คิวปิด...ตัวกวนป่วนรัก
เมื่อเทพคิวปิดถูกลดหน้าที่ให้เป็นแค่ ‘เทพเบ๊’ คิวปิดสาวจึงเร่งปฎิบัติกอบกู้ศักดิ์ศรี แต่ดันแผลงศรพลาด ทำให้ว่าที่เจ้าบ่าวตกหลุมรัก ‘พี่ชาย’ ของสาวคนรัก เรื่องป่วนๆ จึงเริ่มขึ้น !
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 9
“ช่ายเลย...ไม่มีมากไปไม่มีน้อยไป ถูกใจทุกอย่าง ช่าย...เลย ต้องขาวขนาดนั้น ต้องฟูขนาดนี้ ทุกอย่างกำลังดี ตัวนี้ใช่เลย อย่าขาวไปกว่านั้นอย่าฟูไปกว่านี้ เอาแค่ที่เธอมีแค่นี้ช่าย...เลย”
“ลักกี้บ่นอะไร” คิวปิดสาวทักขณะขัดบันไดทางขึ้นบ้าน โดยมีเจ้าลักกี้นั่ง ‘บ่น’ อยู่ข้างๆ
“หยาบคาย ! กระผมกำลังร้องเพลงไม่ได้บ่นขอรับ แหม...คุณคิวปิดนี่ทักซะเสียเซลฟ์เลย” เจ้าลายจุดค้อนปะหลับปะเหลือก “แล้วนั่นขัดบันไดนานขนาดนั้นจะหาเลขหรือไงขอรับ” ลักกี้แซวเมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้ผ้าชุบน้ำขัดขั้นบันไดที่มีแค่สี่ขั้นตั้งแต่รักษิยาออกไปร้านจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมง
เซเลน่าไม่เข้าใจคำว่า ‘หาเลข’ ของเจ้าสี่ขา แต่จากน้ำเสียงพอจะจับได้ว่ามันกำลังประชดหล่อนอยู่
“ก็มันชินนี่ ตอนฉันอยู่บนเทือกเขาโอลิมปัสนะ ฉันต้องขัดบันไดวิหารให้เงาวับ ไม่เช่นนั้นจะถูกเทพประจำวิหารตำหนิ” เซเลน่าเล่าด้วยความน้อยใจต่ำใจในโชคชะตาของตัวเอง
“แต่อยู่ที่นี่ไม่มีใครว่าหรอกขอรับ”
“แต่ถ้าไม่ขัด ฉันก็ไม่รู้จะทำอะไร วันๆ เอาแต่นั่งรอคุณพี่ภูมิให้มาที่นี่ มันเบื่อน่ะ”
“งั้นก็ขัดไปตามสบายเถอะขอรับ อยากจะขัดให้เงาวับหรือเลขโผล่ก็ตามสะดวก ตอนนี้กระผมขอตัวไปงีบสักหน่อยดีกว่า”
“อะไรกัน นายเพิ่งตื่นแล้วก็เพิ่งจะกินอาหารเช้าเสร็จ จะไปนอนอีกแล้วเหรอ”
“กระผมถือคติที่ว่า‘กินแล้วนั่งเมื่อยหลังตายชัก’ ขอรับ เอาเป็นว่าถ้าต้องการความช่วยเหลือก็ตะโกนว่า ‘โอ้ว...โน้ว’ ก็แล้วกันนะขอรับ เดี๋ยวกระผมรีบวิ่งมาช่วย” บอกเสร็จ เจ้าสี่ขาก็เดินหาวหวอดๆ อ้อมพุ่มไม้หายไปทางหลังบ้าน
เซเลน่ากำลังจะหันไปขัดบันไดต่อ พลอยชมพูในชุดสุดเก๋ประหนึ่งจะไปเดินแบบมากกว่าไปทำงานก็รีบวิ่งออกจากบ้านตัวเองมาที่ประตูรั้วบ้านของรักษิต พลางส่งเสียงกรี๊ดเป็นเจ้าเข้า !
“กรี๊ดๆๆ คุณรักขา กรี๊ดดด” ครั้นเห็นว่าประตูล็อคอยู่จึงร้องบอก “นี่หล่อน เปิดประตูให้ฉันหน่อยสิยะ !” ในเมื่อรักษิตไม่อยู่ในบริเวณนั้น หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องอ่อนหวานกับใคร
เซเลน่าเงยหน้าขึ้นจากบันได มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าเพื่อนบ้านตัวแสบพูดกับใคร ไม่อยากโดนด่าว่า ‘สาระแน’ อย่างเมื่อวานที่เซเลน่าอุตส่าห์หวังดีเข้าไปช่วยหิ้วชามใส่ซุปมะเขือเทศที่พลอยชมพูจะนำมาฝากรักษิต เซเลน่าไม่เข้าใจความหมายของมันจึงนำไปถามลักกี้
‘สาระแนไม่เหมือนสาระแหน่ สาระแหน่เป็นใบเขียวๆ กลิ่นฉุนๆ เอาไว้กินกับลาบ แต่ถ้าสาระแนจะหมายถึง ยุ่งไม่เข้าเรื่อง อะไรประมาณนี้น่ะขอรับ’
ก็เลยรู้ว่าพลอยชมพูด่าที่ตนเข้าไปยุ่ง ‘เขาหวังดี แล้วยังจะด่ากันอีก มิน่าถึงเกิดมาไม่สวยเหมือนคุณน้องยา’
“นี่หล่อน นอกจากปัญญาอ่อนแล้วยังหูตึงด้วยหรือไง รีบเปิดประตูเร็วๆ สิ”
“ค่ะๆๆๆ” เซเลน่าขาน พร้อมกับวางผ้าลงในถังน้ำ แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
“นี่หล่อนประชดฉันเหรอ” พลอยชมพูเท้าสะเอว ไม่รู้ว่าหล่อนเตี้ยหรือเซเลน่าสูง พลอยชมพูถึงต้องแหงนหน้ามองอีกฝ่ายเสียจนปวดคอ “เอาเถอะ ฉันจะไม่ถือคนบ้าไม่ว่าคนเมาก็แล้วกัน แล้วคุณรักของฉันอยู่ไหน”
“อยู่ในห้องทำงานค่ะ”
“ดี งั้นเธอก็ช่วยอยู่ตรงนี้ไปก่อนนะ อย่าเพิ่งเข้าไปข้างใน ฉันกับคุณรักเรามีเรื่องต้องคุยกัน เข้าใจ๊?”
เซเลน่าไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะรักษิตก้าวออกมาในบ้าน เนื่องจากได้ยินเสียงของพลอยชมพูพอดี
“มีอะไรหรือครับคุณพลอย”
“คุณรักขา สวรรค์มีตาแล้วค่ะ” เพื่อนบ้านสาวบอกอย่างตื่นเต้น และปราดเข้าไปสวมกอดร่างสูง
“มีอะไรครับ” รักษิตถาม มือก็จับร่างหญิงสาวออกจากร่างตน ถึงจะมีบุคคลที่สามยืนอยู่ด้วย แต่มันก็ดูไม่ดีถ้าใครมาเห็นเขากับพลอยชมพูกอดกันอยู่เช่นนี้
“เมื่อตะกี้ที่บริษัทโทรมาบอกค่ะ ว่าคุณเก่งฉกาจเข้าไปพรีเซนต์งานรอบสุดท้ายไม่ได้ เพราะว่าป่วยหนักค่ะ”
“เอ๊...วันก่อนผมก็ยังเห็นดีๆ อยู่เลย”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่เห็นว่าคุณเก่งเอาแต่นอนเพ้อ ผมก็ตั้งทั้งหัว อย่างกับคนโดนผีหลอกมาเลยค่ะ”
เซเลน่าลอบยิ้มขำ รู้แก่ใจว่าใช้อิทธิฤทธิ์แกล้งคนอื่นเป็นสิ่งไม่ดี แต่ขอเว้นไว้กับคนนิสัยไม่ดีอย่างนายเก่งฉกาจสักคนเถอะ
“ท่าทางเวรกรรมจะตามสนองแล้วนะคะ” พลอยชมพูออกความเห็น “แล้วคราวนี้ก็เป็นโอกาสของคุณรักที่จะชิงเข้าไปพรีเซนต์งานเรื่องนิล เดี๋ยวพลอยจะช่วยเบียดคิวทุกเจ้าให้เองเลย”
“อย่าเลยครับ ผมไม่ชอบพวกที่ทำนอกกติกา เพราะฉะนั้นผมเองก็ไม่ควรทำเช่นกัน”
“แต่ถ้าคุณรักช้า แล้วคุณเก่งฉกาจได้เข้าไปพรีเซนต์เรื่องขาวปลอดอะไรนั่นอีกครั้ง คุณรักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายก๊อปงานคุณเก่งนะคะ”
“ผมจะได้เข้าช้าเข้าเร็ว ผมก็โดนข้อหานี้ไปแล้วล่ะครับ แต่การป่วยของคุณเก่งก็ช่วยให้ถ่างเวลาให้ผมมีเวลาคิดงานใหม่มากขึ้น ยังไงผมต้องขอบคุณคุณพลอยมากที่อุตส่าห์เอาข่าวมาบอก”
“แหม...คุณรักก็รู้ว่าพลอยทำทุกอย่างได้เพื่อคุณรัก” หญิงสาวส่งสายตาหวานเยิ้ม
“งั้นพลอยไปทำงานก่อนดีกว่านะคะ ออกช้ากว่านี้เดี๋ยวรถติด แล้วเอาไว้เย็นนี้พลอยอาจจะแวะมาทานข้าวด้วยคน ฉันไปแล้วนะจ๊ะเอแคร์” พลอยชมพูล่ำลาเสียงหวานจ๋อยต่างจากตอนมาถึงอย่างกับเป็นคนละคน
ร่างเตี้ยก้าวพ้นไปจากบ้าน แล้วขึ้นรถยนต์ส่วนตัวซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน ขับออกไป หากยังไม่วายหันกลับมาโบกมือและส่งจูบให้ชายหนุ่ม
“ท่าทางคุณพลอยจะหลงเสน่ห์คุณนะคะ ถึงได้พูดหว๊านหวานกับคุณตลอด คุณรักคะ คุณรักขา” เซเลน่าทำเสียงล้อเลียน
“พูดถึงคนอื่นลับหลังมันไม่ดีรู้ไหม” ชายหนุ่มตำหนิ ก่อนเสริม “คุณพลอยเธอก็เป็นคนแบบนี้แหละ เป็นกันเอง อัธยาศัยดีกับทุกคน”
“เหรอ ?” เซเลน่าทำหน้าไม่เชื่อ “แล้วนี่คุณจะทำยังไงต่อไปคะ”
“ผมก็คงต้องคิดงานใหม่ไปเสนอ”
“งานอะไร ให้ฉันช่วยไหม” เซเลน่าเสนอตัว
“ไม่เป็นไรหรอก ผมทำเองได้”
“ฉันลืมไปว่าคุณพี่รักเก่งอยู่แล้ว งั้นเอาอย่างนี้ ระหว่างนี้ฉันจะภาวนาถึงเทวีไทคีให้ช่วยคุณพี่รัก”
“เทวีไทคี ?”
“ค่ะ เทวีไทคีเป็นเทวีแห่งความโชคดี เป็นเทวีที่ดลบันดาลให้คนมั่งคั่งร่ำรวยมีความสุขได้ค่ะ”
“รู้สึกว่าคุณจะรู้เรื่องเทพอะไรพวกนี้ดีจังเลยนะ ดูทีวีช่องไหนเหรอ”
“ฉัน...ฉันจำไม่ได้ค่ะ ฉันเห็นว่ามันสนุกดีก็เลยดูไปเรื่อยๆ” เซเลน่าแก้ตัว โดยไม่รู้ว่ามันจะบังเอิญไปจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของรักษิต ถ้าลองผู้ที่ความจำเสื่อมสนุกกับเรื่องราวของเทพกรีก เด็กๆ ก็น่าจะสนุกด้วยเหมือนกัน
“แล้วจากที่คุณดูมา คุณว่าเทพองค์ไหนน่ารักที่สุด”
“คุณพี่รักถามทำไมคะ”
“ก็คุณอยากช่วยผมทำงานไม่ได้เหรอ” ชายหนุ่มยิ้มมีนัย
เซเลน่าพยักหน้าเข้าใจ แล้วตอบโดยไม่ต้องคิด “เทพที่น่ารักที่สุดก็ต้องเป็นเทพคิวปิดสิคะ รู้จักไหม เทพที่มีปีกสองข้าง มีคันธนูห้อยอยู่กับตัว และที่สำคัญนะเทพคิวปิดทำให้คนรักกันได้ด้วย เห็นไหมล่ะ ทั้งน่ารักทั้งแสนดีสุดๆ ไปเลย”
รักษิตพยักหน้าน้อยๆ แววตาขบคิด “ถ้าเทพคิวปิดน่ารักที่สุด แล้วคุณว่าเทพองค์ใดที่น่าเคารพมากที่สุด”
“อ๊ะ...ก็ต้องท่านซีอุสสิ ประมุขของเทือกเขาโอลิมปัสสิ ขนาดไม่ค่อยมีใครได้เห็นหน้าท่าน เทพทุกองค์ยังเกรงกลัวเลย แต่ฉันเคยได้ยินเสียงท่านนะ เสียงท่านทรงพลังมากๆ เลย แต่ดูใจดี คิดดูสิถ้าท่านไม่ใจดีนะ ท่านคง...” เซเลน่าหันไปเห็นสายตาสงสัยของอีกฝ่ายจึงหยุดพูด
“คงอะไร”
“คง...คงไม่ได้เป็นประมุขของเทือกเขาโอลิมปัสไงล่ะ ในทีวีเขาบอกน่ะ” เซเลน่าแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ พอชายหนุ่มไม่ซักถามต่อ เลยชิงเปลี่ยนเรื่อง “เป็นยังไง ฉันพอจะช่วยคุณได้ไหม”
“ช่วยได้มากเลยล่ะ มานี่เร็ว”
รักษิตเดินนำหญิงสาวเข้าไปในห้องทำงาน แล้วเปิดสมุดวาดเขียน หยิบดินสอมาขีดๆ วาดๆ ลงในบนกระดาษอย่างช่ำชอง ไม่นานภาพเค้าโครงเทพคิวปิดน้อยอย่างที่มนุษย์รู้จักก็ปรากฏขึ้น
“โห...เก่งจัง” เซเลน่าร้อง “แต่คิวปิดไม่ได้มีแค่เด็กนะ เทพคิวปิดมีทั้งผู้หญิงผู้ชาย และมีทุกวัยด้วย”
“โอเค เดี๋ยวผมลองคิดดูอีกที”
เซเลน่ายิ้ม แล้วมองภาพชายหนุ่มหุ่นกำยำ มีหนวดเครา ผมยาวประบ่า ในชุดเปลือยท่อนบน ท่อนล่างสวมผ้าพลิ้ว “นี่ใคร”
“ท่านซีอุสไง”
“คุณเคยเห็นท่านซีอุสเหรอ”
“เคยเห็นในรูปภาพ พวกสารคดีเกี่ยวกับเทพ แล้วก็อาศัยจินตนาการนิดหน่อย คุณคิดยังไง ถ้าท่านซีอุสกับเทพคิวปิดจะเป็นเพื่อนซี้กัน”
เซเลน่าหัวเราะจนตัวงอ “คุณคิดได้ยังไง ให้เทพคิวปิดเป็นเพื่อนซี้กับท่านซีอุส ไม่มีใครกล้าขนาดนั้นหรอก”
“ในโลกของจินตนาการ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น คุณจะให้ใครเป็นอะไร ทำอะไร หรือจะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ก็ได้ ขอแค่สิ่งที่คุณคิดมันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอ” รักษิตบอกก่อนก้มหน้าวาดชุดของท่านซีอุสตามจินตนาการของเขาให้สมบูรณ์ ขณะเดียวกันเซเลน่าก็กำลังหลับตา ลองเปิดจินตนาการของตัวเอง นึกถึงสิ่งที่ตัวเองอยากให้เกิดขึ้น
“ถ้าพวกเทพคิวปิดเป็นเพื่อนซี้กับท่านซีอุส งั้นก็ให้พวกเขาเป็นคู่ซี้ที่คอยปราบเหล่าร้าย ยักษ์หรืออสูรทุกตัวต้องยำเกรง ไปที่ไหนก็จะมีแต่เสียงชื่นชม นั่นไงๆ ท่านคิวปิดกับท่านซีอุสมาแล้ว ท่านซีอุสกับท่านคิวปิดจงเจริญ...จงเจริญ...จงเจริญ”
รักษิตเงยหน้าจากกระดาษ หันไปมองท่าทางหญิงสาวย่อตัวทำความเคารพหลายๆ ครั้งก็อมยิ้ม พลันความคิดสร้างสรรค์ก้อนใหญ่ก็เกิดขึ้น...เขาจะสร้างการ์ตูนเรื่องใหม่ ให้มีตัวละครเอกคือ ท่านซีอุสผู้น่ายำเกรง กับคิวปิดน้อยแสนซน ทั้งสองจะร่วมมือกันปราบเหล่าร้าย เพื่อผดุงความสงบสุข
“เอแคร์ ! ขอบคุณมากนะ” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นไปจับแขนสองข้างของหญิงสาว
“ขอบคุณอะไรคะ” เซเลน่างง
“ก็ที่คุณช่วยผมคิดงานไง ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าจะทำเรื่องอะไรไปเสนอช่อง ผมว่าน่าจะสู้กับคุณเก่งฉกาจได้สบายๆ เลยล่ะ”
“จริงเหรอคะ! ในที่สุดคุณพี่รักก็ทำได้ ! คุณพี่รักเก่งที่สุดเลย !” ว่าแล้วก็จับแขนสองข้างของชายหนุ่มแล้วกระโดดพาชายหนุ่มหมุนไปรอบๆ อย่างดีใจ ซึ่งรักษิตก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงต้องยอมหมุนตามแรงดึงอันน้อยนิดของหญิงสาวด้วย แถมยังรู้สึกสนุกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ห่างหายจากเขาไปนานเป็นสิบปี เพราะเหตุนี้ เขาถึงชอบวาดการ์ตูน ชอบแต่งเรื่องราวความสนุกจากจินตนาการ เพื่อสนองต่อสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต
ขณะที่รักษิตกับเซเลน่ากำลังสนุกสนานกันอยู่นั้น รถเก๋งคันหรูก็เคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้าน ทั้งสองหยุดกระโดดแล้วมองผ่านหน้าต่างห้องทำงานออกไปหน้าบ้านอย่างพร้อมเพรียง
“คุณพี่ภูมิมาแล้ว !” เซเลน่าแสดงอาการดีใจอย่างไม่ปิดบัง เมื่อเห็นภูมิก้าวลงจากรถ ภารกิจต่อไปคือ จะต้องไปถอดสร้อยปีกนกออก คืนร่างเป็นคิวปิด เพื่อจะได้ดึงลูกศรออกจากอกของนายภูมิ
ดังนั้นเซเลน่ากำลังจะหันหลังวิ่งออกไป แต่ถูกมือใหญ่คว้าข้อมือเอาไว้
“คุณจะไปไหน”
“เอ่อ...” คิวปิดสาวอ้ำอึ้ง โกหกไปว่า “ไปอาบน้ำ เมื่อตะกี้ฉันเพิ่งเล่นกับลักกี้ มันเลียฉันทั้งตัวเลย ตอนนี้ตัวฉันคงเต็มไปด้วยเชื้อโรค” หล่อนจดจำมาจากคำพูดของรักษิยา เมื่อครั้งที่เห็นหล่อนเล่นกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเจ้าลักกี้
‘อย่าให้เจ้าลักกี้เลียหน้ารู้ไหมเอแคร์ น้ำลายมันสกปรก เดี๋ยวเชื้อโรคเข้าร่างกายแล้วจะไม่สบายนะ’
“ขืนเข้าใกล้คุณภูมิตอนนี้ คุณพี่ภูมิรังเกียจแย่” คิวปิดสาวพูดจบก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน เป้าหมายคือห้องนอนอันเป็นสถานที่ส่วนตัวที่สุดในบ้านหลังนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พอเซเลน่าขึ้นไป ‘อาบน้ำ’ แล้ว รักษิตก็ออกไปช่วยภูมิหิ้วถุงอาหารและขนมจำนวนมากเข้ามาไว้ในห้องครัว
“ยางอนเรื่องอะไรอีกล่ะ ถึงต้องขนซื้อของกินมาง้อเยอะแยะขนาดนี้” รักษิตถาม เพราะทุกครั้งที่ภูมิซื้อของกินมามากมายก็เกิดจากที่รักษิยางอน ภูมิก็จะเอาใจด้วยการสรรหาของโปรดมาให้
ทว่าสิ่งที่สร้างความแปลกใจก็คือ สิ่งของที่อยู่ในถุงทั้งหมดเป็นของโปรดของเขา รวมทั้งผัดไทไข่ปูเจ้าอร่อยซึ่งร้านตั้งอยู่ไกลถึงถนนพุทธมนฑลสายสอง
“มีผัดไทยร้านเจ๊อิ๋วด้วยเหรอ นายไปทำอะไรแถวนั้นล่ะ ถึงได้ซื้อมา”
“ไม่ได้ไปทำอะไร ก็ขับรถไปซื้อมาให้นายโดยเฉพาะ”
รักษิตอึ้ง “ไปซื้อให้ฉันโดยเฉพาะ ? นี่ต้องออกจากบ้านตั้งแต่กี่โมงเนี่ย”
“ตีห้า”
“ตีห้า !” รักษิตตกใจ “ออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้ามาถึงบ้านฉันเกือบเก้าโมงเนี่ยนะ ทำไมต้องลำบากขนาดนั้นวะ”
“ไม่เห็นจะลำบากอะไรนี่ ขับรถแป๊บเดียวเอง เห็นยาบอกว่านายเครียดๆ เรื่องโดนก๊อปงาน ฉันก็เลยอยากให้นายได้กินของอร่อยๆ เผื่อจะหายเครียด” อย่างนี้ใช่ไหมที่เขาบอกว่าการทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก เราจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย “แล้วนี่เอแคร์ไปไหน หรือว่ากลับบ้านไปแล้ว” ภูมิภาวนาขอให้เป็นอย่างหลัง
“ขึ้นไปอาบน้ำ”
ภูมิผิดหวัง หากถามว่า “แล้วยังตามหาบ้านไม่ได้อีกเหรอ”
“อืม ยังไม่มีใครติดต่อมาเลย”
ภูมิพยักหน้ารับ หงุดหงิดเล็กน้อยที่สาวสวยยังอยู่ใกล้รักษิตของเขา แต่ตอนนี้เรื่องเอแคร์ยังไม่สำคัญเท่าเรื่องสุขภาพและความเครียดของเพื่อนรัก “นายจะกินผัดไทยเลยไหม เดี๋ยวฉันจัดใส่จานให้”
“เอาไว้ก่อนดีกว่า ฉันเพิ่งกินข้าวเช้าไป”
“งั้นเอาเต้าฮวยฟรุตสลัดหรือว่าลอดช่องสิงคโปร์ดีไหม หรือจะเอากะท้อนลอยแก้ว เจ้านี้นายชอบกินนี่ ฉันซื้อมาให้สิบลูกเลยนะ”
“นายเป็นอะไรหรือเปล่าภูมิ” รักษิตชักเอะใจกับพฤติกรรมเอาใจเข้าขั้นโอเว่อร์ของอีกฝ่าย
“เปล่านี่ นายคิดว่าฉันจะเป็นอะไร”
“ไม่รู้สิ ก็ดูนายเอาใจฉันเหลือเกิน”
ภูมิอึ้ง แล้วบอกไปว่า
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันสงสารนายเรื่องโดนก๊อปงาน ฉันก็เลยอยากทำให้นายสบายใจ นายจะได้มีแรงมีกำลังใจคิดหาทางแก้ปัญหาต่อไป”
ปกติภูมิจะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเองเสมอ ถ้าเขารู้สึกกับใครยังไง เขาก็จะแสดงออกเช่นนั้น อย่างก่อนหน้านี้เขารักรักษิยา เขาก็จะทุ่มเทความรักทั้งหมดให้หญิงสาว โดยที่ไม่คิดจะเก็บเผื่อเอาไว้ให้ใครอีก พอมาถึงครั้งนี้ ภูมิรู้แก่ใจว่าเรื่องระหว่างเขากับรักษิตมันคงเป็นไปไม่ได้ รักษิตไม่ได้มีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกัน ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมีรสนิยมนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องบังคับใจตัวเองอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้เอ่ยออกไปว่าที่เขาทำทุกอย่างเป็นเพราะหัวใจมันเรียกร้อง
“เหรอ งั้นก็ขอบใจนายมาก แต่ฉันไม่ได้เครียดมากหรอก เครียดไปก็เสียเวลาเปล่าๆ”
รักษิตยิ้ม รอยยิ้มจากริมฝีปากหยักได้รูปทำให้หัวใจของภูมิใจเต้นไม่เป็นส่ำ จนลืมบังคับตัวเองไปชั่วขณะ สัญชาตญาณความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองและเสียงเรียงร้องของหัวใจสั่งให้เขาก้าวเข้าไปใกล้รักษิต เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“รัก ฉันมีเรื่องอยากจะบอกนาย” ดวงตาภายใต้กระจกใสพราวระยับ ยังดีที่ดวงตาคู่นั้นเล็กยิบหยี รักษิตจึงไม่สังเกตเห็น
“ว่า ?”
“แต่นายต้องสัญญาก่อน ถ้านายฟังสิ่งที่ฉันบอกนายไปแล้ว นายจะรู้สึกยังไงก็ตาม นายต้องไม่โกรธไม่เกลียดฉัน”
คิ้วหนาเลิกสูง “นายจะบอกอะไรฉัน”
“ฉัน...ฉัน...” ภูมิกำลังรวบแรงความกล้าแล้วตัดสินใจพูดออกไปว่า “ฉัน...รักนาย “
แต่จู่ๆ สองคำสุดท้ายก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคออย่างไม่มีสาเหตุ รักษิตเลยไม่ได้ยิน
“นายว่าอะไรนะ”
ภูมิขยับปาก แต่ไม่มีเสียงลอดออกมาราวกับถูกปิดลำโพง
“เป็นอะไรไปวะไอ้ภูมิ !” รักษิตตกใจ
ภูมิส่ายหน้า พยายามพูดก็แล้ว ตะโกนก็แล้ว แต่ไม่มีเสียงออกมา ใบหน้าขาวเริ่มซีดเผือดกับอาการประหลาดของตัวเอง
“มีอะไรติดคอหรือเปล่า” รักษิตถาม ไม่รอช้าเขาทุบหลังให้ภูมิเป็นพัลวัน
ขณะที่สองหนุ่มกำลังตื่นตระหนกกับอาการประหลาดของภูมิ คิวปิดสาวซึ่งยืนมองเหตุการณ์อยู่ที่ประตูห้องครัวกลับถอนหายใจโล่งอก หล่อนมาทันเห็นว่าภูมิกำลังสารภาพความในใจกับรักษิตอยู่พอดี จึงจัดการปิดเสียงพูดของนายภูมิซะเลย
‘ต้องรีบดึงลูกศรออก’ คิวปิดสาวบอกตัวเอง แล้ววิ่งเข้าไปใกล้ภูมิที่กำลังถูกรักษิตทุบหลังดังอั่กๆ เซเลน่าวิ่งมองไปที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของชายหนุ่ม
แต่ไม่มีลูกศรปักอยู่แล้ว !
มองไปตรงไหนก็ไม่มีริ้วรอยของลูกศรปรากฏอยู่เลย แล้วมันหายไปไหน ? จะว่านายภูมิดึงออกเอาไปเก็บไว้ก็คงไม่ใช่ เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นลูกศรของเทพได้ จะต้องมองด้วยดวงตาของเทพเท่านั้น เซเลน่าถึงต้องแปลงร่างเป็นคิวปิดทุกครั้งที่พบนายภูมิ
‘ลูกศรหายไปแล้วหล่อนจะทำยังไงล่ะทีนี้’
เซเลน่าคิดไม่ตก ตัดสินใจจะกลับไปถามท่านซีอุสบนเทือกเขาโอลิมปัส จึงดีดนิ้วเป๊าะ ยังผลให้ร่างหายแว่บไป
แต่ไม่ถึงสองวินาที หล่อนก็กลับมาอีกเพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมสลายฤทธิ์ให้นายภูมิ ท่าทางตื่นตระหนกขนาดนี้คงไม่มีอารมณ์สุนทรีย์จะบอกรักคุณพี่รักแล้วแน่นอน เซเลน่าวาดนิ้วในอากาศวนจากซ้ายไปขวา จากทีแรกที่เสกอิทธิฤทธิ์ใส่ต้องวนจากขวาไปซ้าย แล้วเล็งปลายนิ้วไปที่ริมฝีปากของนายภูมิที่กำลังขยับปากคร่ำครวญกับรักษิตด้วยความตกใจ
“...ช่วยฉันด้วย !” ภูมิเปล่งเสียงออกมาได้ในที่สุด
เซเลน่าจึงค่อยดีดนิ้วเป๊าะหายตัวไปอีกครั้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พอก้าวพ้นประตูสู่โลกมนุษย์ เซเลน่าก็วิ่งไปยังวิหารของท่านซีอุสอย่างเร็ว ถึงจะลงไปอยู่บนโลกมนุษย์หลายวันแล้ว แต่เวลาของที่นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาที เรื่องหล่อนแอบลงไปบนโลกมนุษย์จึงยังไม่สร่างซา เหล่าทวยเทพจึงพากันสะกิดมองหล่อนและซุบซิบนินทากันอย่างเปิดเผย แต่เซเลน่าไม่สนใจ เวลานี้ต้องการรู้อย่างเดียวเท่านั้นว่าลูกศรบนอกของนายภูมิหายไปไหน
“ว้าย !”
เซเลน่าร้องลั่น เมื่อชนกับท่านอีปัสคิวปิดชราที่หอบแฟ้มสีเทามาเต็มมือตรงหน้าวิหารของท่านซีอุส
“ท่านอีปัส ! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ด้วยความที่อายุน้อยกว่ามาก เซเลน่าจึงลุกขึ้นได้เร็วกว่าอีกฝ่ายที่ยังนั่งกองอยู่บนพื้น จับคันธนูแสนหนักไปไว้ข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้างอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าเอาไว้ตรงไหนจะช่วยไม่ให้มันถ่วงน้ำหนักทำให้เป็นอุปสรรคในการยืน
“มาค่ะ ข้าช่วย” เซเลน่าอาสา แล้วประคองร่างผอมเกร็งขึ้น ขนสีเทาจากปีกสองข้างร่วงกราวเต็มพื้นบ่งบอกว่าอายุขัยของคิวปิดผู้นี้มากโข และเมื่อใดที่ขนบนปีกร่วงหมด เทพคิวปิดผู้นั้นก็ถึงเวลาดับสูญ
“ขอบใจๆ แล้วนี่เจ้ารีบร้อนจะไปไหน”
“ข้าจะไปเข้าเฝ้าท่านซีอุส ข้ามีเรื่องร้อนใจจะปรึกษา” เซเลน่าบอกพลางเก็บแฟ้มพื้นคืนให้อีกฝ่าย “ท่านซีอุสไม่อยู่หรอก ออกไปประชุมคณะเทพเมื่อสักครู่นี้เอง” คิวปิดชราบอกเสียงแหบพร่า
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
“ก็เมื่อตะกี้ข้าเพิ่งเอาแฟ้มมนุษย์ผู้มีดวงชะตาเฉียดใกล้เส้นมรณะไปให้ท่านซีอุสตรวจ พอตรวจเสร็จท่านก็รีบออกไปเลย”
เซเลน่าถอนหายใจพรืด ทิ้งตัวนั่งลงบนขัดบันไดหินอ่อนเงาวับ “แล้วนี่ข้าจะทำอย่างไรดี”
“เจ้าไปก่อเรื่องใดมาอีกรึ” ข่าวของหล่อนคงดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเทือกเขาโอลิมปัส ขนาดท่านคิวปิดชราผู้รักสันโดษอย่างท่านอีปัสยังรู้เรื่อง
“ข้าไม่ได้ก่อเรื่องอะไร ข้าแค่อยากรู้ว่าลูกศรที่ข้าปักลงไปบนร่างของมนุษย์ผู้นั้นมันหายไปไหน”
“เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าดูดีแล้ว”
“ข้าแน่ใจ”
“ถ้านับตามเวลาบนโลกมนุษย์ จากวันที่เจ้าแผลงศรใส่มนุษย์ผู้นั้นจนถึงตอนนี้ผ่านไปกี่วันแล้ว” คิ้วสีขาวขมวดอย่างใช้ความคิด
“ก็ประมาณสามสี่วัน”
“งั้นมันก็คงสลายไปแล้ว เพราะลูกศรที่ปักลงไปบนร่างของมนุษย์ มันจะมีอายุอยู่เพียงแค่สามวัน หลังจากนั้นลูกศรก็จะสลาย”
“สลาย !” ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงอย่างดีใจ “แสดงว่าฤทธิ์จากปลายศรก็ต้องสลายหายไปแล้วใช่ไหม อย่างนี้คุณพี่ภูมิก็จะไม่หลงรักคุณพี่รักแล้วใช่ไหมคะ”
ท่านคิวปิดชราส่ายหน้า “ตรงกันข้าม ที่มันสลายน่ะ สลายเข้าไปในหัวใจของมนุษย์ผู้นั้น มันก็ยิ่งจะทำให้ความรักจากลูกศรยิ่งทวีคูณมากขึ้น และที่สำคัญก็คือ จะไม่มีเทพท่านใดสามารถดึงมันออกได้”
เซเลน่าแทบทรงตัวไม่อยู่ ถ้าดึงลูกศรออกไม่ได้แล้วหล่อนจะต้องทำลายฤทธิ์จากปลายศรในหัวใจของคุณพี่ภูมิได้ยังไง “ท่านมีหนทางช่วยข้าไหมท่านอีปัส”
“ไม่มี” ตอบทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “เพราะเทพคิวปิดไม่เคยมีใครแผลงศรผิดพลาด จึงไม่เคยมีใครคิดหาหนทางคลายฤทธิ์ของปลายศร”
“แต่ท่านช่วยข้าหน่อยไม่ได้เหรอ” เซเลน่าเว้าวอน
“ในเมื่อเจ้าเรียนผูกเจ้าก็ต้องเรียนแก้ด้วยตัวเอง เหมือนกับที่เจ้าทะลึ่งขโมยลูกศรลงไปแผลงศรใส่มนุษย์โดยพลการนั่นแหละ”
“แหม...ท่านก็อย่าว่าข้าเลย ที่ข้าทำไปเพราะหวังดีกับคิวปิดทุกท่านหรอกนะ”
ท่านอีปัสถอนหายใจยาว ก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ การที่ท่านซีอุสสั่งยกเลิกหน้าที่ของคิวปิดมันไม่ใช่แค่ว่าความคิดของมนุษย์เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ท่านซีอุสตระหนักได้แล้วว่า ทุกชีวิตล้วนมีเส้นทางของพวกเขาเอง เราไม่ควรไปบังคับให้เขารู้สึกรักใครสักคนด้วยคันธนู” น้ำเสียงของท่านคิวปิดชราจริงจังอย่างผู้ที่เข้าใจสัจธรรมชีวิตอย่างถ่องแท้ “และข้าก็เชื่อนะเซเลน่า ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าตอนนี้มันก็เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่เจ้าจะต้องเดินไป ส่วนข้างหน้าจะเป็นอะไรนั้น ไม่มีใครล่วงรู้ได้”
คราวนี้เป็นฝ่ายเซเลน่าที่ถอนหายใจยาว รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าของหล่อนคงมีแต่ปัญหาแน่นอน
“เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว ข้าต้องเอาแฟ้มนี้ไปเก็บก่อน” มือเหี่ยวย่นไม่มีแรงมากพอที่จะแบกแฟ้มหนักอึ้ง มันจึงร่วงหล่นลงพื้นอีกครั้ง
เซเลน่าย่อตัวเก็บแฟ้มที่กางออก พลันสายตาก็ปะทะกับอะไรบางอย่างซึ่งปรากฏอยู่บนแฟ้ม
‘รายชื่อมนุษย์ผู้มีดวงชะตาใกล้เส้นมรณะ’
หัวข้อกลางกระดาษ เหนือรายชื่อมนุษย์จำนวนมาก และหนึ่งในนั้นก็มีชื่อ
"รักษิยา ก้องเกียรติ" รวมอยู่ด้วย !
“ลักกี้บ่นอะไร” คิวปิดสาวทักขณะขัดบันไดทางขึ้นบ้าน โดยมีเจ้าลักกี้นั่ง ‘บ่น’ อยู่ข้างๆ
“หยาบคาย ! กระผมกำลังร้องเพลงไม่ได้บ่นขอรับ แหม...คุณคิวปิดนี่ทักซะเสียเซลฟ์เลย” เจ้าลายจุดค้อนปะหลับปะเหลือก “แล้วนั่นขัดบันไดนานขนาดนั้นจะหาเลขหรือไงขอรับ” ลักกี้แซวเมื่อเห็นอีกฝ่ายใช้ผ้าชุบน้ำขัดขั้นบันไดที่มีแค่สี่ขั้นตั้งแต่รักษิยาออกไปร้านจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบชั่วโมง
เซเลน่าไม่เข้าใจคำว่า ‘หาเลข’ ของเจ้าสี่ขา แต่จากน้ำเสียงพอจะจับได้ว่ามันกำลังประชดหล่อนอยู่
“ก็มันชินนี่ ตอนฉันอยู่บนเทือกเขาโอลิมปัสนะ ฉันต้องขัดบันไดวิหารให้เงาวับ ไม่เช่นนั้นจะถูกเทพประจำวิหารตำหนิ” เซเลน่าเล่าด้วยความน้อยใจต่ำใจในโชคชะตาของตัวเอง
“แต่อยู่ที่นี่ไม่มีใครว่าหรอกขอรับ”
“แต่ถ้าไม่ขัด ฉันก็ไม่รู้จะทำอะไร วันๆ เอาแต่นั่งรอคุณพี่ภูมิให้มาที่นี่ มันเบื่อน่ะ”
“งั้นก็ขัดไปตามสบายเถอะขอรับ อยากจะขัดให้เงาวับหรือเลขโผล่ก็ตามสะดวก ตอนนี้กระผมขอตัวไปงีบสักหน่อยดีกว่า”
“อะไรกัน นายเพิ่งตื่นแล้วก็เพิ่งจะกินอาหารเช้าเสร็จ จะไปนอนอีกแล้วเหรอ”
“กระผมถือคติที่ว่า‘กินแล้วนั่งเมื่อยหลังตายชัก’ ขอรับ เอาเป็นว่าถ้าต้องการความช่วยเหลือก็ตะโกนว่า ‘โอ้ว...โน้ว’ ก็แล้วกันนะขอรับ เดี๋ยวกระผมรีบวิ่งมาช่วย” บอกเสร็จ เจ้าสี่ขาก็เดินหาวหวอดๆ อ้อมพุ่มไม้หายไปทางหลังบ้าน
เซเลน่ากำลังจะหันไปขัดบันไดต่อ พลอยชมพูในชุดสุดเก๋ประหนึ่งจะไปเดินแบบมากกว่าไปทำงานก็รีบวิ่งออกจากบ้านตัวเองมาที่ประตูรั้วบ้านของรักษิต พลางส่งเสียงกรี๊ดเป็นเจ้าเข้า !
“กรี๊ดๆๆ คุณรักขา กรี๊ดดด” ครั้นเห็นว่าประตูล็อคอยู่จึงร้องบอก “นี่หล่อน เปิดประตูให้ฉันหน่อยสิยะ !” ในเมื่อรักษิตไม่อยู่ในบริเวณนั้น หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องอ่อนหวานกับใคร
เซเลน่าเงยหน้าขึ้นจากบันได มองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าเพื่อนบ้านตัวแสบพูดกับใคร ไม่อยากโดนด่าว่า ‘สาระแน’ อย่างเมื่อวานที่เซเลน่าอุตส่าห์หวังดีเข้าไปช่วยหิ้วชามใส่ซุปมะเขือเทศที่พลอยชมพูจะนำมาฝากรักษิต เซเลน่าไม่เข้าใจความหมายของมันจึงนำไปถามลักกี้
‘สาระแนไม่เหมือนสาระแหน่ สาระแหน่เป็นใบเขียวๆ กลิ่นฉุนๆ เอาไว้กินกับลาบ แต่ถ้าสาระแนจะหมายถึง ยุ่งไม่เข้าเรื่อง อะไรประมาณนี้น่ะขอรับ’
ก็เลยรู้ว่าพลอยชมพูด่าที่ตนเข้าไปยุ่ง ‘เขาหวังดี แล้วยังจะด่ากันอีก มิน่าถึงเกิดมาไม่สวยเหมือนคุณน้องยา’
“นี่หล่อน นอกจากปัญญาอ่อนแล้วยังหูตึงด้วยหรือไง รีบเปิดประตูเร็วๆ สิ”
“ค่ะๆๆๆ” เซเลน่าขาน พร้อมกับวางผ้าลงในถังน้ำ แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู
“นี่หล่อนประชดฉันเหรอ” พลอยชมพูเท้าสะเอว ไม่รู้ว่าหล่อนเตี้ยหรือเซเลน่าสูง พลอยชมพูถึงต้องแหงนหน้ามองอีกฝ่ายเสียจนปวดคอ “เอาเถอะ ฉันจะไม่ถือคนบ้าไม่ว่าคนเมาก็แล้วกัน แล้วคุณรักของฉันอยู่ไหน”
“อยู่ในห้องทำงานค่ะ”
“ดี งั้นเธอก็ช่วยอยู่ตรงนี้ไปก่อนนะ อย่าเพิ่งเข้าไปข้างใน ฉันกับคุณรักเรามีเรื่องต้องคุยกัน เข้าใจ๊?”
เซเลน่าไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะรักษิตก้าวออกมาในบ้าน เนื่องจากได้ยินเสียงของพลอยชมพูพอดี
“มีอะไรหรือครับคุณพลอย”
“คุณรักขา สวรรค์มีตาแล้วค่ะ” เพื่อนบ้านสาวบอกอย่างตื่นเต้น และปราดเข้าไปสวมกอดร่างสูง
“มีอะไรครับ” รักษิตถาม มือก็จับร่างหญิงสาวออกจากร่างตน ถึงจะมีบุคคลที่สามยืนอยู่ด้วย แต่มันก็ดูไม่ดีถ้าใครมาเห็นเขากับพลอยชมพูกอดกันอยู่เช่นนี้
“เมื่อตะกี้ที่บริษัทโทรมาบอกค่ะ ว่าคุณเก่งฉกาจเข้าไปพรีเซนต์งานรอบสุดท้ายไม่ได้ เพราะว่าป่วยหนักค่ะ”
“เอ๊...วันก่อนผมก็ยังเห็นดีๆ อยู่เลย”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่เห็นว่าคุณเก่งเอาแต่นอนเพ้อ ผมก็ตั้งทั้งหัว อย่างกับคนโดนผีหลอกมาเลยค่ะ”
เซเลน่าลอบยิ้มขำ รู้แก่ใจว่าใช้อิทธิฤทธิ์แกล้งคนอื่นเป็นสิ่งไม่ดี แต่ขอเว้นไว้กับคนนิสัยไม่ดีอย่างนายเก่งฉกาจสักคนเถอะ
“ท่าทางเวรกรรมจะตามสนองแล้วนะคะ” พลอยชมพูออกความเห็น “แล้วคราวนี้ก็เป็นโอกาสของคุณรักที่จะชิงเข้าไปพรีเซนต์งานเรื่องนิล เดี๋ยวพลอยจะช่วยเบียดคิวทุกเจ้าให้เองเลย”
“อย่าเลยครับ ผมไม่ชอบพวกที่ทำนอกกติกา เพราะฉะนั้นผมเองก็ไม่ควรทำเช่นกัน”
“แต่ถ้าคุณรักช้า แล้วคุณเก่งฉกาจได้เข้าไปพรีเซนต์เรื่องขาวปลอดอะไรนั่นอีกครั้ง คุณรักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่ายก๊อปงานคุณเก่งนะคะ”
“ผมจะได้เข้าช้าเข้าเร็ว ผมก็โดนข้อหานี้ไปแล้วล่ะครับ แต่การป่วยของคุณเก่งก็ช่วยให้ถ่างเวลาให้ผมมีเวลาคิดงานใหม่มากขึ้น ยังไงผมต้องขอบคุณคุณพลอยมากที่อุตส่าห์เอาข่าวมาบอก”
“แหม...คุณรักก็รู้ว่าพลอยทำทุกอย่างได้เพื่อคุณรัก” หญิงสาวส่งสายตาหวานเยิ้ม
“งั้นพลอยไปทำงานก่อนดีกว่านะคะ ออกช้ากว่านี้เดี๋ยวรถติด แล้วเอาไว้เย็นนี้พลอยอาจจะแวะมาทานข้าวด้วยคน ฉันไปแล้วนะจ๊ะเอแคร์” พลอยชมพูล่ำลาเสียงหวานจ๋อยต่างจากตอนมาถึงอย่างกับเป็นคนละคน
ร่างเตี้ยก้าวพ้นไปจากบ้าน แล้วขึ้นรถยนต์ส่วนตัวซึ่งจอดอยู่หน้าบ้าน ขับออกไป หากยังไม่วายหันกลับมาโบกมือและส่งจูบให้ชายหนุ่ม
“ท่าทางคุณพลอยจะหลงเสน่ห์คุณนะคะ ถึงได้พูดหว๊านหวานกับคุณตลอด คุณรักคะ คุณรักขา” เซเลน่าทำเสียงล้อเลียน
“พูดถึงคนอื่นลับหลังมันไม่ดีรู้ไหม” ชายหนุ่มตำหนิ ก่อนเสริม “คุณพลอยเธอก็เป็นคนแบบนี้แหละ เป็นกันเอง อัธยาศัยดีกับทุกคน”
“เหรอ ?” เซเลน่าทำหน้าไม่เชื่อ “แล้วนี่คุณจะทำยังไงต่อไปคะ”
“ผมก็คงต้องคิดงานใหม่ไปเสนอ”
“งานอะไร ให้ฉันช่วยไหม” เซเลน่าเสนอตัว
“ไม่เป็นไรหรอก ผมทำเองได้”
“ฉันลืมไปว่าคุณพี่รักเก่งอยู่แล้ว งั้นเอาอย่างนี้ ระหว่างนี้ฉันจะภาวนาถึงเทวีไทคีให้ช่วยคุณพี่รัก”
“เทวีไทคี ?”
“ค่ะ เทวีไทคีเป็นเทวีแห่งความโชคดี เป็นเทวีที่ดลบันดาลให้คนมั่งคั่งร่ำรวยมีความสุขได้ค่ะ”
“รู้สึกว่าคุณจะรู้เรื่องเทพอะไรพวกนี้ดีจังเลยนะ ดูทีวีช่องไหนเหรอ”
“ฉัน...ฉันจำไม่ได้ค่ะ ฉันเห็นว่ามันสนุกดีก็เลยดูไปเรื่อยๆ” เซเลน่าแก้ตัว โดยไม่รู้ว่ามันจะบังเอิญไปจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ของรักษิต ถ้าลองผู้ที่ความจำเสื่อมสนุกกับเรื่องราวของเทพกรีก เด็กๆ ก็น่าจะสนุกด้วยเหมือนกัน
“แล้วจากที่คุณดูมา คุณว่าเทพองค์ไหนน่ารักที่สุด”
“คุณพี่รักถามทำไมคะ”
“ก็คุณอยากช่วยผมทำงานไม่ได้เหรอ” ชายหนุ่มยิ้มมีนัย
เซเลน่าพยักหน้าเข้าใจ แล้วตอบโดยไม่ต้องคิด “เทพที่น่ารักที่สุดก็ต้องเป็นเทพคิวปิดสิคะ รู้จักไหม เทพที่มีปีกสองข้าง มีคันธนูห้อยอยู่กับตัว และที่สำคัญนะเทพคิวปิดทำให้คนรักกันได้ด้วย เห็นไหมล่ะ ทั้งน่ารักทั้งแสนดีสุดๆ ไปเลย”
รักษิตพยักหน้าน้อยๆ แววตาขบคิด “ถ้าเทพคิวปิดน่ารักที่สุด แล้วคุณว่าเทพองค์ใดที่น่าเคารพมากที่สุด”
“อ๊ะ...ก็ต้องท่านซีอุสสิ ประมุขของเทือกเขาโอลิมปัสสิ ขนาดไม่ค่อยมีใครได้เห็นหน้าท่าน เทพทุกองค์ยังเกรงกลัวเลย แต่ฉันเคยได้ยินเสียงท่านนะ เสียงท่านทรงพลังมากๆ เลย แต่ดูใจดี คิดดูสิถ้าท่านไม่ใจดีนะ ท่านคง...” เซเลน่าหันไปเห็นสายตาสงสัยของอีกฝ่ายจึงหยุดพูด
“คงอะไร”
“คง...คงไม่ได้เป็นประมุขของเทือกเขาโอลิมปัสไงล่ะ ในทีวีเขาบอกน่ะ” เซเลน่าแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ พอชายหนุ่มไม่ซักถามต่อ เลยชิงเปลี่ยนเรื่อง “เป็นยังไง ฉันพอจะช่วยคุณได้ไหม”
“ช่วยได้มากเลยล่ะ มานี่เร็ว”
รักษิตเดินนำหญิงสาวเข้าไปในห้องทำงาน แล้วเปิดสมุดวาดเขียน หยิบดินสอมาขีดๆ วาดๆ ลงในบนกระดาษอย่างช่ำชอง ไม่นานภาพเค้าโครงเทพคิวปิดน้อยอย่างที่มนุษย์รู้จักก็ปรากฏขึ้น
“โห...เก่งจัง” เซเลน่าร้อง “แต่คิวปิดไม่ได้มีแค่เด็กนะ เทพคิวปิดมีทั้งผู้หญิงผู้ชาย และมีทุกวัยด้วย”
“โอเค เดี๋ยวผมลองคิดดูอีกที”
เซเลน่ายิ้ม แล้วมองภาพชายหนุ่มหุ่นกำยำ มีหนวดเครา ผมยาวประบ่า ในชุดเปลือยท่อนบน ท่อนล่างสวมผ้าพลิ้ว “นี่ใคร”
“ท่านซีอุสไง”
“คุณเคยเห็นท่านซีอุสเหรอ”
“เคยเห็นในรูปภาพ พวกสารคดีเกี่ยวกับเทพ แล้วก็อาศัยจินตนาการนิดหน่อย คุณคิดยังไง ถ้าท่านซีอุสกับเทพคิวปิดจะเป็นเพื่อนซี้กัน”
เซเลน่าหัวเราะจนตัวงอ “คุณคิดได้ยังไง ให้เทพคิวปิดเป็นเพื่อนซี้กับท่านซีอุส ไม่มีใครกล้าขนาดนั้นหรอก”
“ในโลกของจินตนาการ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น คุณจะให้ใครเป็นอะไร ทำอะไร หรือจะสร้างโลกขึ้นมาใหม่ก็ได้ ขอแค่สิ่งที่คุณคิดมันไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอ” รักษิตบอกก่อนก้มหน้าวาดชุดของท่านซีอุสตามจินตนาการของเขาให้สมบูรณ์ ขณะเดียวกันเซเลน่าก็กำลังหลับตา ลองเปิดจินตนาการของตัวเอง นึกถึงสิ่งที่ตัวเองอยากให้เกิดขึ้น
“ถ้าพวกเทพคิวปิดเป็นเพื่อนซี้กับท่านซีอุส งั้นก็ให้พวกเขาเป็นคู่ซี้ที่คอยปราบเหล่าร้าย ยักษ์หรืออสูรทุกตัวต้องยำเกรง ไปที่ไหนก็จะมีแต่เสียงชื่นชม นั่นไงๆ ท่านคิวปิดกับท่านซีอุสมาแล้ว ท่านซีอุสกับท่านคิวปิดจงเจริญ...จงเจริญ...จงเจริญ”
รักษิตเงยหน้าจากกระดาษ หันไปมองท่าทางหญิงสาวย่อตัวทำความเคารพหลายๆ ครั้งก็อมยิ้ม พลันความคิดสร้างสรรค์ก้อนใหญ่ก็เกิดขึ้น...เขาจะสร้างการ์ตูนเรื่องใหม่ ให้มีตัวละครเอกคือ ท่านซีอุสผู้น่ายำเกรง กับคิวปิดน้อยแสนซน ทั้งสองจะร่วมมือกันปราบเหล่าร้าย เพื่อผดุงความสงบสุข
“เอแคร์ ! ขอบคุณมากนะ” ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นไปจับแขนสองข้างของหญิงสาว
“ขอบคุณอะไรคะ” เซเลน่างง
“ก็ที่คุณช่วยผมคิดงานไง ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าจะทำเรื่องอะไรไปเสนอช่อง ผมว่าน่าจะสู้กับคุณเก่งฉกาจได้สบายๆ เลยล่ะ”
“จริงเหรอคะ! ในที่สุดคุณพี่รักก็ทำได้ ! คุณพี่รักเก่งที่สุดเลย !” ว่าแล้วก็จับแขนสองข้างของชายหนุ่มแล้วกระโดดพาชายหนุ่มหมุนไปรอบๆ อย่างดีใจ ซึ่งรักษิตก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงต้องยอมหมุนตามแรงดึงอันน้อยนิดของหญิงสาวด้วย แถมยังรู้สึกสนุกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ห่างหายจากเขาไปนานเป็นสิบปี เพราะเหตุนี้ เขาถึงชอบวาดการ์ตูน ชอบแต่งเรื่องราวความสนุกจากจินตนาการ เพื่อสนองต่อสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต
ขณะที่รักษิตกับเซเลน่ากำลังสนุกสนานกันอยู่นั้น รถเก๋งคันหรูก็เคลื่อนเข้ามาจอดหน้าบ้าน ทั้งสองหยุดกระโดดแล้วมองผ่านหน้าต่างห้องทำงานออกไปหน้าบ้านอย่างพร้อมเพรียง
“คุณพี่ภูมิมาแล้ว !” เซเลน่าแสดงอาการดีใจอย่างไม่ปิดบัง เมื่อเห็นภูมิก้าวลงจากรถ ภารกิจต่อไปคือ จะต้องไปถอดสร้อยปีกนกออก คืนร่างเป็นคิวปิด เพื่อจะได้ดึงลูกศรออกจากอกของนายภูมิ
ดังนั้นเซเลน่ากำลังจะหันหลังวิ่งออกไป แต่ถูกมือใหญ่คว้าข้อมือเอาไว้
“คุณจะไปไหน”
“เอ่อ...” คิวปิดสาวอ้ำอึ้ง โกหกไปว่า “ไปอาบน้ำ เมื่อตะกี้ฉันเพิ่งเล่นกับลักกี้ มันเลียฉันทั้งตัวเลย ตอนนี้ตัวฉันคงเต็มไปด้วยเชื้อโรค” หล่อนจดจำมาจากคำพูดของรักษิยา เมื่อครั้งที่เห็นหล่อนเล่นกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเจ้าลักกี้
‘อย่าให้เจ้าลักกี้เลียหน้ารู้ไหมเอแคร์ น้ำลายมันสกปรก เดี๋ยวเชื้อโรคเข้าร่างกายแล้วจะไม่สบายนะ’
“ขืนเข้าใกล้คุณภูมิตอนนี้ คุณพี่ภูมิรังเกียจแย่” คิวปิดสาวพูดจบก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน เป้าหมายคือห้องนอนอันเป็นสถานที่ส่วนตัวที่สุดในบ้านหลังนี้
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พอเซเลน่าขึ้นไป ‘อาบน้ำ’ แล้ว รักษิตก็ออกไปช่วยภูมิหิ้วถุงอาหารและขนมจำนวนมากเข้ามาไว้ในห้องครัว
“ยางอนเรื่องอะไรอีกล่ะ ถึงต้องขนซื้อของกินมาง้อเยอะแยะขนาดนี้” รักษิตถาม เพราะทุกครั้งที่ภูมิซื้อของกินมามากมายก็เกิดจากที่รักษิยางอน ภูมิก็จะเอาใจด้วยการสรรหาของโปรดมาให้
ทว่าสิ่งที่สร้างความแปลกใจก็คือ สิ่งของที่อยู่ในถุงทั้งหมดเป็นของโปรดของเขา รวมทั้งผัดไทไข่ปูเจ้าอร่อยซึ่งร้านตั้งอยู่ไกลถึงถนนพุทธมนฑลสายสอง
“มีผัดไทยร้านเจ๊อิ๋วด้วยเหรอ นายไปทำอะไรแถวนั้นล่ะ ถึงได้ซื้อมา”
“ไม่ได้ไปทำอะไร ก็ขับรถไปซื้อมาให้นายโดยเฉพาะ”
รักษิตอึ้ง “ไปซื้อให้ฉันโดยเฉพาะ ? นี่ต้องออกจากบ้านตั้งแต่กี่โมงเนี่ย”
“ตีห้า”
“ตีห้า !” รักษิตตกใจ “ออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้ามาถึงบ้านฉันเกือบเก้าโมงเนี่ยนะ ทำไมต้องลำบากขนาดนั้นวะ”
“ไม่เห็นจะลำบากอะไรนี่ ขับรถแป๊บเดียวเอง เห็นยาบอกว่านายเครียดๆ เรื่องโดนก๊อปงาน ฉันก็เลยอยากให้นายได้กินของอร่อยๆ เผื่อจะหายเครียด” อย่างนี้ใช่ไหมที่เขาบอกว่าการทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก เราจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย “แล้วนี่เอแคร์ไปไหน หรือว่ากลับบ้านไปแล้ว” ภูมิภาวนาขอให้เป็นอย่างหลัง
“ขึ้นไปอาบน้ำ”
ภูมิผิดหวัง หากถามว่า “แล้วยังตามหาบ้านไม่ได้อีกเหรอ”
“อืม ยังไม่มีใครติดต่อมาเลย”
ภูมิพยักหน้ารับ หงุดหงิดเล็กน้อยที่สาวสวยยังอยู่ใกล้รักษิตของเขา แต่ตอนนี้เรื่องเอแคร์ยังไม่สำคัญเท่าเรื่องสุขภาพและความเครียดของเพื่อนรัก “นายจะกินผัดไทยเลยไหม เดี๋ยวฉันจัดใส่จานให้”
“เอาไว้ก่อนดีกว่า ฉันเพิ่งกินข้าวเช้าไป”
“งั้นเอาเต้าฮวยฟรุตสลัดหรือว่าลอดช่องสิงคโปร์ดีไหม หรือจะเอากะท้อนลอยแก้ว เจ้านี้นายชอบกินนี่ ฉันซื้อมาให้สิบลูกเลยนะ”
“นายเป็นอะไรหรือเปล่าภูมิ” รักษิตชักเอะใจกับพฤติกรรมเอาใจเข้าขั้นโอเว่อร์ของอีกฝ่าย
“เปล่านี่ นายคิดว่าฉันจะเป็นอะไร”
“ไม่รู้สิ ก็ดูนายเอาใจฉันเหลือเกิน”
ภูมิอึ้ง แล้วบอกไปว่า
“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันสงสารนายเรื่องโดนก๊อปงาน ฉันก็เลยอยากทำให้นายสบายใจ นายจะได้มีแรงมีกำลังใจคิดหาทางแก้ปัญหาต่อไป”
ปกติภูมิจะซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเองเสมอ ถ้าเขารู้สึกกับใครยังไง เขาก็จะแสดงออกเช่นนั้น อย่างก่อนหน้านี้เขารักรักษิยา เขาก็จะทุ่มเทความรักทั้งหมดให้หญิงสาว โดยที่ไม่คิดจะเก็บเผื่อเอาไว้ให้ใครอีก พอมาถึงครั้งนี้ ภูมิรู้แก่ใจว่าเรื่องระหว่างเขากับรักษิตมันคงเป็นไปไม่ได้ รักษิตไม่ได้มีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกัน ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมีรสนิยมนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องบังคับใจตัวเองอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้เอ่ยออกไปว่าที่เขาทำทุกอย่างเป็นเพราะหัวใจมันเรียกร้อง
“เหรอ งั้นก็ขอบใจนายมาก แต่ฉันไม่ได้เครียดมากหรอก เครียดไปก็เสียเวลาเปล่าๆ”
รักษิตยิ้ม รอยยิ้มจากริมฝีปากหยักได้รูปทำให้หัวใจของภูมิใจเต้นไม่เป็นส่ำ จนลืมบังคับตัวเองไปชั่วขณะ สัญชาตญาณความซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองและเสียงเรียงร้องของหัวใจสั่งให้เขาก้าวเข้าไปใกล้รักษิต เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“รัก ฉันมีเรื่องอยากจะบอกนาย” ดวงตาภายใต้กระจกใสพราวระยับ ยังดีที่ดวงตาคู่นั้นเล็กยิบหยี รักษิตจึงไม่สังเกตเห็น
“ว่า ?”
“แต่นายต้องสัญญาก่อน ถ้านายฟังสิ่งที่ฉันบอกนายไปแล้ว นายจะรู้สึกยังไงก็ตาม นายต้องไม่โกรธไม่เกลียดฉัน”
คิ้วหนาเลิกสูง “นายจะบอกอะไรฉัน”
“ฉัน...ฉัน...” ภูมิกำลังรวบแรงความกล้าแล้วตัดสินใจพูดออกไปว่า “ฉัน...รักนาย “
แต่จู่ๆ สองคำสุดท้ายก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคออย่างไม่มีสาเหตุ รักษิตเลยไม่ได้ยิน
“นายว่าอะไรนะ”
ภูมิขยับปาก แต่ไม่มีเสียงลอดออกมาราวกับถูกปิดลำโพง
“เป็นอะไรไปวะไอ้ภูมิ !” รักษิตตกใจ
ภูมิส่ายหน้า พยายามพูดก็แล้ว ตะโกนก็แล้ว แต่ไม่มีเสียงออกมา ใบหน้าขาวเริ่มซีดเผือดกับอาการประหลาดของตัวเอง
“มีอะไรติดคอหรือเปล่า” รักษิตถาม ไม่รอช้าเขาทุบหลังให้ภูมิเป็นพัลวัน
ขณะที่สองหนุ่มกำลังตื่นตระหนกกับอาการประหลาดของภูมิ คิวปิดสาวซึ่งยืนมองเหตุการณ์อยู่ที่ประตูห้องครัวกลับถอนหายใจโล่งอก หล่อนมาทันเห็นว่าภูมิกำลังสารภาพความในใจกับรักษิตอยู่พอดี จึงจัดการปิดเสียงพูดของนายภูมิซะเลย
‘ต้องรีบดึงลูกศรออก’ คิวปิดสาวบอกตัวเอง แล้ววิ่งเข้าไปใกล้ภูมิที่กำลังถูกรักษิตทุบหลังดังอั่กๆ เซเลน่าวิ่งมองไปที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของชายหนุ่ม
แต่ไม่มีลูกศรปักอยู่แล้ว !
มองไปตรงไหนก็ไม่มีริ้วรอยของลูกศรปรากฏอยู่เลย แล้วมันหายไปไหน ? จะว่านายภูมิดึงออกเอาไปเก็บไว้ก็คงไม่ใช่ เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นลูกศรของเทพได้ จะต้องมองด้วยดวงตาของเทพเท่านั้น เซเลน่าถึงต้องแปลงร่างเป็นคิวปิดทุกครั้งที่พบนายภูมิ
‘ลูกศรหายไปแล้วหล่อนจะทำยังไงล่ะทีนี้’
เซเลน่าคิดไม่ตก ตัดสินใจจะกลับไปถามท่านซีอุสบนเทือกเขาโอลิมปัส จึงดีดนิ้วเป๊าะ ยังผลให้ร่างหายแว่บไป
แต่ไม่ถึงสองวินาที หล่อนก็กลับมาอีกเพราะนึกขึ้นได้ว่าลืมสลายฤทธิ์ให้นายภูมิ ท่าทางตื่นตระหนกขนาดนี้คงไม่มีอารมณ์สุนทรีย์จะบอกรักคุณพี่รักแล้วแน่นอน เซเลน่าวาดนิ้วในอากาศวนจากซ้ายไปขวา จากทีแรกที่เสกอิทธิฤทธิ์ใส่ต้องวนจากขวาไปซ้าย แล้วเล็งปลายนิ้วไปที่ริมฝีปากของนายภูมิที่กำลังขยับปากคร่ำครวญกับรักษิตด้วยความตกใจ
“...ช่วยฉันด้วย !” ภูมิเปล่งเสียงออกมาได้ในที่สุด
เซเลน่าจึงค่อยดีดนิ้วเป๊าะหายตัวไปอีกครั้ง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พอก้าวพ้นประตูสู่โลกมนุษย์ เซเลน่าก็วิ่งไปยังวิหารของท่านซีอุสอย่างเร็ว ถึงจะลงไปอยู่บนโลกมนุษย์หลายวันแล้ว แต่เวลาของที่นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่นาที เรื่องหล่อนแอบลงไปบนโลกมนุษย์จึงยังไม่สร่างซา เหล่าทวยเทพจึงพากันสะกิดมองหล่อนและซุบซิบนินทากันอย่างเปิดเผย แต่เซเลน่าไม่สนใจ เวลานี้ต้องการรู้อย่างเดียวเท่านั้นว่าลูกศรบนอกของนายภูมิหายไปไหน
“ว้าย !”
เซเลน่าร้องลั่น เมื่อชนกับท่านอีปัสคิวปิดชราที่หอบแฟ้มสีเทามาเต็มมือตรงหน้าวิหารของท่านซีอุส
“ท่านอีปัส ! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ด้วยความที่อายุน้อยกว่ามาก เซเลน่าจึงลุกขึ้นได้เร็วกว่าอีกฝ่ายที่ยังนั่งกองอยู่บนพื้น จับคันธนูแสนหนักไปไว้ข้างหน้าบ้างข้างหลังบ้างอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าเอาไว้ตรงไหนจะช่วยไม่ให้มันถ่วงน้ำหนักทำให้เป็นอุปสรรคในการยืน
“มาค่ะ ข้าช่วย” เซเลน่าอาสา แล้วประคองร่างผอมเกร็งขึ้น ขนสีเทาจากปีกสองข้างร่วงกราวเต็มพื้นบ่งบอกว่าอายุขัยของคิวปิดผู้นี้มากโข และเมื่อใดที่ขนบนปีกร่วงหมด เทพคิวปิดผู้นั้นก็ถึงเวลาดับสูญ
“ขอบใจๆ แล้วนี่เจ้ารีบร้อนจะไปไหน”
“ข้าจะไปเข้าเฝ้าท่านซีอุส ข้ามีเรื่องร้อนใจจะปรึกษา” เซเลน่าบอกพลางเก็บแฟ้มพื้นคืนให้อีกฝ่าย “ท่านซีอุสไม่อยู่หรอก ออกไปประชุมคณะเทพเมื่อสักครู่นี้เอง” คิวปิดชราบอกเสียงแหบพร่า
“ท่านรู้ได้อย่างไร”
“ก็เมื่อตะกี้ข้าเพิ่งเอาแฟ้มมนุษย์ผู้มีดวงชะตาเฉียดใกล้เส้นมรณะไปให้ท่านซีอุสตรวจ พอตรวจเสร็จท่านก็รีบออกไปเลย”
เซเลน่าถอนหายใจพรืด ทิ้งตัวนั่งลงบนขัดบันไดหินอ่อนเงาวับ “แล้วนี่ข้าจะทำอย่างไรดี”
“เจ้าไปก่อเรื่องใดมาอีกรึ” ข่าวของหล่อนคงดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเทือกเขาโอลิมปัส ขนาดท่านคิวปิดชราผู้รักสันโดษอย่างท่านอีปัสยังรู้เรื่อง
“ข้าไม่ได้ก่อเรื่องอะไร ข้าแค่อยากรู้ว่าลูกศรที่ข้าปักลงไปบนร่างของมนุษย์ผู้นั้นมันหายไปไหน”
“เจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าดูดีแล้ว”
“ข้าแน่ใจ”
“ถ้านับตามเวลาบนโลกมนุษย์ จากวันที่เจ้าแผลงศรใส่มนุษย์ผู้นั้นจนถึงตอนนี้ผ่านไปกี่วันแล้ว” คิ้วสีขาวขมวดอย่างใช้ความคิด
“ก็ประมาณสามสี่วัน”
“งั้นมันก็คงสลายไปแล้ว เพราะลูกศรที่ปักลงไปบนร่างของมนุษย์ มันจะมีอายุอยู่เพียงแค่สามวัน หลังจากนั้นลูกศรก็จะสลาย”
“สลาย !” ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงอย่างดีใจ “แสดงว่าฤทธิ์จากปลายศรก็ต้องสลายหายไปแล้วใช่ไหม อย่างนี้คุณพี่ภูมิก็จะไม่หลงรักคุณพี่รักแล้วใช่ไหมคะ”
ท่านคิวปิดชราส่ายหน้า “ตรงกันข้าม ที่มันสลายน่ะ สลายเข้าไปในหัวใจของมนุษย์ผู้นั้น มันก็ยิ่งจะทำให้ความรักจากลูกศรยิ่งทวีคูณมากขึ้น และที่สำคัญก็คือ จะไม่มีเทพท่านใดสามารถดึงมันออกได้”
เซเลน่าแทบทรงตัวไม่อยู่ ถ้าดึงลูกศรออกไม่ได้แล้วหล่อนจะต้องทำลายฤทธิ์จากปลายศรในหัวใจของคุณพี่ภูมิได้ยังไง “ท่านมีหนทางช่วยข้าไหมท่านอีปัส”
“ไม่มี” ตอบทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “เพราะเทพคิวปิดไม่เคยมีใครแผลงศรผิดพลาด จึงไม่เคยมีใครคิดหาหนทางคลายฤทธิ์ของปลายศร”
“แต่ท่านช่วยข้าหน่อยไม่ได้เหรอ” เซเลน่าเว้าวอน
“ในเมื่อเจ้าเรียนผูกเจ้าก็ต้องเรียนแก้ด้วยตัวเอง เหมือนกับที่เจ้าทะลึ่งขโมยลูกศรลงไปแผลงศรใส่มนุษย์โดยพลการนั่นแหละ”
“แหม...ท่านก็อย่าว่าข้าเลย ที่ข้าทำไปเพราะหวังดีกับคิวปิดทุกท่านหรอกนะ”
ท่านอีปัสถอนหายใจยาว ก่อนเอ่ยว่า “ข้าจะบอกเจ้าให้นะ การที่ท่านซีอุสสั่งยกเลิกหน้าที่ของคิวปิดมันไม่ใช่แค่ว่าความคิดของมนุษย์เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ท่านซีอุสตระหนักได้แล้วว่า ทุกชีวิตล้วนมีเส้นทางของพวกเขาเอง เราไม่ควรไปบังคับให้เขารู้สึกรักใครสักคนด้วยคันธนู” น้ำเสียงของท่านคิวปิดชราจริงจังอย่างผู้ที่เข้าใจสัจธรรมชีวิตอย่างถ่องแท้ “และข้าก็เชื่อนะเซเลน่า ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าตอนนี้มันก็เป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่เจ้าจะต้องเดินไป ส่วนข้างหน้าจะเป็นอะไรนั้น ไม่มีใครล่วงรู้ได้”
คราวนี้เป็นฝ่ายเซเลน่าที่ถอนหายใจยาว รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าของหล่อนคงมีแต่ปัญหาแน่นอน
“เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว ข้าต้องเอาแฟ้มนี้ไปเก็บก่อน” มือเหี่ยวย่นไม่มีแรงมากพอที่จะแบกแฟ้มหนักอึ้ง มันจึงร่วงหล่นลงพื้นอีกครั้ง
เซเลน่าย่อตัวเก็บแฟ้มที่กางออก พลันสายตาก็ปะทะกับอะไรบางอย่างซึ่งปรากฏอยู่บนแฟ้ม
‘รายชื่อมนุษย์ผู้มีดวงชะตาใกล้เส้นมรณะ’
หัวข้อกลางกระดาษ เหนือรายชื่อมนุษย์จำนวนมาก และหนึ่งในนั้นก็มีชื่อ
"รักษิยา ก้องเกียรติ" รวมอยู่ด้วย !
สาธิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ค. 2554, 18:35:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ค. 2554, 18:35:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 1528
<< ตอน 8 | ตอน 10 >> |