พระจันทร์ซ่อนรัก
เธอแอบใช้มือเล็กๆบังไม่ให้เขาเห็นแล้วเขียนข้อความนั้นลงไป “ขอให้ผู้ชายคนนั้น เป็นคุณ...พัตต์”
รุ้งพรายลงท้าย ประโยคด้วยตัวอักษรโต ๆ ซึ่งไม่ต่างจากหัวใจที่ตอนนี้มันพองฟูคับอกแล้ว!

............

เล่ห์ร้ายหรือมนตราใดๆ ก็ไม่อาจซ่อนใจเขาและเธอ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๖

บทที่ ๖


รุ้งพรายตกใจตื่นขึ้นมาช่วงหัวค่ำ พอพบว่าตนอยู่ในที่แปลกตาก็ยิ่งประหวั่นใจ จวบจนสายตาปรับเข้าจึงกวาดตามองไปรอบตัว เธอเห็นชายคนนั้นนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียงแถมยังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้อีก อาการเมื่อครู่เลยเปลี่ยนเป็นอารมณ์ขุ่นมัวแทน รุ้งพรายไม่รอช้ารีบยันตัวขึ้นประจันเขา



“ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกเธอ ไม่สบายก็นอนต่อเถอะ ”เขาโบกมือห้าม ริมฝีปากได้รูปขยับรอยยิ้มยั่วล้อพิรุณพัตต์มองดวงหน้าซึ่งเริ่มมีสีเลือดฝาด ถึงเธอจะอยู่ในอาการงัวเงียหน้ายุ่งนิด ๆ แต่ก็ดูสวยจนไม่อาจละสายตาได้ ทั้งผมยาวเป็นลอนสลวยสีน้ำตาลอ่อน ดวงตากลมโต ที่ดูมีเสน่ห์ในแบบหญิงสาวสุดรั้น


รุ้งพรายเพ่งไปยังชายหนุ่มอย่างใคร่รู้ แล้วพิรุณพัตต์ก็ตอบกลับด้วยสายตาแบบเดียวกัน ชั่วครู่ก็เป็นเธอที่ต้องหวั่นไหว รุ้งพรายรีบหาทางออกด้วยการส่งเสียงโวยกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง


“เพ้อเจ้อ คุณมาจุ้นจ้านกับฉันทำไม” เธอลุกออกมายืนอีกฝั่งหนึ่งของเตียง กอดอกแน่นกุมหน้าอกตนเองไว้ด้วยรู้สึกตัวเบาหวิว จากเสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีขาวตัวยาวพลิ้ว พลอยให้สรรพนามเรียกแทนตัวแบบทอมบอยหายไปด้วย



ความเย็นชื้นที่โรยตัวอยู่ในบรรยากาศทำให้ร่างบอบบางสั่นไหวน้อย ๆ พิรุณพัตต์เดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับเสื้อคลุมลายดอกไม้สีฟ้าสดใส หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น วางสีหน้าไม่ถูก จนเขาต้องช่วยสวมเสื้อคลุมให้
เธอสะดุ้งถอยหลบ ไม่ใช่เพราะความกลัวหรือรังเกียจ หากเพราะความหวั่นไหวที่ก่อขึ้นท่วมใจต่างหาก!


วินาทีนี้ท่าทางแก่นแก้วซึ่งสวมบทบาทตั้งแต่เช้าหายไปหมดสิ้น ตัวตนที่แท้จริงเผยออกมาต่อหน้าชายหนุ่ม ทั้งความงามสดใสรวมถึงกริยาอันเป็นธรรมชาติ และสิ่งพิเศษกว่านั้นที่เขาสัมผัสได้ก็คือ รุ้งพรายเป็นผู้หญิงน่าค้นหา มีทั้งความอ่อนหวานอ่อนโยน ซ่อนอยู่ภายในท่าทางเข้มแข็งอวดดี


“ฉันมาอยู่นี่ได้ไงตายักษ์วัดแจ้ง”


“ดูซิ ตื่นขึ้นมาก็เสียงดัง สงสัยความทรงจำจะเสื่อมไปชั่วขณะใช่ไหมเลยจำอะไรไม่ได้ ก็เธอสลบไป ฉันก็อุ้มมานอนที่นี่ละ” คำตอบเขาทำเอารุ้งพรายหน้าแดงจัด


“อุ้ม!...”คนตัวเล็กหวีดลั่นใส่หน้าเขา ตกใจไม่เท่าไหร่หากรู้สึกอายเสียมากกว่า


“ก็ใช่ อยู่ ๆ ก็วิ่งพรวดออกมาจากซุ้มไม้ ฝนตกพอดี เธอคงตกใจฟ้าฝนเลยวูบไปเลย ดีนะที่ฉันช่วยไว้ทัน”ชายหนุ่มไม่พูดเปล่า ยังทำมือแสดงประกอบล้อเลียน รุ้งพรายเม้มริมฝีปาก ขึงตาโตแสดงอาการบอกให้เขาหยุดได้แล้วก่อนที่เธอจะพุ่งเข้าไปจัดกายร่างสูงใหญ่นั้น


“แล้วนายพาฉันมาที่นี่ทำไม... พี่ตุ่นละ ดาด้าด้วย ทุกคนไปไหนหมด!” รุ้งพรายใจดีสู้เสือไม่ไหวเสียแล้ว อยู่กับผู้ชายคนนี้เธอทั้งหวั่นไหว ไม่เป็นตัวเองอย่างที่สุด ยิ่งเพ่งมองเขายามนี้ เสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่แบบคนสวนที่เธอเห็นแต่แรก รุ้งพรายก็ยิ่งใจเสีย


“คุณตุ่นพึ่งออกไปก่อนเธอตื่นแป๊บเดียวเอง ส่วนเพื่อนเธอน่ะกลับไปหลังตั้งฝนหยุดตกได้ไม่นาน เห็นว่ามีงานด่วนต้องทำเลยอาศัยรถช่างกลับกรุงเทพฯตั้งแต่ตอนบ่าย”เขาอมยิ้ม ประเมินเธอด้วยสายตา


“ไหงเป็นงั้นดาด้าชิ่งหนีเหรอ เดี๋ยวต้องโทรคุยกันหน่อย” รุ้งพรายรู้สึกโกรธจนหน้างอคว่ำ สาเหตุไม่ใช่ดนัยที่ทิ้งเธอไป หากเป็นเพราะเขาที่ดูเหมือนจะรู้ถึงความในใจเสียทุกอย่าง


“จะคุยโทรศัพท์ช่วงนี้คงยาก หลังฝนตกสัญญาณที่นี่มันหล่ม คงต้องรอจนสว่างทุกอย่างถึงจะเป็นปกติ” เขาเสยผมยาวตนเองที่ปรกหน้า ท่าทางก็ประหม่าไม่ต่างกันสักเท่าไหร่


“แล้วนี่มาเฝ้าฉันทำไม” รุ้งพรายกอดตัวเองแน่น พยายามหลบสายตาของเขาซึ่งจับจ้องมา


“อืม...พูดง่าย ๆ ก็ในฐานะเจ้าของบ้านที่ดีและกลัวเธอจะหนีกลับไปก่อนที่งานสำคัญของฉันจะเรียบร้อย” พิรุณพัตต์พยายามจับพิรุธรุ้งพราย “เจ้าของบ้าน! นี่ยังไม่เลิกเล่นอีกหรือ” รุ้งพรายหวั่นใจ หมอนี่ย้ำเหลือเกินว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้


“ก็มันเรื่องจริง เธอนั่นล่ะที่ไม่ยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็น” เขาหรี่ตาลง สาวเท้าเข้ามาจนเกือบชิดร่างเธอแล้วจู่ ๆ ก็เหมือนคิดอะไรได้ ร่างสูงใหญ่ถอยห่างกับไปครึ่งก้าว ด้วยหัวใจชายหนุ่มเต้นแรง เขากำลังสูญเสียความเป็นตนเองเมื่ออยู่ใกล้ ๆ ร่างบอบบางและดวงหน้าสวยหวานของเธอ


“ขอบอกให้เธอฟังชัด ๆ ฉันคือเจ้าของบ้านจันทร์เจ้าขา แต่เธอก็ไม่ผิดนะ ที่เดาว่าฉันเป็นคนสวนหรือเป็นยาม พูดกันตามตรงทั้งหมดนั้น ฉันทำเองด้วยสองมือนี่แหละ”เขายกฝามือใหญ่ขึ้นให้เธอดูและขยับนิ้วทั้งสิบไปมา และเธอเห็นเธอค้อนควักให้ เขาก็หยุดเสีย ชายหนุ่มวุ่นวายใจไม่น้อยนี่เขาต้องเสียคนเพราะผู้หญิงที่ชื่อรุ้งพรายจริง ๆ ใช่ไหม


พอได้ฟังความจริงรุ้งพรายก็ตกที่นั่งลำบาก ไม่รู้จะแก้ตัวกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง จึงได้แต่ลื่นตามน้ำไปเรื่อย “พูดเป็นเล่น นี่ฉันฝันอยู่รึเปล่า” เธอทำเสียงทะเล้น แต่เขากลับบิดมุมปากลง คล้ายกำลังต่อว่าเธออยู่ จนรุ้งพรายนึกหมั่นไส้


“ไม่เชื่อ ก็ถามเด็ก ๆ ดูสิ” เขาบุ้ยใบ้ไปที่มุมห้อง รุ้งพรายหันตามจนเห็นตรงโต๊ะไม้เล็ก ๆ มีสาวใช้สองคนนั่งสัปหงกอยู่ พอนักเขียนหนุ่มกระแอมขึ้น พวกหล่อนก็ผวาตกใจตื่น


“เจ้าเรียกหาหรือคะ มีอะไรให้รับใช้คะเจ้า” สาวร่างท้วมค้อมตัวเดินเข้ามาหาพิรุณพัตต์


“เดี๋ยวถ้าเจ้าย่าถาม ก็บอกว่าฉันพาเด็กคนนี้ออกไปสูดอากาศข้างนอก เข้าใจไหม”


“ค่ะเจ้า” สาวรับใช้รับคำพร้อมเดินออกไปเปิดประตูห้องรับรอง


“เจ้า!” รุ้งพรายมองร่างตรงหน้าด้วยความงงงัน ชายคนนี้รู้จักชื่อเธอด้วย แถมสาวใช้ยังเรียกเขาว่า ‘เจ้า’ ตอนนี้เธอรุ้งพรายไม่อยากจะคิดเลยว่าหากเขาคนนี้คือนักเขียนในดวงใจเธอจะทำยังไง


“คิดอะไรอยู่หรือเปล่า คุณรุ้งพราย...” ชายหนุ่มส่งยิ้มกรุ่มกริ่ม


“นี่แกล้ง ยั่วฉันใช่ไหม ถามหน่อยคุณคิดว่ารู้จักฉันดีแค่ไหนเชียว” รุ้งพรายแหวออกไป ไม่คาดคิดสักนิดว่าชายคนนี้จะล่วงรู้ถึงตัวตนเธอจริง ๆ


“ไม่มากไม่น้อยก็แล้วกัน เริ่มต้นที่แม่เธอชื่อบุปผาเป็นนักเขียนแนวโรมานซ์ชื่อดัง ส่วนเธอก็เป็นนักเขียนเหมือนกัน แล้วตอนนี้ก็เป็นสถาปนิกของฉันด้วย!” คราวนี้พิรุณพัตต์เผยสิ่งที่รู้ไปมากหน่อย อีกฝ่ายจึงจ้องเขาตาโต


“อะไรนะสถาปนิก! พูดเองเออเอง มันไม่เกินไปหน่อยรึ”


รุ้งพรายเท้าสะเอว พยายามยืดตัวเพื่อให้สูงเทียมเขา แต่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องตลก เธอเทียบได้เพียงแค่ไหล่พิรุณพัตต์เท่านั้น เขาหัวเราะในลำคออยู่สองสามครั้งแล้วก็ผายมือให้เธอเดินตามออกไปด้านนอก


รุ้งพรายบ่นกระปอดกระแปดไปตลอดทาง เธออยากให้เขาตอบสิ่งที่อยากรู้เร็ว ๆ แต่เขาก็เล่นเกมกวนประสาทอมพะนำต่อไป พิรุณพัตต์เดินตรงไปจนถึงแนวระเบียงที่ทอดยาวไปตามอาคารบ้านจันทร์เจ้าขา


“เดี๋ยวก่อนซิ มัวแต่อมขี้ฟันอยู่ได้ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน” เสียงสูงแหลม วี้ดไปตามทางเดิน แต่เขาก็ยักไหล่ไม่สนใจ ชายหนุ่มยังคงสืบเท้าก้าวไม่หยุด ไม่สนใจรุ้งพราย นี่คงตั้งใจจะยั่วเธออยู่ละสิ


“หยุด! บอกให้หยุด เอ๊ะตายักษ์แก่นี่” รุ้งพรายกระโดดไปข้างหน้า กางแขนทั้งข้างกั้นไม่ให้เดินต่อ


พิรุณพัตต์ขมวดเลิกคิ้วสูง ขบกรามนิด ๆ ดุด้วยสายตาประหนึ่งเธอเป็นเด็กหญิงตัวน้อยกำลังเรียกร้องความสนใจ “ฉันอยากจะไปหาพี่ตุ่น พี่ตุ่นอยู่ไหน!”


“ฉันว่าป่านนี้คุณตุ่นคงหลับสนิท มาเฝ้าไข้เธอตั้งแต่บ่าย ปล่อยให้เขาได้พักผ่อนบ้างเถอะ”


“แต่...” เธอดึงดันจะทำตามความคิดตัวเอง ทว่าดวงตาสีลึกลับมีพลังสะกดให้รุ้งพรายนิ่งค้าง
ภายใต้แสงของดวงจันทร์ที่ส่องกระทบร่างสูงใหญ่นั้น รุ้งพรายบอกตัวเองว่าเขาช่างงดงามเหลือเกิน หากต้องอยู่ใกล้ ๆ มากไปกว่านี้ คงต้องยุ่งยากใจแน่ ๆ


“จะว่าไป เธอแต่งตัวแบบนี้ ดูเป็นผู้หญิงดีนะ” จู่ ๆ ก็โพล่งคำนั้นขึ้นมา นี่เขาต้องการบอกอะไรกับเธออย่างนั้นหรือ “ว่าไงนะ” รุ้งพรายสะดุดใจสิ่งที่เขาเอ่ย จนต้องถามย้ำ


“ก็พอใส่ชุดแบบนี้ ปล่อยผมยาวเป็นธรรมชาติ ดูน่ารัก ไม่เหมือนตอนกลางวันเหมือนเป็นเด็กกะโปโล”



เอ่ยจบพิรุณพัตต์ส่งต่อรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พอรุ้งพรายสบตาเขาก็เป็นเธอเองที่ต้องหมุนตัวหลบ เสมองพระจันท์บนท้องฟ้าที่ส่องแสงเรื่อเรืองแทน


ชั่วขณะนั้นรุ้งพรายกลั้นหายใจลึก ภาวนาในใจขอให้เขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดา ไม่ใช่พิรุณพัตต์นักเขียนในดวงใจ แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ความจริงกลับสวนทางในสิ่งที่อยากให้เขาเป็น


“มีอะไรรึเปล่า อยู่ ๆ ก็เงียบ ” เขาถามเสียงอ่อนโยน กึ่งเอ็นดูคนตัวเล็ก


“เปล่า แค่คิดว่าตัวเองเหมือนคนโง่ยังไงไม่รู้” รุ้งพรายรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ กระดากอายเกินที่จะสู้หน้าเขา ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่านักเขียนในดวงใจของตนจะเป็นผู้ชายดวงหน้างดงามซ่อนอารมณ์ขันพิลึกแบบนี้


“อย่าบอกนะว่ากำลังคิดเรื่องฉัน ถ้าเป็นเรื่องฉันไม่เห็นจะต้องโทษตัวเองเลยร้อยทั้งร้อย ไม่มีใครเชื่อว่าฉันคือพิรุณพัตต์หรอก” เขาปลอบเธอ


“รวมถึงฉันด้วยคนหนึ่ง” รุ้งพรายเสียงแผ่ว


“ใช่ รวมถึงเธอด้วย คนส่วนใหญ่เค้าคิดว่าฉันเป็น ลุงอ้วน ๆ สุดอัปลักษณ์ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว หรือไม่ก็เป็นเอเลี่ยนมาจากต่างดาว” เขาเอ่ยขำ ๆ


“ก็คิดดูซิ คนแบบไหนกันที่ชอบทำตัวลึกลับจนคนอื่นเข้าใจผิดกันไปหมด คงมีแต่คุณพิรุณพัตต์นั่นแหละ” เธอเรียกชื่อเขาเต็มยศ ด้วยน้ำเสียงประชดประชันนิด ๆ


“เอ อย่างนี้ไม่เล่าให้เธอฟังเสียแต่แรกก็ดีหรอก” ดวงตาคู่งามมีประกายวิบวับ


“ก็ตามใจ ไม่ขอก้าวก่ายหรอกค่ะ อันที่จริงฉันก็ชอบแค่ตัวหนังสือของคุณพิรุณพัตต์ ไม่ใช่ชอบอย่างอื่นสักหน่อย” รุ้งพรายอมยิ้ม ซ่อนความรู้สึกตนเองไว้อย่างแนบเนียน


“อย่างอื่นนี่หมายถึงอะไร?”


“เออ...อย่ารู้เลยค่ะ พูดไปก็ขัดใจกันเปล่า ๆ ” จะให้เธอบอกเขาได้ยังไง ในเมื่อตัวหนังสือและเรื่องราวของเขาที่อ่าน คือจินตนาการและความฝันที่หญิงสาวสัมผัสได้ตลอดมา


“ที่จริงแล้ว ก็อย่างที่รู้กัน ฉันเป็นคนนำโชคร้ายมาสู่บ้านจันทร์เจ้าขา เรื่องร้าย ๆ อาถรรพ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นก็ล้วนมีฉันเกี่ยวข้อง อย่างนี้ล่ะฉันถึงเป็นคนแปลก ๆ ชอบเก็บตัว จนใครต่อใครหาว่าเป็นเอเลี่ยนมาจากต่างดาว แถมยังแต่งเรื่องลงข่าวว่าบ้านจันทร์เจ้าขาผีดุเป็นบ้านที่ต้องคำสาป!”


พิรุณพัตต์นิ่งไปชั่วขณะเหมือนจะระลึกถึงอดีตของตน ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นรุ้งพรายก็ทบทวนสิ่งที่รับรู้จากข้อความที่เคยอ่านผ่านตา แล้วเรียงร้อยเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยกัน เธอเข้าใจว่าเติบโตมาพร้อมเขาคนนี้ ผ่านตัวหนังสือซึ่งได้สร้างจินตนาการให้ได้อยู่ในโลกแห่งความสุข



“ความจริงแล้วฉันไม่ใช่เจ้าชายที่ไหนหรอก เป็นแค่เด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าด้วยซ้ำ เจ้าย่าเก็บฉันมาเลี้ยงตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ท่านอุปการะเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมของพ่อกับแม่ซึ่งทั้งคู่ครองชีวิตคู่มาน และไม่มีทายาทสืบสกุล



อย่างที่บอกฉันมาพร้อมกับเรื่องโชคร้ายมากมาย ทุกคนที่ใกล้ชิดต้องเสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนา ทั้งคนในบ้าน ไปจนถึงท่านแม่ที่ป่วยด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษา จนเป็นเหตุให้พ่อเกลียดฉัน ชีวิตในวัยเด็กจึงเปล่าเปลี่ยว หดหูพอทน พ่อเลี้ยงฉันทำงานหนักมาก ถึงเราจะร่ำรวยแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็เหมือนจะไม่พอทำให้ชีวิตเราดีขึ้น พอเจอปัญหาหนักเข้า พ่อก็เป็นทุกข์ จนคิดสั้นฆ่าตัวตายตามแม่ไปอีกคน ตอนนั้นฉันยังเด็กอยู่มาก ไม่เข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่เท่าไหร่


พอเจอเรื่องทุกข์มาก ๆ และยังโดดเดี่ยวอีก ฉันเลยพึ่งหนังสือเป็นเพื่อน ฉันรักการอ่านมาตั้งแต่จำความได้ ก็เพราะเจ้าย่าคอยผลักดัน อ่านเข้ามาก ๆ ความคิดก็วนเวียนรอบตัว วันดีคืนดีเลยเขียนเป็นเรื่องราวออกมา...จนเป็นหนังสือ”


เขาหยุดมองรุ้งพราย แววตาคู่นั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้เธอ



“หนังสือเรื่องแรก ที่เขียนก็ ‘โรงสีมหัศจรรย์’ นี่แหละ มันถูกพิมพ์แบบจำกัดจำนวน ในนามสำนักพิมพ์จันทร์เจ้าขาที่เปิดตัวตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีที่แล้ว เชื่อไหมเรื่องนี้เหมือนมีปาฏิหาริย์ ยิ่งเขียนก็ยิ่งมีความสุข ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เสียงตอบรับจากคนอ่านดีมาก จนทำให้รักษาบ้านจันทร์เจ้าขาเอาไว้ได้จนถึงปัจจุบันนี้” พิรุณพัตต์แหงนหน้ามองดวงจันทร์ รำลึกถึงความทรงจำที่พ้นผ่าน



“แสดงว่าคุณพิรุณพัตต์เขียนหนังสือตั้งแต่ฉันยังไม่เกิด ไม่อยากจะเชื่อ” รุ้งพรายทำทีนับนิ้ว บวกลบอายุชายหนุ่ม “ก็ราว ๆ นั้น เท่าอายุเธอได้มั้ง เอ...อย่างนี้ก็รู้อายุฉันหมดสิ” ชายหนุ่มหันมายิ้มให้รุ้งพราย รอยยิ้มบวกกับดวงตาคู่งามส่งความหมายพิเศษถึงเธอ พลอยให้หัวใจสั่นไหว ไม่เป็นตัวของตัวเอง


“อืม..เอาอย่างนี้ดีไหม ฉันอนุญาตให้เธอเรียกฉันว่าคุณพัตต์สั้น ๆ แล้วกัน ฟังเธอเรียกชื่อเต็ม ๆ แบบนี้มันรู้สึกห่างเหิน... แถมดูแก่หงำเหงือกยังไงพิกล” นักเขียนหนุ่ม แสดงความรู้สึกตนเองโจ่งแจ้งจนหญิงสาวเลิกคิ้วสูงมองเขาเต็มตา ดวงหน้าขาวจัดเขาจึงแดงระเรื่อ ไม่บอกก็รู้ว่าเขาขัดเขิน ผู้ชายตัวโตที่ยามอายม้วนนั้นก็ดูน่ารักน่าหยิกพอกัน



“ไม่ต้องมีคำนำหน้าว่า เจ้าเหรอคะ”เธอย้อนเขา อดขำไม่ได้ ที่ชายมาดขรึมทำท่าทางเปิ่น ๆ ตายักษ์ทึ่มไม่เคยเกี้ยวสาวมาก่อนรึไงน้า รุ้งพรายนึกทะเล้นในใจ


“ฮึ...แต่ก่อน ยังเรียก นายนั่น นายนี่อยู่เลย จู่ ๆ อยากจะเรียกเจ้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่เอาเถอะ เรียกยังไงก็ไม่ถือหรอก ตามสบายแล้วกัน” เขาเสียงเข้มทันควัน


“ค่ะคุณพัตต์” หญิงสาวตอบแต่ยังยิ้มอย่างเป็นต่อ


“แล้วเธออ่านนิยายฉันตั้งแต่เมื่อไหร่” ชายหนุ่มเกิดอาการประหม่า ในคำถามตัวเอง


“เริ่มอ่านตอนเรียนประถมค่ะพ่อเอามาให้อ่าน ตอนแรกไม่ชอบเท่าไหร่ แต่ที่อ่านเพราะพ่อเป็นคนวาดภาพประกอบ พอได้อ่านก็ไม่ผิดหวัง มันเข้าถึงชีวิตวัยเด็กของฉันมาก ที่เคยเหงา โดดเดี่ยวจากการที่ต้องอยู่กับพ่อเพียงลำพัง ทำให้คิดได้ว่าโลกนี้ยังมีสิ่งอื่นซ่อนอยู่ เพียงแต่ไม่ได้เปิดใจที่จะรับมัน”


“ไม่น่าเชื่อ โลกจะกลมขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นคนกันเอง มิน่าล่ะถือหนังสือฉันยังกะเป็นของรัก คุ้น ๆว่าหลังจากหนังสือออกไประยะหนึ่ง เจ้าย่าอยากให้เพิ่มรูปประกอบหนังสือและวาดหน้าปกให้น่าสนใจขึ้น เราเลยทำการคัดเลือกคนวาดจากทั่วประเทศ จนได้ครูทองก้อนมาวาดปก”


“ค่ะ ครูทองก้อนคือพ่อของฉัน พ่อเล่าให้ฟังว่าเคยมาอยู่ที่นี่พร้อมกับแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ฉัน เพื่อวาดรูปให้สำนักพิมพ์จันทร์เจ้าขา เพราะอย่างนี้ ฉันถึงอยากมาเห็นบ้านจันทร์เจ้าขาด้วยตาตนเอง”


“แล้วอยากมาเห็นแค่บ้านจันทร์เจ้าขารึ นึกว่าอยากเจอฉันด้วย เห็นคุณตุ่นบอกว่าเธอเป็นแฟนหนังสือฉันไม่ใช่เหรอ” เขาพูดเหมือนคนขี้ตู่ รุ้งพรายจึงได้ทีแกล้งตายักษ์ให้ตกใจเล่นสักหน่อย


“ค่ะ ฉันเป็นแฟนพันธุ์แท้ของคุณเชียวนะ แต่ตอนนี้ชักจะไม่มั่นใจตัวเองว่าอยากจะเป็นต่อรึเปล่า” หญิงสาวยิ้มพราย แต่พอมองไปยังคิ้วเข้มซึ่งขมวดเข้าหากัน ทั้งใบหน้านั้นก็ดูเศร้าลง เธอก็อดขำไม่ได้


“ทำไม พอเจอตัวจริง แล้วไม่อยากอ่านหนังสือรึไง” น้ำเสียง กึ่งเคือง กึ่งน้อยใจนิด ท่าทีขรึม ๆ เปลี่ยนไป เขาคงเสียความมั่นใจพอตัว “ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ รับรองได้ว่าฉันยังอ่านหนังสือคุณพัตต์ต่อเหมือนเดิม”


“ดีจริง...นึกว่าจะเสียแฟนหนังสือไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเธอคงไม่ชอบตัวจริงฉันใช่ไหม คงเบื่อขี้หน้าเต็มทน” สีหน้าเขาชวนให้รุ้งพรายสงสารจับใจ


“ไม่ขนาดนั้น แค่อึ้งกับตัวจริงจนทำอะไรไม่ถูกมากกว่า” รุ้งพรายทำตาหยีแบ่งรับแบ่งสู้ชายหนุ่ม


“แค่อึ้งเองเหรอ โล่งใจจัง นึกว่าเธอจะกลัวฉันเสียอีก”




“กลัว ทำไมต้องกลัวด้วย” รุ้งพรายสบตาเขา ชายหนุ่มกลั้นหายใจลึกความรู้สึกหนึ่งแล่นตรงเข้าหัวใจมันคือสิ่งที่เขาโหยหามานานแสนนาน


“ฉันกลัวจะทำให้คนอ่านผิดหวัง มาเจอตัวเป็น ๆ อย่างนี้ ดีไม่ดีอาจจะเลิกอ่านหนังสือฉันไปเลย”



“ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ใคร ๆ ก็รู้นิยายคุณสนุกแค่ไหน มันช่วยเติมเต็มความฝันสร้างจินตนาการ ส่วนตัวจริงคุณพัตต์ถึงจะดูประหลาดไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ออกจะตลก ๆ น่ารักดี นี่เรื่องจริงนะไม่ได้โม้สักนิด” เธอหักมุมคำพูดตัวเองพร้อมทั้งส่งรอยยิ้มละมุนให้เขา ส่วนพิรุณพัตต์ก็เผยยิ้มตอบกลับโดยไม่รู้ตัว เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหัวใจจะพองโตจากคำพูดที่แฝงความนัยของหญิงสาวได้เพียงนี้



เขมปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ค. 2554, 18:20:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ค. 2554, 17:47:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1661





<< บทที่ ๕    บทที่ ๗ >>
หมูแพนด้า 23 ก.ค. 2554, 20:16:25 น.
อ่า...อ่านแล้วเรื่องนี้ส่งสายตาซ่อนความหมายตลอดๆ วิบวับ วิบวับ ^^


ปริยาธร 24 ก.ค. 2554, 15:14:14 น.
อ่านจบแล้ว แต่มาให้กำลังใจพี่โอต่อค่ะ อิ อิ ^0^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account