พระจันทร์ซ่อนรัก
เธอแอบใช้มือเล็กๆบังไม่ให้เขาเห็นแล้วเขียนข้อความนั้นลงไป “ขอให้ผู้ชายคนนั้น เป็นคุณ...พัตต์”
รุ้งพรายลงท้าย ประโยคด้วยตัวอักษรโต ๆ ซึ่งไม่ต่างจากหัวใจที่ตอนนี้มันพองฟูคับอกแล้ว!

............

เล่ห์ร้ายหรือมนตราใดๆ ก็ไม่อาจซ่อนใจเขาและเธอ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๔

บทที่ ๔


ก้องภพหยุดอยู่หน้าประตูห้องสมุด เขาชะโงกหน้าไปด้านในและเห็นร่างหญิงชราสวมเสื้อลูกไม้สีเหลืองอ่อนนุ่งผ้าถุงผืนงามสีเปลือกมังคุด นางยืนอยู่ระหว่างมานะกับย้งท่าทีทุกคนนั้นทำให้เขาต้องขมวดคิ้วมุ่น


หญิงชรานางนั้นมีแววตาเป็นประกายคม ประหนึ่งผู้ที่สามารถรอบรู้ทุกสิ่ง กระแสลึกลับจากนางส่งต่อมายังก้องภพ ทำให้เขามีอาการปั่นป่วนในช่องท้องเป็นระยะ ๆ วิศวกรหนุ่มยืนชั่งใจตรงโถงทางเดินนานสองนาน กระทั่งเสียงหัวเราะรอดผ่านออกมา เขาค่อยโล่งใจอย่างน้อยสถานการณ์ก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่คิดไว้แต่แรก ชายหนุ่มเลยกล้าพอที่จะเดินเข้าไปในห้องหนังสือ กระนั้นความตื่นเต้นยังท่วมใจ


“สวัสดีครับคุณตุ่น แหมหน้าเครียดเชียว มาเหนื่อย ๆ ทานน้ำสมุนไพรก่อนครับ รสชาติชุ่มคอแก้เปรี้ยวปากดีทีเดียว” มานะก้าวเข้ามาทักทายชายหนุ่ม สีหน้าระบายความสุข ส่วนย้งก็แลดูมีน้ำมีนวลผิดตา


“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ ที่เป็นแบบนี้เพราะได้ผู้ช่วยที่คุณตุ่นส่งมาชุดใหญ่นั่นแหละ งานถึงเสร็จเร็ว”


หากก้องภพไม่เชื่อคำพูดนั้น เขาใช้สายตาตรวจสอบสภาพงานอย่างละเอียด


“เห็นไหม เรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว แถมเจ้าของงานยังชอบด้วย ถ้าไม่เชื่อคุณตุ่นลองถามเจ้าย่าสิครับ” มานะบุ้ยใบ้ไปที่หญิงชราซึ่งยืนยิ้มอ่อนโยน “เจ้าย่า...” ก้องภพหันไปมองพร้อมพนมมือไหว้


เวลานี้เขาแปลกใจเหลือเกิน ด้วยตั้งรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ทัน จำได้ว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว มานะกับย้งยังร้องผวาขอลาขาดจากบ้านจันทร์เจ้าขาอยู่แท้ ๆ แล้วเหตุใดวันนี้จึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทำท่าประหนึ่งกับว่าที่นี่เป็นบ้านพักต่างอากาศ




“คุณตุ่นเชื่อไหมครับ เจ้าย่าเลี้ยงดูพวกเราดีสุด ๆ ไปเลย รู้อย่างนี้พวกผมมาทำงานที่นี่ตั้งนานแล้ว” ย้งเอ่ยเสียงดังฟังชัด ก่อนจะหันไปหยิบขนมหวานในถาดเคี้ยวตุ้ย ๆ


“ไหงมันกลับตาลปัตรละ พวกนายเพี้ยนรึเปล่า” ก้องภพถามพร้อมกับนึกย้อนถึงภาพต่าง ๆ บ้านหลังนี้ในวันก่อนซึ่งแสนเงียบเหงา บรรยากาศอึมครึมไม่ต่างจากปราสาทผีดิบ หากวันนี้ช่างแจ่มใสเหมือนเป็นคนละโลก “อย่าถือสาเลยครับ เข้าใจผิดกันทั้งนั้น ตอนนี้พวกผมสบายดี ว่าแต่คุณตุ่นเถอะ เห็นไอ้ย้งบอกว่าพาใครมาไม่ใช่เหรอ” มานะคอยืดคอยาว มองหาผู้ติดตามวิศวกรหนุ่ม


“ไอ้ย้งไปสืบมาจากไหน!” ก้องภพเอ็ดร่างโย่ง


“โธ่ คุณตุ่น ย้งมีตาสับปะรดหรอกครับ พี่สาว ๆ พวกนั้นไงนักสืบหัวเห็ดของผม ใครไปใครมาผมรู้ทุกเรื่อง” เขาชี้ไปที่หลังบานประตูไม้ หากไม่สังเกต คงไม่เห็นว่ามีหญิงสาวหลายคนแต่งตัวด้วยเสื้อสีชมพูแซมฟ้าหลบตรงอยู่มุมห้อง “ว่าแต่คนที่มากับคุณตุ่นใช่สถาปนิกรึเปล่า ได้ยินคุณพิรุณพัตต์ถามหาอยู่แน่ะ ก็คุณตุ่นเล่นรับปากไว้ดิบดีว่าจะหาให้ไม่ใช่เหรอ” มานะทำทีเหมือนรู้ทัน เขาหักคอก้องภพ แก้เผ็ดที่วิศวกรหนุ่มเคยข่มขู่


“สถาปนิก!” ก้องภพเครียด หน้าซีดเผือด เขาไม่ได้ลืมเสียทีเดียว หากแต่สถาปนิกในบริษัทไม่มีใครว่างพอจะมาบ้านจันทร์เจ้าขาสักคน ส่วนที่สนิท ๆ กันก็รับงานนอกจนล้นมือกอปรกับต้องทำงานหนัก จึงลืมเรื่องนี้เสียสนิท


จิตใจก้องภพห่อเหี่ยว ยิ่งกวาดสายตาไปตรงชั้นหนังสือเก่า หัวใจก็หล่นตุ้บไปอยู่ตาตุ่ม ชั้นหนังสือที่รับปากไว้ยังไม่มีวี่แววจะคืนชีพได้ แถมหนังสือซอมบี้เขาก็พึ่งส่งไปที่ร้านในเครือข่าย พอเป็นอย่างนี้เลยไม่รู้จะสู้หน้านักเขียนพันธุ์ต่างดาวได้ยังไง วิศวกรหนุ่มนิ่วหน้าเหงื่อผุดท่วมร่าง


“แล้วที่ว่านายช่างพาใครมาด้วย อยู่กันไหนทำไมไม่ให้ขึ้นมาด้วย ปล่อยให้ยืนตากแดดนาน ๆ เดี๋ยวไม่สบายกันพอดี” เจ้าย่าเอ่ยด้วยความเป็นห่วง


“คือ... ผมกลัวจะวุ่นวายนะครับ เลยให้รอที่รถ แค่ยกโขยงมาก็เกรงใจจะแย่”


“คิดมากน้า คนกันเองทั้งนั้น” หญิงชราทิ้งช่วงให้ก้องภพต้องประหลาดใจกับถ้อยความนั้น ‘คนกันเอง’


“ถึงที่นี่ไม่ได้รับแขกมานาน แต่เราก็พร้อมต้อนรับเสมอนะ ไป...ฉันจะต้อนรับพวกเขาเอง”
พูดจบเจ้าย่าก็ก้าวนำหน้าทุกคน เพื่อลงไปต้อนรับแขกคนสำคัญ ซึ่งบ้านจันทร์เจ้าขารอคอยการกลับมาของเธออีกครั้ง ซึ่งหากนับวันเวลาที่ผ่านมา วันนี้ก็เกือบจะครบยี่สิบสามปีแล้วที่รุ้งพรายจากบ้านจันทร์เจ้าขาไป...


จวบจนเจ้าย่าก้าวมาถึงรถกระบะสีแดงคันใหญ่ ดนัยที่ยืนเหงื่อแตกซิกอยู่ก็รีบฉีกยิ้มหน้าบาน เขาพอจะมองออกว่าหญิงชราผู้นี้คงเป็นเจ้าย่ามณีมาลา “เธอคือสถาปนิก ที่นัดกันไว้ใช่ไหม”


“สถาปนิก ไม่ใช่หรอกค่ะ หนูเป็นกราฟฟิกดีไซน์” ดนัยยืนตรงประสานมือไว้กลางลำตัว แสดงกิริยาผู้ดี จนก้องภพที่มองเขม่นนั้น อดไม่ได้จะทำเสียงฮึ่ม ๆ เตือน


“อ้าวแล้วคนไหนที่นายช่างว่าเป็นสถาปนิก” เจ้าย่าถามพลางมองหา จังหวะนั้นดนัยกระโดดแผล็วมายืนข้างก้องภพ กระซิบกระซาบถามถึงสถาปนิกตัวปัญหา


“ไม่ต้องมาเซ้าซี้เลย แล้วนี่รุ้งพรายไปไหน บอกให้รออยู่ตรงนี้ ยุ่งไม่เข้าเรื่องจนได้ ” ก้องภพถามด้วยความร้อนใจ “ก็เห็นตามพี่ตุ่นไป เห็นหลังไว ๆ นี่นา” ดนัยยิ้มแหย ๆ หันซ้ายแลขวาเลิกลั่ก ได้ฟังดังนั้นก้องภพพอจะเข้าใจแล้วว่า ลางร้ายที่ประหวั่นใจตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ใกล้เจียนเป็นความจริงทุกที
“เอาล่ะไม่ต้องเถียงกันมากความ ย่าว่าเราเข้าไปรอ ‘สถาปนิกสาวแสนสวย’ ข้างในดีไหมอีกไม่นานหลานย่าคงเจอแม่หนูคนนั้นเองล่ะ” หญิงชราอมยิ้มซ่อนเลศนัย


“เอ๊ะ..เจ้าย่ารู้ได้ไงว่าคนที่ผมพามา เอ่อ...เป็นสถาปนิกสาว” ก้องภพฉงน เขารู้สึกว่าเจ้าย่ามีสัมผัสพิเศษหรืออย่างไร ถึงได้รู้ว่าคนที่กำลังจะถูกสมอ้างเป็น สถาปนิกกำมะลอคือ รุ้งพราย!


“อ้าว..ย่านึกว่านายช่างบอกไว้แล้วเสียอีกว่าเป็นสถาปนิกสาวสวย แต่ช่างเถอะอย่าถือสาคนแก่เลย หลง ๆ ลืม ๆ พูดอะไรเรื่อยเปื่อย นี่ก็ใกล้เวลาอาหารเที่ยงพอดี เราไปรอกันที่โต๊ะอาหารดีกว่า” เจ้าย่าตัดบทเสียดื้อ ๆ พลอยให้คนฟังงงหนักเข้าไปอีก


“อะไรกันพี่ตุ่น ดาด้าสับสนนะเนี่ย” ดนัยมองก้องภพสลับเจ้าย่า


“คิดว่าพี่เข้าใจอะไรมากไปกว่าเธอหรือไง ตอนนี้เอาตัวให้รอดกับเรื่องตรงหน้าก่อนเถอะ”วิศวกรหนุ่ม เอ็ดดนัยพลางเสียวสันหลังวาบ เขาอดคิดไม่ได้ว่า ฃนอกจากนักเขียนสุดพิลึกคนนั้นแล้ว ยังมีหญิงชราซึ่งมีญาณวิเศษอีกคนใช่ไหม


“โอ๊ย...แล้วนี่รุ้งมันหายหัวไปไหน อยากรู้จริง ๆ ทำไมถึงชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงเสียจริง ทั้งหมดก็เป็นเพราะพี่ตุ่นเอาใจมันมากเกินไป จนไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น”


“อย่ามาโทษพี่ เธอนั่นแหละเป็นเพื่อนกันยังไงถึงไม่รู้จักห้ามกัน”


ก้องภพส่ายหน้าด้วยระอา ตีหน้าเข้มดุ แต่พอเจ้าย่าหันมาทางยังชายหนุ่ม เขาจึงยิ้มแห้ง ๆ ตอบกลับนาง
“ต่อล้อต่อเถียงกันถึงไหน ทำตัวอย่างกับคนรักกัน คนแก่ได้ยินแล้ว ยังรู้สึกเขินแทน เอาล่ะไปทีห้องอาหารกันเถอะ ย่าหิวจนท้องร้องแล้ว”สายตานางแย้มยิ้ม ในยามที่มองไปยังชายจริตหญิง


“เจ้าย่ากำลังเข้าใจผิด ไอ้นี่มันผู้ชาย ถึงจะแต่งตัวเป็นชะนีทาหน้าแดงเป็นลิงก็เถอะ”ก้องภพเต้นผาง โกรธหน้าแดง เขาพูดเร็วเป็นชุด หากคนที่ยืนอยู่ไม่ใช่เจ้าย่า ป่านนี้คงลากคอดนัยมาชกให้ล้มคว่ำ เพราะดนัยฉีกยิ้มหน้าระรื่น ส่งสายตาหวานซึ้งให้ก้องภพไม่หยุด คำพูดเจ้าย่าสร้างฝันหวานให้ดนัยคิดเข้าข้างตนเองว่าก้องภพคือหวานใจตน


“นายช่างทำไมตัวสั่นเหงื่อแตกอย่างนั้นล่ะ ไปรีบเข้าข้างในกันเถอะ ดูซีแม่หนูคนสวยยืนตากแดดนานแล้ว เดี๋ยวผิวขาว ๆ จะคล้ำหมด” เจ้าย่าหันไปจูงมือให้ออกเดินตาม
คราวนี้วิศวกรหนุ่มได้แต่อ้าปากค้าง ส่งเสียงงึมงำออกไป ถึงจะแก้ตัวยังไงหญิงสูงวัยก็ทำเป็นไม่ได้ยิน ผิดกับดนัยที่ส่งเสียงหวานเอาใจนางตลอดทางเดิน เสียงหัวเราะทั้งคู่ส่งต่อความหมายที่ว่าเขากำลังจะกลายเป็นแขกพิเศษบ้านจันทร์เจ้าขาอีกคน


รุ้งพรายและชายร่างสูงเดินเข้าไปในซุ้มเรือนไม้ อากาศที่สดชื่นอบอวลด้วยกลิ่นหอมจากดอกไม้ เปลี่ยนเป็นสายลมเย็นชื้น ท้องฟ้าที่สว่างแจ่มใสมีเมฆสีขมุกขมัวทาบทับ บรรยากาศเช่นนี้อีกไม่นานฝนคงกระหน่ำลงมา

หญิงสาวกอดอกแน่น เม้มปากต่อว่าคนที่หัวเราะร่วนในอาการหวาดกลัวของเธอ ครั้นพอมองชายตรงหน้าเต็มตา ความรู้สึกคุ้นเคยก็ท่วมใจ เหมือนเธอกับเขาเคยรู้จักกันมานานแสนนาน


“ชอบอ่านเล่มนี้รึ”เขาเอ่ยลอย ๆ จังหวะนั้นดวงหน้ารุ้งพรายผะผ่าวร้อน ด้วยดวงตาสีเขียวอมฟ้าซึ่งเกิดประกายแวววับส่งความรู้สึกดี ๆ ถึงเธอขณะที่ตกอยู่ในภวังค์จึงไม่ทันระวังตัว มือใหญ่ของเขาจึงยื่นมาใกล้ ๆ ตั้งใจจะหยิบหนังสือที่หญิงสาวถืออยู่ “อ๊ะ ทำอะไร ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” เธอแหวใส่ เสียงห้าว ๆ พลันเปลี่ยนเป็นเสียงหญิงสาวแสนงอน


“โอ้โห ยังกับจงอางหวงไข่ สงสัยจะรักมาก ” เขามองหนังสืออย่างสนอกสนใจ


“ก็งั้น ๆ ไม่ได้ชอบอะไรมากหรอก ออกจะเซ็งตอนจบด้วยซ้ำ” รุ้งพรายกระแทกเสียงปลายประโยค พอคิดถึงฉากจบก็อดจะตำหนิคนเขียนไม่ได้ “ขนาดนั้นเลย แล้วตอนจบมันทำร้ายจิตใจยังไงน้า” เขายิ้มที่มุมปาก ดวงตาคู่นั้นยั่วล้อหญิงสาว “ก็ตามอ่านมาตั้งนาน ถึงเล่มจบดันหักมุมให้เรื่องมันเศร้าเสียดื้อ ๆ จะให้คนอ่านเซ็งไหมล่ะ ตั้งความหวังว่าต้องจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง สุดท้ายพังหมด”ดวงตากลมโตยิ่งโตเป็นสองเท่าในยามที่ขัดเคือง


“ถ้าฉากจบทำให้เรื่องสมบูรณ์ก็เป็นสิ่งดีไม่ใช่หรือ ชีวิตสวยงามเสมอถึงจะลงเอยยังไง บางทีไม่ตรงใจคนอ่านอย่างเธอ แต่ถ้าเรื่องราวสะท้อนความจริงให้เห็นก็น่าจะเปิดใจยอมรับ” เขาเอ่ยเรียบ ๆ หากน้ำเสียงและสีหน้าทำให้รุ้งพรายคล้อยตามได้ไม่ยาก “แหม พูดอย่างกับเป็นคนเขียนเอง” เธอเบี่ยงตัวหลบสายตาเขา กระนั้นก็ไม่พ้นอยู่ดี จึงลึกไปยืนอีกฝั่งของซุ้มเรือนไม้


“จะว่าไปแล้ว ผู้ชายก็ใจร้ายกันทุกคน ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกผู้หญิงสักนิด มันน่าโกรธไหมนี่ เขียนให้จบดี ๆ ยากตรงไหน” จู่ ๆ อารมณ์ร้ายก็กรุ่นขึ้นมา


“ที่ว่าผู้ชายใจร้าย เธอหมายถึงใคร ฉันหรือคนเขียน” เขาชี้มือไปที่หน้าอกกว้างของเอง รอยยิ้มตรงมุมปากหายไป มันถูกแทนที่ด้วยริมฝีปากเหยียดตรงเหมือนไม่พอใจ


“ถามได้ คนเขียนน่ะซี่” เอ่ยจบก็รับรู้ได้ว่าหน้าตึง ๆ คงเพราะเคืองใจคำพูดเธอ


“เอ...อย่างนี้ ไม่กลัวคนเขียนเสียใจรึ” เขาพ่นลมหายใจแรง ๆ ดวงตาคู่นั้นยังไม่ละสายตาจากร่างบอบบาง “เขายังไม่สนใจคนอ่าน ทำไมผมต้องใส่ใจความรู้สึกเขาด้วย รู้จักกันก็เปล่า” เธอยักไหล่แบบไม่ใส่ใจจริง ๆ


“ได้ยินอย่างนี้ ฉันเศร้าใจแทนคนเขียนยังไม่ไงไม่รู้”


“จะเศร้าทำไม อย่าบอกนะว่านายเป็นอะไรกับคุณพิรุณพัตต์” ดวงตากลมโตหยีเล็ก แกล้งแหย่ให้เขาโกรธ


“อยากรู้จริง ๆ หรือว่าอำกันเล่น...ทอมบอย” เขายื่นหน้าใกล้เธอ คราวนี้จมูกโด่งและดวงหน้าของชายหนุ่มอยู่ห่างรุ้งพรายไม่ถึงคืบ แรงดึงดูดหมาศาลส่งผลให้หัวใจเธอเต้นแรง ความฉุนเฉียวที่อัดแน่นในใจ กลับเปลี่ยนเป็นความโอนโยน “อ๊ะ มีสิทธิอะไร ถึงมาเรียกคนอื่น ‘ทอมบอย’ ”รุ้งพรายสะเทิ้นอาย หากบ่ายเบี่ยงแสร้างทำเป็นโกรธ



“อย่างนั้นให้ฉันเรียกอะไร น้องชายรึ คงแปลกพิลึก ดูสิผู้หญิงก็ไม่ใช่ผู้ชายก็ไม่เชิง ฉันว่าเธอคงไม่เหมาะ แต่งตัวแบบนี้หรอก ให้ดีน่าจะแต่งตัวหวาน ๆ มากกว่า”


“แล้วมันแย่มากรึไง ที่ผมจะแต่งตัวแบบนี้” รุ้งพรายถอยห่างจากเขาเล็กน้อย เธอหวั่นไหวเหลือเกิน


“เปล่าก็ไม่ได้แย่อะไร แค่คิดว่าผู้หญิงก็ควรเป็นหญิง โดยเฉพาะคนน่ารักอย่างเธอ พูดจาหวาน ๆ คะ ๆ ขา ๆ คงน่าฟังกว่าทำเสียงห้าว ๆ รึว่าไม่จริง” ดวงตาคู่นั้นมีประกายวิบวับ เขาเจ้าชู้ขึ้นมาจนเธอหมั่นไส้


“พูดเหมือนจะหาเรื่อง ถ้าผมจะเป็นแบบนี้ มีปัญหาอะไรไหม” หญิงสาวลุกพรวด ดึงแขนเสื้อสูง ริมฝีปากสีชมพูสดใสเม้มชิด ดวงตาดำขลับเบิกกว้าง เธอยกหมัดสองข้างขึ้นตั้งท่าท้าตีท้าต่อย แต่เขากลับเห็นเป็นเรื่องขบขัน หัวเราะเอิ้กอ้าก น่าเกลียด “ อ้าว นักเลงขึ้นมาเลย พอทีเถอะนั่งลง ๆ ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่อยู่ได้ยายกุ้งแห้ง!”


“นั่นปากเหรอหยาบคายที่สุด!” พอรับรู้ได้ว่าสายตาเขามองผ่านเข้าไปในร่มผ้า โดยเฉพาะตรงหน้าอกหน้าใจ เธอก็หน้าแดงเรื่อ กึ่งอายกึ่งโมโห คนลามกผีทะเล! “ กุ้งแห้งตรงไหน มันซ่อนรูปต่างหากนายทึ่ม!” รุ้งพรายเขินจัด รีบกอดอกซ่อนสัดส่วนตนจากสายตาซุกซนเขา


“ยังจะมาทำตลก เอาล่ะบอกได้หรือยังว่า เธอมายุ่มย่ามในบ้านจันทร์เจ้าขาทำไม” เขาขึงขังขึ้นมา
“จำเป็นต้องบอกนายรึไง” รุ้งพรายเชิดหน้าสูงตอบโต้


“คนเป็นแขก พูดกับเจ้าของบ้านอย่างนี้เหรอ เดี๋ยวฉันจับโยนออกไปนอกรั้วเลย”


“เจ้าของบ้าน!” หญิงสาวหน้าเสียเล็กน้อย หากยังพยายามคิดว่าสิ่งที่เขาบอกเป็นเรื่องล้อกันเล่น


“มั่วไปมั้งนายหน้าอ่อน เจ้าของบ้านต้องเป็นคุณพิรุณพัตต์นี่นา”เสียงเธอสั่น ดวงหน้าซีดอย่างรวดเร็ว


“ถ้าอย่างนั้นบอกหน่อยซิว่า คุณพิรุณพัตต์ที่ว่าเป็นยังไง”


รุ้งพรายตั้งสติ ขบคิดว่าตาทึ่มยักษ์วัดแจ้งจะมาไม้ไหนหนอ แต่ก็ยังไม่วายวาดภาพนักเขียนในดวงใจในหัว


“เป็นผู้ชายใจดีตัวใหญ่ ๆ ยิ้มง่ายหัวเราะเสียงดัง อายุคงสักสี่สิบกว่า ๆ ไม่ก็ห้าสิบได้” เธอทำมือทำไม้ ประกอบรูปร่างนักเขียนในดวงใจ หากพอหันไปมองเขา ก็เห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ดวงหน้านั้นขรึมเข้ม แถมรอยยิ้มก็หายไป พลอยให้รุ้งพรายใจเต้นตุบ ๆ พูดอะไรผิดไปอีกละเนี่ย


“แก่ขนาดนั้นเชียว”เขาเสียงขุ่น


“แหม คนที่จะเข้าใจชีวิตคนอื่น มองโลกได้ลึกซึ้ง ก็น่าจะอายุรุ่นพ่อผมละมั้ง”


“รุ่นพ่อ! ให้ตายเถอะถ้าไม่ได้ยินเธอพูด ฉันคาดไม่ถึงเลยนะว่าพิรุณพัตต์ในสายตาคนอื่น จะแก่หงำเหงือกได้ขนาดนี้”


“นี่พล่ามอะไรนักหนา เอาล่ะเสียเวลามากแล้ว ผมต้องการพบคุณพิรุณพัตต์ ช่วยพาไปหน่อยสิ”


“ไม่รู้รึ เขาเก็บตัวแค่ไหน คงไม่ได้พบง่าย ๆ หรอกน้องชาย” เขาล้อเลียนบ้าง


“ไม่รู้ล่ะ มาถึงถิ่น ยังไงก็ต้องเจอตัวเป็น ๆ สักครั้ง” รุ้งพรายยืนยันความต้องการตน


“ดื้อไม่หยอก ได้เดี๋ยวฉันจะพาไปเอง แต่ขอถามหน่อย ทำไมถึงอยากเจอเขานักหนา”


“ก็เขาเป็นนักเขียนในดวงใจ เป็นคนที่ช่วยเติมเต็มความหวัง ในยามผมที่ท้อแท้”


“เจ้าบทเจ้ากลอนเสียจริง ถ้าเขามาตัวได้ยินคงชอบใจที่เธอพูดถึงแบบนี้” ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเปี่ยมสุข ดวงตาที่มองรุ้งพรายแสดงออกถึงความพึงใจเป็นอย่างมาก


“แต่คนที่ยิ้มอยู่นี่เป็นนายต่างหากล่ะ ทำตัวพิลึกคนจริง ๆ ตายักษ์ เอ้า...อย่าร่ำไร อยากเจอคุณพิรุณพัตต์เต็มแก่แล้ว กรุณานำทางด้วยนะคะ สุดหล่อ!” รุ้งพรายปิดปากแทบจะไม่ทัน เธอหลุดคำพูดนั้นออกไป ท้ายประโยคเป็นเสียงอ้อนหวาน ๆ น่ารักน่าชัง “อย่าฝืนตัวเองเลย ผู้หญิงก็คือผู้หญิงวันยังค่ำ ”


วินาทีนี้เธอทนมองหน้าเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ดวงหน้านวลก้มงุด รุ้งพรายหายใจติดขัดนึกไม่ถึงว่านายยักษ์ใหญ่จะทำให้อารมณ์ปั่นป่วน มือไม้พันกันขนาดนี้ เธอตัดสินใจสาวเท้าออกจากซุ้มตรงแน่วไปยังหน้าบ้านจันทร์เจ้าขาเร็วรีบ



ระหว่างเดินไปตามทางทอดยาวนั้น เกิดสายลมเย็นชื้นพัดผ่านร่างบอบบางทำให้ต้องกอดอกคลายความเย็นที่โรยตัวอย่างฉับพลัน ฟ้าร้องครืน ๆ ไล่ตามหลังมาติด กลีบดอกไม้แห้งก็ล่องลอยไปตามกระแสลม เร่งเร้าให้เธอก้าวกึ่งกระโดดด้วยกลัวสายฝนจะล่วงลงมาจากฟ้าเสียก่อน


พอก้าวไปจนเกือบจะถึงซุ้มไม้เลื้อยทางเข้าบ้านจันทร์เจ้าขา ฝนเม็ดโป้งก็เริ่มร่วงลงมากระทบร่างเธอ การที่ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องกัดฟันหวังจะพุ่งตัวผ่านซุ้มไม้เข้าไปหลบฝนในชายคาบ้านจันทร์เจ้าขา ทว่าจู่ ๆ แสงสว่างวาบพร้อมเสียงดังกึกก้องพลันปรากฏเบื้องหน้า ห่างตัวไปไม่กี่เมตร เธอหวีดร้องด้วยความตกใจ และแทบจะล้มทั้งยืนด้วยซุ้มไม้เลื้อยติดไฟพึ่บขึ้นมา


“ระวัง!” สิ้นเสียงนั้นร่างบอบบางก็ตกอยู่ใต้อ้อมกอดชายหนุ่ม หญิงสาวช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รุ้งพรายหลับตานิ่งโสตประสาทใกล้จะวูบดับลงทุกที สิ่งเดียวที่สัมผัสได้ก่อนจะสลบไปก็คือ เสียงกระซิบของพิรุณพัตต์ซึ่งบอกให้อย่าหวาดกลัวสิ่งใด เสียงนั้นมีกระแสแห่งความอบอุ่นไหลผ่านร่างบอบบาง ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างเป็นปริศนา!



เขมปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ค. 2554, 17:36:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ค. 2554, 17:56:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1563





<< บทที่ ๓    บทที่ ๕ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account