เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 13
ขอโทษด้วยนะคะที่หายไปนาน เพราะไปเขียนตอนพิเศษจอมใจนางโลม ให้สำนักพิมพ์ แต่สุดท้าย ก็เอากลับมาทำมือเอง ซึ่งจะเสร็จเป็นรูปเล่ม ประมาณกลางเดือนตุลา 58 ค่ะ
ส่วนป๊ะเพลิง ตอนนี้ก็เขียนจบแล้วเหมือนกันค่ะ จากที่คิดว่าจะปรับปรุงไม่มาก กลายเป็นว่า เขียนใหม่เกือบทั้งเรื่องค่ะ น่าจะสัก 80 เปอร์เซ็นต์ ก็จะได้อ่านเป็นรูปเล่ม ในช่วงงานสัปดาห์หนังสือ เดือนตุลาคม 58 เหมือนกันค่ะ
ติดตามผลงานต่างๆของ pream ได้ที่ แฟนเพจ https://www.facebook.com/pram18pream นะคะ
pream จะลงป๊ะเพลิงให้อ่านประมาณ 15 ตอนค่ะ ใจจริงอยากจะลงให้อ่านจนจบเหมือนที่ผ่านมา
แต่ได้รับคำเตือนเรื่องการ ก๊อปปี้ บางคนก็ก๊อปไปทำอีบุ๊ค โดยที่เจ้าของไม่รู้เลย จึงไม่อยากมีปัญหาแบบนั้นอีก
ขอโทษและขอบคุณทุกคน ที่ติดตามและให้การสนับสนุนกันมาตลอด ขอบคุณด้วยความซึ้งใจจริงๆค่ะ
Pream
ตอน 13
“เดือนประดับ เธอเป็นใครคะ”
เสียงที่ดังขึ้นมาทำให้นมสุกกับนมสดต้องปรายตามมองหน้ากัน แล้วนมสุกก็ตัดบทว่า “อย่าไปสนใจคำพูดของหล่อนเลยหนูพิมพ์ มีปากไว้สักแต่พูดทำร้ายคนอื่นเท่านั้นเอง”
“พิมพ์ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น แต่อยากรู้ความเป็นมาของเธอมากกว่า ว่าทำไมถึงได้ดูมีอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นๆในหุบเขา”
สองนมเริ่มจะหนักใจขึ้นมา เมื่อเธอไม่ยอมจบ แล้วนมสดก็ตัดสินใจเล่าให้ฟัง “นมก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะคะ รู้แต่ว่าหล่อนเป็นลูกสาวเพื่อนท่านชีค รู้จักกับป๊ะเพลิงตอนที่ไปเรียนรู้เรื่องต่างๆในทะเลทราย และคงสนิทสนมกันตอนนั้น พอป๊ะเพลิงกลับมาที่หุบเขาหล่อนก็ขอตามมาด้วย ป๊ะเพลิงบอกนมว่าเป็นเพื่อน แต่ท่าทางของหล่อนอยากจะเป็นมากกว่านั้น เพราะวางตัวราวกับเป็นคนสำคัญของป๊ะเพลิงคอยเจ้ากี้เจ้าการกับนมสองคนไปเสียทุกเรื่อง กระทั่งป๊ะเพลิงแต่งงานกับหนูพิมพ์ หล่อนก็เป็นอย่างที่เห็น”
“คือเกลียดพิมพ์” เสียงพิมพ์ลดาเรียบจนสองนมไม่แน่ใจว่าเธอรู้สึกยังไง “แล้วที่เธอบอกว่าพิมพ์ง่ายละคะ หมายความว่ายังไง”
“เรื่องบางอย่างก็ไม่น่าจะจดจำหรอกหนูพิมพ์ เมื่อจำไม่ได้ ก็อย่าไปหวนหามันเลย” เสียงนมสดบอก
“แต่พิมพ์ไม่อยากเป็นตัวตลกให้ใครหัวเราะเอานะคะ ถึงไม่น่าจะจดจำ แต่ก็ยังดีกว่าจำไม่ได้ แล้วให้คนอื่นมากระแทกแดกดันโดยที่ไม่สามารถตอบโต้ได้เลย ถ้าได้รู้อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าต้องทำยังไง”
คำพูดเธอนั้นสองนมได้แต่เห็นใจ แต่ที่ทำได้คือ “นมก็อยากจะบอกหนูพิมพ์นะคะ แต่ไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นได้ดีเท่ากับป๊ะเพลิง รอให้เขาเล่าให้หนูพิมพ์ฟังดีกว่า”
“งั้นที่เดือนประดับพูดมาก็คงจะเป็นความจริง เพราะถ้าไม่จริง เขาคงไม่ทำกับพิมพ์อย่างที่ผ่านมา และคงจะเกลียดพิมพ์มากจริงๆ แม้ว่าเขาจะ...” เธอหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น เมื่อบอกตัวเองว่าได้คำตอบกับสิ่งที่เขาทำดีกับเธอแล้ว แต่ถึงกระนั้นใจเธอก็คงไม่จำ ไม่งั้นคงไม่รู้สึกดีกับสิ่งที่เขาทำ
“พิมพ์ไปหาหมอกานต์นะคะ” พูดจบเธอก็ลุกเดินลงจากเรือนไป ทั้งสองนมมองตามไปและไม่สงสัยว่าเธอไปหาทำไม เพราะหนักใจกับเรื่องเดือนประดับอยู่ และยิ่งรู้สึกเกลียดที่มากวนน้ำที่นิ่งจนเกือบจะใสอยู่แล้วให้ขุ่นขึ้นมา
เพลิงเดินขึ้นมาบนเรือนเมื่อสายมากแล้ว เห็นแม่นมสองคนนั่งแยกสมุนไพรในกระจาดอยู่บนแคร่ ปรายตามองเขาแวบเดียวก็บอกว่า “นมจัดสำรับไว้ให้ที่ศาลาแล้ว ป๊ะเพลิงไปทานได้เลย” น้ำเสียงที่มีอารมณ์ขุ่นๆปนมาด้วยนั้น ทำให้เพลิงถามออกมา
“มีอะไร”
“นมนะไม่มีหรอก แต่มีคนมากวนน้ำโหให้ขุ่นตั้งแต่เช้าเท่านั้นเอง”
เสียงนมสดสะบัดออกมา แต่เพลิงไม่ถามว่าใคร นอกจากตวัดสายตามองหาคนที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ “พิมพ์ลดาละ” เขาถามเมื่อไม่เห็น
“ไปบำเพ็ญประโยชน์กับหมอมั่ง โทษหนักจะได้เบาบางลงเสียที” น้ำเสียงยังประชดอยู่ แล้ววางมือจากสมุนไพร ลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าเพลิง “เมื่อไรป๊ะเพลิงจะยกโทษให้หนูพิมพ์”
“เธออ้อนวอนขอให้พูดหรือไง”
“เมื่อไรจะมองหนูพิมพ์ในแง่ดีเสียที” นมสดย้อนกลับมา “นมไม่อยากจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกหรอกนะป๊ะเพลิง แต่ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ทำไมยังไม่เชื่อว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆสักที”
“เพราะหัวใจฉันยังไม่เชื่อไง”
“แล้วที่ทำดีกับเธอ เพราะหัวใจบอกหรือยังคิดจะแก้แค้นเหมือนเดิม”
เพลิงไม่ตอบคำถามนี้แล้วเดินลงจากเรือนไปที่ศาลา นมสดก็ลดตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยใจ ที่จนแล้วจนรอดทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนไป นมสุกก็มีอาการไม่ต่างกัน แม้ท่าทางของป๊ะเพลิงจะไม่แข็งกร้าวเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้าหัวใจยังไม่เชื่อ ก็ยังกลัวแทนเธออยู่ดี
*********
ขณะที่เรือนของหมอกานต์ ก็ได้ต้อนรับนายหญิงแห่งหุบเขา และทันทีที่ได้รู้ว่าเธอมาหาด้วยเรื่องอะไร เขาก็ได้แต่แปลกใจ ยิ้มอย่างให้อบอุ่น ก่อนจะถามให้แน่ใจอีกครั้ง “นายหญิงแน่ใจนะครับว่าจะไปกับหมอ เราต้องเดินไปนะครับ และทางก็ไม่ได้ราบเรียบ ออกจะลดเลี้ยวและขรุขระมาก บางที่ต้องขึ้นเขาลงห้วยด้วย”
“ถ้าหมอไปได้พิมพ์ก็ไปได้ค่ะ”
“ผมว่านายหญิงอยู่ที่เรือนดีกว่า อย่าลำบากเลย”
“พิมพ์ไม่กลัวความลำบาก อีกอย่างพิมพ์อยากเห็นด้วยว่าทุกคนที่นี่อยู่กันยังไง ที่ผ่านมาพิมพ์แทบจะไม่เห็นใครเลย และสัญญาว่าจะเป็นลูกมือที่ดี ที่เชื่อฟังหมอค่ะ”
“ถ้านายหญิงแน่ใจก็ตามใจครับ”
“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่ทำไมหมอไม่ใช่ม้าละคะ”
“หมอขี่ม้าไม่เก่ง ที่สำคัญการเดินมีประโยชน์มากกว่าการขี่ม้า เพราะหมอจะเจอสมุนไพรที่จะเอามาทำยารักษาได้มากด้วย” หมอบอกแล้วเริ่มออกเดินนำพร้อมกับคุยให้ฟังไปด้วย “ทุกคนที่นี่ก็อยู่กับเหมือนชาวบ้านชาวเขาทั่วไปนั่นแหละครับ คิดว่านมสุกกับนมสดคงเลยเล่าให้ฟังบ้างแล้ว ส่วนที่นายหญิงไม่ค่อยเจอใคร เพราะไม่ค่อยมีใครเข้าไปวุ่นวายที่ป๊ะเพลิงอยู่”
“แล้วอย่างนี้พอใครมีเรื่องทุกข์ร้อนหรือไม่สบายจะทำไงคะ”
“ป๊ะเพลิงขี่ม้าออกไปดูแลพวกเขาทุกวัน แต่ถ้าวันไหนมีธุระ หัวหน้าคุกทมิฬก็จะไปแทน แต่คนที่นี่จะไม่ค่อยได้เจ็บป่วยหรอกครับ เพราะอยู่กับธรรมชาติ...” เสียงคุณหมอเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆ
พิมพ์ลดาจึงได้รู้อะไรอีกหลายอย่าง และที่เคยสงสัยว่าเขาหายไปไหนในแต่ละวัน เธอก็ได้คำตอบแล้ว แม้จะยังไม่หมดทุกข้อที่เคยคิดไว้ก็ตาม “ส่วนเด็กๆ ก็จะมีโรงเรียน มีครูที่ดีมาคอยสอนให้ไว้หมอจะพาไปดู” เสียงหมอพูดไปเดินไปจนกระทั่งถึงเรือนหลังแรก
สองตายายยิ้มให้หมอ และต้องแปลกใจเมื่อเห็นนายหญิงโผล่มาด้วย ทั้งคู่มองหญิงสาวแปลกๆ เพราะก่อนหน้านี้คำร่ำลือที่ได้ยินมาว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรไม่เป็น กับอีกหนึ่งเดือนที่มาอยู่ที่หุบเขาก่อนจะแต่งงานกับป๊ะเพลิง ก็ไม่เคยเห็นเธอมาใยดีด้วยเลย
พิมพ์ลดายกมือไหว้สองตายาย ถามความอยู่เล็กๆน้อยๆ แล้วรับฟังเสียงหมอที่คุยถึงอาการป่วยของสองตายาย ที่แม้ใจจะยังสู้ แต่ร่างกายที่เสื่อมถอยลงก็ทำให้เป็นไข้ได้ง่ายๆ
หมอให้ยาไว้ทานและแนะนำให้ดูแลตัวเองดีๆ และก่อนจากไปสองตายายก็ยิ้มให้กับนายหญิง เมื่อได้เห็นแล้วว่าเธอต่างจากที่ได้ยินมาเหลือเกิน เพราะไปลามาไหว้เรียบร้อย จากนั้นหมอก็พาเธอเดินต่อไปยังเรือนอีกหลัง หลังนี้มีเด็กเล็กด้วย ซึ่งซนจนมีแผลน่ากลัวที่เท้า เธอช่วยหมอทำแผลให้เด็กอย่างไม่รังเกียจ พ่อแม่ของเด็กที่ตอนแรกก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากตายาย ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแย้ม และเป็นแบบนี้เกือบทุกหลังคาเรือนที่เธอได้ไปเยือนกับหมอ
พิมพ์ลดาไม่แปลกใจที่ทุกคนมีท่าทางแบบนั้นกับเธอ เพราะแม่นมสองคนก็พูดให้ฟังว่าเมื่อก่อนนี้เธอเป็นคนยังไง แต่พอเธอฟื้นขึ้นมาจากความตายตัวเธอเปลี่ยนไปยังไง แต่ใช่ว่าในความเป็นมิตรนั้นจะยังไม่มีความระแวงอยู่เลย เธอรู้สึกว่ายังมีอยู่ และคิดว่าคงต้องใช้เวลา กว่าทุกคนจะมองเธอเป็นเธออย่างเช่นทุกวันนี้
ดวงตะวันร่อนๆอ่อนแสงลงหมอกานต์ก็พาเธอกลับ ระหว่างทางก็แวะเก็บสมุนไพรในป่า เธอเดินเล่นอยู่ไม่ห่าง แต่เพราะมีหลายเรื่องที่รบกวนจิตใจอยู่ ทำให้เดินห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้สึกถึงความเงียบงันมองไม่เห็นหมอ เห็นแต่ป่า ก็เริ่มใจไม่ดี พยายามคิดถึงทางที่เดินมาพร้อมกับเดินไปตามทางที่คิด โดยไม่รู้ว่าเดินลึกเข้าไปจนกลายเป็นหลงวนอยู่ในป่า
“หมอคะ” เธอเรียกหาเมื่อไม่เจอทางออก “หมอคะ” เธอเรียกซ้ำ แต่ไม่ว่าจะเรียกกี่ครั้งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา สีหน้าเริ่มตระหนกแต่ยังพยายามหาทางออก แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อได้ยินเสียงคนเดินอยู่ด้านหลัง เธอหันขวับไปมอง รอยยิ้มหายวับไปทันทีเพราะคนที่เห็นนั้นไม่ใช่มิตรแต่เป็นผู้ร้ายแน่นอน
ใบหน้าปิดบังด้วยหมวกไหมพรหมเห็นแต่ดวงตา เท้าเธอถอยห่างพลางมองอย่างระวัง ขณะที่มันก็เดินเข้ามาหา พิมพ์ลดากำมือข่มความกลัวไว้ “แกเป็นใคร” เธอถามแต่ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเดินเข้าหา ท่าทางและแววตานั้นบอกอันตรายชัดเจน เธอจึงวิ่งหนี มันก็วิ่งตามทันทีเหมือนกัน
สองตามองทางสองมือปัดป่ายกิ่งไม้พร้อมสองขาที่วิ่งฝ่าไปไม่หยุดหย่อน ความกลัวเกาะกุมหัวใจเมื่อสมองบอกเธอว่ามันเป็นคนร้ายที่พร้อมจะทำร้ายเธอ พิมพ์ลดาวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เสียงฝีเท้าที่วิ่งดังไล่หลังมา ทำให้สองขาขยับให้เร็วขึ้น หน้าแดงและชื้นไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอก แล้วหลบหลีกไปตามซอกหินก่อนจะยืนแอบพร้อมฟังเสียงฝีเท้าของมันที่หายไป คงหยุดมองหาเธอ
‘จะทำยังไงดี’
เธอคิดพลางมองว่าจะวิ่งไปทางไหน และเรียกหาคนที่เกลียดเธออยู่ในใจ ‘เพลิง’ น้ำตาเธอปริ่มๆจะไหลออกมา เมื่อคิดถึงเขาใจจะขาด อยากให้เขามาช่วย มาหาเธอ ไหนบอกว่าเธอจะอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา แล้วตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน ‘เขาคงไม่รู้’ เธอบอกตัวเอง แล้วปัดความเศร้าทิ้งไปเพื่อจะไปจากที่นี่แต่เพียงออกมาจากที่ซ่อน มันก็โผล่ออกมาตรงหน้า
“กรี๊ด” เธอร้องออกมาสุดเสียง แล้ววิ่งหนีอีก มันก็วิ่งตามติดก่อนจะกระโดดตะครุบจับตัวเธอไว้ “กรี๊ด” พิมพ์ลดาร้องออกมาพร้อมดิ้นอย่างไม่ยอม สองมือทั้งผลักทั้งตบโดยไม่สนใจว่าจะโดนตรงไหน และบอกให้มันปล่อย แต่มันไม่ปล่อยและพยายามลากตัวเธอไปกับมัน แม้จะขืนตัวไว้แต่ก็ไม่อาจสู้แรงมันได้ จึงฝังฟันลงบนเนื้อมันให้เจ็บ มันผลักตัวเธอกระเด็นไปชนกับก้อนหิน
“โอย”
พิมพ์ลดาร้องออกมาเพราะเจ็บร้าวไปทั้งหัว แต่เธอไม่มีเวลามาคร่ำครวญ สิ่งที่ต้องรีบทำคือวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด แม้จะไม่รู้ทิศทางก็ตาม เธอวิ่งโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นยังไง ขอให้หนีจากมันไปได้เพียงพอ บางครั้งสะดุดหินสะดุดรากไม้ล้มลุกคลุกคลาน ถลอกปอกเปิดเลือดซิบไปหลายแห่งก็ยังวิ่ง แต่แล้ว....
“กรี๊ด”
เสียงกรีดร้องออกมาสุดเสียงเมื่อจู่ๆก็มีมือมากระชากตัวเธอไว้ เธอดิ้นและตบตีคนที่รวบตัวไว้อย่างบ้าคลั่ง กระทั่ง... “พิมพ์ลดา” เสียงกร้าวที่คุ้นเคยนั้นหยุดเธอไว้ สติค่อยๆกลับมาให้เห็นว่าเป็นใคร แต่เธอไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรได้อีกแล้วมีแต่น้ำตาเท่านั้นที่ไหลรินออกมา
เพลิงมองหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ปลายนิ้วเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อยกขึ้นมาเช็ดเลือดให้ แล้วดึงตัวมากอด รับรู้ถึงน้ำตาที่ซึมเปียกอกเขา กรามขบเข้าหากันพลางมองไปยังทางที่เธอวิ่งมา แต่ไม่เห็นอะไรหรือใครสักคน ถึงกระนั้นเขาก็คิดว่าต้องมีใครทำอะไรเธอแน่นอน
“หนีอะไรมา”
เสียงเขาต่ำลึกขณะแววตาเหี้ยมขึ้นมา แต่ไม่มีเสียงตอบนอกจากตัวที่สั่นด้วยความหวาดกลัว เขาช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มพาเธอกลับไปที่เจ้าพยัต พลางคิดว่าถ้าเขาไม่เจอหมอที่กำลังตามหาตัวเธออยู่ เธอจะเป็นยังไง และไม่เห็นว่าหลังต้นไม้ที่ห่างออกไปไม่เท่าไร มีสายตาของไอ้โม่งมองตามไป แล้วถอยห่างออกไปอย่างเงียบกริบ
********
เพลิงอุ้มร่างอรชรขึ้นมาบนเรือน สองนมที่นั่งคอยอยู่กับหมอที่มาบอกว่าหญิงสาวหายตัวไป และกำลังจะไปที่คุกทมิฬ เพื่อให้คนช่วยออกตามหา พากันตื่นตระหนกด้วยความตกใจ แล้วรีบเดินตามหลังเพลิงที่อุ้มเธอไปที่ห้องนอน วางตัวเธอลงบนที่นอน สบตาที่ยังเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันกลับมา” เสียงเขาปลอบประโลม แล้วหันมาสั่งหมอ “ดูแลเธอให้ดี”
พูดจบเขาก็เดินออกไปจากห้อง ตรงไปที่เจ้าพยัตขี่มันไปที่คุกทมิฬ ส่วนด้านหลังสองนมกับหมอกานต์ก็ช่วยดูแลหญิงสาวเต็มที่ ไม่นานเจ้าพยัตที่ควบมาเต็มฝีเท้าก็มาถึง เพลิงเรียกผู้คุมกฎกับนักรบทะเลทรายมา นำพาทุกคนไปปูพรมหาคนที่ทำร้ายเธอ แต่ดูเหมือนเขาจะคว้าน้ำเหลว เมื่อในรัศมีที่เกิดเรื่องไม่เจออะไรเลย นอกจากรอยเลือดที่คิดว่าน่าจะเป็นของเธอ แต่เขาจะไม่ล้มเลิกแค่นี้
“ค้นให้ทั่ว ไม่ว่าเรือนใครก็ไม่ต้องเว้น”
“ครับ”
สิ้นเสียงรับคำทุกคนก็แยกย้ายไปทำตามคำสั่ง ส่วนเพลิงก็กลับมาที่เรือนเชิงผาพร้อมกับคิดถึงความเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นใคร ตอนนี้ศัตรูของเขามีไอ้หนอนที่ยังมองไม่เห็น ส่วนคนที่มองเห็นคือพ่อของเธอ ซึ่งไม่มีทางที่จะส่งคนมาทำร้ายลูกตัวเอง แล้วอีกคน... แววตาของเพลิงกระด้างขึ้น เมื่อคิดถึงไอ้นายพลชั่ว มันอาจจะส่งคนมาฆ่าเธอ เพราะแผนที่ๆได้ไปขุดไม่เจอน้ำมันสักที หรือไม่ก็ฆ่าปิดปากเธอเพื่อไม่ให้สาวเรื่องไปถึงตัวมัน
กลับมาถึงเรือน สายตาเขามองไปที่ห้องนอนเป็นอันดับแรก แต่ใจที่ห่วงใยถูกวางไว้เมื่อยังมีเรื่องที่สะสาง เขาตรงไปยังห้องทำงาน หยิบโทรศัพท์ออกมาติดต่อไปหาหินที่ป่านนี้คงถึงที่พักแล้ว พอรับสายก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก่อนจะถามความเห็น
“คิดว่าไง”
“ไม่มีร่องรอย ก็แสดงว่ามันรู้เส้นทางในหุบเขาเป็นอย่างดี”
“คนในงั้นเหรอ”
“เป็นไปได้และไม่ได้ อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้เราปล่อยไอ้พวกบุกรุกให้หลุดรอดไปเพื่อตามไปตลบหลัง ไอ้นายพลชั่วก็อาจจะส่งคนมาจัดการเธออย่างที่นายคิดก็ได้ ส่วนนายอธิป แน่นอนว่าเขาไม่ทำร้ายลูก แต่อาจจะส่งคนมาหาเธอ จะเพื่ออะไรนั้นก็คิดได้หลายอย่าง ทั้งมาดูลาดเลา หรือมาสั่งให้ทำอะไรอีกก็อาจเป็นเป็นได้ แต่เขาไม่รู้ว่าเธอความจำเสื่อม จำใครไม่ได้เลย เจอมันเข้าก็อาจจะวิ่งหนีด้วยความกลัว”
“คงไม่ใช่ เพราะถ้าใช่คนของนายอธิป ถึงเธอจะจำไม่ได้แต่มันจะไม่คุกคามเธอให้กลัวขนาดนี้”
“งั้นก็เหลือแค่ไอ้นายพลชั่ว กับไอ้หนอนที่เรายังจับไม่ได้ อาจจะเป็นหนึ่งในนี้ที่ทำร้ายเธอ”
“บัญชีนี้ฉันจะจารึกไว้ รู้ตัวเมื่อไร ฉันจะเอาคืนให้สาสม”
“แล้วถ้าไม่ใช่พวกมัน”
เสียงที่ถามกลับมาให้คิด ทำให้เพลิงนิ่งไป ก่อนจะถามกลับไป “หมายความว่าไง ศัตรูที่มองไม่เห็นงั้นเหรอ”
“ไม่รู้สิ คิดเผื่อไว้บ้างก็ดี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะได้รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป”
“แต่ไม่รู้ คือปัญหาใหญ่”
“ไม่หรอก อย่างน้อยนายก็จะได้ระวัง และระลึกไว้ว่าที่นายเป็นห่วงเธอขนาดนี้ เพราะเธอคือหัวใจของนายแล้ว”
เสียงปลายสายขาดหายไป แต่เพลิงยังนิ่งอยู่ในท่าเดิม เพราะคำพูดเมื่อกี้ไปสะกิดความรู้สึกที่เขาเก็บกดไว้ลึกสุดใจ ความไม่แน่ใจที่เคยมี คำถามต่างๆที่ค้างคาและไม่ยอมรับ ทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างที่ทำลงไปมันเด่นชัดออกมาให้คนอื่นเห็นแล้ว แต่... ยังมีบางอย่างที่เขายังลังเล แล้วไม่กี่อึดใจเขาก็ปล่อยวาง เดินออกมาจากห้อง ตรงไปยังห้องนอน เจอหมอกานต์ที่เปิดประตูห้องออกมาพอดี ก็ถามถึงเธอทันที
“เป็นไงบ้างหมอกานต์”
“ปลอดภัยแล้วครับ หมอฉีดยาระงับอาการปวดให้พักผ่อนซึ่งก็หลับไป ตอนนี้แม่นมดูแลอยู่ ส่วนบาดแผลที่เห็นเลือดเยอะเพราะหัวแตกแต่แผลไม่ใหญ่ไม่ต้องเย็บเพราะไม่เป็นอันตราย รอยฟกช้ำตามลำตัว ก็ไม่มีอะไรให้น่าหนักใจ”
“ขอบใจมากหมอ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่หมอต้องขอโทษป๊ะเพลิงด้วย ที่พาเธอไปเจออันตราย”
“ไม่ใช่ความผิดของหมอ”
“แล้วเจอคนร้ายไหมครับ”
“ยังไม่เจอ” พูดจบเขาก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน สองนมที่นั่งเฝ้าเธออยู่ยกมือขึ้นซับน้ำตาที่ซึมออกมาด้วยความสงสาร พลางมองป๊ะเพลิงที่เดินมานั่งที่ขอบเตียง
“ใครมันทำหนูพิมพ์” นมสดถามขึ้นด้วยความแค้นเคือง
“ยังไม่รู้ เพราะฉันยังไม่ได้ตัว”
“หนูพิมพ์บอกว่ามันสวมหมวกไอ้โม่ง เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น และช่วงที่ถูกมันฉุดกระชากลากตัวไป เธอก็กัดมันที่แขน จนถูกมันผลักไปกระแทกก้อนหิน”
เพลิงจดจำคำพูดทั้งหมดไว้ แล้วบอกให้สองนมไปพักได้ พอทั้งคู่ลุกขึ้นเดินไปจากห้อง สายตาเขาก็มองใบหน้าที่ซีดเซียว ความหวาดกลัวของเธอยังเป็นเงาอยู่ในแววตาเขา จับมือเธอมากุมไว้ ก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบหน้าผากมน
‘เพราะเธอคือหัวใจของนายแล้ว’
คำพูดนี้ดังก้องขึ้นมาให้เขาชะงัก แต่ไม่ผละห่างหรือถอยหนีเหมือนเช่นทุกครั้ง มิหนำซ้ำยังจูบแผ่วไปทั่วใบหน้าเพื่อปัดเป่าความหวาดกลัวเหล่านั้นให้หมดไปจากตัวเธอ แล้วขยับตัวไปนั่งพิงหัวเตียง หลับตาลงแต่ไม่ได้หลับเพราะสมองยังวนเวียนอยู่กับคำว่าใครที่มันทำร้ายเธอ
**********
เดือนประดับมองสองผู้คุมกฎที่มาเยือนเรือนของเธอด้วยความด้วยความไม่พอใจ แต่พอรู้สาเหตุ ก็ยิ้มด้วยความสะใจและไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง เปิดทางให้ค้นตามสบาย แล้วจากไปโดยไม่มีอะไรให้น่าสงสัย เธอเหยียดริมฝีปากออกหยัน แล้วจะเดินเข้าไปข้างใน แต่เห็นคนเดินขึ้นบันไดเรือนมาหาเสียก่อน ก็ยกมือขึ้นกอดอกรอ กระทั่งคนมาหาเดินมายืนตรงหน้าและถามออกมาว่า
“มีอะไรกัน” ไอ้ชาติถามพลางมองไปยังทางที่เห็นม้าวิ่งหายไป
“แกตกข่าวเหรอ”
“ก็พอรู้” มันว่าพลางดึงสายตามามองหน้าเธอ “แต่ไม่คิดว่าเรือนของเธอจะถูกสงสัยไปด้วย ซึ่งน่าเสียใจที่คนใกล้ชิดกันขนาดนั้นยังไม่ไว้ใจกันอีก” มันพูดให้เธอเจ็บใจ แต่ดูจะไม่ได้ผล เมื่อสีหน้าของเดือนประดับยังระรื่นอยู่
“แต่ฉันไม่เสียใจ และถ้ามาค้นอีกก็เชิญได้ทุกเวลา เพราะนั้นแสดงว่านังพิมพ์ลดามันต้องเจ็บเจียนตาย ซึ่งสะใจฉันเป็นที่สุด”
“ดูเธอจะดีใจเกินกว่าเหตุนะ”
“จะจับผิดฉันเหรอ” เธอว่าอย่างรู้ทัน ไอ้ชาติก็ยิ้มอย่างทันกันเช่นกัน
“ก็น่าคิดไหมละ ก็ฉันรู้ว่าเธอเกลียดนายหญิงยังกับอะไรดี และเพิ่งจะมีเรื่องกันมา ถ้าจะสงสัยก็ไม่ผิด”
“แล้วถ้าฉันคิดว่าเป็นแกบางละ”
“ฉันไม่สิ้นคิดขนาดนั้นหรอก”
“ฉันก็ไม่ต่างจากแก เพราะมันไม่คุ้มกับการที่ฉันจะทำลงไป อีกอย่างใครจะทำร้ายมันฉันก็ได้ผลประโยชน์เหมือนกัน แล้วจะลงมือเองเพื่ออะไร และตอนนี้นังพิมพ์ลดาก็ดูแย่ในสายตาของเพลิงอยู่แล้วๆ ฉันจะหาเรื่องให้เขาเกลียดฉันทำไมกัน”
“งั้นเธอคิดว่าใคร”
“ฉันไม่เอาเรื่องนี้มาคิดหรือสงสัยให้รกสมองหรอก มีแต่คิดว่าทำไมมันไม่ตายไปเสียทีเท่านั้นมากกว่า”
“เธอพูดมาหลายครั้งแล้วนะที่จะให้นายหญิงตายเนี๋ย ฉันว่าเปลี่ยนจากคำพูดลอยๆ มาพูดจริงๆและทำให้มันจังๆสักที ดีไหม ตอบตกลงกับท่านนายพลไปเพื่อทุกอย่างจะได้อย่างใจ อีกอย่างที่เธอพูดมานะมันตรงกันข้ามไปเสียทุกอย่าง ยิ่งนายหญิงมาเจ็บอย่างนี้ ก็ยิ่งจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากป๊ะเพลิง ความโกรธเกลียดที่บ่มเพาะอยู่ในใจอาจจะสลายกลายเป็นความรักขึ้นมาก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ไม่มีทาง”
“หึ หึ” ไอ้ชาติหัวเราะออกมาก่อนจะวางเพลิงไว้ให้ใจร้อนรุ่มว่า “เสียงเธอฟังแล้วไม่มั่นใจเลยนะ กลัวจะรับความจริงไม่ได้หรือไง ระวังกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้เสียแล้วๆเธอจะไม่เหลืออะไรเลย หึๆๆ” มันหัวเราะทิ้งไว้ก่อนเดินลงไปจากเรือน โดยไม่ต้องอยู่ดูให้เสียเวลา ก็รู้ว่าเดือนประดับสุดแค้นแสนช้ำแค่ไหน ซึ่งก็เป็นอย่างมันคิดจริงๆ
เธอกำลังจิกเล็บลงบนฝ่ามือจนเจ็บแปลบไปทั้งใจ แล้วเดินเข้าไปในห้องของสาวใช้ มองคนที่นั่งดูรอยกัดที่แขน ก็เข้าไปตบตีพร้อมเสียงถามที่เค้นออกมาอย่างสุดโกรธ “แกทำยังไงถึงได้พลาด”
“ขอโทษครับคุณหนู”
“เอาคำขอโทษของแกมาแทนที่ความแค้นของฉัน จำจดไว้ในสมองและไม่ต้องตรองอะไรอีก คิดแค่ว่าถ้ามีโอกาสอีกครั้ง ต้องฆ่านังพิมพ์ลดาให้ฉันเท่านั้น เข้าใจไหม”
“ครับคุณหนู”
เดือนประดับมองหน้ามันอีกอึดใจ ก็เดินออกจากห้องสาวใช้ไปที่ห้องของตัวเอง ความเจ็บแค้นที่สุ่มอยู่ในใจไม่ได้เบาบางลงเลย อุตสาห์วางแผนใช้คนของเธอสวมรอยเป็นไอ้พวกที่บุกรุกเข้ามาในหุบเขา โดยไม่กลัวว่าจะมีคนจับได้ เพื่อเอาคืนนังพิมพ์ลดาให้เจ็บให้สาสมกับที่มันเยาะเย้ยเธอ แต่เป็นเธอที่ยิ่งเจ็บ ข้าวของที่วางอย่างเป็นระเบียบระเนระนาดลงมาในพริบตา เพราะสิ่งที่ทำลงไปให้ความสุขกับเธอเพียงเดี๋ยวเดียวแต่ให้ความทุกข์เพิ่มขึ้นอย่างมหันต์นั่นเอง
*********
แสงไฟสว่างขึ้นมาแทนแสงตะวันที่ลับลาไป ในเมืองใหญ่สถานที่คือโรงแรมหรู ร่างสูงของหินยืนอยู่บนระเบียงห้องนอนของห้องชุดสุดหรู สายตามองท้องฟ้าที่แม้จะเป็นฟ้าเดียวกันกับหุบเขาพญา แต่ความสวยงามนั้นช่างต่างกันเหลือเกิน เพราะที่โน้นไม่มีอะไรปิดบังแต่ที่นี่ความเจริญนำพามลภาวะมาบดบังไว้ แล้วละสายตาเดินกลับเข้ามาในห้องพัก ที่ครบครันด้วยความสะดวกสบาย อยากได้อะไรแค่กดปุ่มบอกความต้องการก็จะมีคนเอามาให้ สิ่งเหล่านี้ต้องขอบคุณป๊ะเพลิง ที่จัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้ แม้กระทั่งที่พักที่โรงแรมของท่านชีค แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนให้เป็นชื่อของเขา เพื่อให้ดูดีมีราคาแพงใช้เป็นใบเบิกทางเวลาไปเจอไอ้พวกสารเลว
เขามองนาฬิกาบนข้อมือ แล้วเดินไปหยิบเสื้อสูทที่วางอยู่บนเตียงมาสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาว ซึ่งทำให้ตัวเขาดูดีขึ้นอีกมากมาย ก็เดินออกไปจากห้องลงลิฟต์ไปยังชั้นล่าง ขึ้นรถยนต์คันหรูที่มีคนเอามาจอดให้แล้ว ขับไปตามเส้นทางที่จะไป ไม่นานก็มาถึงโรงแรมที่จัดงานการเสวนาของของนักธุรกิจ จอดรถเรียบร้อยเขาก็เดินเข้าไปในโรงแรมทันที
ห้องแกรนด์บอลรูมคึกคักไปด้วยนักธุรกิจเด่นดังที่เดินทางมาร่วมงานนี้ เบื้องหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มพูดคุยทักทายอย่างเป็นกันเอง แต่เบื้องหลังเบื้องลึกซุกซ่อนบางสิ่งที่ไม่มีใครรู้ไว้อีกมากมาย หินตวัดสายตามองหาคนที่ต้องมาเจอเป็นอันดับแรก เมื่อยังไม่เห็นก็หาเป้าหมายที่สองต่อไป และไม่ผิดหวังเมื่อเห็นมันเดินมาพร้อมกับพวกเกือบสิบคน ซึ่งดูก็รู้ว่าในจำนวนนั้นมีไอ้พวกประสบสอพอและลิ่วล้อรวมอยู่ด้วย
“สวัสดีครับนายพลกฤษ”
เสียงทักนั้นเขาได้ยินชัดเจน และมองพวกมันจับมือ พูดคุย หยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอ ก็พากันไปนั่งที่โต๊ะ หินมองการสวมหน้ากากเข้าหากันอย่างสมเพช แล้วหยิบเครื่องดื่มจากพนักงานที่เดินผ่านมาดื่ม ก่อนจะหามุมหลบ เมื่อเห็นพ่อของนายหญิงแห่งหุบเขาพญาโผล่มาในงานนี้ด้วย
นายอธิปเข้ามาทักทายกลุ่มของนายพลกฤษ ซึ่งทุกคนก็ยิ้มแย้มให้อย่างมีไมตรี แต่หลังจากนั้นดูเหมือนเขาจะเป็นแกะดำของกลุ่ม เพราะแทบจะไม่มีใครสนใจเขาเลย แม้แต่คนที่ร่วมมือกันหาผลประโยชน์อย่างนายพลกฤษ คงยังโกรธเขาเรื่องแผนที่นั่นเอง จึงหาโอกาสที่จะอธิบายว่าทำไมเขายังเข้าไปหุบเขาพญาไม่ได้ แต่โอกาสไม่มีให้เขาเลย
“สวัสดีหิน”
หินหันขวับไปมองคนที่เรียกแล้วเปิดยิ้มอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “สวัสดีครับท่านพจน์ แต่ผมศิลา ไม่ใช่หิน”
ท่านพจน์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขำ “นั่นซินะ หินควรจะอยู่ในป่าอยู่ในคุกทมิฬ ไม่ใช่มาอยู่ในเมืองแบบนี้” ถึงคราวที่หินต้องยิ้มบ้าง แต่สายตาตวัดมองไปที่กลุ่มของนายพลกฤษ ท่านพจน์มองตามไปพร้อมกับบอกว่า “อยากรู้จักพวกเขาใช่ไหม”
หินไม่แปลกใจที่ท่านพูดออกมาแบบนี้ เพราะเพลิงบอกเขามาแล้วว่าขอให้ท่านช่วยอะไรบ้าง จึงอ่อนน้อมถ่อมตนว่า“ถ้าท่านจะกรุณา”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วหิน แต่ระวังจะมีคนจำคุณได้”
หินรู้ว่าท่านหมายถึงนายอธิป ซึ่งเขาก็กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี และดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเขา เมื่อนายอธิปลุกขึ้นเดินออกไปจากกลุ่ม
“โชคเข้าข้างแล้วนะนั่น” ท่านพจน์บอก “แต่ฉันจะไม่ทำอะไรหรอก เพราะเดี๋ยวจะมีคนต้องเดินมาหาฉันเอง หินก็เช่นกันการที่ยืนคุยอยู่กับฉัน ราคาก็พุ่งสูงแล้ว”
คิ้วเข้มของหินเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่อึดใจเดียวก็เข้าใจ เพราะท่านพจน์นั้นเป็นนักธุรกิจเด่นดังที่ใครๆก็อยากจะเข้ามาหาทั้งนั้น แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ท่านว่า เมื่อหนึ่งในกลุ่มของนายพลกฤษลุกขึ้นเดินมาหา ทักทายอย่างนอบน้อมแล้วก็เชิญให้ไปนั่งร่วมโต๊ะ ซึ่งท่านก็ยินดี แต่ก่อนไปได้แนะนำตัวเขาให้กับคนที่เข้ามาทักได้รู้จักไว้ด้วย
“คุณศิลา เจ้าของโรงแรมหลายแห่งและบ่อน้ำมันในทะเลทราย”
คนที่เข้ามาทักตาลุกวาวขึ้นทันที ยิ้มอย่างยินดีและเชิญเขาให้ไปนั่งด้วยกัน ท่านพจน์เดินนำเขาไปนั่งร่วมโต๊ะกับนายพลกฤษ ซึ่งไม่ได้สนใจเขาเท่าที่ควร เพราะเป้าหมายคือท่านพจน์ “ได้ยินชื่อท่านมานาน ได้มีโอกาสเจอ ผมยินดีมากจริงๆ”
“อย่าเรียกท่านเลย ผมก็คนธรรมดานี่แหละ อีกอย่างวงการธุรกิจมันแคบ สักวันก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่วันนี้ผมมีงานสำคัญรออยู่ ไม่อาจอยู่คุยได้ด้วย คงต้องขอตัว” ท่านพจน์ยิ้มให้คล้ายจะขอโทษทุกคน แล้วลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป นายพลกฤษที่ไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอย รีบเอ่ยขึ้นมาว่า
“น่าเสียดายอย่างที่ท่านว่าจริงๆ แต่ผมพอจะมีโอกาสได้เจอท่านอีกไหมครับ”
“ก็มีนะ”
ท่านพจน์พูดแค่นั้นก็หันมาหาหิน จับมือถือแขนบอกลาเขาอย่างสนิทสนม ทุกคนที่นั่งอยู่จึงมองเขาอย่างสนใจ ไม่แค่นั้นหางตาเขายังเห็นคนที่ท่านพจน์แนะนำให้รู้จักเขา กำลังกระซิบบอกบางอย่างกับไอ้นายพลชั่ว และเมื่อท่านพจน์เดินจากไปให้เขาบินเดี่ยวก็ไม่เดียวดาย เพราะตัวเขาแพงขึ้นจนทุกคนแทบจะรุมทึ้ง
“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณมีทั้งธุรกิจทั้งโรงแรมและบ่อน้ำมัน” นายพลกฤษถามอย่างสนใจ เพราะสิ่งที่ได้เห็นและได้รู้มาเมื่อกี้ อาจจะนำพาเขาให้เข้าใกล้ท่านพจน์ได้ง่ายขึ้น
“ครับ แค่เล็กๆไม่ได้มากมายอะไร”
“แต่คุณสนิทกับท่านพจน์ขนาดนั้น ผมว่าคุณถ่อมตัวไปแล้ว ” ว่าแล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ “แต่คนแบบนี้ซิที่ผมชอบ เห็นทีเราต้องคุยกันนานแล้ว แต่ห้องนี้ดูจะอึดอัดไปนิด ผมว่าเราไปคุยกันที่ห้องข้างบนดีกว่า ที่นั้นบรรยากาศดี ที่สำคัญคนหนุ่มอย่างคุณคงจะชอบด้วย”
หินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ นายพลกฤษจึงหันไปสั่งลูกน้อง แล้วพาเขาพร้อมกลุ่มก๊วนอีกสามคนมายังผับบนโรงแรม เพียงก้าวเข้ามา ก็เจอกับแสงละมุนกับเพลงเพราะๆและสาวสวยหลายคนก็เข้ามาประกบ เปิดยิ้มต้อนรับพร้อมกับพาไปนั่งบนโซฟานุ่มติดกระจก เห็นวิวแสงสีที่สว่างอย่างสวยงาม
เขาปรายตามองไอ้นายพลชั่วกับพรรคพวก ซึ่งทุกคนเปลี่ยนสีได้เร็วไม่แพ้สัตว์ชนิดใดในโลกนี้ เพราะคว้าตัวสาวๆมานั่งแนบชิด ผิดกับตอนที่อยู่ในห้องเสวนา คงจะรักษาหน้าและเกียรติที่ค้ำคออยู่ แต่พอไม่มีใครจับจ้องนอกจากคนกันเองที่รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว ก็แสดงธาตุแท้กันออกมา เขาเหยียดหยันพวกมันอยู่ในใจ แล้วกวาดตามองไปรอบๆผับ ที่ไร้ผู้คนจนน่าสงสัย แต่ไม่นานก็ได้คำตอบ เมื่อสังเกตเห็นคนของไอ้นายพลชั่วยัดเงินใส่มือผู้ดูแล
“เป็นไงครับคุณศิลา ถูกใจไหม” หินยิ้มรับเล็กน้อย นายพลกฤษจึงคิดว่าเขาชอบก็พูดต่อว่า “นักธุรกิจอย่างเรายุ่งอยู่กับงาน จนบางทีก็เครียดเกินไป ต้องผ่อนคลายบ้างผมจึงอยากเลี้ยงรับรองคุณให้เต็มที่ อีกอย่างคนหนุ่มฉกรรจ์อย่างคุณ มีสาวๆมาอยู่ใกล้ๆจะได้ชื่นใจ”
“ขอบคุณครับที่รู้ใจผม”
“ฮะๆๆ” นายพลกฤษหัวเราะอย่างชอบใจที่การคาดเดาของเขานั้นเป็นจริง คนหนุ่มหรือจะมาทันเล่ห์เหลี่ยมคนแก่ที่มีประสบการณ์ชีวิตโชกโชนอย่างเขา “อยากได้คนไหนเป็นพิเศษ บอกได้นะ ผมจัดให้”
หินแสร้งไม่เห็นความเจ้าเล่ห์ในแววตา เขาเล่นไปตามน้ำ กวาดตามองดอกไม้ประดับอย่างเจ้าชู้ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะถูกใจคนไหน จึงหันกลับมาดื่มด่ำกับเครื่องดื่มในมือ แล้วบอกว่า “ผมไม่ค่อยชอบดอกไม้พลาสติก ชอบที่มาจากธรรมชาติมากกว่า หอมหวานกว่ากันเยอะ”
“เยี่ยม แต่ดอกไม้ที่นี่ถึงจะมีส่วนผสมของพลาสติกบ้าง ก็หอมหวานทุกดอก แต่ผมได้ยินมาว่าดอกไม้แถบทะเลทรายก็หอมไม่หยอกเหมือนกัน”
“ครับ ยิ่งถ้าเราเข้าใจ เข้าถึง ก็ยิ่งหอม”
“คุณพูดเสียผมอยากจะหามาครอบครอง พอจะมีให้ผมบ้างไหมละ”
“ก็พอจะมี แต่คุณสนใจแบบไหนละ”
“แบบที่ดอกยังไม่ช้ำ เพิ่งจะผลิบานขึ้นมาสักดอกสองดอกพอจะมีให้ไหม ยิ่งผุดขึ้นกลางทะเลทรายก็ยิ่งดี”
หินยิ้มเยือนพลางหมุนแก้วในมือคล้ายกำลังชั่งใจในข้อเสนอที่ต่างก็รู้กันอยู่ว่าคืออะไร แล้วบอกว่า “ก็น่าสนนะครับ แต่ธุรกิจไม่ใช่การเล่นขายของ และเราเพิ่งจะได้พบกัน การจะลงทุนร่วมกันทำสักโครงการ คงต้องขอเวลาตัดสินใจหน่อย”
“ฮะๆๆๆ ไม่เลว ไม่เลว คุณนี่คารมคมในฝักสมกับเป็นนักธุรกิจจริงๆ ตรงไปตรงมาอย่างนี้ซิน่าคบ คุณมีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมาได้เลย ผมยินดี”
“ขอบคุณครับ” ว่าแล้วหินก็ทำท่าคล้ายจะครุ่นคิดบางอย่าง เพื่อยั่วให้ไอ้นายพลชั่วอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะค่อยพูดออกมาเหมือนว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก “ผมมีธุรกิจหลายอย่างจึงเดินทางบ่อย แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่ได้ยินมาแล้วสร้างความแปลกใจให้ผมมาก จึงอยากจะขอความเห็นจากคุณ ที่ดูจะกว้างขวางรู้จักพื้นที่อยู่แถบนี้ไม่น้อย”
“ว่ามาได้เลย คุณกับผมเราเป็นนักธุรกิจถือได้ว่าอยู่ในวงการเดียวกัน ก็เหมือนพี่เหมือนน้องอยากให้ช่วยอะไร ไม่ต้องเกรงใจ”
หินยังทำสีหน้าคล้ายจะยังลังเล สุดท้ายก็บอกออกมาว่า “ดอกไม้สีดำในหุบเขาพญา”
นายพลกฤษตกตลึงกับสิ่งที่ได้ยิน อีกสามคนก็มีอาการไม่ต่างกัน ปรายตามองหน้ากันแล้วหันมามองหน้าหิน ซึ่งตีหน้าใสซื่อเหมือนไม่รู้อะไรเลย แค่ได้ยินมาแล้วพูดไปเท่านั้น “คุณแน่ใจ” เขาถามออกมาแต่สายตามองลึกหาพิรุธที่จะแฝงมาในคำที่ได้ยินเมื่อกี้
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เรื่องนี้ผมได้ยินมาจากคนงานรับจ้างแถบทะเลทราย แรกนั้นก็ไม่ได้คิดจะสนใจ แต่ได้ยินหลายครั้งเข้า ก็พยายามสอบถาม แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครอยากจะพูดถึง จึงทำให้ผมมาถึงที่นี่ เพราะอยากมาเห็นด้วยตาสักครั้งและอยากรู้ว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่าหรือเป็นแค่คำพูดลอยๆ”
“แล้วคุณรู้ความหมายของคำที่พูดมาแค่ไหน”
“แสดงว่าคุณก็พอจะรู้เหมือนกัน” หินตอบกลับเพื่อให้ไอ้นายพลชั่วรู้ว่าเขาเป็นหมูที่พอจะมีเขี้ยวอยู่บ้าง ถ้าคิดจะเคี้ยวง่ายๆเห็นจะยากสักนิด ซึ่งก็ได้ผลเมื่อมันหัวเราะออกมาคล้ายจะรู้ทันเขา ก่อนจะบอกว่า
“ขึ้นชื่อว่าดอกไม้ ไม่ว่าจะอยู่ลึกแค่ไหน กลิ่นหอมของมันก็ยังโชยออกมาให้ดมดอม เรื่องนี้ผมก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกันแต่ผมคงต้องไปหาข้อมูลให้แน่นอีกสักหน่อย แล้วเราคงได้คุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง แต่จากนี้ไปคุณจะเป็นแขกวีไอพีของผม ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง คุณศิลา”
“ขอบคุณที่ให้เกียรติ”
หินจับมือนายพลกฤษที่ยื่นมาด้วยความยินดี แล้วทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ให้ ก็ขอตัวกลับ นายพลกฤษก็ไม่ขัดขวางแต่สายตามองตามร่างสูงจนเดินออกไปจากผับ ก็กระดกเครื่องดื่มที่เหลืออยู่ในแก้วเข้าปากจนหมด ก็เหยียดริมฝีปากออกยิ้ม แล้วหันมาสบตากับกลุ่มของเขาที่ถามออกมา
“ท่านเชื่อมันเหรอครับ”
“เชื่อ เพราะหุบเขาพญาเป็นดินแดนที่ไม่ใช่ว่าใครจะพูดออกมาก็ได้ ถ้าไม่เคยได้ยินหรือได้ฟังอะไรมาจริงๆ”
“แต่คนพวกนั้นอาจจะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาก็ได้”
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีมูล และถ้าเราได้ไอ้ศิลามาเป็นพวกอีกสักคน ด้วยศักยภาพที่ร่ำรวยของมัน ก็จะทำให้เราต่อยอดธุรกิจได้อีกมากมาย โดยเฉพาะดินแดนแถบทะเลทราย อีกอย่างเราจะได้เข้าถึงธุรกิจน้ำสีดำมากขึ้น ถ้าหากที่หุบเขาพญาล้มเลว เราก็ยังมีที่ของมันรองรับ แล้วไอ้เด็กหนุ่มหน้าเหมือนลูกไก่เพิ่งออกจากไข่อย่างนั้นเหรอจะทันเล่ห์เหลี่ยมสิงห์แก่อย่างพวกเรา ฮะๆๆ”
ทั้งหมดพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วหัวเราะตามนายพลกฤษ ซึ่งหยิบนามบัตรที่วางอยู่ขึ้นมาดู แล้วหันไปหาลูกน้องกระซิบสั่งบางอย่าง เรียบร้อยแล้วก็หันมาดื่มกับก๊วนตัวเอง โดยไม่รู้ว่าได้จุดไต้ตำตอเข้าจังเบ้อเร่อเพราะไอ้ลูกไก่ที่สบประมาทกันอยู่นั้น จะนำความฉิบหายมาให้ทุกคน
**********
ส่วนป๊ะเพลิง ตอนนี้ก็เขียนจบแล้วเหมือนกันค่ะ จากที่คิดว่าจะปรับปรุงไม่มาก กลายเป็นว่า เขียนใหม่เกือบทั้งเรื่องค่ะ น่าจะสัก 80 เปอร์เซ็นต์ ก็จะได้อ่านเป็นรูปเล่ม ในช่วงงานสัปดาห์หนังสือ เดือนตุลาคม 58 เหมือนกันค่ะ
ติดตามผลงานต่างๆของ pream ได้ที่ แฟนเพจ https://www.facebook.com/pram18pream นะคะ
pream จะลงป๊ะเพลิงให้อ่านประมาณ 15 ตอนค่ะ ใจจริงอยากจะลงให้อ่านจนจบเหมือนที่ผ่านมา
แต่ได้รับคำเตือนเรื่องการ ก๊อปปี้ บางคนก็ก๊อปไปทำอีบุ๊ค โดยที่เจ้าของไม่รู้เลย จึงไม่อยากมีปัญหาแบบนั้นอีก
ขอโทษและขอบคุณทุกคน ที่ติดตามและให้การสนับสนุนกันมาตลอด ขอบคุณด้วยความซึ้งใจจริงๆค่ะ
Pream
ตอน 13
“เดือนประดับ เธอเป็นใครคะ”
เสียงที่ดังขึ้นมาทำให้นมสุกกับนมสดต้องปรายตามมองหน้ากัน แล้วนมสุกก็ตัดบทว่า “อย่าไปสนใจคำพูดของหล่อนเลยหนูพิมพ์ มีปากไว้สักแต่พูดทำร้ายคนอื่นเท่านั้นเอง”
“พิมพ์ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น แต่อยากรู้ความเป็นมาของเธอมากกว่า ว่าทำไมถึงได้ดูมีอภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่นๆในหุบเขา”
สองนมเริ่มจะหนักใจขึ้นมา เมื่อเธอไม่ยอมจบ แล้วนมสดก็ตัดสินใจเล่าให้ฟัง “นมก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะคะ รู้แต่ว่าหล่อนเป็นลูกสาวเพื่อนท่านชีค รู้จักกับป๊ะเพลิงตอนที่ไปเรียนรู้เรื่องต่างๆในทะเลทราย และคงสนิทสนมกันตอนนั้น พอป๊ะเพลิงกลับมาที่หุบเขาหล่อนก็ขอตามมาด้วย ป๊ะเพลิงบอกนมว่าเป็นเพื่อน แต่ท่าทางของหล่อนอยากจะเป็นมากกว่านั้น เพราะวางตัวราวกับเป็นคนสำคัญของป๊ะเพลิงคอยเจ้ากี้เจ้าการกับนมสองคนไปเสียทุกเรื่อง กระทั่งป๊ะเพลิงแต่งงานกับหนูพิมพ์ หล่อนก็เป็นอย่างที่เห็น”
“คือเกลียดพิมพ์” เสียงพิมพ์ลดาเรียบจนสองนมไม่แน่ใจว่าเธอรู้สึกยังไง “แล้วที่เธอบอกว่าพิมพ์ง่ายละคะ หมายความว่ายังไง”
“เรื่องบางอย่างก็ไม่น่าจะจดจำหรอกหนูพิมพ์ เมื่อจำไม่ได้ ก็อย่าไปหวนหามันเลย” เสียงนมสดบอก
“แต่พิมพ์ไม่อยากเป็นตัวตลกให้ใครหัวเราะเอานะคะ ถึงไม่น่าจะจดจำ แต่ก็ยังดีกว่าจำไม่ได้ แล้วให้คนอื่นมากระแทกแดกดันโดยที่ไม่สามารถตอบโต้ได้เลย ถ้าได้รู้อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าต้องทำยังไง”
คำพูดเธอนั้นสองนมได้แต่เห็นใจ แต่ที่ทำได้คือ “นมก็อยากจะบอกหนูพิมพ์นะคะ แต่ไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นได้ดีเท่ากับป๊ะเพลิง รอให้เขาเล่าให้หนูพิมพ์ฟังดีกว่า”
“งั้นที่เดือนประดับพูดมาก็คงจะเป็นความจริง เพราะถ้าไม่จริง เขาคงไม่ทำกับพิมพ์อย่างที่ผ่านมา และคงจะเกลียดพิมพ์มากจริงๆ แม้ว่าเขาจะ...” เธอหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้น เมื่อบอกตัวเองว่าได้คำตอบกับสิ่งที่เขาทำดีกับเธอแล้ว แต่ถึงกระนั้นใจเธอก็คงไม่จำ ไม่งั้นคงไม่รู้สึกดีกับสิ่งที่เขาทำ
“พิมพ์ไปหาหมอกานต์นะคะ” พูดจบเธอก็ลุกเดินลงจากเรือนไป ทั้งสองนมมองตามไปและไม่สงสัยว่าเธอไปหาทำไม เพราะหนักใจกับเรื่องเดือนประดับอยู่ และยิ่งรู้สึกเกลียดที่มากวนน้ำที่นิ่งจนเกือบจะใสอยู่แล้วให้ขุ่นขึ้นมา
เพลิงเดินขึ้นมาบนเรือนเมื่อสายมากแล้ว เห็นแม่นมสองคนนั่งแยกสมุนไพรในกระจาดอยู่บนแคร่ ปรายตามองเขาแวบเดียวก็บอกว่า “นมจัดสำรับไว้ให้ที่ศาลาแล้ว ป๊ะเพลิงไปทานได้เลย” น้ำเสียงที่มีอารมณ์ขุ่นๆปนมาด้วยนั้น ทำให้เพลิงถามออกมา
“มีอะไร”
“นมนะไม่มีหรอก แต่มีคนมากวนน้ำโหให้ขุ่นตั้งแต่เช้าเท่านั้นเอง”
เสียงนมสดสะบัดออกมา แต่เพลิงไม่ถามว่าใคร นอกจากตวัดสายตามองหาคนที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ “พิมพ์ลดาละ” เขาถามเมื่อไม่เห็น
“ไปบำเพ็ญประโยชน์กับหมอมั่ง โทษหนักจะได้เบาบางลงเสียที” น้ำเสียงยังประชดอยู่ แล้ววางมือจากสมุนไพร ลุกขึ้นเดินมายืนตรงหน้าเพลิง “เมื่อไรป๊ะเพลิงจะยกโทษให้หนูพิมพ์”
“เธออ้อนวอนขอให้พูดหรือไง”
“เมื่อไรจะมองหนูพิมพ์ในแง่ดีเสียที” นมสดย้อนกลับมา “นมไม่อยากจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกหรอกนะป๊ะเพลิง แต่ที่ผ่านมาก็เห็นแล้วว่าเธอเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ทำไมยังไม่เชื่อว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วจริงๆสักที”
“เพราะหัวใจฉันยังไม่เชื่อไง”
“แล้วที่ทำดีกับเธอ เพราะหัวใจบอกหรือยังคิดจะแก้แค้นเหมือนเดิม”
เพลิงไม่ตอบคำถามนี้แล้วเดินลงจากเรือนไปที่ศาลา นมสดก็ลดตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยใจ ที่จนแล้วจนรอดทุกอย่างก็ยังไม่เปลี่ยนไป นมสุกก็มีอาการไม่ต่างกัน แม้ท่าทางของป๊ะเพลิงจะไม่แข็งกร้าวเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้าหัวใจยังไม่เชื่อ ก็ยังกลัวแทนเธออยู่ดี
*********
ขณะที่เรือนของหมอกานต์ ก็ได้ต้อนรับนายหญิงแห่งหุบเขา และทันทีที่ได้รู้ว่าเธอมาหาด้วยเรื่องอะไร เขาก็ได้แต่แปลกใจ ยิ้มอย่างให้อบอุ่น ก่อนจะถามให้แน่ใจอีกครั้ง “นายหญิงแน่ใจนะครับว่าจะไปกับหมอ เราต้องเดินไปนะครับ และทางก็ไม่ได้ราบเรียบ ออกจะลดเลี้ยวและขรุขระมาก บางที่ต้องขึ้นเขาลงห้วยด้วย”
“ถ้าหมอไปได้พิมพ์ก็ไปได้ค่ะ”
“ผมว่านายหญิงอยู่ที่เรือนดีกว่า อย่าลำบากเลย”
“พิมพ์ไม่กลัวความลำบาก อีกอย่างพิมพ์อยากเห็นด้วยว่าทุกคนที่นี่อยู่กันยังไง ที่ผ่านมาพิมพ์แทบจะไม่เห็นใครเลย และสัญญาว่าจะเป็นลูกมือที่ดี ที่เชื่อฟังหมอค่ะ”
“ถ้านายหญิงแน่ใจก็ตามใจครับ”
“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่ทำไมหมอไม่ใช่ม้าละคะ”
“หมอขี่ม้าไม่เก่ง ที่สำคัญการเดินมีประโยชน์มากกว่าการขี่ม้า เพราะหมอจะเจอสมุนไพรที่จะเอามาทำยารักษาได้มากด้วย” หมอบอกแล้วเริ่มออกเดินนำพร้อมกับคุยให้ฟังไปด้วย “ทุกคนที่นี่ก็อยู่กับเหมือนชาวบ้านชาวเขาทั่วไปนั่นแหละครับ คิดว่านมสุกกับนมสดคงเลยเล่าให้ฟังบ้างแล้ว ส่วนที่นายหญิงไม่ค่อยเจอใคร เพราะไม่ค่อยมีใครเข้าไปวุ่นวายที่ป๊ะเพลิงอยู่”
“แล้วอย่างนี้พอใครมีเรื่องทุกข์ร้อนหรือไม่สบายจะทำไงคะ”
“ป๊ะเพลิงขี่ม้าออกไปดูแลพวกเขาทุกวัน แต่ถ้าวันไหนมีธุระ หัวหน้าคุกทมิฬก็จะไปแทน แต่คนที่นี่จะไม่ค่อยได้เจ็บป่วยหรอกครับ เพราะอยู่กับธรรมชาติ...” เสียงคุณหมอเล่าให้ฟังไปเรื่อยๆ
พิมพ์ลดาจึงได้รู้อะไรอีกหลายอย่าง และที่เคยสงสัยว่าเขาหายไปไหนในแต่ละวัน เธอก็ได้คำตอบแล้ว แม้จะยังไม่หมดทุกข้อที่เคยคิดไว้ก็ตาม “ส่วนเด็กๆ ก็จะมีโรงเรียน มีครูที่ดีมาคอยสอนให้ไว้หมอจะพาไปดู” เสียงหมอพูดไปเดินไปจนกระทั่งถึงเรือนหลังแรก
สองตายายยิ้มให้หมอ และต้องแปลกใจเมื่อเห็นนายหญิงโผล่มาด้วย ทั้งคู่มองหญิงสาวแปลกๆ เพราะก่อนหน้านี้คำร่ำลือที่ได้ยินมาว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรไม่เป็น กับอีกหนึ่งเดือนที่มาอยู่ที่หุบเขาก่อนจะแต่งงานกับป๊ะเพลิง ก็ไม่เคยเห็นเธอมาใยดีด้วยเลย
พิมพ์ลดายกมือไหว้สองตายาย ถามความอยู่เล็กๆน้อยๆ แล้วรับฟังเสียงหมอที่คุยถึงอาการป่วยของสองตายาย ที่แม้ใจจะยังสู้ แต่ร่างกายที่เสื่อมถอยลงก็ทำให้เป็นไข้ได้ง่ายๆ
หมอให้ยาไว้ทานและแนะนำให้ดูแลตัวเองดีๆ และก่อนจากไปสองตายายก็ยิ้มให้กับนายหญิง เมื่อได้เห็นแล้วว่าเธอต่างจากที่ได้ยินมาเหลือเกิน เพราะไปลามาไหว้เรียบร้อย จากนั้นหมอก็พาเธอเดินต่อไปยังเรือนอีกหลัง หลังนี้มีเด็กเล็กด้วย ซึ่งซนจนมีแผลน่ากลัวที่เท้า เธอช่วยหมอทำแผลให้เด็กอย่างไม่รังเกียจ พ่อแม่ของเด็กที่ตอนแรกก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากตายาย ก็เปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มแย้ม และเป็นแบบนี้เกือบทุกหลังคาเรือนที่เธอได้ไปเยือนกับหมอ
พิมพ์ลดาไม่แปลกใจที่ทุกคนมีท่าทางแบบนั้นกับเธอ เพราะแม่นมสองคนก็พูดให้ฟังว่าเมื่อก่อนนี้เธอเป็นคนยังไง แต่พอเธอฟื้นขึ้นมาจากความตายตัวเธอเปลี่ยนไปยังไง แต่ใช่ว่าในความเป็นมิตรนั้นจะยังไม่มีความระแวงอยู่เลย เธอรู้สึกว่ายังมีอยู่ และคิดว่าคงต้องใช้เวลา กว่าทุกคนจะมองเธอเป็นเธออย่างเช่นทุกวันนี้
ดวงตะวันร่อนๆอ่อนแสงลงหมอกานต์ก็พาเธอกลับ ระหว่างทางก็แวะเก็บสมุนไพรในป่า เธอเดินเล่นอยู่ไม่ห่าง แต่เพราะมีหลายเรื่องที่รบกวนจิตใจอยู่ ทำให้เดินห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้สึกถึงความเงียบงันมองไม่เห็นหมอ เห็นแต่ป่า ก็เริ่มใจไม่ดี พยายามคิดถึงทางที่เดินมาพร้อมกับเดินไปตามทางที่คิด โดยไม่รู้ว่าเดินลึกเข้าไปจนกลายเป็นหลงวนอยู่ในป่า
“หมอคะ” เธอเรียกหาเมื่อไม่เจอทางออก “หมอคะ” เธอเรียกซ้ำ แต่ไม่ว่าจะเรียกกี่ครั้งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา สีหน้าเริ่มตระหนกแต่ยังพยายามหาทางออก แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อได้ยินเสียงคนเดินอยู่ด้านหลัง เธอหันขวับไปมอง รอยยิ้มหายวับไปทันทีเพราะคนที่เห็นนั้นไม่ใช่มิตรแต่เป็นผู้ร้ายแน่นอน
ใบหน้าปิดบังด้วยหมวกไหมพรหมเห็นแต่ดวงตา เท้าเธอถอยห่างพลางมองอย่างระวัง ขณะที่มันก็เดินเข้ามาหา พิมพ์ลดากำมือข่มความกลัวไว้ “แกเป็นใคร” เธอถามแต่ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเดินเข้าหา ท่าทางและแววตานั้นบอกอันตรายชัดเจน เธอจึงวิ่งหนี มันก็วิ่งตามทันทีเหมือนกัน
สองตามองทางสองมือปัดป่ายกิ่งไม้พร้อมสองขาที่วิ่งฝ่าไปไม่หยุดหย่อน ความกลัวเกาะกุมหัวใจเมื่อสมองบอกเธอว่ามันเป็นคนร้ายที่พร้อมจะทำร้ายเธอ พิมพ์ลดาวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศทาง เสียงฝีเท้าที่วิ่งดังไล่หลังมา ทำให้สองขาขยับให้เร็วขึ้น หน้าแดงและชื้นไปด้วยเหงื่อ หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุออกมานอกอก แล้วหลบหลีกไปตามซอกหินก่อนจะยืนแอบพร้อมฟังเสียงฝีเท้าของมันที่หายไป คงหยุดมองหาเธอ
‘จะทำยังไงดี’
เธอคิดพลางมองว่าจะวิ่งไปทางไหน และเรียกหาคนที่เกลียดเธออยู่ในใจ ‘เพลิง’ น้ำตาเธอปริ่มๆจะไหลออกมา เมื่อคิดถึงเขาใจจะขาด อยากให้เขามาช่วย มาหาเธอ ไหนบอกว่าเธอจะอยู่ในสายตาเขาตลอดเวลา แล้วตอนนี้ไปอยู่ที่ไหน ‘เขาคงไม่รู้’ เธอบอกตัวเอง แล้วปัดความเศร้าทิ้งไปเพื่อจะไปจากที่นี่แต่เพียงออกมาจากที่ซ่อน มันก็โผล่ออกมาตรงหน้า
“กรี๊ด” เธอร้องออกมาสุดเสียง แล้ววิ่งหนีอีก มันก็วิ่งตามติดก่อนจะกระโดดตะครุบจับตัวเธอไว้ “กรี๊ด” พิมพ์ลดาร้องออกมาพร้อมดิ้นอย่างไม่ยอม สองมือทั้งผลักทั้งตบโดยไม่สนใจว่าจะโดนตรงไหน และบอกให้มันปล่อย แต่มันไม่ปล่อยและพยายามลากตัวเธอไปกับมัน แม้จะขืนตัวไว้แต่ก็ไม่อาจสู้แรงมันได้ จึงฝังฟันลงบนเนื้อมันให้เจ็บ มันผลักตัวเธอกระเด็นไปชนกับก้อนหิน
“โอย”
พิมพ์ลดาร้องออกมาเพราะเจ็บร้าวไปทั้งหัว แต่เธอไม่มีเวลามาคร่ำครวญ สิ่งที่ต้องรีบทำคือวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด แม้จะไม่รู้ทิศทางก็ตาม เธอวิ่งโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นยังไง ขอให้หนีจากมันไปได้เพียงพอ บางครั้งสะดุดหินสะดุดรากไม้ล้มลุกคลุกคลาน ถลอกปอกเปิดเลือดซิบไปหลายแห่งก็ยังวิ่ง แต่แล้ว....
“กรี๊ด”
เสียงกรีดร้องออกมาสุดเสียงเมื่อจู่ๆก็มีมือมากระชากตัวเธอไว้ เธอดิ้นและตบตีคนที่รวบตัวไว้อย่างบ้าคลั่ง กระทั่ง... “พิมพ์ลดา” เสียงกร้าวที่คุ้นเคยนั้นหยุดเธอไว้ สติค่อยๆกลับมาให้เห็นว่าเป็นใคร แต่เธอไม่มีเรี่ยวแรงจะทำอะไรได้อีกแล้วมีแต่น้ำตาเท่านั้นที่ไหลรินออกมา
เพลิงมองหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ปลายนิ้วเขาสั่นเล็กน้อยเมื่อยกขึ้นมาเช็ดเลือดให้ แล้วดึงตัวมากอด รับรู้ถึงน้ำตาที่ซึมเปียกอกเขา กรามขบเข้าหากันพลางมองไปยังทางที่เธอวิ่งมา แต่ไม่เห็นอะไรหรือใครสักคน ถึงกระนั้นเขาก็คิดว่าต้องมีใครทำอะไรเธอแน่นอน
“หนีอะไรมา”
เสียงเขาต่ำลึกขณะแววตาเหี้ยมขึ้นมา แต่ไม่มีเสียงตอบนอกจากตัวที่สั่นด้วยความหวาดกลัว เขาช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มพาเธอกลับไปที่เจ้าพยัต พลางคิดว่าถ้าเขาไม่เจอหมอที่กำลังตามหาตัวเธออยู่ เธอจะเป็นยังไง และไม่เห็นว่าหลังต้นไม้ที่ห่างออกไปไม่เท่าไร มีสายตาของไอ้โม่งมองตามไป แล้วถอยห่างออกไปอย่างเงียบกริบ
********
เพลิงอุ้มร่างอรชรขึ้นมาบนเรือน สองนมที่นั่งคอยอยู่กับหมอที่มาบอกว่าหญิงสาวหายตัวไป และกำลังจะไปที่คุกทมิฬ เพื่อให้คนช่วยออกตามหา พากันตื่นตระหนกด้วยความตกใจ แล้วรีบเดินตามหลังเพลิงที่อุ้มเธอไปที่ห้องนอน วางตัวเธอลงบนที่นอน สบตาที่ยังเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันกลับมา” เสียงเขาปลอบประโลม แล้วหันมาสั่งหมอ “ดูแลเธอให้ดี”
พูดจบเขาก็เดินออกไปจากห้อง ตรงไปที่เจ้าพยัตขี่มันไปที่คุกทมิฬ ส่วนด้านหลังสองนมกับหมอกานต์ก็ช่วยดูแลหญิงสาวเต็มที่ ไม่นานเจ้าพยัตที่ควบมาเต็มฝีเท้าก็มาถึง เพลิงเรียกผู้คุมกฎกับนักรบทะเลทรายมา นำพาทุกคนไปปูพรมหาคนที่ทำร้ายเธอ แต่ดูเหมือนเขาจะคว้าน้ำเหลว เมื่อในรัศมีที่เกิดเรื่องไม่เจออะไรเลย นอกจากรอยเลือดที่คิดว่าน่าจะเป็นของเธอ แต่เขาจะไม่ล้มเลิกแค่นี้
“ค้นให้ทั่ว ไม่ว่าเรือนใครก็ไม่ต้องเว้น”
“ครับ”
สิ้นเสียงรับคำทุกคนก็แยกย้ายไปทำตามคำสั่ง ส่วนเพลิงก็กลับมาที่เรือนเชิงผาพร้อมกับคิดถึงความเป็นไปได้ว่ามันจะเป็นใคร ตอนนี้ศัตรูของเขามีไอ้หนอนที่ยังมองไม่เห็น ส่วนคนที่มองเห็นคือพ่อของเธอ ซึ่งไม่มีทางที่จะส่งคนมาทำร้ายลูกตัวเอง แล้วอีกคน... แววตาของเพลิงกระด้างขึ้น เมื่อคิดถึงไอ้นายพลชั่ว มันอาจจะส่งคนมาฆ่าเธอ เพราะแผนที่ๆได้ไปขุดไม่เจอน้ำมันสักที หรือไม่ก็ฆ่าปิดปากเธอเพื่อไม่ให้สาวเรื่องไปถึงตัวมัน
กลับมาถึงเรือน สายตาเขามองไปที่ห้องนอนเป็นอันดับแรก แต่ใจที่ห่วงใยถูกวางไว้เมื่อยังมีเรื่องที่สะสาง เขาตรงไปยังห้องทำงาน หยิบโทรศัพท์ออกมาติดต่อไปหาหินที่ป่านนี้คงถึงที่พักแล้ว พอรับสายก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก่อนจะถามความเห็น
“คิดว่าไง”
“ไม่มีร่องรอย ก็แสดงว่ามันรู้เส้นทางในหุบเขาเป็นอย่างดี”
“คนในงั้นเหรอ”
“เป็นไปได้และไม่ได้ อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้เราปล่อยไอ้พวกบุกรุกให้หลุดรอดไปเพื่อตามไปตลบหลัง ไอ้นายพลชั่วก็อาจจะส่งคนมาจัดการเธออย่างที่นายคิดก็ได้ ส่วนนายอธิป แน่นอนว่าเขาไม่ทำร้ายลูก แต่อาจจะส่งคนมาหาเธอ จะเพื่ออะไรนั้นก็คิดได้หลายอย่าง ทั้งมาดูลาดเลา หรือมาสั่งให้ทำอะไรอีกก็อาจเป็นเป็นได้ แต่เขาไม่รู้ว่าเธอความจำเสื่อม จำใครไม่ได้เลย เจอมันเข้าก็อาจจะวิ่งหนีด้วยความกลัว”
“คงไม่ใช่ เพราะถ้าใช่คนของนายอธิป ถึงเธอจะจำไม่ได้แต่มันจะไม่คุกคามเธอให้กลัวขนาดนี้”
“งั้นก็เหลือแค่ไอ้นายพลชั่ว กับไอ้หนอนที่เรายังจับไม่ได้ อาจจะเป็นหนึ่งในนี้ที่ทำร้ายเธอ”
“บัญชีนี้ฉันจะจารึกไว้ รู้ตัวเมื่อไร ฉันจะเอาคืนให้สาสม”
“แล้วถ้าไม่ใช่พวกมัน”
เสียงที่ถามกลับมาให้คิด ทำให้เพลิงนิ่งไป ก่อนจะถามกลับไป “หมายความว่าไง ศัตรูที่มองไม่เห็นงั้นเหรอ”
“ไม่รู้สิ คิดเผื่อไว้บ้างก็ดี ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น จะได้รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป”
“แต่ไม่รู้ คือปัญหาใหญ่”
“ไม่หรอก อย่างน้อยนายก็จะได้ระวัง และระลึกไว้ว่าที่นายเป็นห่วงเธอขนาดนี้ เพราะเธอคือหัวใจของนายแล้ว”
เสียงปลายสายขาดหายไป แต่เพลิงยังนิ่งอยู่ในท่าเดิม เพราะคำพูดเมื่อกี้ไปสะกิดความรู้สึกที่เขาเก็บกดไว้ลึกสุดใจ ความไม่แน่ใจที่เคยมี คำถามต่างๆที่ค้างคาและไม่ยอมรับ ทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างที่ทำลงไปมันเด่นชัดออกมาให้คนอื่นเห็นแล้ว แต่... ยังมีบางอย่างที่เขายังลังเล แล้วไม่กี่อึดใจเขาก็ปล่อยวาง เดินออกมาจากห้อง ตรงไปยังห้องนอน เจอหมอกานต์ที่เปิดประตูห้องออกมาพอดี ก็ถามถึงเธอทันที
“เป็นไงบ้างหมอกานต์”
“ปลอดภัยแล้วครับ หมอฉีดยาระงับอาการปวดให้พักผ่อนซึ่งก็หลับไป ตอนนี้แม่นมดูแลอยู่ ส่วนบาดแผลที่เห็นเลือดเยอะเพราะหัวแตกแต่แผลไม่ใหญ่ไม่ต้องเย็บเพราะไม่เป็นอันตราย รอยฟกช้ำตามลำตัว ก็ไม่มีอะไรให้น่าหนักใจ”
“ขอบใจมากหมอ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่หมอต้องขอโทษป๊ะเพลิงด้วย ที่พาเธอไปเจออันตราย”
“ไม่ใช่ความผิดของหมอ”
“แล้วเจอคนร้ายไหมครับ”
“ยังไม่เจอ” พูดจบเขาก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน สองนมที่นั่งเฝ้าเธออยู่ยกมือขึ้นซับน้ำตาที่ซึมออกมาด้วยความสงสาร พลางมองป๊ะเพลิงที่เดินมานั่งที่ขอบเตียง
“ใครมันทำหนูพิมพ์” นมสดถามขึ้นด้วยความแค้นเคือง
“ยังไม่รู้ เพราะฉันยังไม่ได้ตัว”
“หนูพิมพ์บอกว่ามันสวมหมวกไอ้โม่ง เห็นแค่ดวงตาเท่านั้น และช่วงที่ถูกมันฉุดกระชากลากตัวไป เธอก็กัดมันที่แขน จนถูกมันผลักไปกระแทกก้อนหิน”
เพลิงจดจำคำพูดทั้งหมดไว้ แล้วบอกให้สองนมไปพักได้ พอทั้งคู่ลุกขึ้นเดินไปจากห้อง สายตาเขาก็มองใบหน้าที่ซีดเซียว ความหวาดกลัวของเธอยังเป็นเงาอยู่ในแววตาเขา จับมือเธอมากุมไว้ ก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบหน้าผากมน
‘เพราะเธอคือหัวใจของนายแล้ว’
คำพูดนี้ดังก้องขึ้นมาให้เขาชะงัก แต่ไม่ผละห่างหรือถอยหนีเหมือนเช่นทุกครั้ง มิหนำซ้ำยังจูบแผ่วไปทั่วใบหน้าเพื่อปัดเป่าความหวาดกลัวเหล่านั้นให้หมดไปจากตัวเธอ แล้วขยับตัวไปนั่งพิงหัวเตียง หลับตาลงแต่ไม่ได้หลับเพราะสมองยังวนเวียนอยู่กับคำว่าใครที่มันทำร้ายเธอ
**********
เดือนประดับมองสองผู้คุมกฎที่มาเยือนเรือนของเธอด้วยความด้วยความไม่พอใจ แต่พอรู้สาเหตุ ก็ยิ้มด้วยความสะใจและไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง เปิดทางให้ค้นตามสบาย แล้วจากไปโดยไม่มีอะไรให้น่าสงสัย เธอเหยียดริมฝีปากออกหยัน แล้วจะเดินเข้าไปข้างใน แต่เห็นคนเดินขึ้นบันไดเรือนมาหาเสียก่อน ก็ยกมือขึ้นกอดอกรอ กระทั่งคนมาหาเดินมายืนตรงหน้าและถามออกมาว่า
“มีอะไรกัน” ไอ้ชาติถามพลางมองไปยังทางที่เห็นม้าวิ่งหายไป
“แกตกข่าวเหรอ”
“ก็พอรู้” มันว่าพลางดึงสายตามามองหน้าเธอ “แต่ไม่คิดว่าเรือนของเธอจะถูกสงสัยไปด้วย ซึ่งน่าเสียใจที่คนใกล้ชิดกันขนาดนั้นยังไม่ไว้ใจกันอีก” มันพูดให้เธอเจ็บใจ แต่ดูจะไม่ได้ผล เมื่อสีหน้าของเดือนประดับยังระรื่นอยู่
“แต่ฉันไม่เสียใจ และถ้ามาค้นอีกก็เชิญได้ทุกเวลา เพราะนั้นแสดงว่านังพิมพ์ลดามันต้องเจ็บเจียนตาย ซึ่งสะใจฉันเป็นที่สุด”
“ดูเธอจะดีใจเกินกว่าเหตุนะ”
“จะจับผิดฉันเหรอ” เธอว่าอย่างรู้ทัน ไอ้ชาติก็ยิ้มอย่างทันกันเช่นกัน
“ก็น่าคิดไหมละ ก็ฉันรู้ว่าเธอเกลียดนายหญิงยังกับอะไรดี และเพิ่งจะมีเรื่องกันมา ถ้าจะสงสัยก็ไม่ผิด”
“แล้วถ้าฉันคิดว่าเป็นแกบางละ”
“ฉันไม่สิ้นคิดขนาดนั้นหรอก”
“ฉันก็ไม่ต่างจากแก เพราะมันไม่คุ้มกับการที่ฉันจะทำลงไป อีกอย่างใครจะทำร้ายมันฉันก็ได้ผลประโยชน์เหมือนกัน แล้วจะลงมือเองเพื่ออะไร และตอนนี้นังพิมพ์ลดาก็ดูแย่ในสายตาของเพลิงอยู่แล้วๆ ฉันจะหาเรื่องให้เขาเกลียดฉันทำไมกัน”
“งั้นเธอคิดว่าใคร”
“ฉันไม่เอาเรื่องนี้มาคิดหรือสงสัยให้รกสมองหรอก มีแต่คิดว่าทำไมมันไม่ตายไปเสียทีเท่านั้นมากกว่า”
“เธอพูดมาหลายครั้งแล้วนะที่จะให้นายหญิงตายเนี๋ย ฉันว่าเปลี่ยนจากคำพูดลอยๆ มาพูดจริงๆและทำให้มันจังๆสักที ดีไหม ตอบตกลงกับท่านนายพลไปเพื่อทุกอย่างจะได้อย่างใจ อีกอย่างที่เธอพูดมานะมันตรงกันข้ามไปเสียทุกอย่าง ยิ่งนายหญิงมาเจ็บอย่างนี้ ก็ยิ่งจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากป๊ะเพลิง ความโกรธเกลียดที่บ่มเพาะอยู่ในใจอาจจะสลายกลายเป็นความรักขึ้นมาก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ไม่มีทาง”
“หึ หึ” ไอ้ชาติหัวเราะออกมาก่อนจะวางเพลิงไว้ให้ใจร้อนรุ่มว่า “เสียงเธอฟังแล้วไม่มั่นใจเลยนะ กลัวจะรับความจริงไม่ได้หรือไง ระวังกว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้เสียแล้วๆเธอจะไม่เหลืออะไรเลย หึๆๆ” มันหัวเราะทิ้งไว้ก่อนเดินลงไปจากเรือน โดยไม่ต้องอยู่ดูให้เสียเวลา ก็รู้ว่าเดือนประดับสุดแค้นแสนช้ำแค่ไหน ซึ่งก็เป็นอย่างมันคิดจริงๆ
เธอกำลังจิกเล็บลงบนฝ่ามือจนเจ็บแปลบไปทั้งใจ แล้วเดินเข้าไปในห้องของสาวใช้ มองคนที่นั่งดูรอยกัดที่แขน ก็เข้าไปตบตีพร้อมเสียงถามที่เค้นออกมาอย่างสุดโกรธ “แกทำยังไงถึงได้พลาด”
“ขอโทษครับคุณหนู”
“เอาคำขอโทษของแกมาแทนที่ความแค้นของฉัน จำจดไว้ในสมองและไม่ต้องตรองอะไรอีก คิดแค่ว่าถ้ามีโอกาสอีกครั้ง ต้องฆ่านังพิมพ์ลดาให้ฉันเท่านั้น เข้าใจไหม”
“ครับคุณหนู”
เดือนประดับมองหน้ามันอีกอึดใจ ก็เดินออกจากห้องสาวใช้ไปที่ห้องของตัวเอง ความเจ็บแค้นที่สุ่มอยู่ในใจไม่ได้เบาบางลงเลย อุตสาห์วางแผนใช้คนของเธอสวมรอยเป็นไอ้พวกที่บุกรุกเข้ามาในหุบเขา โดยไม่กลัวว่าจะมีคนจับได้ เพื่อเอาคืนนังพิมพ์ลดาให้เจ็บให้สาสมกับที่มันเยาะเย้ยเธอ แต่เป็นเธอที่ยิ่งเจ็บ ข้าวของที่วางอย่างเป็นระเบียบระเนระนาดลงมาในพริบตา เพราะสิ่งที่ทำลงไปให้ความสุขกับเธอเพียงเดี๋ยวเดียวแต่ให้ความทุกข์เพิ่มขึ้นอย่างมหันต์นั่นเอง
*********
แสงไฟสว่างขึ้นมาแทนแสงตะวันที่ลับลาไป ในเมืองใหญ่สถานที่คือโรงแรมหรู ร่างสูงของหินยืนอยู่บนระเบียงห้องนอนของห้องชุดสุดหรู สายตามองท้องฟ้าที่แม้จะเป็นฟ้าเดียวกันกับหุบเขาพญา แต่ความสวยงามนั้นช่างต่างกันเหลือเกิน เพราะที่โน้นไม่มีอะไรปิดบังแต่ที่นี่ความเจริญนำพามลภาวะมาบดบังไว้ แล้วละสายตาเดินกลับเข้ามาในห้องพัก ที่ครบครันด้วยความสะดวกสบาย อยากได้อะไรแค่กดปุ่มบอกความต้องการก็จะมีคนเอามาให้ สิ่งเหล่านี้ต้องขอบคุณป๊ะเพลิง ที่จัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้ แม้กระทั่งที่พักที่โรงแรมของท่านชีค แต่ปัจจุบันถูกเปลี่ยนให้เป็นชื่อของเขา เพื่อให้ดูดีมีราคาแพงใช้เป็นใบเบิกทางเวลาไปเจอไอ้พวกสารเลว
เขามองนาฬิกาบนข้อมือ แล้วเดินไปหยิบเสื้อสูทที่วางอยู่บนเตียงมาสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาว ซึ่งทำให้ตัวเขาดูดีขึ้นอีกมากมาย ก็เดินออกไปจากห้องลงลิฟต์ไปยังชั้นล่าง ขึ้นรถยนต์คันหรูที่มีคนเอามาจอดให้แล้ว ขับไปตามเส้นทางที่จะไป ไม่นานก็มาถึงโรงแรมที่จัดงานการเสวนาของของนักธุรกิจ จอดรถเรียบร้อยเขาก็เดินเข้าไปในโรงแรมทันที
ห้องแกรนด์บอลรูมคึกคักไปด้วยนักธุรกิจเด่นดังที่เดินทางมาร่วมงานนี้ เบื้องหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มพูดคุยทักทายอย่างเป็นกันเอง แต่เบื้องหลังเบื้องลึกซุกซ่อนบางสิ่งที่ไม่มีใครรู้ไว้อีกมากมาย หินตวัดสายตามองหาคนที่ต้องมาเจอเป็นอันดับแรก เมื่อยังไม่เห็นก็หาเป้าหมายที่สองต่อไป และไม่ผิดหวังเมื่อเห็นมันเดินมาพร้อมกับพวกเกือบสิบคน ซึ่งดูก็รู้ว่าในจำนวนนั้นมีไอ้พวกประสบสอพอและลิ่วล้อรวมอยู่ด้วย
“สวัสดีครับนายพลกฤษ”
เสียงทักนั้นเขาได้ยินชัดเจน และมองพวกมันจับมือ พูดคุย หยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอ ก็พากันไปนั่งที่โต๊ะ หินมองการสวมหน้ากากเข้าหากันอย่างสมเพช แล้วหยิบเครื่องดื่มจากพนักงานที่เดินผ่านมาดื่ม ก่อนจะหามุมหลบ เมื่อเห็นพ่อของนายหญิงแห่งหุบเขาพญาโผล่มาในงานนี้ด้วย
นายอธิปเข้ามาทักทายกลุ่มของนายพลกฤษ ซึ่งทุกคนก็ยิ้มแย้มให้อย่างมีไมตรี แต่หลังจากนั้นดูเหมือนเขาจะเป็นแกะดำของกลุ่ม เพราะแทบจะไม่มีใครสนใจเขาเลย แม้แต่คนที่ร่วมมือกันหาผลประโยชน์อย่างนายพลกฤษ คงยังโกรธเขาเรื่องแผนที่นั่นเอง จึงหาโอกาสที่จะอธิบายว่าทำไมเขายังเข้าไปหุบเขาพญาไม่ได้ แต่โอกาสไม่มีให้เขาเลย
“สวัสดีหิน”
หินหันขวับไปมองคนที่เรียกแล้วเปิดยิ้มอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร “สวัสดีครับท่านพจน์ แต่ผมศิลา ไม่ใช่หิน”
ท่านพจน์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขำ “นั่นซินะ หินควรจะอยู่ในป่าอยู่ในคุกทมิฬ ไม่ใช่มาอยู่ในเมืองแบบนี้” ถึงคราวที่หินต้องยิ้มบ้าง แต่สายตาตวัดมองไปที่กลุ่มของนายพลกฤษ ท่านพจน์มองตามไปพร้อมกับบอกว่า “อยากรู้จักพวกเขาใช่ไหม”
หินไม่แปลกใจที่ท่านพูดออกมาแบบนี้ เพราะเพลิงบอกเขามาแล้วว่าขอให้ท่านช่วยอะไรบ้าง จึงอ่อนน้อมถ่อมตนว่า“ถ้าท่านจะกรุณา”
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วหิน แต่ระวังจะมีคนจำคุณได้”
หินรู้ว่าท่านหมายถึงนายอธิป ซึ่งเขาก็กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี และดูเหมือนโชคจะเข้าข้างเขา เมื่อนายอธิปลุกขึ้นเดินออกไปจากกลุ่ม
“โชคเข้าข้างแล้วนะนั่น” ท่านพจน์บอก “แต่ฉันจะไม่ทำอะไรหรอก เพราะเดี๋ยวจะมีคนต้องเดินมาหาฉันเอง หินก็เช่นกันการที่ยืนคุยอยู่กับฉัน ราคาก็พุ่งสูงแล้ว”
คิ้วเข้มของหินเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ แต่อึดใจเดียวก็เข้าใจ เพราะท่านพจน์นั้นเป็นนักธุรกิจเด่นดังที่ใครๆก็อยากจะเข้ามาหาทั้งนั้น แล้วก็เป็นจริงอย่างที่ท่านว่า เมื่อหนึ่งในกลุ่มของนายพลกฤษลุกขึ้นเดินมาหา ทักทายอย่างนอบน้อมแล้วก็เชิญให้ไปนั่งร่วมโต๊ะ ซึ่งท่านก็ยินดี แต่ก่อนไปได้แนะนำตัวเขาให้กับคนที่เข้ามาทักได้รู้จักไว้ด้วย
“คุณศิลา เจ้าของโรงแรมหลายแห่งและบ่อน้ำมันในทะเลทราย”
คนที่เข้ามาทักตาลุกวาวขึ้นทันที ยิ้มอย่างยินดีและเชิญเขาให้ไปนั่งด้วยกัน ท่านพจน์เดินนำเขาไปนั่งร่วมโต๊ะกับนายพลกฤษ ซึ่งไม่ได้สนใจเขาเท่าที่ควร เพราะเป้าหมายคือท่านพจน์ “ได้ยินชื่อท่านมานาน ได้มีโอกาสเจอ ผมยินดีมากจริงๆ”
“อย่าเรียกท่านเลย ผมก็คนธรรมดานี่แหละ อีกอย่างวงการธุรกิจมันแคบ สักวันก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่วันนี้ผมมีงานสำคัญรออยู่ ไม่อาจอยู่คุยได้ด้วย คงต้องขอตัว” ท่านพจน์ยิ้มให้คล้ายจะขอโทษทุกคน แล้วลุกขึ้น แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป นายพลกฤษที่ไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอย รีบเอ่ยขึ้นมาว่า
“น่าเสียดายอย่างที่ท่านว่าจริงๆ แต่ผมพอจะมีโอกาสได้เจอท่านอีกไหมครับ”
“ก็มีนะ”
ท่านพจน์พูดแค่นั้นก็หันมาหาหิน จับมือถือแขนบอกลาเขาอย่างสนิทสนม ทุกคนที่นั่งอยู่จึงมองเขาอย่างสนใจ ไม่แค่นั้นหางตาเขายังเห็นคนที่ท่านพจน์แนะนำให้รู้จักเขา กำลังกระซิบบอกบางอย่างกับไอ้นายพลชั่ว และเมื่อท่านพจน์เดินจากไปให้เขาบินเดี่ยวก็ไม่เดียวดาย เพราะตัวเขาแพงขึ้นจนทุกคนแทบจะรุมทึ้ง
“ผมเพิ่งรู้ว่าคุณมีทั้งธุรกิจทั้งโรงแรมและบ่อน้ำมัน” นายพลกฤษถามอย่างสนใจ เพราะสิ่งที่ได้เห็นและได้รู้มาเมื่อกี้ อาจจะนำพาเขาให้เข้าใกล้ท่านพจน์ได้ง่ายขึ้น
“ครับ แค่เล็กๆไม่ได้มากมายอะไร”
“แต่คุณสนิทกับท่านพจน์ขนาดนั้น ผมว่าคุณถ่อมตัวไปแล้ว ” ว่าแล้วเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ “แต่คนแบบนี้ซิที่ผมชอบ เห็นทีเราต้องคุยกันนานแล้ว แต่ห้องนี้ดูจะอึดอัดไปนิด ผมว่าเราไปคุยกันที่ห้องข้างบนดีกว่า ที่นั้นบรรยากาศดี ที่สำคัญคนหนุ่มอย่างคุณคงจะชอบด้วย”
หินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ นายพลกฤษจึงหันไปสั่งลูกน้อง แล้วพาเขาพร้อมกลุ่มก๊วนอีกสามคนมายังผับบนโรงแรม เพียงก้าวเข้ามา ก็เจอกับแสงละมุนกับเพลงเพราะๆและสาวสวยหลายคนก็เข้ามาประกบ เปิดยิ้มต้อนรับพร้อมกับพาไปนั่งบนโซฟานุ่มติดกระจก เห็นวิวแสงสีที่สว่างอย่างสวยงาม
เขาปรายตามองไอ้นายพลชั่วกับพรรคพวก ซึ่งทุกคนเปลี่ยนสีได้เร็วไม่แพ้สัตว์ชนิดใดในโลกนี้ เพราะคว้าตัวสาวๆมานั่งแนบชิด ผิดกับตอนที่อยู่ในห้องเสวนา คงจะรักษาหน้าและเกียรติที่ค้ำคออยู่ แต่พอไม่มีใครจับจ้องนอกจากคนกันเองที่รู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว ก็แสดงธาตุแท้กันออกมา เขาเหยียดหยันพวกมันอยู่ในใจ แล้วกวาดตามองไปรอบๆผับ ที่ไร้ผู้คนจนน่าสงสัย แต่ไม่นานก็ได้คำตอบ เมื่อสังเกตเห็นคนของไอ้นายพลชั่วยัดเงินใส่มือผู้ดูแล
“เป็นไงครับคุณศิลา ถูกใจไหม” หินยิ้มรับเล็กน้อย นายพลกฤษจึงคิดว่าเขาชอบก็พูดต่อว่า “นักธุรกิจอย่างเรายุ่งอยู่กับงาน จนบางทีก็เครียดเกินไป ต้องผ่อนคลายบ้างผมจึงอยากเลี้ยงรับรองคุณให้เต็มที่ อีกอย่างคนหนุ่มฉกรรจ์อย่างคุณ มีสาวๆมาอยู่ใกล้ๆจะได้ชื่นใจ”
“ขอบคุณครับที่รู้ใจผม”
“ฮะๆๆ” นายพลกฤษหัวเราะอย่างชอบใจที่การคาดเดาของเขานั้นเป็นจริง คนหนุ่มหรือจะมาทันเล่ห์เหลี่ยมคนแก่ที่มีประสบการณ์ชีวิตโชกโชนอย่างเขา “อยากได้คนไหนเป็นพิเศษ บอกได้นะ ผมจัดให้”
หินแสร้งไม่เห็นความเจ้าเล่ห์ในแววตา เขาเล่นไปตามน้ำ กวาดตามองดอกไม้ประดับอย่างเจ้าชู้ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะถูกใจคนไหน จึงหันกลับมาดื่มด่ำกับเครื่องดื่มในมือ แล้วบอกว่า “ผมไม่ค่อยชอบดอกไม้พลาสติก ชอบที่มาจากธรรมชาติมากกว่า หอมหวานกว่ากันเยอะ”
“เยี่ยม แต่ดอกไม้ที่นี่ถึงจะมีส่วนผสมของพลาสติกบ้าง ก็หอมหวานทุกดอก แต่ผมได้ยินมาว่าดอกไม้แถบทะเลทรายก็หอมไม่หยอกเหมือนกัน”
“ครับ ยิ่งถ้าเราเข้าใจ เข้าถึง ก็ยิ่งหอม”
“คุณพูดเสียผมอยากจะหามาครอบครอง พอจะมีให้ผมบ้างไหมละ”
“ก็พอจะมี แต่คุณสนใจแบบไหนละ”
“แบบที่ดอกยังไม่ช้ำ เพิ่งจะผลิบานขึ้นมาสักดอกสองดอกพอจะมีให้ไหม ยิ่งผุดขึ้นกลางทะเลทรายก็ยิ่งดี”
หินยิ้มเยือนพลางหมุนแก้วในมือคล้ายกำลังชั่งใจในข้อเสนอที่ต่างก็รู้กันอยู่ว่าคืออะไร แล้วบอกว่า “ก็น่าสนนะครับ แต่ธุรกิจไม่ใช่การเล่นขายของ และเราเพิ่งจะได้พบกัน การจะลงทุนร่วมกันทำสักโครงการ คงต้องขอเวลาตัดสินใจหน่อย”
“ฮะๆๆๆ ไม่เลว ไม่เลว คุณนี่คารมคมในฝักสมกับเป็นนักธุรกิจจริงๆ ตรงไปตรงมาอย่างนี้ซิน่าคบ คุณมีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมาได้เลย ผมยินดี”
“ขอบคุณครับ” ว่าแล้วหินก็ทำท่าคล้ายจะครุ่นคิดบางอย่าง เพื่อยั่วให้ไอ้นายพลชั่วอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะค่อยพูดออกมาเหมือนว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมาก “ผมมีธุรกิจหลายอย่างจึงเดินทางบ่อย แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่ได้ยินมาแล้วสร้างความแปลกใจให้ผมมาก จึงอยากจะขอความเห็นจากคุณ ที่ดูจะกว้างขวางรู้จักพื้นที่อยู่แถบนี้ไม่น้อย”
“ว่ามาได้เลย คุณกับผมเราเป็นนักธุรกิจถือได้ว่าอยู่ในวงการเดียวกัน ก็เหมือนพี่เหมือนน้องอยากให้ช่วยอะไร ไม่ต้องเกรงใจ”
หินยังทำสีหน้าคล้ายจะยังลังเล สุดท้ายก็บอกออกมาว่า “ดอกไม้สีดำในหุบเขาพญา”
นายพลกฤษตกตลึงกับสิ่งที่ได้ยิน อีกสามคนก็มีอาการไม่ต่างกัน ปรายตามองหน้ากันแล้วหันมามองหน้าหิน ซึ่งตีหน้าใสซื่อเหมือนไม่รู้อะไรเลย แค่ได้ยินมาแล้วพูดไปเท่านั้น “คุณแน่ใจ” เขาถามออกมาแต่สายตามองลึกหาพิรุธที่จะแฝงมาในคำที่ได้ยินเมื่อกี้
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เรื่องนี้ผมได้ยินมาจากคนงานรับจ้างแถบทะเลทราย แรกนั้นก็ไม่ได้คิดจะสนใจ แต่ได้ยินหลายครั้งเข้า ก็พยายามสอบถาม แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครอยากจะพูดถึง จึงทำให้ผมมาถึงที่นี่ เพราะอยากมาเห็นด้วยตาสักครั้งและอยากรู้ว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่าหรือเป็นแค่คำพูดลอยๆ”
“แล้วคุณรู้ความหมายของคำที่พูดมาแค่ไหน”
“แสดงว่าคุณก็พอจะรู้เหมือนกัน” หินตอบกลับเพื่อให้ไอ้นายพลชั่วรู้ว่าเขาเป็นหมูที่พอจะมีเขี้ยวอยู่บ้าง ถ้าคิดจะเคี้ยวง่ายๆเห็นจะยากสักนิด ซึ่งก็ได้ผลเมื่อมันหัวเราะออกมาคล้ายจะรู้ทันเขา ก่อนจะบอกว่า
“ขึ้นชื่อว่าดอกไม้ ไม่ว่าจะอยู่ลึกแค่ไหน กลิ่นหอมของมันก็ยังโชยออกมาให้ดมดอม เรื่องนี้ผมก็ได้ยินมาบ้างเหมือนกันแต่ผมคงต้องไปหาข้อมูลให้แน่นอีกสักหน่อย แล้วเราคงได้คุยเรื่องนี้กันอีกครั้ง แต่จากนี้ไปคุณจะเป็นแขกวีไอพีของผม ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง คุณศิลา”
“ขอบคุณที่ให้เกียรติ”
หินจับมือนายพลกฤษที่ยื่นมาด้วยความยินดี แล้วทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ให้ ก็ขอตัวกลับ นายพลกฤษก็ไม่ขัดขวางแต่สายตามองตามร่างสูงจนเดินออกไปจากผับ ก็กระดกเครื่องดื่มที่เหลืออยู่ในแก้วเข้าปากจนหมด ก็เหยียดริมฝีปากออกยิ้ม แล้วหันมาสบตากับกลุ่มของเขาที่ถามออกมา
“ท่านเชื่อมันเหรอครับ”
“เชื่อ เพราะหุบเขาพญาเป็นดินแดนที่ไม่ใช่ว่าใครจะพูดออกมาก็ได้ ถ้าไม่เคยได้ยินหรือได้ฟังอะไรมาจริงๆ”
“แต่คนพวกนั้นอาจจะได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาก็ได้”
“ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีมูล และถ้าเราได้ไอ้ศิลามาเป็นพวกอีกสักคน ด้วยศักยภาพที่ร่ำรวยของมัน ก็จะทำให้เราต่อยอดธุรกิจได้อีกมากมาย โดยเฉพาะดินแดนแถบทะเลทราย อีกอย่างเราจะได้เข้าถึงธุรกิจน้ำสีดำมากขึ้น ถ้าหากที่หุบเขาพญาล้มเลว เราก็ยังมีที่ของมันรองรับ แล้วไอ้เด็กหนุ่มหน้าเหมือนลูกไก่เพิ่งออกจากไข่อย่างนั้นเหรอจะทันเล่ห์เหลี่ยมสิงห์แก่อย่างพวกเรา ฮะๆๆ”
ทั้งหมดพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วหัวเราะตามนายพลกฤษ ซึ่งหยิบนามบัตรที่วางอยู่ขึ้นมาดู แล้วหันไปหาลูกน้องกระซิบสั่งบางอย่าง เรียบร้อยแล้วก็หันมาดื่มกับก๊วนตัวเอง โดยไม่รู้ว่าได้จุดไต้ตำตอเข้าจังเบ้อเร่อเพราะไอ้ลูกไก่ที่สบประมาทกันอยู่นั้น จะนำความฉิบหายมาให้ทุกคน
**********
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2558, 15:29:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ย. 2558, 15:29:43 น.
จำนวนการเข้าชม : 2638
<< ตอน 12 | ตอน 14 >> |
แว่นใส 24 ก.ย. 2558, 17:09:24 น.
ศัตรูอยู่ใกล้มากเลยนะ
ศัตรูอยู่ใกล้มากเลยนะ
เคสิยาห์ 24 ก.ย. 2558, 18:36:19 น.
อีก2ตอนเอง น่าเสียดายแต่ก็เข้าใจเจ้าของเรื่องมีเล่มเวอร์ขั่นแรกแล้วสนุกมาก เวอร์ชั่นนี้คงไม่ได้ซื้อเพราะมาเป็นครูดอยแล้ว ลำบากเดินทาง ขอให้ขายดีนะคะ
อีก2ตอนเอง น่าเสียดายแต่ก็เข้าใจเจ้าของเรื่องมีเล่มเวอร์ขั่นแรกแล้วสนุกมาก เวอร์ชั่นนี้คงไม่ได้ซื้อเพราะมาเป็นครูดอยแล้ว ลำบากเดินทาง ขอให้ขายดีนะคะ
Kim 24 ก.ย. 2558, 20:49:16 น.
ออกเป็นอีบุ๊คไหมคะ
ออกเป็นอีบุ๊คไหมคะ
tan 24 ก.ย. 2558, 21:58:10 น.
อีบุ๊คราคาแพงไปหน่อย บางเรื่องสองเล่มจบ ราคาเกินห้าร้อย
อีบุ๊คราคาแพงไปหน่อย บางเรื่องสองเล่มจบ ราคาเกินห้าร้อย