเดินสะบัดนำหน้าไปทันที ทิ้งให้เวทิศมองตามด้วยความเจ็บใจ
“นี่! สะบัดเบาๆหน่อยนะแม่คุณ เดี๋ยวได้คอเคล็ดหรอก”
กันตาภาไม่สนใจกับเสียงดุที่ดังไล่หลังมานั่น เธอรีบเดินเข้ามาในร้านอาหารไทยที่มีสาขาอยู่มากมายทั้งในห้างสรรพสินค้าและปั๊มขนาดใหญ่ ไม่นานนักเวทิศก็เดินตามเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม ต่างคนต่างสั่งอาหารสำหรับตัวเอง ระหว่างรออาหารก็ไม่พูดไม่จากันสักคำ
ความจริงแล้วเวทิศก็อยากจะพูดคุยกับเธอ มีปฏิสัณฐานกันบ้างตามประสาคนนั่งร่วมโต๊ะอาหารกัน แต่ดูท่าทางเธอแล้วคงไม่ยอมญาติดีด้วยง่ายๆ จึงคิดว่าคอยสังเกตพฤติกรรมเธอไปเงียบๆดีกว่าที่ต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอีก
ราวชั่วโมงต่อมา ก่อนที่รถสปอร์ตสุดหรูของเวทิศจะเคลื่อนตัวมาถึงหน้าบริษัท จู่ๆกันตาภาก็สั่งให้เขาจอดรถตรงป้ายรถเมล์ ซึ่งอยู่ห่างจากทางเข้าบริษัทราวสามร้อยเมตร
“จอด ฉันจะลงตรงนี้”
“ทำไมต้องลงตรงนี้” เวทิศถามอย่างแปลกใจ ก็อดทนนั่งด้วยกันมาตั้งนาน อีกไม่กี่อึดใจก็ถึงที่หมายแล้ว
“เพราะฉันอายที่ต้องเข้าบริษัทไปพร้อมคุณ ไม่อยากต้องเป็นขี้ปากชาวบ้าน เข้าใจไหม” กันตาภากระแทกเสียงตอบและมันได้ผล เมื่อรถยนต์สีบาดใจเบรกกะทันหันจนตัวโก่ง นี่ถ้าไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเนื้อตัวคงได้บาดแผลอีกเป็นแน่
เวทิศบดกรามเป็นสันนูน เมื่อเห็นว่าเธอก้าวลงจากรถเรียบร้อยก็เหยียบคันเร่ง บึ่งออกไปด้วยอารมณ์โกรธ...
ไม่เข้าใจว่าตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าตรงไหน เธอถึงได้อับอายนักยามที่อยู่ด้วยกัน เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ไม่เคยพะเน้าพะนอเขาอย่างเช่นผู้หญิงทุกคน เป็นผู้หญิงคนแรกที่ออกปากไล่เขาแทบจะทุกนาที และไม่เคยเอ่ยปากขอบคุณในสิ่งดีๆที่เขาตั้งใจทำให้เธอเลยสักครั้ง
เป็นอีกวันหนึ่งที่เธอทำให้อารมณ์อันเบิกบานของเขาต้องมัวหม่น เวทิศจอดรถยนต์แล้วเดินเข้ามาในบริษัทด้วยหน้าตาบึ้งตึงจนพนักงานหลายคนไม่กล้ามองหน้า ใครก็รู้ว่าเวลาท่านรองประธานโกรธต้องแก้ไขที่สาเหตุหรือตัวต้นเหตุของความโกรธเท่านั้น อารมณ์ของท่านจึงจะเบาบางลงได้
ปัง!...
เสียงประตูห้องทำงานของรองประธานดังอย่างแรงนั่นเกิดจากเจ้าผู้เป็นเจ้าของห้อง ซึ่งทำให้พนักงาน เลขานุการหน้าห้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะไม่รู้ว่าทำไมหมู่นี้เจ้านายของตนถึงอารมณ์ไม่อยู่กับร่องกับรอยนัก
“ใครทำให้คุณกายอารมณ์เสียแต่เช้าเลย เมื่อวานนี้ยังดีๆอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?” ผู้ช่วยเลขานุการชายใจหญิงถามขึ้น ยังจำน้ำเสียงของเจ้านายในช่วงบ่ายที่ท่านสั่งงานทางโทรศัพท์ได้ดีว่านุ่ม ทุ้มน่าฟังแค่ไหน เดาได้ไม่ยากว่าท่านคงอารมณ์ดีสุดๆ แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้อารมณ์เสียสุดๆทั้งที่เวลาห่างกันเพียงแค่ข้ามคืน
“ถามอะไรตอบยากจัง ฉันจะรู้ไหมเนี่ย ก็นั่งอยู่ด้วยกันตลอด” เลขานุการรุ่นพี่ได้แต่ส่ายหน้าพลางรีบเดินไปเตรียมกาแฟก่อนที่เจ้านายจะโมโหไปมากกว่านี้
สิ่งที่แรกที่เวทิศต้องทำคืออ่านเอกสารในแต่ละแฟ้มที่กองพะเนินอยู่บนโต๊ะให้จบแล้วลงนามรับทราบหรืออนุญาตซึ่งกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง งานแบบนี้สินะที่เขาเบื่อหน่ายนักหนา จากนั้นจึงหยิบเอาเอกสารต่างๆที่ส่งถึงตนโดยตรง ซึ่งเลขานุการหน้าห้องจะทำการเปิดผนึกจดหมายเหล่านี้เสียก่อน หากไม่มีอะไรสำคัญก็จะคัดแยกออกไปไม่ต้องเอาเรื่องเล็กน้อยเข้ามาให้เสียเวลา
เวทิศขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นแผ่นดิสก์ซึ่งซึ่งเขียนไว้ว่า “ลับเฉพาะเวทิศ” ซึ่งเป็นลายมือหวัดๆไม่คุ้นตา จึงนำแผ่นดิสก์นั้นใส่ในเครื่องคอมพิวเตอร์
เพียงแค่โปรแกรมเริ่มทำงานภาพเปลือยล่อนจ้อนของตัวเองแล้วกระโจนเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันตาภาก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจออย่างชัดเจน มันเป็นภาพในโรงแรมเมื่อวันที่เกิดเรื่อง ไม่ต้องดูต่อจนจบก็รู้ว่าจากนี้มันมีแต่เขาและเธอที่กลายเป็นพระนางแสดงกันสองต่อสอง
“ไอ้ระยำ รับรองว่าแกไม่ตายดีแน่” เวทิศสบถออกมาด้วยความโกรธ รู้ได้ทันทีว่ามันคงติดต่อกลับมาเพื่อเรียกเงินในเร็ววัน เขาน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่เธอน่ะสิจะรับได้ยังไง จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง
ไวเท่าความคิดนิ้วมือเรียวยาวของเขาก็กดปุ่มอินเตอร์คอม สั่งการเลขนุการหน้าห้อง “เชิญคุณกันตาภามาพบฉันด่วน”
เวทิศใช้เม้าท์กดลัดเวลาในวิดีโอไปเรื่อยๆและรู้ได้ว่ามันได้ทำการตัดต่อเอามาเฉพาะในตอนที่กำลังร่วมรักกันเท่านั้น!
ห้องทำงานฝ่ายการตลาด
ผู้ช่วยเลขานุการชายใจหญิงวิ่งกระหืดกระหอบไปหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของกันตาภา “คุณกันตาภาคะ ท่านรองประธานให้พบที่ห้องด่วนค่ะ”
เสียงห้าวที่พยายามบีบให้เล็กลงเลียนเสียงผู้หญิงดังขึ้นไม่เบานัก ทำให้หลายคนจ้องมองมายังเธอด้วยความสนใจ กันตาภาจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น “ค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ”
“ด่วนเลยนะคะ ท่านอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ย้ำอีกครั้ง
“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะตามไปค่ะ” กันตาภาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร
ผู้ช่วยเลขานุการถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อได้ยินเสียงหวานรับคำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วจึงเดินออกมาจากฝ่ายการตลาดด้วยคิดว่าเธอคงจะตามมาติดๆ
รุจิราเงยหน้าขึ้นจากเอกสารและมองเพื่อนร่วมงานอย่างแปลกใจ เมื่อเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้วกันตาภายังนั่งทำงานเช่นเดิม
“ส้มโอ เธอไม่ไปพบท่านรองเหรอ?” รุจิราขยับเข้ามาถามเบาๆให้พอได้ยินกันสองคน
“ก็บอกว่าเดี๋ยวไปไง” พูดจบก็มองนาฬิกาซึ่งใกล้ถึงเวลาพักเที่ยงเต็มที จึงเอ่ยปากชวนรุจิราไปรับประทานอาหาร “เดี๋ยววันนี้เราไปทานบะหมี่ฝั่งตรงข้ามกันนะ ฉันอยากทานเกี๊ยวกุ้ง หิวแล้วด้วย”
ความจริงแล้วไม่ได้หิวมากมายนักแต่ไม่อยากให้รุจิราซักไซ้ไล่เลียงต่อเท่านั้นเอง
“เออ ไปสิ” รุจิราตอบพลางเก็บของที่อยู่บนโต๊ะทำงานของตน และยิ้มออกมาอย่างดีใจที่คาดการไว้ไม่ผิดว่ากันตาภาจะไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านบะหมี่ฝั่งตรงกันข้าม ที่เธอนัดแนะกับปราโมทย์ไว้ให้ไปรออยู่ก่อนแล้ว
ปราโมทย์ขอให้เธอเป็นแม่สื่อแม่ชักเพราะอยากคบหารู้ใจกับกันตาภา ซึ่งรุจิราก็ไม่ติดใจเพราะปราโมทย์นั้นก็เป็นคนดี ขยันทำงานคนหนึ่ง
ไม่นานนักทั้งคู่ก็เดินออกจากบริษัทข้ามสะพานลอยไปยังร้านบะหมี่ โดยปล่อยให้คนที่ร้อนใจต้องนั่งคอยเกือบสิบห้านาที
เวทิศเดินกลับไปกลับมาด้วยความร้อนใจอยู่คนเดียว หากเวลาที่นานเกินไปทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าแม่ตัวดีคงแสดงฤทธิ์เดชเข้าให้แล้ว เธอคงไม่ยอมมาหาง่ายๆหรอกก็ในเมื่อเธอพูดเองว่าไม่ต้องมาเห็นหน้า ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก
ไม่ยุ่งก็ต้องยุ่งแล้วล่ะ ให้เธอมาดูหนังที่ตัวเองแสดงนำก่อนแล้วกัน อยากรู้นักว่าที่ร่ำๆไล่เขาไปให้พ้นเนี่ย ถ้าไปจริงๆใครหน้าไหนมันจะมาช่วยเธอแก้ปัญหานี้วะ! เวทิศคิดในใจพลางเดินออกจากห้องทำงานของตนไปยังฝ่ายการตลาดซึ่งเธอทำงานอยู่ หากต้องข่มอารมณ์โกรธไว้อย่างที่สุด เมื่อเดินมาถึงแล้วพบเพียงความว่างเปล่า
หากไม่ใช่เวลาพักกลางวันเช่นนี้พนักงานหลายคนคงกลัวจนตัวสั่นงันงก เมื่อได้เห็นสีหน้าของเจ้านายที่มีเพียงความร้ายกาจฉาบไว้บนหน้าตาอันหล่อเหลา ร่างกายสูงใหญ่ที่ดูน่าเกรงขามกลับกลายเป็นน่ากลัว เมื่อความฉุนเฉียวแผ่รังสีอยู่รอบตัว เขาต้องเดินกลับมายังห้องทำงานของตนอีกครั้งหนึ่งเพื่อปรึกษากับเพื่อนที่เป็นตำรวจ เพราะตามรูปการณ์แล้วอีกไม่นานรวิคงต้องเรียกร้องของมีค่าสักอย่างเพื่อแลกกับวิดีโอชุดนี้เป็นแน่
ในขณะที่อีกคนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กันตาภากลับรู้สึกสบายใจมากขึ้น หัวเราะได้บ่อยขึ้น เมื่อได้พูดคุยกับรุจิรา ทั้งยังมีเพื่อนใหม่อย่างปราโมทย์ซึ่งเป็นคนมีอารมณ์ขันที่สุด
หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วและรอพนักงานนำเงินทอนมาคืนให้ ปราโมทย์ตั้งคำถามขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่สองสาวซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามตอบคำถามของตนพลาดไปหลายคำถามนัก
“เหรียญบาด(บาท)ไปไหน?” ปราโมทย์ถามและอมยิ้มออกมาอย่างผู้ชายที่กำลังตกหลุมรักผู้หญิงสักคน เมื่อมองหน้าของกันตาภา
“ไปโรงพยาบาล” กันตาภาตอบพลางลุกขึ้นเดินนำหน้าออกมาจากร้านบะหมี่ ซึ่งเป็นเวลาพักกลางวันภายในร้านซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ห้องเดี่ยวจึงคับคั่งไปด้วยลูกค้า
“เออ... จริงด้วย ต้องไปโรงพยาบาล” รุจิราเสริมพลางเดินตามหลังกันตาภาก้าวขึ้นสะพานลอยกลับมายังบริษัท
“ถามมาหลายคำถามเลยถูกจับทางได้ ชักไม่สนุกแล้ว” ปราโมทย์พูดยิ้มๆ ท่าทางมีความสุขของกันตาภาทำให้เขาใจชื้น อยากสานสัมพันธ์ให้ต่อเนื่อง “เลิกงานเราไปกินหมูกระทะกันไหม นั่งรถไฟไปแค่สามสถานีก็ถึงแล้ว ไม่ไกลจากที่ทำงานของเราเท่าไหร่”
“ดีสิ ดีไปใหญ่ถ้านายเลี้ยงเราสองคน” รุจิราตอบ
“ไม่มีปัญหา ตัวเล็กๆแค่นี้จะกินได้สักเท่าไหร่กันเชียว” ปราโมทย์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงและใบหน้าดีใจ เร่งความเร็วให้เดินนำหน้าทั้งสองสาวเมื่อเดินใกล้จะถึงหน้าบริษัทเต็มที “ตกลงเลิกงานเย็นนี้เราเจอกันที่หน้าบริษัทนะ”
“ไว้วันหลังได้ไหมคะ เพิ่งฟื้นจากไข้ใหม่ๆ ยังไม่นึกอยากทานเลย” กันตาภาบอก หากสีหน้าที่สลดลงอย่างเห็นได้ชัดของปราโมทย์ก็ทำให้กันตาภาสงสาร “เอาอย่างนี้ดีไหม เย็นวันศุกร์เราค่อยไปทานหมูกระทะกัน จะได้มีเวลานั่งคุยกันนานๆ”
ปราโมทย์เปิดยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “จริงๆนะ ส้มโอสัญญาแล้วนะ”
“ค่ะ” กันตาภารับคำพลางเดินเข้ามาบริเวณด้านหน้าของบริษัท โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองอยู่ในสายตาของเวทิศอยู่ตั้งแต่เดินพ้นรั้วที่เปิดกว้างตรงทางเข้าบริษัทแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นฝากคำถามไว้ให้สองสาวไปช่วยกันคิด ถ้าตอบถูกพรุ่งนี้จะเลี้ยงข้าวเที่ยง”
“อะไร รีบๆถามมาเลย” รุจิรารีบถาม หูผึ่งตั้งแต่ได้ยินว่าจะมีเจ้ามือเลี้ยงอาหารเที่ยง
“ม้าลายนี่สีขาวลายดำ หรือสีดำลายขาว?...” หากยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ สายตาของปราโมทย์ก็ปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่ของเจ้านายที่ยืนหน้าบึ้งจัดอยู่ตรงประตูด้านหน้าบริษัท
กันตาภามองผู้ชายที่อยู่กลางประตูเปิดปิดอัตโนมัติจนพนักงานหลายคนต้องเดินเลี่ยงไปใช้อีกประตู แต่คนวางอำนาจบาตรใหญ่ยังไม่ขยับตัวสักนิด ดูเหมือนว่าเขาจะโกรธจัดที่เธอไม่ไปพบตามคำสั่ง หากไม่เข้าใจว่าการฝ่าฝืนคำสั่งของตนต้องทำให้เขาอารมณ์เสียจนต้องถอดเนกไทและปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกหนึ่งเม็ด พันแขนเสื้อขึ้นไว้บริเวณข้อศอก แตกต่างจากที่เห็นเมื่อเช้าโดยสิ้นเชิง
เวทิศไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเข้าไปคว้าข้อมือบางของกันตาภาแล้วกลับเข้าไปในบริษัท เมื่อเธอขืนตัวไว้เขาก็ใช้อีกมือจับที่ข้อศอกแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงดุ “ถ้ามากเรื่องนัก ฉันจะอุ้มพาดบ่าเลย ไม่เชื่อก็ลองดู”
กันตาภากัดริมฝีปากตัวเองเพราะหากเถียงหรือต่อต้านสักน้อย ก็รู้ดีว่าเขาพร้อมทำอย่างที่พูดอีกทั้งสายตาหลายคู่ของพนักงานในบริษัทที่มองมามันทำให้เธออับอาย บางคนมองแล้วหลบตา บางคนมองแล้วหันไปซุบซิบกันราวกับเกิดเรื่องสนุกปากขึ้นแล้ว
“อย่าลากได้ไหม ฉันเจ็บ” กันตาภาบอกเมื่อเขาลากเข้ามาอยู่ในลิฟต์ผู้บริหารแล้วยังไม่ยอมปล่อยมือจากข้อศอกของตน
“ให้คนไปตามตั้งนาน ทำไมไม่มาหาฉัน” เวทิศถามพลางคลายแรงรัดที่ข้อศอกมนแต่ยังจับเธอไว้อยู่เช่นเดิม
“ก็มาแล้วนี่ไง มีอะไรก็รีบๆพูดมาสิ แล้วปล่อยฉันด้วย ลากฉันมาอย่างนี้เห็นไหมว่าคนมองกันใหญ่ ฉันคงไม่พ้นต้องเป็นขี้ปากชาวบ้าน”
เวทิศแทบจะตะโกนถามเธอว่าเขามีอะไรที่น่าอาย มีอะไรด้อยกว่าผู้ชายคนอื่นตรงไหน เธอถึงได้มองเขาเหมือนตัวเชื้อโรคอย่างนี้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมายังหัวร่อต่อกระซิกกับผู้ชาย ไม่เห็นจะกลัวเป็นขี้ปากชาวบ้านเลย
“ทำไมทีพูดเรื่องไร้สาระกับไอ้หนุ่มนั่นทำไมไม่เห็นอายใคร ถูกรองประธานของบริษัทจับแขนนี่มันเสียหายนักเหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“มากเลย...” กันตาภาลากเสียงยาว “รู้อย่างนี้ก็ปล่อยด้วย ถ้าอยากเจอฉันเพราะแค่อยากหาเรื่องทะเลาะแค่นี้”
“รับรองว่าเรื่องที่ฉันจะพูดจะพาไปดูให้เห็นกับตาเนี่ย มันมีสาระกว่าคำถามปัญญาอ่อน ม้าลายนี่สีดำลายขาวหรือสีขาวลายดำก็แล้วกัน”
“อือ... แล้วตอบได้ไหมล่ะว่ามันสีอะไรกันแน่ ถ้าคุณปัญญาแข็งนัก” กันตาภาถาม
“เฮอะ! ฉันต้องเสียเวลาอันมีค่ามาหาคำตอบให้กับมุขจีบสาวห่วยๆพวกนี้ด้วยเหรอ ไม่มีประโยชน์ ไร้สาระสิ้นดี” เวทิศอดประชดออกมาไม่ได้ เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าไอ้หมอนั่นมันชอบเธอ กำลังจีบเธอ
“ก็โอเคนะ ถึงเขาจะไร้สาระสิ้นดีแต่ก็ทำให้ฉันยิ้มออก หัวเราะได้ น่าเบื่อน้อยกว่าอยู่ใกล้ๆคนมีสาระก็แล้วกัน” กันตาภาลอยหน้าลอยตาตอบ
“เออ... งั้นต่อไปนี้ชีวิตเธอก็ต้องผูกติดกับคนน่าเบื่ออย่างฉันไปจนกว่าทุกสิ่งอย่างมันจะคลี่คลายนั่นแหละ” จบคำพูดประตูลิฟต์ก็เปิดออก เวทิศจึงพาเธอเดินกึ่งลากกึ่งจูงไปจนถึงห้องทำงานของตัวเองพลางนึกอัศจรรย์ใจว่า... ทำไมเธอถึงได้ต่อปากต่อคำกับเขาอย่างไม่เคยจนแต้ม ทุกประโยคที่เธอตอกกลับมันเหมือนปล่อยหมัดฮุกเข้าตามส่วนต่างๆของร่างกาย ให้จุก มึนงงไปชั่วขณะทุกครั้งไป!
ศิริพารา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ค. 2558, 11:41:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ค. 2558, 11:41:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 1222
<< ตอนที่ 8 100% | ตอนที่ 10 100% >> |