อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด
ตอน: บทที่ 4 : ถอนขนลูกเป็ด
บทที่ 4
โดนไล่ออกแน่ๆ
สัมปันนีจับเชือกรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ที่ห้อยคล้องติดอยู่กับตัวรองเท้าขึ้นดู แต่ก่อนสภาพของมันก็ลืมซักหลายอาทิตย์อยู่แล้ว มาตอนนี้ยังเพิ่มรอยฟันของเจ้าเต่าทับ เจ้าจอมแสบประจำบ้านขึ้นดูอย่างสยดสยอง เธอจำได้ว่าเห็นมันครั้งล่าสุดคือเมื่อวานตรงถนนหน้าบริษัท และเธอได้ฝากมันไว้บนหน้าเจ้านาย...นี่เขาแค้นขนาดเอากลับมาโยนให้ถึงบ้านของเธอ
คนนอนไม่หลับตลอดคืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พอมีสติมากขึ้นเธอก็เริ่มใคร่ครวญถึงหลายสิ่งที่ได้กระทำลงไปอย่างสยองพองขน ความรักไม่ผิด แต่คนโง่ๆ อย่างเธอกลับไม่เรียนรู้ที่จะรักให้เป็น ถึงปล่อยให้ความเศร้าเสียใจ และความโลภมากภายในผลักดันจนดิ้นทุรนทุรายรับไม่ได้กับความสุขของ...เพื่อน
“เจ้าเต่ามันกัดรองเท้าอีกแล้ว” เสียงบ่นของธวัลย์ดังขึ้นด้านหลัง สัมปันนีลดรองเท้าลงหัวเราะไม่ถือสา “อย่าได้ทำหน้าชินนะอาลัว เพราะไม่เคยดุว่าจริงๆ จังๆ เจ้าเต่าทับมันถึงเสียนิสัย”
“แล้วถ้ามันเป็นไปตามสัญชาตญาณล่ะคะพ่อ หมามันซน มันก็ชอบเล่นชอบกัด” ที่ผ่านมาเธอก็แค่ขำขันกับการกระทำของเต่าทับ ไม่เคยโกรธจริงจัง ซ้ำยังคอยปกป้องมันไว้เสมอเวลาที่มันถูกต่อว่าจนหงอหงอย
“วันนี้มันกัดรองเท้าอาลัว แล้ววันหน้ามันกัดคู่ที่แพงกว่าของคนอื่นที่ไม่เข้าใจมัน อาลัวจะทำยังไง เจ้าเต่าทับมันต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเรา ถึงมันจะเป็นหมาก็ฝึกมันได้ จากนี้พ่อจะฝึกมันจริงจังแล้ว ขี้เยี่ยวทีใครล่ะเช็ด” ข้าราชการในกระทรวงใหญ่ถอนหายใจเฮ้อ หันมาลูบหัวลูกสาวที่นิ่งฟังอย่างตั้งใจจนเกินเหตุ “พ่อรู้ว่าหนูมีเรื่องเครียดอยู่ พ่อไม่รู้หรอกว่ามันคือเรื่องอะไร แต่พ่อไม่อยากเห็นตาหนูแดง ขอบตาช้ำอย่างนี้ทุกเช้าหรอกนะ อย่าปล่อยให้ตัวเองเคยชินกับเรื่องที่เราจัดการให้ดีกว่านี้ได้”
สัมปันนีเม้มปากแน่น ผิดหน้าไปทางกรอบประตูบ้านพบมารดากับมัศกอดพี่สาวยืนยึดกรอบประตูซ้ายขวาคนละข้าง และบุหลันที่นั่งขัดสมาธิเท้าคางอยู่ตรงกลาง สายตาทุกคู่ต่างจ้องเธออย่างเป็นห่วง ดังสายน้ำที่มองไม่เห็นรินรดหัวใจที่แห้งผากขาดการดูแลของเธอจนล้นปรี่ ภาพความรักอันน่าเจ็บปวดที่เธอคิดว่ามันเจ็บเจียนตาย เทียบไม่ได้เลยกับความรักที่คนในครอบครัวมีให้กัน
เธอมัวแต่โหยหาความรักข้างนอก จนลืมเลือนความรักข้างในที่หันไปก็พบเห็นได้เลย
“หนูรู้สึกตัวเองมีหัวสมองเท่าเต่าทับเลย”
“ลูกของพ่อฉลาดกว่านั้น” ธวัลย์ยังเออออ ไม่สนว่าการเปรียบเปรยและสอนสั่งตั้งแต่ต้นได้นำลูกสาวไปเทียบกับจอมแสบพันธุ์เล็กของบ้านแล้ว
นิ้วยาวแตะบนตาแดงช้ำของตัวเองที่ไร้เครื่องสำอางปกปิดอย่างทดท้อ น่าเสียดายที่วันนี้แว่นสายตาใสๆ ของเธอปกปิดร่องรอยบนหน้าไว้ไม่ได้ “ดูแย่มากเลยเหรอคะ”
“มาก”
ธวัลย์ไม่เร่งรัดในการรับรู้เรื่องคาใจของสัมปันนี และเว้นที่พอให้ลูกสาวได้ครุ่นคิดด้วยตัวเอง เขากับเรไรจำเป็นต้องใจแข็ง เพื่อให้ลูกได้สะสาง แก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นลูกของเขาจะเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งได้อย่างไร
“อยากออกไปทั้งอย่างนี้จริงๆ เหรอ”
“มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่หนูได้ทำงานที่นั่นก็ได้นะคะ” คนหมดอาลัยตายอยากทำหน้าเศร้า นึกถึงเวลาสี่ปีที่เคยขอมารดาทำงานนอกบ้านแล้วนั่งคำนวณในใจ เธอใช้เวลาสามปีไปเท่านั้น สามปีที่หัวใจของเธอโลดแล่นไปฝากไว้ที่คนอื่น
“ใครมันกล้าไล่ลูกพ่อที่เก่งทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า” ชายวัยห้าสิบตอนปลายกล่าวขึ้นอย่างโมโห
“หนูมันก็แค่เป็ดก้าบๆ ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่ดีสักอย่าง”
คนเป็นพ่ออ้าปากกว้างร้องอ่าอย่างเหลือเชื่อ ครั้งหนึ่งเขาเคยเปรียบเปรยลูกสาวขำขันว่าเหมือนเป็ด ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะเก็บมาคิดจนเอากลับมาตอกหน้าเขาได้ “อย่าไปสน อาลัวเป็นอาลัว มั่นใจสักหน่อย โดนไล่ออกก็ช่างมัน หางานใหม่ก็ได้ แม่เขาน่าจะดีใจ” จงใจไม่พูดถึงเป็ดตอกย้ำปมในใจลูก
ธวัลย์รู้ใจภรรยาดีว่าต้องการให้ลูกๆ กลับมาช่วยร้าน แต่ไม่ชอบบังคับใจใคร จึงได้แต่ปล่อยให้ลูกโบยบินไปตามเส้นทางของตัวเองโดยไม่เรียกร้องอะไร ไม่ยอมเด็ดปีกแห่งอิสรภาพของลูกเพื่อความสุขส่วนตน
“มีสิ่งหนึ่งที่พวกเราช่วยลูกได้”
หน้าตาคำถามของสัมปันนีถึงบางอ้อเมื่อทุกคนเดินออกมา และดึงเธอกลับเข้าไปในบ้าน พร้อมจัดการถอนขนเป็ด(บางส่วน)ออกจากร่างเธอ
โครม...ยามหน้าตึกเดินชนบานประตูเสียงดังลั่น
คนที่เพิ่งเดินเข้าตัวตึกมาเหลียวหลังกลับไปมองสภาพพี่ยามที่กำลังหน้าแดงก่ำ ก่อนจะก้มลงสำรวจชุดกระโปรงเท่าเข่าสีเขียวแอปเปิลของตัวเองอย่างไม่มั่นใจ เธอทำงานที่นี่มาร่วมสามปีแต่ไม่เคยใส่ชุดกระโปรง และรองเท้ามีส้นมาทำงานเลยสักครั้ง หน้าตาก็สดตลอด ทาแป้งบางๆ กับลิปกลอสก็ออกจากบ้านได้ ไม่ใช่มีรองพื้น ปัดแก้ม เขียนคิ้วที่มัศกอดลงมือแปลงโฉมให้เธอเอง
เงาภาพของเธอภายในลิฟต์สะท้อนคนแปลกหน้าที่จะว่าสวยหรือก็ไม่ เธอรู้สึกว่าตัวเองแค่ดูดีกว่าปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โครงร่างของเธอยังคงสูงชะลูด และแววตาก็ยิ่งแสดงความหวาดหวั่นออกมา หญิงสาวจามออกมา กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่บุหลันเลือกมาดูท่าทางจะเป็นกลิ่นเย็นประหลาดแปลกสมตัวน้องเธอ
ไหนๆ ก็จะโดนไล่ออกอยู่รอมร่อ ยังให้เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นบุญตาคนในบริษัทอีก สัมปันนีส่ายหน้าให้ตัวเอง พยายามไม่มองสายตาแปลกใจของคนหลายคนที่เคยเห็นหน้าค่าตาเธอมาบ้าง แล้วหลบชิดอยู่ด้านหลังสุด ก้มหน้าลง หลังชิดผนัง ในช่วงขณะนี้หูของเธอแว่วเสียงสนทนาของคนสองคนด้านหน้าชัดเจน และเธอก็จำได้ดีเสียด้วยว่าใคร
“เมื่อคืนได้โทรกลับไปหาอาลัวหรือเปล่า” ชมนาดค่อนแคะถามขึ้นมา
“ได้กระเป๋าคืนแล้วนี่”
“เพื่อนวินฝากมาคืนตั้งแต่เมื่อคืน”
คนแอบฟังอยู่ด้านหลังนึกอยากชะโงกหน้าไปดูใบหน้าคนพูดทั้งสองให้เต็มตา ไม่รู้ว่าในใจของเธอเผลอคาดหวังจะได้เห็นท่าทางร้อนรน หรืออยากปิดบังความลับนี้ของนวีนไปเพื่ออะไร เธออยากให้แน่ใจว่าอย่างน้อยๆ ในใจของนวีนยังมีที่พิเศษที่กันเธอจากคนรักของเขา
“บอกอาลัววันนี้เลยก็ได้...ผมพร้อมแล้ว”
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากได้ยิน...สัมปันนีบีบมือตัวเองไว้แน่น กัดปากอย่างทรมานใจ อากาศภายในลิฟต์มีน้อยเกินไป หรือระบบการหายใจของเธอติดขัดด้วยตัวเองกันแน่ เธอคิดว่าใจเธอรู้ดี
น้ำเสียงของนวีนไม่มีความหวั่นไหว ทุกอย่างเรียบสงบ นิ่ง จนเธอยอมแพ้ และเลิกแล้วซึ่งความหวัง...หวังว่าในเศษเสี้ยวของความเป็นเพื่อนจะมีความรู้สึกพิเศษซุกซ่อนอยู่
เมื่อลิฟต์เดินทางมาถึงชั้นหนึ่ง พนักงานส่วนใหญ่ในลิฟต์ออกไปจนบางตา และชมนาดกับเธอสบตากันโดยตรงผ่านเงาประตูลิฟต์
“ได้ยินแล้วใช่ไหมคุณอาลัว”
ไหล่ของนวีนเกร็งขึ้น เขาหันกลับมามองเพื่อนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่ได้สังเกตว่าวันนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับสัมปันนีไม่น้อย
“อาลัว” นวีนเรียกเพื่อนเสียงแผ่ว
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ เพื่อนจะมีแฟนทั้งที น่าน้อยใจนะที่ไม่ยอมบอกให้รู้เลย” สัมปันนีกลั้นใจยิ้ม และพูดราวกับรับบทเป็นเพื่อนผู้แสนดีไปอย่างหน้าชื่นอกตรม โชคดีเหลือเกินที่เวลาแห่งความอึดอัดของเธอไม่ได้ยาวนานจนเธอกลั้นใจตาย เสียงลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นสามสิบเจ็ดดังขึ้น ชมนาดกลับมายิ้มมุมปากใส่เธอ สายตาประกาศผู้ชนะเดินจากไป เหลือแค่เธอกับนวีนที่รู้สึกอึดอัด แม้เวลานี้เธอจะเดินตามหลังเขามาเงียบๆ
“คือ...”
“คือ..”
คนสองคนที่หลุดคำเดียวกันเตรียมเริ่มประโยคพร้อมกันเก้อกระดากไป สัมปันนีและนวีนต่างผายมือให้โอกาสอีกฝ่ายพูดก่อน ต่างคนต่างเงียบ สุดท้ายสัมปันนีมองหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนวีนไม่ไหวจึงขอพูดขึ้นมาเอง
“เรารู้มาพักหนึ่งแล้ว รอให้นายมาบอก แนะนำแฟนให้รู้จัก แต่นายก็อุบเงียบ เฉไฉไปเรื่อย”
“ไม่โกรธเราใช่ไหม”
สีหน้าหงอยเหงา และไม่กล้าสบตาของนวีนทำให้หัวใจคนฟังอ่อนยวบ เธอเจ็บปวดกับการแอบรักข้างเดียวก็จริง แต่มันจะยุติธรรมกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่มีมานานถึงสามปีนี้เหรอ เธอยอมเจ็บปวดใจดีกว่าไม่เหลือคนที่รักไว้เป็นเพื่อน
“แฟนกับเพื่อน มันคนละสถานะไม่ใช่เหรอ อย่าคิดมากเลย นายมีแฟนอีกกี่คนก็ตาม สุดท้ายเราก็ยังเป็นเพื่อนนายอยู่ดี” ประโยคนี้สัมปันนีอยากกรอกใส่ใจตัวเองให้จดจำไว้มากที่สุด
“เรายังมีเวลาให้อาลัวได้เสมอ”
สัมปันนีพยักหน้าเข้าใจ “เวลาของ ‘เพื่อน’ เรารู้ว่าเรามีอยู่เสมอ เราไม่ได้น้อยใจอะไรเลย อย่างมากก็แค่เคืองนิดๆ” นิ้วชี้นิ้วโป้งเกือบแตะกัน “ที่นายไม่ยอมบอกให้เร็วกว่านี้ ไม่งั้นนะเราจะได้ไปหาแฟนไว้แก้เหงาบ้าง”
“อาลัวไม่เคยมี” นวีนย่นหัวคิ้ว กำลังนึกว่าสัมปันนีว่าประชด
“ล้อเล่น สัญญาว่าถ้าเรามีแฟน นวีนจะรู้แน่ว่าเขาเป็นใคร”
นวีนมีสีหน้าคลางแคลง อ้าปากอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็อุบเงียบเหมือนเดิม ได้แต่ยอมรับ และเพิ่งจะมีเวลามาสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสัมปันนีที่เคยถูกเรียกว่านางชีประจำออฟฟิศ วันนี้อีกฝ่ายดูสดใส และน่ามองขึ้น ถึงจะไม่ได้เรียกว่าสวยก็ตาม
“คิดยังไงถึงแต่งตัวอย่างนี้หืม”
“ทิ้งทวนล่ะมั้ง สวยไหม” ร่างสูงหมุนกายหนึ่งรอบ หัวเราะคิก ไม่ยอมบอกว่าการทิ้งทวนครั้งนี้อาจหมายรวมถึงการนั่งทำงานที่นี่
และอีกเรื่องคือการทิ้งทวนความรู้สึก เธออยากให้แน่ใจว่าต่อให้สวยอย่างไรสายตาของนวีนก็ยังเหมือนเดิม มองเธอเป็นเพื่อนไม่มีเปลี่ยน และสายตาเขาในเวลานี้ก็ยังมองเธออย่างนั้น มีร่องรอยภูมิใจนิดๆ
“สวยมาก”
“เก็บคำนั้นไว้ชมชมคนเดียวเถอะ เราเอาไว้ให้คนอื่นชมดีกว่า” สัมปันนียักคิ้วกวนเดินตรงเข้าที่ทำงาน หลายคนมีปฏิกิริยาแปลกๆ กับเธอทั้งนั้น ทั้งเทน้ำร้อนรดมือ สำลักกาแฟ ทำเอกสารหล่น ความไม่มั่นใจที่มีมาตลอดถูกเธอทิ้งไว้ด้านหลัง หญิงสาวหยุดมองชมนาดในชุดเดรสสั้นสีดำที่ท่วงท่ากิริยายังดูสง่ากว่าเธอ การหยิบจับอะไรก็สมกุลสตรีจนเธอนึกอิจฉา ไม่รู้สึกว่าวันนี้เธอเทียบเงาอีกฝ่ายได้ติด “ดีใจด้วยนะคะ”
“เรื่องของนวีนเหรอ”
“ค่ะ นวีนเป็นคนดีมาก เขาจะไม่มีวันทำให้คุณเสียใจ”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ” ชมนาดจ้องสัมปันนีอย่างเย็นชา “ตราบใดที่คุณยังอยู่ใกล้เขา ฉันไม่มีวันวางใจ”
คนฟังสะอึก คล้ายมีใครเอาลิ่มแหลมตอกลงกลางใจ “ฉันสัญญาว่าจะข้องเกี่ยวกับนวีนให้น้อยลง คุณสบายใจล่วงหน้าได้เลยค่ะ” สัมปันนีพูดจบตั้งใจเดินกลับคอกทำงานของตัวเอง คู่สนทนาคล้ายยังไม่พอใจที่เห็นสีหน้าเจ็บปวดของเธอได้น้อยนิด
“วินไม่มีทางชอบคุณหรอก”
สัมปันนีหยุดเดิน รู้สึกเหนื่อยที่หัวใจ เธอยอมแพ้ที่จะเอาชนะใจนวีนแล้ว แต่หัวใจยังไม่ยอมกลับคืนร่างโดยสมบูรณ์สักที
“ฉันรู้ค่ะ” น้ำเสียงของเธอปร่าแปร่ง และเบาคล้ายลมแผ่วที่ออกจากปาก “รู้จนไม่ต้องให้ใครมาเตือนอีก”
โต๊ะทำงานยังว่างเปล่า ปราศจากซองขาว สัมปันนีไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักว่านี่คือความจริง หรือคิดว่าเจ้านายที่วันๆ ปั้นหน้าดุ หลังจากโดนรองเท้าเน่าปาใส่หน้าจะเกิดอาการใจดีไม่นึกอยากมีเรื่อง
ประหลาด!
ก๊อกๆ เสียงเคาะคอกกั้นที่ทำงานของหญิงสาวดังขึ้น บุรุษที่เธอนึกระแวงทำหน้านิ่งอยู่เหนือหัว พยักหน้าทักทายเธออย่างกับนักเลงหัวไม้ “เมื่อวานหลับสบายดีเนอะ”
“ทำไมล่ะคะ”
ดรัลกวาดตาไปหยุดยังรองเท้ามีส้นที่วางอยู่ข้างเก้าอี้หมุนได้ของสัมปันนี ก่อนจะไหวไหล่ “รองเท้าใหม่จะลอยใส่หน้าผมอีกไหม” ประโยคเฉยชานั้นเรียกเสียงฮือฮาของมนุษย์หูยื่นหูยาวละแวกนี้ได้เป็นกอง พนักงานบางคนแทบจะเกาะคอกกั้น เสนอหน้ามารับรู้เรื่องด้วย
ทุกคนเอาแต่คิดว่าใบหน้าหยิมๆ ของสัมปันนีทำไมถึงกล้าขนาดท้าทายเจ้านายอย่างนั้น
“คงไม่มีโอกาสแล้วล่ะค่ะ ฉันจะเก็บของเดี๋ยวนี้เลย” สัมปันนีรู้ว่าเธอบากหน้าหนาขนาดไหนกลับมาที่นี่ ทั้งที่ก่อเรื่องร้ายแรงไปเมื่อคืนนี้ ให้พูดขอโทษอีกร้อยพันครั้ง เธอก็กลายเป็นคนตกงานอยู่ดี สู้มาให้เขาเหยียบเล่นส่งท้ายเลยจะได้ไม่รู้สึกติดค้างอะไรกัน
ของบนโต๊ะเริ่มถูกรวบใส่กล่องไปทีละชิ้น มีสายตาของเจ้านายคอยมองตามอยู่ตลอดจนน่าอึดอัด พอเธอทำท่าจะก้มค้นหากล่องลัง เขาจึงง้างปากขึ้นมาได้
“ผมเป็นคนมีเหตุผลพอ ไม่ไล่ใครออกเพราะอกหัก ขาดสติ ผมเองก็ผิดที่ไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
สัมปันนีหันมองตาเขียวปั้ด เผลอมองรอบด้านว่ามีใครจะถ่มน้ำลายสมน้ำหน้าเธอซ้ำไหม แต่หูก็ยังแว่วว่ามีบางคนกำลังหัวเราะเยาะเธอ หญิงสาวกัดฟันกรอด รู้สึกเสียหน้าขึ้นมา
“ขอบคุณที่ไม่โกรธค่ะ” มือที่ถือกรรไกรกำไว้แน่น มืออีกข้างกำเป็นกำปั้น ในใจท่องซ้ำไปมาขอให้ตัวเองใจเย็นใจร่มไว้
“ไปที่ห้องผมหน่อย”
“มีอะไรก็คุยตรงนี้เลยค่ะ” จะเหยียบซ้ำ หัวเราะเยาะเพิ่มอย่างไรเชิญเขาทำได้ตามสบาย
“อยากให้ผมแฉความลับของคุณไหมล่ะ” น้ำเสียงยียวนทำให้สัมปันนีโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เธอหันมองนวีนที่เดินลุกขึ้นมาทางนี้อย่างวิตก จนถึงตอนนี้นวีนก็ยังเป็นจุดอ่อนที่ถูกหยิบยกขู่เธอได้สำเร็จเสมอ และเขาคิดถูกที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
ร่างสูงลุกขึ้นยืนเท้าเปล่า พอเห็นเขาใช้สายตาหวาดๆ มองรองเท้าที่เธอตั้งใจสวมก็ยิ่งนึกขัน จากจะสวมจึงหยิบขึ้นมาถือไว้หน้าตาเฉย
“นี่ถืออาวุธขู่ผมเหรอ”
“ภาวะสุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว หาของป้องกันตัวสักหน่อยคงไม่เป็นอะไร”
“อยากได้สมญานามอาลัวรองเท้าบินหรือไง”
หลายชีวิตต่างทำปากอู้หูมองสัมปันนีคล้ายไม่เคยพบเคยเห็น ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพวันนี้รวมถึงนิสัยที่รู้จักตอบโต้ แต่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน เป็นถึงเจ้านายที่คนในบริษัทต่างก็อยากหลีกเลี่ยงกันทั้งนั้น
อยากจะลองเอาหัวมาเป็นเป้าอีกไหม...สัมปันนีกัดปาก สะกดคำเหล่านั้นไว้ เท่านี้เธอก็แสดงกิริยาย่ำแย่ออกมาไม่น้อย ถ้ามัศกอดมาอยู่ในตำแหน่งเธอ อีกฝ่ายคงพะบู๊ระเบิดลงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน แต่เธอไม่ได้แบกความเชื่อมั่น ความกล้ามาเต็มตัวขนาดนั้น
“มีเรื่องอะไรอาลัว” นวีนเดินมาถึงโต๊ะของสัมปันนี ก็พบว่าเจ้าของโต๊ะเดินออกจากคอกไปทั้งเท้าเปล่าแล้ว
สัมปันนีหยุดและหันกลับมา นึกถึงสิ่งที่ทำให้เธอเดินมาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างเจ็บปวด เพราะความรู้สึก ‘รัก’ ที่เธอไม่เคยควบคุม เลือกใครสักคนมารับรู้ก็ยังเลือกแบบขอไปที ถึงได้มีเจ้านายหน้ายักษ์คอยเอาแต่เรื่องความลับต้องห้ามนั้นขึ้นมาขู่ อยากรู้นักเชียวว่าเธอไปทำอะไรให้เขาโกรธแค้นนักหนา...กับอีแค่รองเท้าบินของคนเสียสติ
“ไม่ต้องห่วงหรอกนวีน ทุกอย่างจะเรียบร้อย”
จากนี้เธอจะจัดการความรู้สึกของตัวเองให้เด็ดขาดมากขึ้น เธอจะแกร่งขึ้นจนวันหนึ่งที่ดรัลเอาเรื่องนี้ขึ้นมาขู่ แล้วเอาไปป่าวประกาศชาวบ้านไปทั่ว เธอจะใช้สายตาบริสุทธิ์ สายตาของคนที่เป็นเพื่อน ไม่มีความรักของชู้สาวปฏิเสธออกไป เธอจะทำมันให้สำเร็จ
นวีนรู้สึกเบาหวิวอยู่ในอก เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ได้เหนี่ยวรั้ง หรือปลอบโยนความรู้สึกของเพื่อน ทุกก้าวของสัมปันนีจะกำลังเดินออกไปไกลจากเขาทีละนิด...จนท้ายที่สุดความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจไม่เหลืออะไรอีก
ดรัลยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทุกความรู้สึกของทั้งสองอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด หลายครั้งที่ความรู้สึกมักถูกมองออกจากดวงตาของคนภายนอก แต่หากมองจากภายใน เจ้าของของมันกลับไม่ต่างอะไรจากคนตาบอด
“อยากจะพูดอะไรหน่อยไหม”
“พูดอะไรครับ” นวีนไม่เข้าใจ
“อวยพรให้เขาโชคดี” ดรัลผงกศีรษะ บนหน้าประดับรอยยิ้มมุมปากไว้ ทิ้งปริศนาปมใหญ่ในใจนวีน และความเป็นห่วงที่ก่อไฟจนเขาอยู่ไม่สงบ
ผู้ชายคนนี้จะเล่นงานอะไรอาลัว!
“อย่าทำอะไรอาลัวนะครับ”
ดรัลหัวเราะลั่น น้ำเสียงไม่ต่างจากผู้ที่กุมทุกอย่างไว้ในมือได้สำเร็จ
........................................................
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ อ่านแล้วรู้สึกยังไงบอกกันได้นะคะ ^_^
โดนไล่ออกแน่ๆ
สัมปันนีจับเชือกรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ที่ห้อยคล้องติดอยู่กับตัวรองเท้าขึ้นดู แต่ก่อนสภาพของมันก็ลืมซักหลายอาทิตย์อยู่แล้ว มาตอนนี้ยังเพิ่มรอยฟันของเจ้าเต่าทับ เจ้าจอมแสบประจำบ้านขึ้นดูอย่างสยดสยอง เธอจำได้ว่าเห็นมันครั้งล่าสุดคือเมื่อวานตรงถนนหน้าบริษัท และเธอได้ฝากมันไว้บนหน้าเจ้านาย...นี่เขาแค้นขนาดเอากลับมาโยนให้ถึงบ้านของเธอ
คนนอนไม่หลับตลอดคืนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ พอมีสติมากขึ้นเธอก็เริ่มใคร่ครวญถึงหลายสิ่งที่ได้กระทำลงไปอย่างสยองพองขน ความรักไม่ผิด แต่คนโง่ๆ อย่างเธอกลับไม่เรียนรู้ที่จะรักให้เป็น ถึงปล่อยให้ความเศร้าเสียใจ และความโลภมากภายในผลักดันจนดิ้นทุรนทุรายรับไม่ได้กับความสุขของ...เพื่อน
“เจ้าเต่ามันกัดรองเท้าอีกแล้ว” เสียงบ่นของธวัลย์ดังขึ้นด้านหลัง สัมปันนีลดรองเท้าลงหัวเราะไม่ถือสา “อย่าได้ทำหน้าชินนะอาลัว เพราะไม่เคยดุว่าจริงๆ จังๆ เจ้าเต่าทับมันถึงเสียนิสัย”
“แล้วถ้ามันเป็นไปตามสัญชาตญาณล่ะคะพ่อ หมามันซน มันก็ชอบเล่นชอบกัด” ที่ผ่านมาเธอก็แค่ขำขันกับการกระทำของเต่าทับ ไม่เคยโกรธจริงจัง ซ้ำยังคอยปกป้องมันไว้เสมอเวลาที่มันถูกต่อว่าจนหงอหงอย
“วันนี้มันกัดรองเท้าอาลัว แล้ววันหน้ามันกัดคู่ที่แพงกว่าของคนอื่นที่ไม่เข้าใจมัน อาลัวจะทำยังไง เจ้าเต่าทับมันต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับเรา ถึงมันจะเป็นหมาก็ฝึกมันได้ จากนี้พ่อจะฝึกมันจริงจังแล้ว ขี้เยี่ยวทีใครล่ะเช็ด” ข้าราชการในกระทรวงใหญ่ถอนหายใจเฮ้อ หันมาลูบหัวลูกสาวที่นิ่งฟังอย่างตั้งใจจนเกินเหตุ “พ่อรู้ว่าหนูมีเรื่องเครียดอยู่ พ่อไม่รู้หรอกว่ามันคือเรื่องอะไร แต่พ่อไม่อยากเห็นตาหนูแดง ขอบตาช้ำอย่างนี้ทุกเช้าหรอกนะ อย่าปล่อยให้ตัวเองเคยชินกับเรื่องที่เราจัดการให้ดีกว่านี้ได้”
สัมปันนีเม้มปากแน่น ผิดหน้าไปทางกรอบประตูบ้านพบมารดากับมัศกอดพี่สาวยืนยึดกรอบประตูซ้ายขวาคนละข้าง และบุหลันที่นั่งขัดสมาธิเท้าคางอยู่ตรงกลาง สายตาทุกคู่ต่างจ้องเธออย่างเป็นห่วง ดังสายน้ำที่มองไม่เห็นรินรดหัวใจที่แห้งผากขาดการดูแลของเธอจนล้นปรี่ ภาพความรักอันน่าเจ็บปวดที่เธอคิดว่ามันเจ็บเจียนตาย เทียบไม่ได้เลยกับความรักที่คนในครอบครัวมีให้กัน
เธอมัวแต่โหยหาความรักข้างนอก จนลืมเลือนความรักข้างในที่หันไปก็พบเห็นได้เลย
“หนูรู้สึกตัวเองมีหัวสมองเท่าเต่าทับเลย”
“ลูกของพ่อฉลาดกว่านั้น” ธวัลย์ยังเออออ ไม่สนว่าการเปรียบเปรยและสอนสั่งตั้งแต่ต้นได้นำลูกสาวไปเทียบกับจอมแสบพันธุ์เล็กของบ้านแล้ว
นิ้วยาวแตะบนตาแดงช้ำของตัวเองที่ไร้เครื่องสำอางปกปิดอย่างทดท้อ น่าเสียดายที่วันนี้แว่นสายตาใสๆ ของเธอปกปิดร่องรอยบนหน้าไว้ไม่ได้ “ดูแย่มากเลยเหรอคะ”
“มาก”
ธวัลย์ไม่เร่งรัดในการรับรู้เรื่องคาใจของสัมปันนี และเว้นที่พอให้ลูกสาวได้ครุ่นคิดด้วยตัวเอง เขากับเรไรจำเป็นต้องใจแข็ง เพื่อให้ลูกได้สะสาง แก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นลูกของเขาจะเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งได้อย่างไร
“อยากออกไปทั้งอย่างนี้จริงๆ เหรอ”
“มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่หนูได้ทำงานที่นั่นก็ได้นะคะ” คนหมดอาลัยตายอยากทำหน้าเศร้า นึกถึงเวลาสี่ปีที่เคยขอมารดาทำงานนอกบ้านแล้วนั่งคำนวณในใจ เธอใช้เวลาสามปีไปเท่านั้น สามปีที่หัวใจของเธอโลดแล่นไปฝากไว้ที่คนอื่น
“ใครมันกล้าไล่ลูกพ่อที่เก่งทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า” ชายวัยห้าสิบตอนปลายกล่าวขึ้นอย่างโมโห
“หนูมันก็แค่เป็ดก้าบๆ ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่ดีสักอย่าง”
คนเป็นพ่ออ้าปากกว้างร้องอ่าอย่างเหลือเชื่อ ครั้งหนึ่งเขาเคยเปรียบเปรยลูกสาวขำขันว่าเหมือนเป็ด ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะเก็บมาคิดจนเอากลับมาตอกหน้าเขาได้ “อย่าไปสน อาลัวเป็นอาลัว มั่นใจสักหน่อย โดนไล่ออกก็ช่างมัน หางานใหม่ก็ได้ แม่เขาน่าจะดีใจ” จงใจไม่พูดถึงเป็ดตอกย้ำปมในใจลูก
ธวัลย์รู้ใจภรรยาดีว่าต้องการให้ลูกๆ กลับมาช่วยร้าน แต่ไม่ชอบบังคับใจใคร จึงได้แต่ปล่อยให้ลูกโบยบินไปตามเส้นทางของตัวเองโดยไม่เรียกร้องอะไร ไม่ยอมเด็ดปีกแห่งอิสรภาพของลูกเพื่อความสุขส่วนตน
“มีสิ่งหนึ่งที่พวกเราช่วยลูกได้”
หน้าตาคำถามของสัมปันนีถึงบางอ้อเมื่อทุกคนเดินออกมา และดึงเธอกลับเข้าไปในบ้าน พร้อมจัดการถอนขนเป็ด(บางส่วน)ออกจากร่างเธอ
โครม...ยามหน้าตึกเดินชนบานประตูเสียงดังลั่น
คนที่เพิ่งเดินเข้าตัวตึกมาเหลียวหลังกลับไปมองสภาพพี่ยามที่กำลังหน้าแดงก่ำ ก่อนจะก้มลงสำรวจชุดกระโปรงเท่าเข่าสีเขียวแอปเปิลของตัวเองอย่างไม่มั่นใจ เธอทำงานที่นี่มาร่วมสามปีแต่ไม่เคยใส่ชุดกระโปรง และรองเท้ามีส้นมาทำงานเลยสักครั้ง หน้าตาก็สดตลอด ทาแป้งบางๆ กับลิปกลอสก็ออกจากบ้านได้ ไม่ใช่มีรองพื้น ปัดแก้ม เขียนคิ้วที่มัศกอดลงมือแปลงโฉมให้เธอเอง
เงาภาพของเธอภายในลิฟต์สะท้อนคนแปลกหน้าที่จะว่าสวยหรือก็ไม่ เธอรู้สึกว่าตัวเองแค่ดูดีกว่าปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โครงร่างของเธอยังคงสูงชะลูด และแววตาก็ยิ่งแสดงความหวาดหวั่นออกมา หญิงสาวจามออกมา กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่บุหลันเลือกมาดูท่าทางจะเป็นกลิ่นเย็นประหลาดแปลกสมตัวน้องเธอ
ไหนๆ ก็จะโดนไล่ออกอยู่รอมร่อ ยังให้เธอเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นบุญตาคนในบริษัทอีก สัมปันนีส่ายหน้าให้ตัวเอง พยายามไม่มองสายตาแปลกใจของคนหลายคนที่เคยเห็นหน้าค่าตาเธอมาบ้าง แล้วหลบชิดอยู่ด้านหลังสุด ก้มหน้าลง หลังชิดผนัง ในช่วงขณะนี้หูของเธอแว่วเสียงสนทนาของคนสองคนด้านหน้าชัดเจน และเธอก็จำได้ดีเสียด้วยว่าใคร
“เมื่อคืนได้โทรกลับไปหาอาลัวหรือเปล่า” ชมนาดค่อนแคะถามขึ้นมา
“ได้กระเป๋าคืนแล้วนี่”
“เพื่อนวินฝากมาคืนตั้งแต่เมื่อคืน”
คนแอบฟังอยู่ด้านหลังนึกอยากชะโงกหน้าไปดูใบหน้าคนพูดทั้งสองให้เต็มตา ไม่รู้ว่าในใจของเธอเผลอคาดหวังจะได้เห็นท่าทางร้อนรน หรืออยากปิดบังความลับนี้ของนวีนไปเพื่ออะไร เธออยากให้แน่ใจว่าอย่างน้อยๆ ในใจของนวีนยังมีที่พิเศษที่กันเธอจากคนรักของเขา
“บอกอาลัววันนี้เลยก็ได้...ผมพร้อมแล้ว”
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธออยากได้ยิน...สัมปันนีบีบมือตัวเองไว้แน่น กัดปากอย่างทรมานใจ อากาศภายในลิฟต์มีน้อยเกินไป หรือระบบการหายใจของเธอติดขัดด้วยตัวเองกันแน่ เธอคิดว่าใจเธอรู้ดี
น้ำเสียงของนวีนไม่มีความหวั่นไหว ทุกอย่างเรียบสงบ นิ่ง จนเธอยอมแพ้ และเลิกแล้วซึ่งความหวัง...หวังว่าในเศษเสี้ยวของความเป็นเพื่อนจะมีความรู้สึกพิเศษซุกซ่อนอยู่
เมื่อลิฟต์เดินทางมาถึงชั้นหนึ่ง พนักงานส่วนใหญ่ในลิฟต์ออกไปจนบางตา และชมนาดกับเธอสบตากันโดยตรงผ่านเงาประตูลิฟต์
“ได้ยินแล้วใช่ไหมคุณอาลัว”
ไหล่ของนวีนเกร็งขึ้น เขาหันกลับมามองเพื่อนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่ได้สังเกตว่าวันนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับสัมปันนีไม่น้อย
“อาลัว” นวีนเรียกเพื่อนเสียงแผ่ว
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้นก็ได้ เพื่อนจะมีแฟนทั้งที น่าน้อยใจนะที่ไม่ยอมบอกให้รู้เลย” สัมปันนีกลั้นใจยิ้ม และพูดราวกับรับบทเป็นเพื่อนผู้แสนดีไปอย่างหน้าชื่นอกตรม โชคดีเหลือเกินที่เวลาแห่งความอึดอัดของเธอไม่ได้ยาวนานจนเธอกลั้นใจตาย เสียงลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นสามสิบเจ็ดดังขึ้น ชมนาดกลับมายิ้มมุมปากใส่เธอ สายตาประกาศผู้ชนะเดินจากไป เหลือแค่เธอกับนวีนที่รู้สึกอึดอัด แม้เวลานี้เธอจะเดินตามหลังเขามาเงียบๆ
“คือ...”
“คือ..”
คนสองคนที่หลุดคำเดียวกันเตรียมเริ่มประโยคพร้อมกันเก้อกระดากไป สัมปันนีและนวีนต่างผายมือให้โอกาสอีกฝ่ายพูดก่อน ต่างคนต่างเงียบ สุดท้ายสัมปันนีมองหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนวีนไม่ไหวจึงขอพูดขึ้นมาเอง
“เรารู้มาพักหนึ่งแล้ว รอให้นายมาบอก แนะนำแฟนให้รู้จัก แต่นายก็อุบเงียบ เฉไฉไปเรื่อย”
“ไม่โกรธเราใช่ไหม”
สีหน้าหงอยเหงา และไม่กล้าสบตาของนวีนทำให้หัวใจคนฟังอ่อนยวบ เธอเจ็บปวดกับการแอบรักข้างเดียวก็จริง แต่มันจะยุติธรรมกับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนที่มีมานานถึงสามปีนี้เหรอ เธอยอมเจ็บปวดใจดีกว่าไม่เหลือคนที่รักไว้เป็นเพื่อน
“แฟนกับเพื่อน มันคนละสถานะไม่ใช่เหรอ อย่าคิดมากเลย นายมีแฟนอีกกี่คนก็ตาม สุดท้ายเราก็ยังเป็นเพื่อนนายอยู่ดี” ประโยคนี้สัมปันนีอยากกรอกใส่ใจตัวเองให้จดจำไว้มากที่สุด
“เรายังมีเวลาให้อาลัวได้เสมอ”
สัมปันนีพยักหน้าเข้าใจ “เวลาของ ‘เพื่อน’ เรารู้ว่าเรามีอยู่เสมอ เราไม่ได้น้อยใจอะไรเลย อย่างมากก็แค่เคืองนิดๆ” นิ้วชี้นิ้วโป้งเกือบแตะกัน “ที่นายไม่ยอมบอกให้เร็วกว่านี้ ไม่งั้นนะเราจะได้ไปหาแฟนไว้แก้เหงาบ้าง”
“อาลัวไม่เคยมี” นวีนย่นหัวคิ้ว กำลังนึกว่าสัมปันนีว่าประชด
“ล้อเล่น สัญญาว่าถ้าเรามีแฟน นวีนจะรู้แน่ว่าเขาเป็นใคร”
นวีนมีสีหน้าคลางแคลง อ้าปากอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็อุบเงียบเหมือนเดิม ได้แต่ยอมรับ และเพิ่งจะมีเวลามาสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสัมปันนีที่เคยถูกเรียกว่านางชีประจำออฟฟิศ วันนี้อีกฝ่ายดูสดใส และน่ามองขึ้น ถึงจะไม่ได้เรียกว่าสวยก็ตาม
“คิดยังไงถึงแต่งตัวอย่างนี้หืม”
“ทิ้งทวนล่ะมั้ง สวยไหม” ร่างสูงหมุนกายหนึ่งรอบ หัวเราะคิก ไม่ยอมบอกว่าการทิ้งทวนครั้งนี้อาจหมายรวมถึงการนั่งทำงานที่นี่
และอีกเรื่องคือการทิ้งทวนความรู้สึก เธออยากให้แน่ใจว่าต่อให้สวยอย่างไรสายตาของนวีนก็ยังเหมือนเดิม มองเธอเป็นเพื่อนไม่มีเปลี่ยน และสายตาเขาในเวลานี้ก็ยังมองเธออย่างนั้น มีร่องรอยภูมิใจนิดๆ
“สวยมาก”
“เก็บคำนั้นไว้ชมชมคนเดียวเถอะ เราเอาไว้ให้คนอื่นชมดีกว่า” สัมปันนียักคิ้วกวนเดินตรงเข้าที่ทำงาน หลายคนมีปฏิกิริยาแปลกๆ กับเธอทั้งนั้น ทั้งเทน้ำร้อนรดมือ สำลักกาแฟ ทำเอกสารหล่น ความไม่มั่นใจที่มีมาตลอดถูกเธอทิ้งไว้ด้านหลัง หญิงสาวหยุดมองชมนาดในชุดเดรสสั้นสีดำที่ท่วงท่ากิริยายังดูสง่ากว่าเธอ การหยิบจับอะไรก็สมกุลสตรีจนเธอนึกอิจฉา ไม่รู้สึกว่าวันนี้เธอเทียบเงาอีกฝ่ายได้ติด “ดีใจด้วยนะคะ”
“เรื่องของนวีนเหรอ”
“ค่ะ นวีนเป็นคนดีมาก เขาจะไม่มีวันทำให้คุณเสียใจ”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ” ชมนาดจ้องสัมปันนีอย่างเย็นชา “ตราบใดที่คุณยังอยู่ใกล้เขา ฉันไม่มีวันวางใจ”
คนฟังสะอึก คล้ายมีใครเอาลิ่มแหลมตอกลงกลางใจ “ฉันสัญญาว่าจะข้องเกี่ยวกับนวีนให้น้อยลง คุณสบายใจล่วงหน้าได้เลยค่ะ” สัมปันนีพูดจบตั้งใจเดินกลับคอกทำงานของตัวเอง คู่สนทนาคล้ายยังไม่พอใจที่เห็นสีหน้าเจ็บปวดของเธอได้น้อยนิด
“วินไม่มีทางชอบคุณหรอก”
สัมปันนีหยุดเดิน รู้สึกเหนื่อยที่หัวใจ เธอยอมแพ้ที่จะเอาชนะใจนวีนแล้ว แต่หัวใจยังไม่ยอมกลับคืนร่างโดยสมบูรณ์สักที
“ฉันรู้ค่ะ” น้ำเสียงของเธอปร่าแปร่ง และเบาคล้ายลมแผ่วที่ออกจากปาก “รู้จนไม่ต้องให้ใครมาเตือนอีก”
โต๊ะทำงานยังว่างเปล่า ปราศจากซองขาว สัมปันนีไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักว่านี่คือความจริง หรือคิดว่าเจ้านายที่วันๆ ปั้นหน้าดุ หลังจากโดนรองเท้าเน่าปาใส่หน้าจะเกิดอาการใจดีไม่นึกอยากมีเรื่อง
ประหลาด!
ก๊อกๆ เสียงเคาะคอกกั้นที่ทำงานของหญิงสาวดังขึ้น บุรุษที่เธอนึกระแวงทำหน้านิ่งอยู่เหนือหัว พยักหน้าทักทายเธออย่างกับนักเลงหัวไม้ “เมื่อวานหลับสบายดีเนอะ”
“ทำไมล่ะคะ”
ดรัลกวาดตาไปหยุดยังรองเท้ามีส้นที่วางอยู่ข้างเก้าอี้หมุนได้ของสัมปันนี ก่อนจะไหวไหล่ “รองเท้าใหม่จะลอยใส่หน้าผมอีกไหม” ประโยคเฉยชานั้นเรียกเสียงฮือฮาของมนุษย์หูยื่นหูยาวละแวกนี้ได้เป็นกอง พนักงานบางคนแทบจะเกาะคอกกั้น เสนอหน้ามารับรู้เรื่องด้วย
ทุกคนเอาแต่คิดว่าใบหน้าหยิมๆ ของสัมปันนีทำไมถึงกล้าขนาดท้าทายเจ้านายอย่างนั้น
“คงไม่มีโอกาสแล้วล่ะค่ะ ฉันจะเก็บของเดี๋ยวนี้เลย” สัมปันนีรู้ว่าเธอบากหน้าหนาขนาดไหนกลับมาที่นี่ ทั้งที่ก่อเรื่องร้ายแรงไปเมื่อคืนนี้ ให้พูดขอโทษอีกร้อยพันครั้ง เธอก็กลายเป็นคนตกงานอยู่ดี สู้มาให้เขาเหยียบเล่นส่งท้ายเลยจะได้ไม่รู้สึกติดค้างอะไรกัน
ของบนโต๊ะเริ่มถูกรวบใส่กล่องไปทีละชิ้น มีสายตาของเจ้านายคอยมองตามอยู่ตลอดจนน่าอึดอัด พอเธอทำท่าจะก้มค้นหากล่องลัง เขาจึงง้างปากขึ้นมาได้
“ผมเป็นคนมีเหตุผลพอ ไม่ไล่ใครออกเพราะอกหัก ขาดสติ ผมเองก็ผิดที่ไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง”
สัมปันนีหันมองตาเขียวปั้ด เผลอมองรอบด้านว่ามีใครจะถ่มน้ำลายสมน้ำหน้าเธอซ้ำไหม แต่หูก็ยังแว่วว่ามีบางคนกำลังหัวเราะเยาะเธอ หญิงสาวกัดฟันกรอด รู้สึกเสียหน้าขึ้นมา
“ขอบคุณที่ไม่โกรธค่ะ” มือที่ถือกรรไกรกำไว้แน่น มืออีกข้างกำเป็นกำปั้น ในใจท่องซ้ำไปมาขอให้ตัวเองใจเย็นใจร่มไว้
“ไปที่ห้องผมหน่อย”
“มีอะไรก็คุยตรงนี้เลยค่ะ” จะเหยียบซ้ำ หัวเราะเยาะเพิ่มอย่างไรเชิญเขาทำได้ตามสบาย
“อยากให้ผมแฉความลับของคุณไหมล่ะ” น้ำเสียงยียวนทำให้สัมปันนีโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เธอหันมองนวีนที่เดินลุกขึ้นมาทางนี้อย่างวิตก จนถึงตอนนี้นวีนก็ยังเป็นจุดอ่อนที่ถูกหยิบยกขู่เธอได้สำเร็จเสมอ และเขาคิดถูกที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
ร่างสูงลุกขึ้นยืนเท้าเปล่า พอเห็นเขาใช้สายตาหวาดๆ มองรองเท้าที่เธอตั้งใจสวมก็ยิ่งนึกขัน จากจะสวมจึงหยิบขึ้นมาถือไว้หน้าตาเฉย
“นี่ถืออาวุธขู่ผมเหรอ”
“ภาวะสุ่มเสี่ยงอยู่แล้ว หาของป้องกันตัวสักหน่อยคงไม่เป็นอะไร”
“อยากได้สมญานามอาลัวรองเท้าบินหรือไง”
หลายชีวิตต่างทำปากอู้หูมองสัมปันนีคล้ายไม่เคยพบเคยเห็น ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพวันนี้รวมถึงนิสัยที่รู้จักตอบโต้ แต่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน เป็นถึงเจ้านายที่คนในบริษัทต่างก็อยากหลีกเลี่ยงกันทั้งนั้น
อยากจะลองเอาหัวมาเป็นเป้าอีกไหม...สัมปันนีกัดปาก สะกดคำเหล่านั้นไว้ เท่านี้เธอก็แสดงกิริยาย่ำแย่ออกมาไม่น้อย ถ้ามัศกอดมาอยู่ในตำแหน่งเธอ อีกฝ่ายคงพะบู๊ระเบิดลงไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน แต่เธอไม่ได้แบกความเชื่อมั่น ความกล้ามาเต็มตัวขนาดนั้น
“มีเรื่องอะไรอาลัว” นวีนเดินมาถึงโต๊ะของสัมปันนี ก็พบว่าเจ้าของโต๊ะเดินออกจากคอกไปทั้งเท้าเปล่าแล้ว
สัมปันนีหยุดและหันกลับมา นึกถึงสิ่งที่ทำให้เธอเดินมาถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างเจ็บปวด เพราะความรู้สึก ‘รัก’ ที่เธอไม่เคยควบคุม เลือกใครสักคนมารับรู้ก็ยังเลือกแบบขอไปที ถึงได้มีเจ้านายหน้ายักษ์คอยเอาแต่เรื่องความลับต้องห้ามนั้นขึ้นมาขู่ อยากรู้นักเชียวว่าเธอไปทำอะไรให้เขาโกรธแค้นนักหนา...กับอีแค่รองเท้าบินของคนเสียสติ
“ไม่ต้องห่วงหรอกนวีน ทุกอย่างจะเรียบร้อย”
จากนี้เธอจะจัดการความรู้สึกของตัวเองให้เด็ดขาดมากขึ้น เธอจะแกร่งขึ้นจนวันหนึ่งที่ดรัลเอาเรื่องนี้ขึ้นมาขู่ แล้วเอาไปป่าวประกาศชาวบ้านไปทั่ว เธอจะใช้สายตาบริสุทธิ์ สายตาของคนที่เป็นเพื่อน ไม่มีความรักของชู้สาวปฏิเสธออกไป เธอจะทำมันให้สำเร็จ
นวีนรู้สึกเบาหวิวอยู่ในอก เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ได้เหนี่ยวรั้ง หรือปลอบโยนความรู้สึกของเพื่อน ทุกก้าวของสัมปันนีจะกำลังเดินออกไปไกลจากเขาทีละนิด...จนท้ายที่สุดความสัมพันธ์ของพวกเขาอาจไม่เหลืออะไรอีก
ดรัลยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทุกความรู้สึกของทั้งสองอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด หลายครั้งที่ความรู้สึกมักถูกมองออกจากดวงตาของคนภายนอก แต่หากมองจากภายใน เจ้าของของมันกลับไม่ต่างอะไรจากคนตาบอด
“อยากจะพูดอะไรหน่อยไหม”
“พูดอะไรครับ” นวีนไม่เข้าใจ
“อวยพรให้เขาโชคดี” ดรัลผงกศีรษะ บนหน้าประดับรอยยิ้มมุมปากไว้ ทิ้งปริศนาปมใหญ่ในใจนวีน และความเป็นห่วงที่ก่อไฟจนเขาอยู่ไม่สงบ
ผู้ชายคนนี้จะเล่นงานอะไรอาลัว!
“อย่าทำอะไรอาลัวนะครับ”
ดรัลหัวเราะลั่น น้ำเสียงไม่ต่างจากผู้ที่กุมทุกอย่างไว้ในมือได้สำเร็จ
........................................................
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ อ่านแล้วรู้สึกยังไงบอกกันได้นะคะ ^_^
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ส.ค. 2558, 07:16:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ส.ค. 2558, 09:54:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 1449
<< บทที่ 3 : เส้นประสาทที่ขาดผึง | บทที่ 5 : น้ำตาชะล้าง >> |
ปอกะเจา 2 ส.ค. 2558, 10:24:04 น.
วินรักอาลัวแต่ไม่รู้ตัวใช่ไหม สายไปแล้วล่ะ คุณดรัลน่ารักกว่าเยอะ
วินรักอาลัวแต่ไม่รู้ตัวใช่ไหม สายไปแล้วล่ะ คุณดรัลน่ารักกว่าเยอะ
konhin 2 ส.ค. 2558, 11:00:57 น.
อย่ามารู้ตัวทีหลังหล่ะ อวยพรให้เขาเจอคนที่ดีกว่านายเหอะ
อย่ามารู้ตัวทีหลังหล่ะ อวยพรให้เขาเจอคนที่ดีกว่านายเหอะ
นักอ่านเหนียวหนึบ 2 ส.ค. 2558, 13:26:31 น.
วิน นายโง่กว่าอาลัวอีกนะ!!!
วิน นายโง่กว่าอาลัวอีกนะ!!!
kaelek 2 ส.ค. 2558, 16:23:00 น.
ชื่อพี่สาวอาลัว นี่อ่านว่าไงอ่ะคะไรเตอร์ มีความหมายมั้ย?
ชื่อพี่สาวอาลัว นี่อ่านว่าไงอ่ะคะไรเตอร์ มีความหมายมั้ย?
yapapaya 7 ส.ค. 2558, 21:41:11 น.
มัศกอด เป็นชื่อขนมไทยค่ะ
มัศกอด เป็นชื่อขนมไทยค่ะ