อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด

ตอน: บทที่ 3 : เส้นประสาทที่ขาดผึง

สัมปันนีก้มหน้านอนราบหมดสภาพไปบนโต๊ะรกๆ ของตัวเอง มือทึ้งศีรษะแก้เครียด นึกถึงกิริยาข่มขู่อ้อนวอน หรือการพร่ำพรรณนาถึงความรักสวยหรูที่เธอบรรยายให้เจ้านายฟังเธอว่าแย่กว่าการที่เธอรู้เห็นว่าเขามีคู่ขาเป็นผู้ชายเสียอีก เพราะเรื่องหลังเขาไม่ได้รู้ว่าเธอรู้เห็น

ไหล่เกร็งมีมือมาจับแผ่วเบา ทำให้ปฏิกิริยาที่ตื่นตัวและเครียดตลอดเวลาตอบโต้ไปด้วยหลังมืออย่างกับคาราเต้ เสียงโอยคุ้นหู และร่างเล็กกว่าเธอทรุดลงไปนอนครางบนพื้นทำให้สัมปันนีได้สติ มือที่ตีกลางแสกหน้าเมื่อครูเปลี่ยนมาเป็นประคองไหล่ของนวีนขึ้นมา สีหน้าขอโทษขอโพยเต็มที่

“มือหนักเหมือนเดิม” นวีนบ่นเสียงกลั้วหัวเราะ ลูบหน้าผากแดงของตัวเองไปมา

“ขอโทษ เราสติสตังไม่ค่อยมี”

“ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งแตกตื่น แค่ไม่รู้ว่าท่านประธานเป็นประธานเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มล้อเลียนหน้ายิ้มปนขำ พอเห็นคนฟังทำหน้างอหงิกจึงประคองเพื่อนให้นั่งลง ตัวเองมายึดมุมขอบโต๊ะเป็นที่นั่งเช่นเดิมเพื่อสนทนาถามไถ่ถึงเรื่องที่เขาไม่รู้ “ไปรู้จักท่านประธานกันอีท่าไหน ถึงไม่รู้ว่าเขาเป็นท่านประธานหืม”

“เจอกันในลิฟต์ เจอกันบนดาดฟ้า แล้วก็ที่เจอกันโรงอาหารเมื่อเช้า เพิ่งเจอเขามาสามครั้ง ไม่เคยถามชื่อ เลยไม่รู้ว่าเขาเป็น...” สัมปันนีหยุดพูดแฉความโง่ตัวเอง ดึงมือของนวีนมาซุกหน้าลงไป เป็นกิริยาที่เธอชอบทำเวลาทำเรื่องขายหน้ามา หรือกำลังท้อๆ อยากได้กำลังใจ มืออีกข้างของนวีนที่ยังว่างจึงลูบผมปลอบโยน

“เก่งมากนะที่นั่งทานข้าวกับท่านประธานได้จนจบมื้อ”

“ทำไมล่ะ” เสียงอู้อี้ถามกลับอย่างสงสัย ถึงดรัลจะชอบทำหน้าดุ แผ่ไอห่างเหินออกมา แต่เธอกลับไม่รู้สึกว่าเขาน่ากลัวหรือดุจัดขนาดร็อกไวเลอร์เรียกพี่ เขายังมีมุมสงสัย หรืออยากรู้ อาทิ เรื่องความรักน้ำเน่าของเธอ

“ใครๆ ก็กลัวเขา ดุ อยู่ด้วยแล้วเครียด ขนาดเราที่ต้องประสานงานกับลูกค้า เวลาเข้าไปรายงานผลกับเขายังกดดันเลย”

“บางทีที่เขากดดันนายอาจเพราะสาเหตุอื่น” สัมปันนีเผลอคิดว่าเจ้านายคนใหม่เพ่งเล็งนวีนของเธอเข้าเสียแล้ว ก็แหมรสนิยมของเขาธรรมดาเสียที่ไหน นวีนที่เธอหลงหัวปักหัวปำจะไม่ใช่เหยื่อน่าพิสูจน์ความรักของเขาเหรอ

ไม่ถึงสัปดาห์ที่เขาเข้ามาทำงาน เขาจะมาถูกตาต้องใจใครบ้างหรือเปล่า เธอก็สุดจะรู้

“สบายใจขึ้นไหม” หญิงสาวเผลอเอาแก้มลูบไปบนมือนุ่มของนวีน “ดีขึ้นมากแล้ว”

พอเธอดึงร่างขึ้น แล้วพบกับสายตาดุจัดของชมนาดที่ยืนอยู่เบื้องหลังนวีนเธอจึงปล่อยมือของนวีนออก และบอกให้ตัวเองดึงหัวใจไปไว้ในที่ที่ปลอดภัยโดยเร็ว บนมือของนวีนถึงจะนุ่มน่าวางพักหัวใจอย่างไร ก็ไม่มีพื้นที่มากพอสำหรับหัวใจเธออีกต่อไป

“ขอบคุณมากนะที่ปลอบเรา”

“เพื่อนกัน เคยเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ไม่มีทางเปลี่ยนความสัมพันธ์ของพวกเราได้หรอก” นวีนย้ำชัด เขาจงใจหันไปมองชมนาดที่ยืนฟังหน้านิ่วไม่พอใจ แต่ก็ได้แค่มองจิกเธอทิ้งท้าย และเดินตามนวีนออกไป ปล่อยให้คนที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังจมอยู่กับคำว่าเพื่อน และความสัมพันธ์ที่จะไม่มีวันเปลี่ยนนี้เพียงลำพัง

เมื่อไหร่จะตื่นมารับรู้ความจริงนี้ได้สักที...อีกครั้งที่ขอบตาคนไม่ยอมตื่นมีน้ำตาซึมออกมา หัวใจของเธอไม่ได้ทนทานเหมือนร่างกายนัก



‘เจเนอรัลเบ๊’ ตำแหน่งอันมีเกียรติที่คนชอบเรียกสัมปันนีลับหลังเสมอ หลังเวลาเลิกงานหลายคนก็ยังคิดถึงเธอ หญิงสาวนั่งเหม่ออยู่หน้าตัวตึก ถือกระเป๋าแบรนด์ราคาแพงของชมนาดที่วานให้เธอนำไปให้เขาที่ร้านอาหารอย่างว่างเปล่า เธอนั่งจุมปุ๊กอยู่หน้าตัวตึก ไม่ยอมเรียกแท็กซี่เป็นนานนับสิบนาที

ถึงหน้าเธอจะโง่มาก แต่ไม่ได้ไร้สมองจนไม่รู้ว่านี่คือการแสดงออกที่ชมนาดจงใจ ป่านนี้นวีนคงอยู่กับชมนาด และเธอจะต้องไปรับรู้เหตุการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนนั้น

เธอยังไม่อยากยอมรับความจริง แต่ก็เหนื่อยที่จะหนี...นับตั้งแต่เธอพอรู้เรื่องระหว่างนวีนและชมนาด หัวใจของเธอก็ล้ากว่าเดิมเท่าตัว คำว่าคับที่อยู่ได้...คับใจอยู่ยาก เป็นอย่างนี้นี่เอง

ว่าแต่เธอจะเอาอย่างไรกับกระเป๋าใบนี้ดี สัมปันนีชูกระเป๋าอยู่ในระดับสายตา หัวใจที่เรียนรู้คำว่ารัก แต่ยังไม่ได้เริ่มต้นบีบรัดแน่นจนหายใจเกือบไม่ออก

หรือเธอควรยอมรับความจริง...ได้แล้ว



ชมนาด คือความงดงาม ความโดดเด่นที่เขาไม่เคยได้พานพบ นวีนรู้สึกสนใจเพื่อนร่วมงานคนนี้มาตั้งแต่ครึ่งปีก่อน ผู้หญิงที่ทานเหล้า เที่ยวกับเขาได้ คนที่นั่งดูบอล และเล่นเกมกับเขาสนุกสนาน ไม่เหมือนสัมปันนีที่คออ่อน เที่ยวก็ถนัดแต่แนวธรรมชาติปีนป่ายภูเขา เกมคอมพิวเตอร์ก็ไม่ถนัด กีฬาก็ไม่ชอบดู หลายสิ่งที่ตรงข้ามกับเขาเกินไปจนเขาไม่เคยคิดเปลี่ยนเพื่อนมาเป็นมากกว่าเพื่อน

แต่จนแล้วจนรอด ถึงป่านนี้เขาเองก็ยังไม่กล้าเปิดเผยฐานะระหว่างตัวเขากับชมนาดให้คนอื่นได้รู้

“วินแคร์เพื่อนรักของวินมากไปหรือเปล่า” ชมนาดจิบเครื่องดื่ม เคล้าเสียงเพลงในบาร์ร้านอาหาร หน้าตายั่วยวนคนมองให้หลงเคลิ้ม เธอไม่เคยพอใจสถานะที่นวีนหยิบยื่นให้ เธอเองไม่ใช่คนประเภทจะถูกเก็บเบื้องหลัง ที่ผ่านมาแฟนของเธอมีแต่เทิดทูนเหนือหัว ไม่เหมือนนวีนที่กลับหลบๆ ซ่อนๆ โดยเฉพาะต่อหน้าคนที่เขาเรียกว่าเพื่อน เธอรู้สึกว่าตัวเองถูกดูหมิ่นอย่างแรง

“อาลัวเขาอาจไม่ชิน ถ้าจู่ๆ ผมจะดึงเวลาที่เคยอยู่กับเขามาให้คุณทั้งหมด”

“บอกไปเขาจะได้ชิน เพื่อนกันทำไมจะรับไม่ได้”

“ผมขอเวลาอีกหน่อย” นวีนบอกปัดด้วยการดึงร่างของชมนาดมาโอบกอดเต้นเบาๆ ไปในเสียงเพลงของทางร้าน

โทรศัพท์ของนวีนดังขึ้น ชมนาดที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมจึงจับสังเกตแฟนหนุ่มได้ว่าเขามีอาการชะงักงันไปหลังจากเห็นเบอร์ปลายทางได้ง่าย พอนวีนเงยหน้าและขอตัวเดินออกไปรับโทรศัพท์ ชมนาดจึงได้แต่กัดฟัน ทนไม่ได้กับการถูกกันออกเป็นคนอื่น

ลางสังหรณ์ของเธอบอกว่าคนที่โทรมานั้นคือ...สัมปันนี คนที่นวีนบอกว่าเป็นเพื่อน และยกเธอเป็นคนรัก

“จะไปหาเพื่อนคุณหรือไง” ชมนาดรวนใส่นวีนทันทีที่ชายหนุ่มกลับเข้ามาในร้าน ไม่ทันเอะใจกับใบหน้าทะมึนตึงที่นวีนแสดงออกมา

“ชมทำไมคุณไม่รักษาคำพูด ไหนบอกว่าจะไม่ให้อาลัวรู้ไง” เขาโกรธมากตอนที่รู้ว่าชมนาดโทรมาบอกว่าตัวเองถูกชมนาดวานให้เอากระเป๋ามาคืน แต่เพราะมันดึกแล้ว และรถกำลังจะหมดจึงขอให้เขาเป็นธุระให้แทน และสัมปันนีก็ใช้เหตุผลจนเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสงสัยในความสัมพันธ์ของเขากับชมนาดไปขนาดไหน

‘ชมดุจะตาย ถ้าเขารู้ว่าเราเอาของไปให้ไม่ได้มีเหวี่ยงตายแน่’ น้ำเสียงของสัมปันนีเย้าแกมขำ

‘เลยให้เราโดนเหวี่ยงตายแทน’

‘นวีนอึดจะตาย ไม่มีทางตายหรอก’

เขารับปากแทน แต่ในใจกลับไม่สบายใจที่ชมนาดเริ่มหันมาเล่นงานสัมปันนี คนที่เขาไม่ต้องการให้ได้รับผลกระทบหลังจากที่เขามีแฟนแล้ว เขายังอยากมีเวลา มีพื้นที่ให้สัมปันนีเหมือนเดิม

“เป็นคุณที่จริงจังกับการปิดบังเรื่องนี้ ฉันไม่เคยบอกว่าจะปิดบังกับคุณเลยสักครั้ง ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่เอาความจริงเรื่องนี้โยนใส่หน้าเพื่อนของคุณ ให้เขารู้แจ้งเห็นชัดไปเลย” ชมนาดตัวสั่นด้วยความโกรธ

นวีนดึงร่างของชมนาดเข้าหาตัว แล้วก้มลงปิดปากอย่างรับไม่ได้ เขาโกรธที่ความรู้สึกของตัวเองคล้ายเดินอยู่ในทางมืด และไกลจากแสงสว่างมากขึ้นทุกที



ภาพของนวีนที่จูบจนร่างของชมนาดอ่อนระทวยอยู่ในสายตาของหญิงสาวที่ซ่อนตัวอยู่ริมกระจกร้านชัดเต็มสองตา สัมปันนีมองจนตาสองข้างพร่างไปด้วยหยดน้ำ หัวใจชาหนึบจนไม่รู้ว่าเวลานี้จะมีความรู้สึกใดมาทำให้ใจเธอเจ็บปวดได้อีก

ก้าวยาวๆ ของเธอก็เดินกึ่งวิ่งออกมาไกลอย่างรับไม่ได้ ความจริงที่เธอพยายามหลบเลี่ยง หลอกตัวเองมาเรื่อยตำตาตำใจเธออย่างจัง เพราะคิดว่าตัวเองอาจยังมีความหวังหลงเหลือดับวูบลงไปในนาทีนั้น หญิงสาวอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ไม่หมดในยามนี้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับความรู้สึกของตัวเองคืออะไร

ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอเผลอหลงลืมไปว่านวีนคือเพื่อน ปล่อยหัวใจตัวเองถลำลงลึกจนคิดว่านวีนเป็นของเธอไปได้อย่างไร แค่เพื่อน ทำไมสมองของเธอไม่หัดจำให้ขึ้นใจสักที

สัมปันนีเดินมาจนถึงทางแยกทางม้าลาย การจราจรยามดึกทำให้ถนนค่อนข้างโล่ง ไม่มีรถพลุ่งพล่านเหมือนในตอนเย็น ภาพในหัวย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในอดีต ส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ทำให้เธอเริ่มมีนวีนในหัวใจ



วันแรกของการทำงาน การจราจรคลาคล่ำ จำนวนรถกับปริมาณคนรอข้ามถนนจึงอยู่ในจำนวนพอๆ กัน ความเบียดเสียดจากการรอ และพอสัญญาณไฟจราจรรูปคนข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียวให้คนข้ามได้ สัมปันนีที่กลืนไปกับฝูงชนก็ข้ามไปอย่างช้าๆ กระทั่งไม่ทันมองว่ามีร่างของหญิงชราคนหนึ่งเป็นลมล้มพับไปกลางถนน เสียงฮือฮาของคนที่เดินข้ามทำให้หญิงสาวต้องหันไปมอง

ราวกับเธอนั่งดูโฆษณาในจอทีวีที่สนับสนุนให้คนไทยทำดี ผู้ชายหุ่นไม่สูงมาก ข้างหลังสะพายกระเป๋าเป้เป็นคนถึงตัวหญิงชราคนนั้นก่อน และช้อนท่านอุ้มขึ้น ในขณะที่ใครๆ ต่างเอาแต่มอง สัมปันนีเห็นว่าคุณยายทำกระเป๋าร่วงจึงก้มลงเก็บ และเดินตามชายใจดีคนนั้นมา ท่าทางหน้าแดง เหงื่อหยดของเขาทำให้เธอต้องกลั้นหัวเราะไว้จนแก้มป่อง

ทางขึ้นหน้าตึกทำงานจึงมีคุณยายนั่งสลบไม่ได้สติอยู่ และชายแปลกหน้าคนนั้นก็กำลังโบกกระดาษเอกสารให้ สัมปันนีก้มหน้าค้นหายาดมในกระเป๋า เมื่อพบจึงเดินตรงไปหาคุณยาย และถือวิสาสะจ่อไปใต้จมูกคุณยายให้เอง

‘คุณเป็นคนดีมากเลยนะคะ’

‘ไม่เหลือบ่ากว่าแรง อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วยกันไป’ นวีนรับกระเป๋าของคุณยายที่สัมปันนีส่งมาให้ หน้าตาไม่ได้หวังผลอะไรกับการช่วยคุณยายท่านนี้ ไม่ถึงห้านาทีคุณยายที่เป็นลมจึงฟื้นขึ้น คำอวยพรมากมาย และตีความว่าทั้งสองเป็นคู่ประเสริฐทำให้นวีนกับสัมปันนีปฏิเสธออกมาแทบไม่ทัน

ประทับใจแรกพบที่คิดว่าเขาแตกต่างจากคนทั่วไป พอได้พบกันอีกในที่ทำงานหลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็ทำให้จากคนแปลกหน้าหัวเราะออกมา และแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

‘เรานวีน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ’

‘อาลัว...ยินดีมากที่ได้รู้จักกันนะ โลกกลมจังเนอะ’



น้ำเสียงหัวเราะของนวีนในวันนั้นยังคงเสียงดัง สดใส และรื่นหูทุกครั้งที่เธอได้ยิน ทุกข์ใจ มีปัญหาขนาดไหน นวีนจะช่วยผ่อนคลายความรู้สึกของเธอด้วยความใส่ใจ ทั้งพาไปหาอะไรทานแก้เครียด หรือทำอะไรตลกๆ ให้เธอได้ขำขัน แต่แล้วอย่างไรล่ะ...

บนถนนทางแยกอันว่างเปล่า การสัญจรบางตาในวันนี้ทำให้เธอตาสว่างขึ้น ทางที่เธอเคยข้ามไป และใช้หัวใจเกินขอบเขตทำให้เธอเจ็บหนัก และมองเห็นทางที่ข้ามไม่ชัดเจนเพราะมันพร่างไปด้วยหยาดน้ำเต็มสองตา เท้าที่ก้าวรุดหน้าพอๆ กับหัวใจสมควรแล้วหรือที่จะปล่อยให้มันเรื้อรัง และยืนดูภาพความรักของเพื่อนอย่างเจ็บปวด

สัมปันนีทรุดนั่งยองกับพื้น ปล่อยเสียงสะอื้นจากก้นบึ้งหัวใจออกมา ความแข็งแกร่งที่คิดว่าตัวเองมีอยู่มากมายทลายลง มือทุบอกตรงด้านซ้าย และกู่ร้องบอกในใจตัวเองซ้ำไปมา

พอได้แล้ว...พอกับการแอบรักคนที่เขาไม่รัก

เธอโลภ และไม่เคยมีความสุขกับการมองเห็นเพื่อนมีความสุขกับคนที่รัก เธอไม่ใช่เพื่อนที่ดีพอสำหรับนวีนเลยสักนิดเดียว


ชมนาดออกมาจากร้านอาหารด้วยอาการไม่พอใจ รสจูบที่น่าหลงใหลของนวีนเต็มไปด้วยอารมณ์พอใจ และยังทิ้งความหยาบกร้าน กัดริมฝีปากเธอจนเจ็บ หญิงสาวอยากอาละวาดและทุบตีแฟนหนุ่ม อยากถามเขาให้ชัดๆ ว่าที่จริงใครกันที่เป็นแฟนของเขา ใครกันที่เขาควรใส่ใจ

สายตาของเธอก็ปะทะเข้ากับกระเป๋าสีแดงในมือของบริกรทางร้านที่รับรองลูกค้าด้านนอก ท่าทางเงอะงะไม่มั่นใจเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับส่งของชิ้นนั้นมาให้

“มีคุณผู้หญิงฝากมาให้ครับ”

“ผู้หญิง?”

“ครับ สวมแว่น ตัวสูงๆ”

“แล้วเขาไปไหน”

บริกรหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบ ชมนาดจึงเลิกคาดคั้น จับสายกระเป๋าถือของตัวเองด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ดวงตาหงุดหงิดฉายแววสาแก่ใจ

ต่อให้นวีนพยายามปกปิด หรือซุกซ่อนเธอให้พ้นทาง ‘ความเป็นเพื่อน’ ระหว่างเขากับสัมปันนีขนาดไหน ก็ดูจะช้าไปแล้ว สัมปันนีผู้หญิงเซ่อซ่าที่เธอรู้จัก ควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้คนนั้นคงจะรู้สึกเสียศูนย์น่าดู

“เขาเป็นของฉัน ไม่ใช่ของเธอ”



ปี๊ด!

ปี๊ดๆ

เสียงแหลมหนวกหูปลุกสัมปันนีตื่นจากภาวะน้ำตาท่วมหน้าได้ หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ หันไปมองด้านหลังที่มีแสงจ้าจากหน้ารถอย่างมึนงง พยายามไตร่ตรองว่าเสียงแหลมนั้นคงมาจากแตรรถสีดำคันนี้ก็ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ขยับเข้าไปใกล้ รอจนคนในรถทนไม่ไหวจึงเปิดประตูลงมา สีหน้าหงุดหงิดเต็มประดา

“ร้องไห้อะไรนักหนา ไม่อายชาวบ้านเขาหรือไง”

“ฉันไปร้องให้คุณรำคาญตอนไหนไม่ทราบ” หญิงสาวลืมเลือนไปว่าคนตรงหน้าที่เธอคุ้นตาไปแล้วนั้นมีตำแหน่งสูงกว่าเธอ

“ตอนนี้ไง ต่อหน้าผม” ดรัลส่ายหน้า เดินรุดหน้ามาช้าๆ เพื่อดูว่าสติสตังของสัมปันนียังดีอยู่หรือไม่ ดึกดื่นมืดค่ำจึงมาร้องไห้อยู่ริมฟุตบาท เป็นที่น่าเวทนาหรือน่าพิลึกก็สุดรู้ ผู้หญิงหน้าซีดๆ ผมเผ้ากระเซิง ทุบอกตัวเองป้าบๆ อย่างไรก็ใกล้เคียงกับคนบ้ามากกว่าสติดี

สัมปันนีเม้มปากแน่น นิ้วชี้ชี้ตรงมาที่หน้าเขา ทั้งที่ในยามปกติไม่เคยแสดงกิริยาหยาบคายใส่ใครมาก่อน แต่เมื่อในใจมีเรื่องขุ่นเคือง เศร้า กอปรกับความรู้สึกทั้งหลายที่ประดังเข้ามายังไม่ได้รับการระบายออกไป มืออีกข้างจึงลดลงไปถอดรองเท้าเอาออกมาถือกำไว้

ดรัลไม่คิดว่าอีกวันที่ตัวเองกลับบ้านช้าจะมาพบสถานการณ์ที่ลูกน้องชี้หน้า แล้วยังถือรองเท้ากำไว้จนตัวสั่น แต่เขากลับไม่กลัว ซ้ำยังหัวเราะในความกล้าบ้าบิ่นที่สัมปันนีแสดงออกมา

“คุณไม่กล้าหรอก หัวหดขี้ขลาดขนาดนี้ ขนาดความรักของตัวเองยังไม่กล้าไปบอกให้เขารู้เลย แล้วก็มานั่งร้องไห้อย่างผู้แพ้”

“...” เส้นในสมองของคนฟังขาดไปเส้นหนึ่ง

“หมอนั่นมันรู้ไหมว่าคุณจะเป็นจะตาย จะอ่อนแอก็ไปอ่อนแอต่อหน้าเขา ไม่ใช่ผม ยัง...ยังชี้หน้าผมไม่เลิก ผมเป็นเจ้านายคุณนะ...โอ๊ย!”

เขาเอาแต่เตือนนิ้วที่สัมปันนีชี้ใส่หน้าเขา จนลืมเตือนอีกข้างที่ถือรองเท้าผ้าใบ พอมันลอยมาอย่างแรงกระทบใส่หน้าเขาอย่างจัง สมองที่กำลังตั้งใจเทศนาผู้หญิงจิตตกจึงค้างไปชั่วขณะ ได้แต่มองร่างของสัมปันนีที่เอาแต่จ้องมองฝ่ามือตัวเองหลังจากกระทำการปารองเท้าใส่หน้าเขาอย่างไม่เชื่อตาตัวเอง

“นี่เธอ!”

สัมปันนีสะดุ้ง เท้าที่ยืนกระโดดลอยถอยหลังห่างจากดรัลไปก้าวใหญ่ เส้นประสาทในหัวที่ขาดผึงๆ ไปหลายเส้นเมื่อครู่ผูกรัดเกี่ยวกระหวัดดึงรั้งสติในหัวไว้ได้ทันที ไม่ยอมให้เส้นสติแยกห่างแล้วเผลอทำอะไรที่แม้แต่ตัวเองยังเหนือความคาดหมาย

และก่อนที่ดรัลจะเค้นคำใดออกมาได้ สัมปันนีก็เผ่นแผล็ว โบกแท็กซี่ว่างที่ผ่านมา พารองเท้าที่เหลืออยู่ข้างเดียวกับเท้าเปล่าเขยกเดินขึ้นไป

ดรัลส่งเสียงฮึ่มฮั่มในลำคอ เดินไปเก็บรองเท้าผ้าใบที่ถูกปาห่างออกไปมาถือไว้ เดินขึ้นรถไปแล้วขับตามแท็กซี่ที่มีคนเจ้าปัญหานั่งอยู่ไปเรื่อยๆ จนแน่ใจว่าถึงบ้านพักอย่างปลอดภัย และใบหน้าของสัมปันนีไม่ได้ย่ำแย่หรือร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ถูกแทนที่ด้วยหน้าตายับยุ่ง และเอาแต่กำรองเท้าอีกข้างเดินเข้าไปในบ้าน เขาจึงรู้ว่าเรื่องที่อยู่ในหัวของสัมปันนีตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของนวีนอีก

รองเท้าใบเก่าๆ ที่วางอยู่ตรงที่นั่งว่างข้างคนขับทำให้ดรัลหัวเราะออกมา ที่จริงเขากำลังตะลึงมากกว่าโกรธ และก็ไม่คิดถือโทษคนที่ทำอะไรลงไปอย่างขาดสติ อย่างน้อยขาดสติเพราะรักในครั้งนี้ของสัมปันนี คนที่เดือดร้อนเอาหัวเอาหน้ามารับรองเท้าเน่าๆ คือเขาคนเดียว ไม่ต้องมีใครมารับพลังขาดสติของสัมปันนีเพิ่ม

“ซินเดอเรลล่า หน้าตากลายพันธุ์ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผู้ชายปากร้ายวิจารณ์อย่างเหลืออด ลดกระจกรถลงแล้วโยนรองเท้าเจ้าปัญหาข้ามรั้วเตี้ยกลับไปยังบ้านของเจ้าของ สุนัขตัวเล็กสีน้ำตาลที่รู้งานและรู้ใจเขาก็วิ่งมาคาบเจ้ารองเท้าข้างนั้นไปจัดการให้ต่อ “ไม่ไล่ออกก็บุญแล้ว”

คนแก้แค้นเล็กๆ คืนสำเร็จวนกลับไปทางเดิม ปากยังคงพึมพำคำหนึ่งที่เขาแทนให้สัมปันนี

“มนุษย์คลั่งรัก”

............................

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณทุกคนที่กดถูกใจด้วยค่า ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ก.ค. 2558, 00:00:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2558, 00:00:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1518





<< บทที่ 2 : เก็บหัวใจไว้ในที่ที่ปลอดภัย   บทที่ 4 : ถอนขนลูกเป็ด >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account