ในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
เรื่องราวการเดินทางเพื่อเยียวยาหัวใจ ของผู้หญิงที่ดื้อรั้นและพยศกว่าม้าป่า รักอิสระกว่าอินทรี และเปราะบาง...กว่าตุ๊กตาแก้ว...

หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ

หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ

หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
Tags: ภูฏาน มังกรสายฟ้า การเดินทาง ความรัก ศัลยแพทย์

ตอน: Dochula Pass

เนมาบอกแผนการเดินทางของวันนี้คร่าว ๆ ว่าเราจะเดินทางไปพูนาคา ราชธานีเก่าของภูฏานก่อนจะย้ายมาที่ทิมพู ชายหนุ่มเล่าว่าที่นี่มีป้อมปราการที่เก่าแก่และสวยที่สุดคือพูนาคาซอง เป็นดินแดนแห่งประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญและงดงามมาก การเดินทางจะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง ระหว่างทางเนมาบอกให้รถจอดข้างอาคารชุดเตี้ย ๆ ซึ่งมีร้านขายยาตั้งอยู่

อัญญาเดินตามเข้าไปเลือกยาหยอดตาให้คุณนิภา เอ่ยแซวเบา ๆ “แหม...สงสัยพี่นิภาไปแอบดูคุณหิมาลัยโป๊เมื่อวานใช่ไหมคะ”

สาวรุ่นพี่หัวเราะ “สงสัยจะใช่นะคะ ชะโงกดูมากไปหน่อย”

“อ้อ...ไปแอบดูคุณหิมาลัยโป๊นี่เอง ผมก็นึกว่าไปส่องใครมา กุ้งยิงกินเชียว” คุณปรีชาล้อภรรยา จึงได้ค้อนวงเล็ก ๆ ไปเป็นรางวัล

นอกจากยาหยอดตาแล้ว คุณนิภาถามถึงครีมทาผิวซึ่งเธอเคยซื้อจากร้านยาในอินเดีย ก่อนเหมามาเกือบโหล

“ใช้ดีนะคะน้องอัญ ตอนไปอินเดียพี่ซื้อมา กำลังจะหมดพอดีเลย”

อัญญาคลี่ยิ้ม เธอไม่สันทัดเรื่องครีมบำรุงหรือเครื่องสำอางนัก หญิงสาวเดินตามคณะกลับไปที่รถซึ่งคุณพรรณีและอรรัมภานั่งรออยู่ เธอมองอย่างแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นแอร์โฮสเตสสาวนอนฟุบอยู่กับตักมารดา

“เหมือนคุณอรจะไม่สบาย” ทาชิบอกเมื่อขึ้นมานั่งข้างเธอ

เมื่อคณะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง อรรัมภาก็เริ่มมีอาการ หญิงสาวอาเจียนออกมาหลายครั้ง

“พี่อรเป็นไงบ้างคะ”

“อาหารเป็นพิษหรือเปล่าน่ะ” คุณปรีชาถาม

“มันปวดท้องน่ะค่ะ จะอ้วกตลอดเลย อรขอเข้าห้องน้ำได้ไหมคะ” เธอหันไปบอกเนมา

“ปกติก็ไม่เป็นไรนะ...นี่เป็นอะไรก็ไม่รู้” คุณพรรณีบอกอย่างเป็นห่วง ลูบหลังบุตรสาวที่กำลังอาเจียนช้า ๆ

อัญญารีบเปิดกระเป๋า ค้นหายาที่เตรียมมาเผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน ทาชิเบิกตากว้างเมื่อเห็นถุงยาใบใหญ่ของคุณหมอสาว “นี่คุณจะมาเปิดคลินิกที่นี่หรือครับ”

“เตรียมมาแล้วไม่ได้ใช้ดีกว่าต้องใช้แต่ไม่ได้เตรียมนะคะ” หญิงสาวบอก

เนมาให้รถจอดที่ข้างอาคารแห่งหนึ่ง เขาเข้าไปพูดคุยกับร้านค้าที่นั่น ขอกุญแจห้องน้ำสาธารณะมาเปิดให้อรรัมภาเข้าไปใช้
ไกด์หนุ่มมีท่าทางกังวลขณะยืนรอหญิงสาว อัญญาจึงหันไปอธิบาย “คิดว่าน่าจะอาหารเป็นพิษนะคะ เมื่อเช้าพี่อรเป็นคนเดียวที่กินอาหารเช้าแบบอินเดีย”

“อาหารมีปัญหาหรือครับ”

“อัญไม่แน่ใจ...แต่กลิ่นน้ำมันแปลก ๆ น่ะค่ะ” เธอบอกแล้วเหลือบมองนาฬิกา “แล้วถ้าคะเนจากช่วงเวลา ประมาณนี้ก็พอจะเป็นได้อยู่ค่ะ”

หลังจากเรียบร้อยดีแล้ว คุณปรีชาหยิบยามาส่งให้อัญญาดู “พี่เตรียมยาแก้ปวดท้องมา ให้น้องอรกินได้ไหมครับ”

“ได้ค่ะ...เดี๋ยวพี่อรกินคู่กับยาแก้อาเจียนนี่เลยนะคะ แล้วนี่...ผงเกลือแร่ค่ะ” อัญญาส่งยาและซองผงเกลือแร่ให้คุณพรรณี ในรถมีลังน้ำเปล่าเตรียมไว้อยู่แล้ว อรรัมภาหยิบมาชงผงเกลือแร่ กินยา แล้วหลับพักไปกับตักมารดา

บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความเงียบสงบไปตลอดทาง เกือบชั่วโมง รถยนต์ก็มาจอดที่หน้าจุดพักรถซึ่งมีสถูปแห่งหนึ่งสร้างอยู่ตรงกลางคล้ายวงเวียน

“โดชูลา” ทาชิเอ่ยชื่อที่เขาเคยพูดถึงเมื่อวาน อัญญามองแล้วฉีกยิ้มชอบใจ

ละอองหมอกลอยเลี่ยอยู่รอบตัว ไอเย็นชื้นจัดจนหนาวสะท้าน หญิงสาวสะบัดเสื้อคลุมสีขาวตัวยาวขึ้นมาสวม อรรัมภาลุกขึ้นงัวเงียก้าวลงจากรถตามมา

“เป็นอย่างไรบ้างคะ”

“ดีขึ้นแล้วล่ะ...น่าจะโอเคแล้ว” หญิงสาวบอก สีหน้าดูสดชื่นมากขึ้น “น่าจะอาหารเป็นพิษ พี่ว่า...นานกลิ่นแปลก ๆ น้ำมันเยิ้มเชียว”

เนมาหันมามองอรรัมภา ท่าทางค่อนข้างกังวล หญิงสาวจึงฉีกยิ้มบอก “ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ไม่เป็นไร”

“บอกผมนะ ถ้าคุณรู้สึกไม่สบาย”

“ค่ะ...”

ไกด์หนุ่มเดินนำไปที่บันไดทางขึ้นสถูป ละอองหมอกลงจัดเย็นจนคุณนิภาห่อตัวอยู่ในเสื้อคลุม ขณะที่สองสาวอย่างอรรัมภาและอัญญาอ้าแขนกว้างราวจะกอดเอาไอเย็นนั้นไว้

เนมาเริ่มบรรยายถึงประวัติศาสตร์การสร้างสถูป “โดชูลา ประกอบด้วยโชเตนหรือสถูป 108 องค์ สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระราชินีในรัชกาลก่อนเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในการสู้รบกับกลุ่มผู้รุกรานช่วงต้นศตวรรษที่ 20”

“ไม่นานเลยนะ เขายังสู้รับกันอยู่เหรอ” คุณพรรณีถอนใจเบา ๆ

“เราอยู่กันอย่างชนเผ่ามานาน เพิ่งเริ่มราชวงศ์ครบร้อยปีเมื่อไม่นานมานี้เอง การสู้รบและการรุกรานของชนต่างเผ่าจึงพอมีประปราย แต่เมื่อประกาศตัวเป็นประเทศแล้วก็ลดลง จนถึงตอนนี้...เราก็อยู่อย่างสงบมานานแล้วล่ะครับ” แม้คำถามเป็นภาษาไทย แต่ทาชิคงคาดเดาจากอาการทอดถอนของผู้อาวุโส เขาจึงเอ่ยคำตอบได้ใกล้เคียงคำถาม

ไกด์หนุ่มยิ้มบาง ก่อนเอ่ยต่อ “เดิมสมเด็จพระราชินีรับสั่งให้สร้างเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองต่อชัยชนะ แต่กษัตริย์มีพระราชดำริว่าชัยชนะนี้ต้องแลกด้วยชีวิต จึงรับสั่งให้โดชูลาเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงเกียรติคุณของนายทหารและนักรบที่จากไปในสงคราม” แววตายามเอ่ยถึงกษัตริย์ผู้ปรีชาเต็มไปด้วยความรักและเทิดทูนอย่างชัดแจ้ง

ไกด์หนุ่มพาทุกคนเดินขึ้นไปชมสถูปจนถึงยอดบนสุด ประดิษฐานพระรูปพระพุทธเจ้าและเทพเจ้าต่าง ๆ อยู่ในองค์สถูป



จากยอดบนสุดเมื่อมองไปยังลานจอดรถ หลังเงาหมอกที่ลงหนาจะเห็นเงาราง ๆ ของวัดวังยาลลาคังที่สร้างขึ้นบนเนินเขาไม่ไกลกันเพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่กษัตริย์รัชกาลก่อน สถาปัตยกรรมก่ออิฐสีเทาที่ซ่อนตัวอยู่หลังเงาหมอกดูงดงาม เคร่งขรึม ทรงพลังจนแทบลืมหายใจ

ทาชิอมยิ้มมองอาการนิ่งงันอย่างตกตะลึงของอัญญา ก่อนบอกบางอย่างที่กระตุ้นความสนใจของหญิงสาว “จากมุมโน้น ถ้าหมอกไม่จัดมาก คุณจะมองเห็นยอดหิมาลายา”

อัญญากระพริบตาปริบ ๆ หันไปมองผู้ชายตัวโตที่ยืนยิ้มอวดบ้านตัวเองอย่างภาคภูมิใจ

“โดเชลาอยู่บนยอดเขาสูง เป็นจุดเชื่อมระหว่างทิมพูกับพูนาคาจึงเป็นที่พักรถ และเป็นแหล่งปิกนิกที่ชาวภูฏานชื่นชอบ ในวันหยุด...เรามักจะมาทักทายคุณหิมาลายาที่นี่ เสียดายแต่วันนี้หมอกลงจัด คุณคงไม่ได้เห็น ไว้คราวหลังค่อยมาดูนะครับ”
ห่างไปไม่ไกล เนมากำลังถ่ายภาพให้คุณพรรณีและอรรัมภา ทาชิมองแล้วยื่นมือมาตรงหน้า “ถ่ายรูปไหมครับ”

“คุณช่วยถ่ายภาพสวย ๆ ดีกว่าค่ะ” อัญญาส่งกล้องให้ชายหนุ่ม “อัญไม่รู้ว่าเวลาหมอกจัดแบบนี้จะตั้งค่ากล้องแบบไหนดี”

“จริง ๆ การถ่ายภาพไม่ได้มีหลักการ ขึ้นกับที่คุณชอบ บางคนพยายามตั้งกล้องให้เห็นภาพชัด แต่บางคนก็ชอบเงามัว ๆ สลัวแบบนี้” เขากดชัตเตอร์แล้วส่งภาพให้เธอดู

อัญญาถอนใจเบา ๆ “บางครั้ง...อะไรที่ไม่ชัดเจน มันก็มีเสน่ห์ของมันนะคะ”

เธอกลัวแล้วจริง ๆ เพราะเคยเรียกร้องหาความชัดเจนในความสัมพันธ์มิใช่หรือ ความรักจึงเริ่มขึ้น ดำเนินไป และจบลงด้วยความเจ็บปวดทรมานเช่นนี้

ทาชิมองหน้าหญิงสาวอย่างรู้ทัน “คุณคงไม่ได้หมายถึงแค่ภาพถ่าย”
“อัญหมายถึงภาพถ่ายค่ะ...”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เมื่อเธอไม่ต้องการพูด เขาก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ โมซาเล่าให้เขาฟังคร่าว ๆ แล้วว่าเด็กคนนี้เป็นผู้หญิงประหลาด แค่คำว่าผู้หญิงก็เข้าใจยากมากแล้ว หากเติมคำว่าประหลาดต่อท้ายเข้าไปอีกรอบ ทาชิก็ไม่คิดจะล้ำเส้นความคิด ความรู้สึกของเธอ

เมื่อลงมาจากสถูป เนมาพาทุกคนไปที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ ข้างวัดวังยาลลาคัง ร้านนี้สร้างเป็นอาคารกรุกระจกทรงแปดเหลี่ยม อยู่ติดริมผาที่มองออกไปเห็นหมอกหนาและหิมาลายาที่ปลายขอบฟ้า ตรงกลางตั้งเตาผิงเหล็กโบราณขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยตระกร้าหวายใส่เมล็ดกาแฟและกาน้ำ

เนมาหันมาถามคณะทีละคน “รับกาแฟหรือชาดีครับ”

คุณปรีชาและคุณพรรณีเลือกชา ส่วนคุณนิภาและอัญญาขอกาแฟ เมื่อหันมาถึงอรรัมภา ไกด์หนุ่มมองนิ่งก่อนถาม “คุณอยากได้เป็นชามะนาวดีไหมครับ น่าจะช่วยเรื่องอาการคลื่นไส้”

หญิงสาวพยักหน้ารับ เอ่ยขอบคุณเบา ๆ ก่อนนั่งลงที่โต๊ะไม้ข้างเตาผิง คนอื่น ๆ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ทาชิเดินไปช่วยเนมายกขนมปังกรอบมาให้ที่โต๊ะ ก่อนจะนั่งลงคุยเป็นเพื่อนอรรัมภา

เมื่ออัญญากลับมาที่โต๊ะ เธอก็ได้ข้อมูลใหม่ “คุณทาชิเป็นทหารแน่ะน้องอัญ”

อัญญามองหน้าชายหนุ่ม ก่อนหัวเราะเบา ๆ กับตัวเองเมื่อสิ่งที่เธอคิดเล่น ๆ นั้นกลับเป็นจริง “อ้าว...เป็นจริง ๆ เหรอคะ อัญก็ว่าท่าทางเหมือน”

“ยังไงครับ”

หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่ เอ่ยขอบคุณเมื่อเนมานำกาแฟดำมาวางที่โต๊ะ แล้วเธอก็ไหวไหล่ “ไม่รู้สิคะ ดูเผด็จการมั้ง” เธอหรี่ตา ทอดเสียงกึ่งล้อเลียน แล้วค่อยยกกาแฟขึ้นสูดกลิ่นหอมจัดอย่างกาแฟคั่วแล้วชม

“กาแฟหอมมากนะคะ”

“ที่นี่เราคั่วค่อนข้างเข้ม คุณไม่เติมนมหน่อยเหรอ” เขาเลื่อนเหยือกนมบนโต๊ะให้ อัญญาส่ายหน้าแล้วกล่าวขอบคุณ

“ขอบคุณค่ะ แต่ถ้าเป็นกาแฟร้อน อัญชอบแบบนี้มากกว่า” เธอมองถ้วยกาแฟของทาชิ “คุณเองก็ทานกาแฟดำนี่คะ”

“ผมชินแล้ว”

อัญญาพยักหน้ารับ ก่อนหันไปทางอรรัมภา “ชามะนาวอร่อยไหมคะพี่อร”

“อร่อย หวานหอม รสกำลังดีเลย”

คณะทัวร์นั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่ครู่ใหญ่ เนมาก็เข้ามาสำรวจความเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้วชายหนุ่มจึงนำไปที่รถคันเดิม เขาหันมาย้ำกับคณะอีกครั้ง

“ถ้าคุณมีอะไรไม่สบาย บอกผมนะครับ”

อัญญาแอบอมยิ้ม ขณะที่อรรัมภาเอ่ยรับแล้วขอบคุณแทนทุกคน

รถยนต์แล่นต่อไปตามทางที่ขรุขระมากขึ้นตามที่เนมาได้บอกไว้แล้ว คุณนิภาหยิบสตรอเบอรี่แห้งที่เตรียมมาจากเมืองไทยมาแจกจ่ายโดยทั่วถึงกัน

“อร่อยมากเลยค่ะ พี่นิภาซื้อที่ไหนคะนี่” อรรัมภาเอ่ยถาม อาการของเธอดีขึ้นมากจนแทบเป็นปกติแล้ว
“ของโครงการหลวง ที่บ้านเรานั่นล่ะค่ะ” ไม่ว่าเมื่อไร สำหรับคนไทยแล้ว แผ่นดินไทยก็คือ‘บ้านเรา’ เสมอ

บทสนทนาดังอยู่เพียงไม่นานก็เริ่มเงียบลง เนมาหันมาตรวจสอบทุกข์สุขของลูกทัวร์เป็นช่วง ๆ ก่อนจะอมยิ้มเมื่อเห็นว่าหลายคนเดินทางไปเฝ้าพระอินทร์กันเรียบร้อยแล้ว

เส้นทางที่ค่อนข้างขรุขระ อัญญาเองก็ออกจะเพลียอยู่บ้าง แต่ภาพทิวทัศน์ที่สวยงามภายอนกทำให้หญิงสาวไม่สามารถปิดตาลงได้ เธอนั่งนิ่ง เอนตัวพิงพนักเบาะ ทอดสายตามองไปไกล ปล่อยให้ภาพที่ผ่านสายตาซึมซับเข้ามาจนถึงหัวใจ เผื่อจะมีภาพใดสามารถลบเรื่องราวบางอย่างที่เธอไม่ปรารถนาจะจดจำลงได้บ้าง

กลิ่นของดิน สัมผัสของสายลม และเสียงซัดซ่าของกิ่งไม้ไหว ทุกสัมผัสที่ผ่านให้ความสดชื่นรื่นรมย์ได้ไม่ยาก อัญญาค่อยหลับตา เปิดประสาทสัมผัสส่วนอื่นก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ถอนใจเบา ๆ

จะดีแค่ไหน...หากมีใครสักคนอยู่ข้างเธอในเวลาเช่นนี้

หากว่าเขาอยู่ตรงนี้...และเราได้ท่องเที่ยวด้วยกัน

‘ไปดอยอินทนนท์ด้วยกันไหมครับ...’ ใครบางคนเคยเอ่ยคำถามขณะนอนกลิ้งอยู่บนตักเธอ ‘ไปกราบครูบาว่าลูกชายท่านกำลังจะมีคนดูแล’

ชาวเวียงพิงค์อย่างเขาปราวณาตนเป็นลูกชายครูบาอย่างภาคภูมิใจ อัญญาเองยังอดยิ้มไม่ได้ทุกครั้งที่ได้ยิน เธอยกมือบีบจมูกเขาเบา ๆ อย่างหมันไส้

‘โมเม...ใครเขารับกันคะ’

‘อัญไงครับ...หรืออัญไม่รักพี่’ เขาทำหน้างอเหมือนเด็กเกเร ก่อนยันตัวขึ้นมาจ้องหน้าหญิงสาว ‘ว่าไงครับ รัก...หรือไม่รัก’

อัญญาย่นคอถอยห่างจนติดพนักพิงของโซฟา เขายืดตัวตามมาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ เธอยกมือขึ้นยันไหล่ชายหนุ่มไว้ไม่ให้เข้ามาจนใกล้เกิน ‘ถอยไปเลยค่ะ’

‘อัญก็ตอบมาก่อนสิครับ’

‘ไม่...’ เธอยังพูดไม่ทันจบ เขาก็หรี่ตามองอย่างไม่ชอบใจนัก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม

‘ปากแข็ง...ต้องลงโทษ’

อัญญาเบิกตากว้าง เมื่อเขาโน้มตัวลงแตะหน้าผากลงที่หน้าผากเธอ ใกล้ชิดเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจ หญิงสาวยกมือขึ้นจับแก้มเขา ดันไม่ให้เข้ามาใกล้ ‘ไม่...ไม่รู้จริง ๆ เหรอคะ’ เธอตวัดสายตามองค้อน

‘รู้ครับ...แต่อยากได้ยิน’
อัญญากระพริบตาปริบ ๆ มองหน้าเขาเหมือนเด็กงอแง ก่อนบอกเสียงเบา
‘อัญรักพี่นะคะ’

ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ ยกมือขึ้นดึงมือที่ดันแก้มเขาออก แล้วเลื่อนใบหน้าไปแตะริมฝีปากลงที่แก้มนุ่ม ‘พี่ก็รักอัญครับ...’

หญิงสาวไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าหยาดน้ำตาร่วงลงมาตั้งแต่เมื่อไร จนผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ ดึงตัวเธอไปซบไหล่เขานั่นล่ะ ร่างบางจึงสะดุ้งออกแรงขืนด้วยความตกใจ แต่เขาเพียงกุมมือเธอไว้แล้วบอกเบา ๆ

“หลับตา...แล้วพักซะ”

เสียงเขาเรียบดุคล้ายทหารที่ออกคำสั่ง แต่กลับมั่นคงและทำให้หัวใจที่อ่อนล้าสงบลงอย่างประหลาด อัญญาลอบเช็ดน้ำตากับแขนเสื้อกว้างตามแบบชุดประจำชาติของชายหนุ่ม ก่อนกระซิบบอก

“อัญไม่เป็นอะไรแล้ว...ปล่อยเถอะค่ะ”

เขายอมปล่อยมือในที่สุด อัญญาค่อยยันตัวขึ้นนั่ง ใบหน้าของเธอแดงจัด โชคดีที่เธอเลือกนั่งเบาะหลังจึงไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างน้อย...หวังว่าเนมาจะไม่ได้หันมาในช่วงเวลานั้น

หญิงสาวสูดลมหายใจยาวลึก เงยหน้าขึ้นให้หยาดน้ำตาไม่ไหลร่วงลงมา ก่อนบอกเบา ๆ “คุณอาจชินกับการทำแบบนั้น แต่กับผู้หญิงไทย มันไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร”

เขาแค่นหัวเราะ “ไม่ชินหรอกครับ...ผมไม่ได้ทำแบบนี้กับใคร”

อัญญาเผลอมองหน้าชายหนุ่ม ในดวงตาคมดุที่มองเธอนิ่งกลับดูอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ

โดยไม่มีคำอธิบายหรือคำพูดใด ๆ ต่อ ชายหนุ่มมองไปที่รถยนต์ที่แล่นสวนทางไป เขายกมือชี้ให้เธอดูก่อนบอกว่า “นั่นเป็นรถบรรทุกศพ”

คนฟังกระพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจ “เราเชื่อว่า ถ้าพบรถบรรทุกศพผ่านไป เราจะโชคดี”

“ที่เมืองไทย...เราเชื่อตรงกันข้าม”

ทาชิพยักหน้ารับ “แต่ตอนนี้คุณอยู่ที่ภูฏาน...”

อัญญาไหวไหล่ “โอเคค่ะ...อัญเชื่อว่าอัญจะโชคดี” แล้วเธอก็นิ่งไป ก่อนจะมองหน้าเปื้อนยิ้มจาง ๆ ของเขาที่ราวจะบอกบางอย่าง
…เราจะโชคดีเสมอ หากเราเชื่อเช่นนั้น...

สุขหรือทุกข์...ก็คงไม่ต่างกัน

“คาดรินเช...ลา...” เสียงหวานกระซิบคำเบา ๆ ก่อนที่อัญญาจะเอนตัวพิงพนัก หันมองออกไปข้างทางโดยไม่ใส่ใจต่อทาชิอีก

---

คุณคิมหันตุ์ : บทนี้ยิ่งน่ารักค่ะ

คุณ sai : มาเที่ยวด้วยกันนะคะ

สำหรับท่านที่สนใจจะชมภาพ http://pantip.com/topic/33951766



ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ค. 2558, 17:59:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.ค. 2558, 17:59:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1090





<< BhuddhaDodenma   Chimi Lakhung >>
คิมหันตุ์ 29 ก.ค. 2558, 00:18:41 น.
ตายแล้วๆๆๆมีกุ๊กกิ๊กแล้วววววววว


kraten 30 ก.ค. 2558, 10:45:21 น.
^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account