พระจันทร์ซ่อนรัก
เธอแอบใช้มือเล็กๆบังไม่ให้เขาเห็นแล้วเขียนข้อความนั้นลงไป “ขอให้ผู้ชายคนนั้น เป็นคุณ...พัตต์”
รุ้งพรายลงท้าย ประโยคด้วยตัวอักษรโต ๆ ซึ่งไม่ต่างจากหัวใจที่ตอนนี้มันพองฟูคับอกแล้ว!

............

เล่ห์ร้ายหรือมนตราใดๆ ก็ไม่อาจซ่อนใจเขาและเธอ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕

บทที่ ๕



ก้องภพนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ หลังจากสายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ท้องฟ้าก็ปิด มืดครึ้มชวนให้ประหวั่นใจเป็นที่สุด ยิ่งมีดนัยนั่งเบียดบนโซฟาตัวเดียวกันเขาพลอยหงุดหงิดใจเป็นสองเท่า


“ไปนั่งตรงโน้นเลย อย่ามาทำตัวเป็นตุ๊กแก ติดหนึบได้ไหม”


“คนบ้าให้เค้าเป็นตุ๊กแก! ดูซิฟ้าร้องอย่างนี้เขากลัวนี่คะ อยู่ใกล้ ๆ พี่ตุ่นอบอุ่นดีออก โอกาสสองต่อสองหาได้ง่าย ๆ ที่ไหน”ไม่ว่าเปล่ายังคว้าต้นแขนกำยำคล้องแขนตนหมับ


“เธออบอุ่นแต่พี่ร้อนจะตาย แถมยังรู้สึกคลื่นไส้ยังไงไม่รู้” ก้องภพพูดพลางดันศีรษะดนัยที่แนบชิดกับไหล่ให้พ้นตัว แต่ชายใจหญิงยังออเซาะดึงดันหวังเบียดชิดร่างเข้าหาแบบเนื้อสัมผัสเนื้ออยู่อย่างนั้น


“นี่พี่ตุ่นจะห่วงรุ้งไปถึงไหน มันเก่งจะตายรับรองเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว เจ้าย่าก็บอกที่นี่ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด ป่านนี้คงเจอคุณพิรุณพัตต์แล้วมั้ง เห็นไหมจะนั่งหน้ายักษ์อยู่ใย ยิ้มซิคะทำตัวให้สดชื่นหน่อย บรรยากาศออกจะโรแมนติก”ดนัยไล่นิ้วไต่ไปตั้งแต่หัวไหล่แล้ววนไปที่หน้าอกชายหนุ่ม


“มากันสามคนแล้วจะให้พี่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนได้หรือ...รุ้งหายไปทั้งคนอย่างนี้” ก้องภพพ่นลมหายใจแรง ใส่หน้าดนัยแรง ๆ จนเขาต้องเบือนหน้าหนี ปล่อยให้ก้องภพเป็นอิสระจากการกอดรัดทันที


“ใจดำตรงไหน ฝนก็ตก ฟ้าก็ฝ่าเปรี้ยง ๆ เรื่องนี้รุ้งมันทำตัวมันเอง อยู่ดีไม่ว่าดีจุ้นจ้านนักต้องดัดนิสัยให้เข็ด” ดนัยเชิดหน้าสูงเดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม ชักไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่วิศวกรหนุ่มแสดงออก และคำพูดซึ่งกระทบจิตใจดวงเล็ก ๆ ของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า


ดนัยและก้องภพต่างอยู่คนละมุมห้องด้วยความสงบชั่วระยะเวลาหนึ่ง จวบจนสาวใช้ก้าวเข้ามาในห้องด้วยความรีบร้อน “คุณคะ เจ้าพิรุณพัตต์เรียกหา รีบไปที่ห้องรับรองเดี๋ยวนี้เลย เชิญค่ะคุณ...”หล่อนว่าพลางน้อมตัวให้ก้าวตาม


“เดี๋ยวเธอ! เกิดเรื่องอะไร วิ่งหน้าตื่นมาเชียว” ดนัยมองสาวใช้ที่แสดงความตระหนก


“ตะกี้เจ้าพิรุณพัตต์พาสถาปนิกเข้ามาในเรือนแล้วค่ะ ตอนนี้พักอยู่ห้องรับรอง เธอสลบไปตัวงี้เย็นจัด”


“สถาปนิก!” ดนัยหันไปมองหน้าก้องภพด้วย คาดเขาเอาคำตอบ

“อะไรอีก ก็เพื่อนตัวดีของเธอไงสถาปนิก” ก้องภพสวนกลับทันควัน


“อย่าบอกนะว่าพี่ตุ่นหมายถึงรุ้งพราย เล่นอะไรอีกเนี่ย อกอีแป้นจะแตก!” ดนัยกรี๊ดสั้น ก่อนจะเข้าไปคว้าแขนก้องภพก้าวยาวตามสาวใช้ออกไปหารุ้งพรายอย่างรวดเร็ว เวลานี้ทั้งก้องภพกับดนัยต่างร้อนใจ ห่วงรุ้งพราย เพราะถึงเธอจะขึ้นชื่อเรื่องอวดดี ดื้อรั้น แต่ยังไงก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง


ชั่วครู่หลังจากสาวใช้บ้านจันทร์เจ้าขาพาทั้งคู่ออกจากห้องอาหาร ก็มุ่งหน้าสู่ห้องรับรอง ก้องภพรู้สึกร้อนหนาวไปทั้งตัว แต่พอได้เห็นร่างสูงใหญ่ของพิรุณพัตต์ ที่ยืนอยู่ข้างเตียงนอนไม้หลังใหญ่ที่รุ้งพรายหลับสนิทอยู่ ชายหนุ่มก็รู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง และเริ่มหายใจติดขัดเป็นระยะ ๆ แทน สถานการณ์เช่นนี้บอกให้รู้ว่าปัญหาตรงหน้าก้องภพไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เสียแล้ว



ครั้นวิศวกรหนุ่มเดินไปอยู่ข้างเตียงได้มองดวงหน้ารูปไข่ของรุ้งพรายใกล้ ๆ เขาจึงโล่งใจ เธอดูไม่เหมือนคนป่วยอย่างที่เป็นห่วงนัก ดวงหน้าสวยหลับตาพริ้มพ่นลมหายใจแผ่วเบาออกมาในจังหวะเป็นปกติ ส่วนดนัยที่ตกใจหวีดร้องมาตลอดทางเดิน เขาสงบสติตนเองลงทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่จ้องเขม็งมองเขา คือพิรุณพัตต์เจ้าของบ้านหลังนี้



“คุณพิรุณพัตต์ไปเจอรุ้งพรายที่ไหนครับ” ก้องภพถามเสียงสั่น ตั้งใจเลี่ยงไม่สบสายตา


“รุ้งพรายหรือ ชื่อเพราะดีนี่ หึ ๆ” พิรุณพัตต์ทวนชื่อหญิงสาวด้วยน้ำเสียงชวนสนเท่ห์



“ใช่ครับรุ้งพราย” ก้องภพพยักหน้ารับ และเอะใจว่าผู้ชายคนนี้รู้ความลับอะไรอีกละ ถึงได้ทำเสียงเย็นเยียบขู่ขวัญเขานัก


“ว่าแต่เด็กคนนี้ คือสถาปนิกที่คุณตุ่นพามาใช่ไหม? ” พิรุณพัตต์เอ่ยถึงคนที่นอนสลบไม่ได้สติ แถมยังตีขลุมเอาเองว่าเธอเป็นสถาปนิก


“เอ่อ...ยังไงดีล่ะ ประมาณนั้นล่ะครับสถาปนิกก็สถาปนิก” ก้องภพจำยอมพูดปดไปตามน้ำ เขาตกกระไดพลอยโจรอย่างเลี่ยงไม่ได้ ส่วนดนัยที่ยืนอยู่ข้างกัน ก็อยู่ในอาการจับต้นชนปลายไม่ถูก


“ผมเจอแม่คนนี้ตรงตีนสะพาน เห็นเดินอยู่คนเดียวก็กลัวจะหลง อย่างที่รู้ด้านหลังบ้านจันทร์เจ้าขาเป็นป่าสน ในนั้นมันมีตัวอะไรน่ากลัวไม่ใช่เล่นเลยนะครับ เดินซุกซนได้ที่ไหน ยิ่งตัวเท่าลูกแมวอย่างนี้! ” พูดจบเขาก็หันไปที่ดนัยซึ่งยืนทำหน้าเหลอหลา


“แล้วนี่ใคร ผู้ช่วยคุณก้องภพรึเปล่า”


“เอ่อ...เป็นเพื่อนรุ้งพรายครับชื่อดาด้า” ก้องภพดันหลังให้ชายจริตหญิงยืดตัวตรง


ดนัยฉีกยิ้มกว้าง ตาโตเบิกกว้างก่อนจะยกมือไว้พิรุณพัตต์ พยายามเก็บอาการตุ้งติ้งสุดฤทธิ์


“บ้านจันทร์เจ้าขายินดีต้อนรับนะ ทำตัวตามสบาย” เขาเหยียดยิ้มชวนขนหัวลุกให้ดนัย


“ต้องขอโทษแทนน้องสาวผมด้วย อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่องแต่ถ้าลองได้นอนแบบนี้คงหลับยาวเลยล่ะครับ รับรองว่าไม่มีแรงลุกขึ้นมาก่อเรื่องกวนใจได้แหง ๆ ”


“อืม แต่ผมชอบให้เธอลุกขึ้นมาก่อเรื่องมากกว่านะ มันทำให้รู้สึกว่ามีอะไรให้ทำเยอะแยะดี” พิรุณพัตต์พูดติดตลก เพ่งสายตามองไปยังคนที่หลับสนิท สายตานั้นดูห่วงใย อ่อนโยน จนก้องภพนึกหวงน้องสาว ที่แท้ก็หัวงูไม่ต่างจากคนอื่น ผู้ชายก็พรรค์นี้ทั้งนั้น


“โอ้โหขนาดนั้นเลยหรือครับ นี่สงสัยรุ้งจะเป็นตัวป่วนให้คุณพิรุณพัตต์ ปวดหัวแน่ๆ เลย” ก้องภพฮึ่ม ๆ แสดงให้รู้ว่า รุ้งพรายอยู่ในความดูแลเขา ไม่ใช่ใครจะเร่ขายขนมจีบกันง่าย ๆ ถึงจะเป็นเจ้ารูปหล่อ รวยก็ตาม


“ไม่หรอกผมว่าเธอคุยสนุกดี เอ...แล้วเมื่อกี้เห็นเรียกว่าน้องสาว เด็กคนนี้เป็นน้องคุณก้องภพอย่างนั้นหรือ”


“เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน คุณแม่ผมเป็นป้ารุ้งของรุ้ง ก็คนนี้ล่ะครับที่ผมไหว้วานให้ช่วยซ่อมหนังสือให้ รุ้งเค้าเปิดร้านซ่อมหนังสือ ชื่อร้านบุปผาสวรรค์ เขาเป็นเด็กดี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ถึงจะดื้อรั้น เอาความคิดตัวเป็นใหญ่บ้าง แต่ก็เป็นที่รักของเราทุกคน ไม่เคยออกนอกร่องนอกรอย!” ก้องภพอธิบายยาวไปหน่อยจนคนฟังนึกแปลกใจ


“ไม่น่าเชื่อนะครับ เห็นตัวเล็ก ๆ แต่เก่งตั้งหลายเรื่อง ” พิรุณพัตต์ทำหน้าไม่เชื่อในความสามารถรุ้งพราย ทั้งยังนึกขำมาดหวงน้องสาวของวิศวกรหนุ่ม


“แล้วรุ้งยังเป็นแฟนพันธุ์แท้นิยายคุณด้วย” หางเสียงเขาแข็งนิด ๆ กระนั้นพอได้พูดถึงสิ่งที่อัดอั้นในใจ ก้องภพก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างน้อยก็ได้บอกเรื่องราวของเธอให้ชายหนุ่มฟังแล้ว


“เก่งไม่หยอก ซ่อมหนังสือโบราณก็ได้ แถมเป็นสถาปนิกอีก” พิรุณพัตต์ย้อนกลับมาเรื่องเดิมอีกนั้นแหละ เขาเน้นคำพูดตนเองเหลือเกิน โดยเฉพาะคำว่า‘สถาปนิก’ ซึ่งทำให้ก้องภพและดนัยหน้าซีดพอกัน ทั้งคู่จึงเข้าใจแล้วว่า ‘วัวสันหลังหวะ’ เป็นเช่นไร


“แล้วรุ้งพรายยังเป็นอีกอย่างด้วยนะคะ อันนี้เก่งยิ่งกว่า ” ดนัยหันเห ความสนใจพิรุณพัตต์ด้วยคาดว่าเขาพยายามจะจับผิดรุ้งพรายในเรื่องการเป็นสถาปนิก


“หืม...ว่าไง” พิรุณพัตต์ยิ้มน้อย ๆ ไม่บอกก็รู้ว่า เขาแสร้งทำ


“นักเขียนค่ะ รุ้งพรายเป็นนักเขียน รุ้งมันชอบเขียนวรรณกรรมเยาวชนมาก แล้วไอดอลของรุ้งก็คือเจ้าพิรุณพัตต์นี่แหละ”


“จริงเหรอ ไม่น่าเชื่อ ฮ่ะ ๆ ” พิรุณพัตต์หัวเราะ น้ำเสียงเจืออาการเย้ยนิด ๆ


“ทำไมล่ะคะ” ดนัยหันไปมองร่างสูง นึกเคืองพ่อรูปหล่อไม่น้อย


“ก็ถ้าเขียนงานเด็กดูแล้วคงมันขัดกันพิกล ยายเปี๊ยกนี่ออกจะแก่นแก้วไปหน่อย ผมว่าน่าจะเขียนพวกบู๊ล้างผลาญคงจะเข้าท่ากว่า ” ดวงตาเขาเกิดประกาย


“แหม ผู้หญิงอย่างรุ้งพรายแข็งนอกอ่อนในค่ะ เห็นห้าว ๆ เอาเข้าจริงหวานไม่มีใครเกิน”


“ถ้าพูดเกินจริงผมปรับนะ” พิรุณพัตต์เสียงขรึม สีหน้าสีตาเปลี่ยนมาเป็นจริงจัง


“อุ้ย...คุณพิรุณพัตต์ จะใจร้ายกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างดาด้าได้ลงคอเชียวหรือ”


“ผมพูดจริงไม่ได้ล้อเล่น”สายตาที่ใช้มองดนัยทำให้อีกฝ่ายหนาวจับใจ ผู้ชายคนนี้บทจะโหดก็เหลือหลาย


“เอาล่ะครับผมว่าให้รุ้งพักผ่อนดีกว่า เดี๋ยวตื่นขึ้นมาจะได้รีบกลับกันเลย” ก้องภพเห็นท่าไม่ดีจึงฉุดแขนดนัย เตรียมจะก้าวจากไป


“จะรีบกลับทำไมฟ้ายังปิดอยู่เลย พักที่นี่เถอะ อีกอย่างสถาปนิกผมจะได้มีแรงทำงานต่อในวันพรุ่งนี้ งานซ่อมชั้นหนังสือยังไม่ไปถึงไหนใช่ไหมครับคุณตุ่น” นักเขียนหนุ่มทวงงายกลาย ๆ


“โอ๊ย...ผมลืมเสียสนิทว่าผมมีงานชิ้นใหญ่รออยู่ ยังไงเรื่องออกแบบชั้นหนังสือ จะเรียบร้อยอย่างไม่มีทีติในเร็ว ๆ นี้แน่นอน ส่วนเรื่องพักค้างคืนคงไม่ไหว แค่นี้ก็สร้างความเดือดร้อนมากแล้ว ขอตัวเคลียร์ของแป๊บนึงนะครับ พอรุ้งตื่นปั๊บผมจะพากันยกโขยงกลับทันที”


“บอกแล้วไง ไม่ต้องรีบกลับ พวกคุณทำให้บ้านจันทร์เจ้าขาคึกคักดีออก นาน ๆ จะมีแขกมาเยือนที ที่สำคัญผมยังมีงานสำคัญชิ้นใหญ่ให้คุณตุ่นต้องออกแรงอีกเยอะ เชื่อผมพักที่นี่เถอะรับรองผมจะดูแลทุกคนอย่างดี” พิรุณพัตต์พูดพลางหันไปหยิบซองกระดาษสีน้ำตาลยื่นให้วิศวกรหนุ่ม


“ด้านในมีแปลนที่ผมร่างไว้นานแล้ว ฝีมือเด็กไปสักหน่อย แต่คงพอดูรู้เรื่อง เปิดดูสิ”


ก้องภพรับแปลนงานชิ้นใหม่ด้วยมือสั่นเทา ทั้งที่พยายามจะเปิดแบบในซองดู แต่เหมือนแรงในตัวจะเหือดหาย เขาทำซองกระดาษสีน้ำตาหล่นลงไปอยู่บนพรมสีชมพูอ่อน ดนัยที่ตั้งตัวได้ทันก่อนกลัวก้องภพจะเสียหน้าจึงรีบก้มลงหยิบ พร้อมถือโอกาสเปิดซองกระดาษดูภาพด้านใน “เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อนน้า” ดนัยทำท่าคิดติ๊กต๊อก
“พูดอะไรของเธอ”


“ก็จริงนี่ ไม่เชื่อก็ดูเอาเอง” ดนัยยืนกระดาษใส่มือก้องภพด้วยอารมณ์ประชดประชัน


“เอ...ยังไง บ้านไม้สีฟ้า”ก้องภพมองปราดเดียวก็นึกถึงบ้านชายทะเลหลังเล็กของครูทองก้อน พ่อของรุ้งพราย วิศวกรยกมือข้างหนึ่งเกาศีรษะแกรก ๆ ลืมตัว ยิ่งเปิดไล่ดูรูปด้านต่าง ๆ เขาก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่แค่คล้ายกันหากว่าคือหลังเดียวกันเลยต่างหาก! เจ้าชายต่างดาวคนนี้ กำลังเล่นตลกอะไรกันแน่...


“รอให้สถาปนิกผมตื่นเสียก่อนค่อยคุยกันดีกว่าไหม อย่าเพิ่งใจร้อนเลย”


“แต่”ก้องภพ ครั้นคร้ามใจ แต่สิ่งที่เจ้าของบ้านหนุ่มแสดงออกทำให้เขาร้อน หนาวปานจับไข้


“รอสักหน่อยเถอะ ค่อย ๆ คิดก็ได้ คุณกับผมเราต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายวันจริงไหม!”
พอพิรุณพัตต์เอ่ยอย่างนี้ก้องภพก็ไม่รอช้า เขาผงกศีรษะขอลาขาดไปตั้งหลักเสียก่อนถึงจะห่วงน้องสาวจับใจ แต่ก็ยังชื้นใจอยู่บ้าง ด้วยในห้องนั้นยังมีสาวใช้เฝ้าไข้อยู่หลายคน ทั้งของเจ้าของบ้านก็รับปากว่าจะดูแลรุ้งพรายอย่างดี ดังนั้น อาการหวง และเป็นห่วงจึงทุเลาลงไปนิดนึง




ก้องภพออกมาตรวจสอบความเรียบร้อยงานที่ทำค้าง ทั้งการตบแต่งซุ้มประตูไม้ รวมถึงงานซ่อมแซมพื้นห้องสมุด ถึงงานตบแต่งภายในจะเสร็จ แต่ในส่วนการออกแบบชั้นหนังสือยังคงมืดแปดด้าน ชายหนุ่มอยู่ในอาการเครียดจัด จริงอยู่รุ้งพรายเก่งหลายเรื่อง แต่งานเฉพาะด้านอย่างการออกแบบนี้ไม่ง่ายเลย ยิ่งเจ้าของคือพิรุณพัตต์ซึ่งมีรสนิยมแปลกปนสยองขวัญ งานนี้ทั้งเขาทั้งน้องสาวอาจจะตกม้าตาย จากการเล่นละครตบตาพิรุณพัตต์ก็เป็นได้


ก้องภพถอนหายใจหนักหน่วง ตั้งจิตภาวนาขอให้บุญเก่าที่เคยทำไว้น้อยนิด ส่งผลให้ตนแคล้วคาดจากปมปัญหาอันใหญ่หลวงนี้ แต่เขาหารู้ไม่ว่าเรื่องทั้งหมดล้วนเกิดจากเล่ห์กลของเจ้าของบ้านหนุ่ม ผู้วางแผนเอาไว้แต่แรก


หลังจากเรื่องชวนปวดหัวคลี่คลายลง วิศวกรหนุ่มก็เข้าไปตรวจสอบงาน และถึงจะทั้งขู่ทั้งพูดดีด้วยก็แล้ว แต่ดนัยยังไม่เลิกทำตัวติดเขาเป็นปาท่องโก๋ ชายใจหญิงเดินพันแข้งพันขาผ่านซุ้มประตูไม้ที่พึ่งตบแต่งเสร็จ เขาต้องตะลึงกับความงดงามของเครื่องเรือน รวมไปถึงภาพวาดที่แขวนอยู่ตรงผนังห้อง


ก้องภพปล่อยให้ดนัยอยู่กับภาพดั่งในฝันตามลำพัง ชายหนุ่มต้องเร่งมือเก็บรายละเอียดงานทั้งหมด พอเดินสำรวจรอบพื้นที่การทำงาน ก็เห็นว่าทั้งมานะกับย้งได้เก็บเครื่องมือ พร้อมกับทำความสะอาดจบขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ป่านนี้สองคนคงเตรียมตัวจะกลับกรุงเทพฯ ไม่ก็มัวไปจีบสาวใช้บ้านจันทร์เจ้าขาอยู่


ชายหนุ่มหยิบกล้องดิจิตอลติดมือมาด้วย เขาต้องถ่ายรูปและบันทึกข้อมูลส่งให้กับบริษัทฯ แต่พอเหลือบมองไปยังมุมผนังห้อง ก็พบภาพขัดตาซึ่งสิ่งนั้นตอกย้ำให้ตระหนักถึงงานที่ต้องจัดการให้เสร็จโดยด่วน ชั้นหนังสือไม้ส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ มาถึงเขา และกลิ่นเดียวกันนี้ละที่สร้างความพรั่นพรึงจนขนลุก ก้องภพจิตตกเพราะหากความจริงเรื่องสถาปนิกจำแลงเปิดเผย เขาจะแก้ตัวกับพิรุณพัตต์อย่างไร



“เฮ้อ...” ก้องภพถอนหายใจเสียงดัง ดนัยเลยหันมาทำหน้ายุ่งใส่ทันควัน


“แน่ะพี่ตุ่นเป็นงี้อีกล่ะ เครียดทีไรก็ตีหน้ายักษ์ ไม่เบื่อบ้างหรือยังไง”


“แหงซิ เชื่อไหมว่าพี่เครียดได้มากกว่านี้อีก ถ้าเธอไม่เลิกตอแย เข้าใจคำว่า ‘เป็นส่วนเกิน’ บ้างไหม ” เอ่ยจบก็ส่ายหัวช้า ๆ เมื่อเห็นอนาคตของตนซึ่งต้องไปแขวนอยู่กับฝีมือสถาปนิกอย่างรุ้งพราย ซึ่งตอนจบคงไม่สวยเท่าไหร่


“นี่ใช่ไหมชั้นหนังสือที่รุ้งจะออกแบบ พี่ตุ่นก็พูดไปได้ อย่างยายรุ้งม้าดีดกะโหลกนี่นะจะเป็นสถาปนิก!”


“ยังจะมาซ้ำเติมอีก พวกเธอนั่นล่ะบังคับให้พี่พามาบ้านจันทร์เจ้าขา จนลืมเรื่องหาสถาปนิกมาออกแบบงานให้เขา โอ๊ย...รู้ไหมว่าตอนนี้พี่ปวดหัวแค่ไหน”


“อย่างพี่ตุ่นมีลืมด้วย ไม่ใช่ล่ะ เค้าดูออกนะสงสัยมัวแต่ไปหลีหญิงมากกว่า พูดแล้วเคืองขึ้นมาเลย”


“เธอเคืองอะไร ตอนนี้ต้องรีบมาแก้ปัญหาดีกว่า ไหน ๆ ก็จับแพะมาชนแกะแล้ว”


“รู้ล่ะ นิสัยชอบอำเป็นเด็กเลี้ยงแกะยายรุ้งมาจากใคร ตัวพ่อคือพี่ตุ่น ที่เสี้ยมให้มันเป็นคนมุกเยอะ”


“ว่าพี่เป็นพวกสิบแปดมงกุฎชอบสร้างเรื่องเหรอ เดี๋ยวเถอะ ”


“ร้อนตัวเชียว บอกตามตรงเค้าดูออกตั้งแต่แรกแล้ว ที่พารุ้งกับดาด้ามาเนี่ย พี่ตุ่นน่ะยังไม่ได้นัดกับคุณพิรุณพัตต์ไว้ด้วยซ้ำ นี่ก็ข้อหนึ่ง แล้วข้อสองเรื่องให้รุ้งเป็นสถาปนิกนั่น พี่ก็มั่วนิ่มเองเพราะกลัวเสียหน้า เห็นไหมทั้งหมดความผิดใครกันแน่ อุบอิบไว้ทั้งหมดเลย คิดว่าเค้าโง่ ดูไม่ออกอย่างงั้นหรือ” ดนัยชู้นิ้วชี้ขึ้น เขาส่ายไปมาหวังจะให้ก้องภพยอมรับผิด


“ขืนพูดไม่เกรงใจ พี่จะจับโยนลงไปข้างล่างเลย เอาไหม”


“ดูสิเอะอะก็ใช้กำลังเชอะ ไม่คุยด้วยแล้วคนอะไรขี้โมโหไม่น่ารักเลย” พูดจบดนัยก็หมุนตัวห่างเขา ชายจริงหญิงดนัยเดินรอบ ๆ ห้องอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็น ทั้งกลิ่นและบรรยากาศทำให้ตกอยู่ในอารมณ์ศิลปิน


ดนัยหยิบสมุดขึ้นมาจดอย่างรวดเร็ว ความคิดฉายขึ้น เขามองเห็นภาพร่างหน้าปกชุดนิยายมนตราแห่งรักซึ่งออกแบบค้างไว้ ครั้นจดข้อมูลได้ประเดี๋ยวก็พุ่งตัวไปยังหน้าต่าง มองภาพในช่วงเวลาฟ้าหลังฝนอย่างตื่นตาตื่นใจความสดชื่นรวมกับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ ที่กำลังส่องกระทบกับต้นไม้ สนามหญ้า รวมถึงซุ้มเรือนไม้สีขาวนั้นเป็นเหมือนภาพฝันงดงาม เขาก็กดบันทึกรูปต่าง ๆ ด้วยมือถือของตน นี่ละภาพชิ้นโบแดงที่เขามุ่งมั่นว่าจะใช้ในการออกแบบหน้าปกหนังสือชุดมนตราแห่งรัก


“พี่ตุ่นรู้ไหม ดาด้าคิดมาตลอดเลยว่า อยากจะมีบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่กับธรรมชาติร่มรื่น”


“งั้นเธอก็อยู่ที่นี่เสียให้หายอยากเลยสิ” ก้องภพสัพยอกดนัย ไม่ทันสังเกตความรู้สึกอีกฝ่าย


“ได้จะอยู่ที่นี่ล่ะ แต่พี่ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนด้วยโอเคไหม” ดนัยคว้าหมับที่แขนก้องภพ เขาคล้องไว้กับแขนตน วิศวกรหนุ่มมองตาขวาง เขาเตรียมจะเอ็ดตะโร แต่ไม่ทันจะส่งเสียงดนัยก็ชิงเอามือมาปิดปากเสียก่อน


“ชู่วว์”


“อะไรของเธอ” ก้องภพปัดมือดนัยออกเป็นพัลวัน หากชายใจหญิงทำตัวเป็นปลาหมึกลากเขาไปชิดชั้นหนังสือโบราณ หลบจากบางสิ่งที่ก้องภพยังไม่ทันสังเกตเห็น


จากอาการตื่นตาตื่นใจเมื่อครู่พลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดนัยหวาดกลัวจัดพลอยให้ก้องภพต้องระวังตัวเก็บเสียงเงียบตามไปด้วย และเขาไม่ลืมจะกดกล้องบันทึกทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น


“อะไร?” ก้องภพกระซิบกระซาบ หากได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ตอบ ยิ่งตอกย้ำความอยากรู้เพิ่มทวีคูณ


“เงียบซิ มันเข้ามาแล้ว” ดนัยเสียงสั่น หวาดกลัวจับจิตแทบทรงตัวไม่อยู่


“เป็นบ้าอะไรของเธอ” ก้องภพตวาดขึ้น ชั่วขณะนั้นดวงตาดนัยแดงก่ำ พร้อมกับมีน้ำตาคลอหน่วยร่างเขาสั่นเทิ้ม ส่งเสียงครางด้วยความพรั่นพรึง แวบแรกก้องภพคิดจะบอกให้ดนัยเข้มแข็ง ทว่าเมื่อมองไปที่ผนังฝั่งตรงข้าม ก็เป็นเขาเองที่ต้องขนลุกไปอีกคน


บางอย่างเคลื่อนผ่านหน้าไปเพียงแวบเดียว มันก็ทำให้ก้องภพเสียวสันหลังวาบ พอมองไปจุดที่เงานั้นหายลับตา วิศวกรหนุ่มเกือบจะลืมหายใจ!


หลังจากนั้นเสียงหนึ่งก็ขับขึ้น มันดังต่อเนื่องด้วยทำนองสุดประหลาด แล้วตามด้วยการหายใจอันหนักหน่วงของบางสิ่ง ก้องภพอึดอัด หนาวจัดไปทั้งร่าง วินาทีพิศวงสร้างความเย็นชื้นโอบคลุมทั่วห้องหนังสมุด


ก้องภพพยายามข่มหวาดกลัวไว้ภายในใจ ถึงไม่แน่ชัดนักว่าสิ่งนั้นคือตัวอะไร แต่สัมผัสที่รับรู้ได้มันคือสิ่งมีชีวิต ส่วนดนัยนั้นหลับตาปี๋คงจะกลัวมาก จนไม่กล้าเพ่งมองสิ่งที่คืบคลานเข้ามาใกล้ตน


จังหวะนั้นเองที่ร่างสั่นเทาของดนัยชนเข้ากับชั้นหนังสือไม้ซึ่งสภาพใกล้พังเต็มที ก่อให้เกิดเสียงลั่นเอี๊ยดเสียงนั้นส่งต่อไปที่เงาสีดำซึ่งขยายใหญ่อยู่เบื้องหน้า ดนัยขดตัวชิดอกกว้างก้องภพด้วยความขวัญผวา ชายหนุ่มรุ่นพี่นึกสงสารจึงโอบไหล่ปลอบพลางตะโกนขับไล่สัตว์ประหลาด


“เฮ้ย!” ไร้เสียงขานรับ ก้องภพสูดลมหายใจลึก เรียกกำลังใจให้ตนกล้าพอที่จะก้าวออกมาจากชั้นหนังสือไม้ก่อนมันจะล้มครืน และพอมาในจุดที่ควรจะมีเงาตะคุ่มสีดำ เขาก็หนาวไปทั้งสรรพางค์กายเท้าเปล่าเปลือยเหยียบลงไปบนผิวน้ำเย็นชื้น วิศวกรหนุ่มสะดุ้งโหยง ไม่ทันปริปากดนัยก็กรีดร้องลั่น


“นั่นมัน ว้าย...ไม่เอาแล้ว” สิ้นเสียงดนัยก็วิ่งหายหนีไปทิ้งก้องภพให้เผชิญกับความลี้ลับเพียงคนเดียว
วิศวกรหนุ่มตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้างจ้องเขม็งไปยังร่างปริศนา!


สิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นวิญญาณร้ายหรือภาพชวนให้สยองเกล้า กระนั้นเข่าทั้งสองข้างก็ทรุดฮวบลงไปกองบนพื้น เงาสีดำที่ขยายทาบผนังห้องเคลื่อนผ่านไปอย่างเร็ว ถึงจะเกิดขึ้นชั่วพริบตา เขาก็มั่นใจว่าตัวประหลาดสีเขียวอมฟ้าขนาดมหึมานั้น มันมีหางเป็นปลา!



เขมปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ค. 2554, 17:44:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ค. 2554, 18:05:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1641





<< บทที่ ๔    บทที่ ๖ >>
หมูแพนด้า 19 ก.ค. 2554, 20:21:30 น.
มันน่าเจ็บใจที่ทิ้งกันได้ยามคับขันเนี่ยะแหละ...55555


เขมปัณณ์ 21 ก.ค. 2554, 21:42:49 น.
คุณ หมูแพนด้า ครับ ไม่ได้ตั้งใจทิ้งกันครับ มันตื่นเต้นมากไปหน่อยก็เท่านั้น

ขอบคุณที่ติดตาม คร้าบ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account