อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด
ตอน: บทที่ 5 : น้ำตาชะล้าง
บทที่ 5
สัมปันนีนั่งหลังตรงหน้าโต๊ะทำงานไร้ของระเกะระกะอย่างสงบเสงี่ยม เสียงหัวเราะของผู้ชายคนนี้ที่อยู่ด้านนอกยังดังหลอกหลอนเธอได้ราวกับนั่งฟังคลื่นวิทยุสยองขวัญกลางดึก ฟังแล้วมีแต่จะขนคอลุกชัน ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนหัวเราะพร่ำเพรื่อ ยิ้มแต่ละทีก็ว่าเหมือนแงะหอยออกจากหิน วันๆ ดีแต่สร้างเมฆครอบงำชีวิตคนอื่น
ประตูห้องงับเปิดและปิด หญิงสาวสะดุ้งเบาๆ มือต้องยั้งร่างที่เกือบกระโดดจากที่นั่งจิกให้อยู่กับที่เพราะดันลืมตัวไปว่าที่ต่อว่าดรัลในใจยาวเหยียดยังไม่หลุดออกมาเป็นคำพูด
พอร่างของเจ้าของห้องอ้อมโต๊ะ และเอนหลังนั่งท่าสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ แล้วเอาแต่จ้องเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“พ่อผมเล่าเรื่องของคุณให้ฟังมาบ้างว่าคุณเป็นคนดี เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือเพื่อนพ้อง และมักกลับเป็นคนสุดท้าย”
ถึงนั่นจะเป็นเรื่องดีๆ แต่เธอก็ระแวงในสิ่งที่ดรัลเริ่มต้น “ลุงดิเรกท่านเมตตาฉันน่ะค่ะ”
“เพราะคุณเคยช่วยพ่อผมตอนท่านหน้ามืด ความดันขึ้น พ่อเล่าให้ผมฟังมาตลอดเวลาที่ผมทำอะไรไม่ได้ดังใจท่าน ให้เอาคุณเป็นแบบอย่าง”
เกิดอาการอิจฉาตาร้อนนี่เอง...สัมปันนีถึงบางอ้อ ใช้สายตาจับผิดจ้องเจ้านายที่ยังคงทำหน้านิ่งจ้องเธอกลับมา จะว่าไปนึกถึงเรื่องที่เขาเล่ามา เธอเองก็น่านับถือตัวเองไม่น้อย เพราะลุงดิเรกที่ดำรงตำแหน่งเจ้านายใหญ่เป็นลมล้มพับไปกลางห้องในเวลาเย็น ออฟฟิศแทบจะร้าง พอเธอไปเจอสิ่งที่ทำคือนำท่านขึ้นหลัง และแบกท่านลงลิฟต์ ให้ยามประจำตึกเป็นธุระเรียกแท็กซี่ให้เพื่อพาท่านไปโรงพยาบาล วันนั้นเธอจึงไม่ได้กลับบ้าน กว่าจะได้กลับก็ตอนคุณลุงฟื้นขึ้นมา ขอให้เธอเรียกเขาว่าลุง และท่านมองเธอเป็นลูกเป็นหลานแทนที่จะเป็นแค่พนักงานคนหนึ่ง
แต่ใครเลยจะรู้ว่านั่นรวมถึงการนำเธอไปเปรียบเทียบกับลูกชายแท้ๆ ของท่าน ทั้งที่เธอไม่เคยคิดเป็นหนี้บุญคุณอะไรมาก่อน ออกจะน่าอายด้วยซ้ำที่ผู้หญิงอย่างเธอแกร่งขนาดแบกคนแก่ลงพุงขึ้นหลังลงลิฟต์ได้
“พ่อบอกมาว่าให้ดูแลคุณให้ดี เพราะคุณชอบถูกคนอื่นในบริษัทรังแก”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
ดรัลลุกขึ้นยืนเดินไปหยุดตรงมุมห้องซึ่งเป็นแผนกชั้นหนังสือ คัดเลือกหนึ่งในแถวยาวออกมาเล่มหนึ่ง แล้วโยนส่งให้กับสัมปันนีที่รีบอ้าแขนรับไว้ได้โดยสันไม่กระทบดั้งจมูก เธอเผลอเป่าลมออกจากปากกับสิ่งที่ดรัลทำ นึกเคืองเขาแต่ก็ด่าไม่ออก
“อยู่ที่นี่ต่อไป ทุกคนในออฟฟิศอาจท่วมน้ำตาคุณตาย” ดรัลพยักพเยิดไปยังหนังสือในอ้อมแขนของสัมปันนี “ศึกษาให้หมดภายในหนึ่งสัปดาห์ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ” ก้มหน้าคัดหนังสือตรงชั้นวางมาโยนส่งให้อีกสามเล่ม คราวนี้มีเล่มหนึ่งที่สัมปันนีรับพลาด หนังสือหล่นบนพื้นเสียงดัง
“ไม่ต้องเข้า ได้หยุดฟรีๆ เหรอคะ” คนก้มเก็บหนังสือหลับตาทำหน้าหวาดเสียว ไม่รู้จะรับมือกับคนแปลกตรงหน้าอย่างไร ที่บ้านก็ว่ามีแปลกอยู่แล้วคนหนึ่ง ที่ทำงานยังมีคนแปลกๆ ให้รับมือเพิ่มอีก
“ผมไม่ได้ให้คุณหยุด แต่ให้คุณออกไปทำงานนอกสถานที่” ดรัลดับฝันหวานของสัมปันนีอย่างเย็นชา “วันนี้เย็นจัดของใส่กระเป๋าให้พร้อม ผมจะไปรับที่บ้าน”
“คุณไปด้วย?”
ดรัลใช้สายตาเหนื่อยหน่าย “แค่ไปส่ง เดี๋ยวพ่อผมจะหาว่าดูแลเด็กคนโปรดของท่านไม่ดี”
“จะได้เจอลุงดิเรกเหรอคะ” นัยน์ตาคนจะได้ออกนอกสถานที่เต้นระริก ปากฉีกเป็นรอยยิ้มกว้าง ในอ้อมแขนกอดกองหนังสือไว้แน่น หลายเดือนแล้วที่เธอไม่มีผู้ใหญ่ใจดีคอยคุยเล่นเวลางาน ไม่ใช่มีสภาวะน่าอึดอัดอย่างที่ลูกชายท่านทำไว้ในออฟฟิศนี้ คุยกับลูกน้องแบบนับคำ ไม่ชอบสุงสิงสนิทกับใคร และยังเจ้าคิดเจ้าแค้นขี้อิจฉา
“อืม”
“แล้วงานที่นี่ล่ะคะ บัญชีที่ฉันดูแล...”
“ให้เพื่อนคุณรับไป”
“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ไป” สัมปันนีส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เธอไม่อยากเพิ่มภาระให้กับนวีน เขาเป็นฝ่ายติดต่อลูกค้า คิดแผนการค้าใหม่ๆ จะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลบัญชียิบย่อยน่าเวียนหัวเหล่านี้ เธอรู้ว่านวีนไม่เหมาะกับงานตำแหน่งของเธอเลย และเธอไม่อยากให้เขาปวดหัวกับงานส่วนนี้
“แฟนของเพื่อนคุณเขาทำได้”
“แต่ว่า...” คำเตือนนั้นทำให้สัมปันนีจำได้ว่าชมนาดกับเธอทำตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน คอยตรวจเช็คเลขบัญชีที่เธอทำไป
ดรัลส่ายหน้าระอา กำลังจะหมดความอดทนในการมานั่งอธิบาย และสั่งการคนสมองทึ่มตรงหน้านี้ “ถามจริงในสมองคุณเคยนึกถึงตัวเองก่อนคนอื่นเป็นไหม เขาไม่รักก็ยังไม่รู้จักรักษาตัวและหัวใจตัวเอง รู้ว่าควรถอยห่าง แต่ก็ไม่เคยถอยห่าง ไม่อย่างนั้นคุณก็สู้ไปเลย ทำให้เพื่อนคุณรักคุณ อย่าทำให้ผมเห็นน้ำตาหรือขอบตาช้ำๆ ของคุณอีก”
บรรยากาศเย็นในห้องเพิ่มความยะเยือกขึ้นทันตา คนถูกต่อว่านั่งหน้าเอ๋อ อ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ดรัลว่ามายาวเหยียดนั้นเกี่ยงเนื่องกับฐานะของเจ้านายหรือเปล่า และคำสั่งที่ว่าห้ามเธอร้องไห้ไม่รู้ว่าไปเกี่ยวกับการทำงานตรงไหน เวลาที่เธอร้องก็ไม่เคยเอาเวลางานมาร้องเสียด้วย ถึงจะจัดการหัวใจตัวเองได้ยอดแย่ แต่ว่าหัวใจนั้นมันเป็นของเธอไม่ใช่เหรอ
“ด่าผมว่าเสือกเรื่องคุณก็ด่ามาเลย” ดรัลตอกหน้าคนที่กำลังครวญในใจหน้าหงาย
สัมปันนีชักเหลือเชื่อกับวาจาเผ็ดร้อนไม่เลือกที่เลือกเวลาของดรัลขึ้นทุกที และเห็นพ้องด้วยในที่สุด ในเมื่อเธอไม่คิดแย่งนวีนกับใครเพราะผลสุดท้ายก็เห็นๆ อยู่ว่าเธอจะแพ้ ทางเดียวที่เหลืออยู่คือถอยห่างออกมา ทำอะไรหลายๆ อย่างให้ยุ่ง สมองมีเวลาคิดถึงชาวบ้านน้อยลง อาการทุรนทุรายอาจจะน้อยลงจนหายสนิท
“ขอบคุณที่ช่วยคิดแทนฉันค่ะ ฉันเห็นด้วยทุกอย่าง คุณทำเหมือนมีประสบการณ์มาก่อน รู้จักจัดการความรู้สึกดีจังนะคะ” เขาอาจเคยชอบเพื่อนผู้ชายสักคนแล้วแสดงออกไม่ได้...เพศอย่างเขาก็น่าอึดอัดไม่น้อย
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ เย็นนี้เตรียมตัวให้พร้อมก็พอ” ดรัลไม่เปลี่ยนสีหน้า
“เย็นชาชะมัด” อุตส่าห์จะเห็นใจเขาขึ้นนิดหนึ่งแล้วแท้ๆ
“ผมได้ยิน”
คนถูกดุลอยหน้าลอยตาหน้าระรื่นได้อยู่ เพราะรู้ว่าคนหนุนหลังเธอใหญ่ขนาดไหน และแค่ระดับลูกชายจะมาข่มขวัญเธอเหมือนแต่ก่อนไม่ได้อีก
“ก็ตั้งใจพูดให้ได้ยินไงคะ...มนุษย์เย็นชา” ปากร้าย
สายตาน้ำแข็งขั้วโลกแช่แข็งคำต่อว่าสุดท้ายของสัมปันนีให้ค้างแค่ในลำคอ หญิงสาวรีบรวบหนังสือมาไว้ในอ้อมแขน และแทบจะลอยละล่องออกจากห้องทำงานของเขาไป
การเก็บของ ทำให้ของหลายๆ สิ่งถูกค้นพบ ทั้งของขวัญวันเกิดสามชิ้นที่นวีนซื้อมาให้ ของที่เขาซื้อให้ตอนวันหยุดที่ว่างไปเที่ยวด้วยกัน หรือเวลาที่เขาไปเที่ยวก็จะมีของฝากมาให้เสมอ ทุกสิ่งถูกรวบรวมเก็บไว้ใส่ในลังเปล่าใบหนึ่ง สัมปันนีกอดเข่ามองนิ่งอยู่หลายนาที ก่อนจะหลับตา และเอื้อมมือไปด้านหลังหยิบเทปกาวที่เตรียมไว้มาถือ ลืมตาอีกครั้ง ก่อนจะปิดฝากล่องที่บรรจุของสำคัญต่อจิตใจไว้ชั่วคราว พอเสร็จสิ้นจึงดันกล่องลังไปไว้ที่ใต้เตียง รอเวลาเมื่อเธอพร้อมอีกครั้งที่จะไม่แสลงใจเวลาเห็นของเหล่านี้ เธอจะเปิดกล่องออกอีกครั้ง และนำมาตั้งวางโดยไม่รู้สึกอะไร
“อาลัว เจ้านายมารับหนูแล้ว” เสียงของเรไรดังอยู่ด้านล่างของบ้าน สัมปันนีกะพริบตาเรียกแรงกายใจ มองกล่องที่เธอเลือกปิดมันไว้เป็นครั้งสุดท้าย แววตามีร่องรอยอาลัยอยู่ชั่ววูบก่อนจะเลือนหายไป
เมื่อเลือกที่จะเป็นเพื่อน สิ่งที่ต้องกำจัดคือความรู้สึกส่วนเกิน...ความรู้สึกต้องห้าม
“ค่ะแม่” กระเป๋าเป้บรรจุเสื้อผ้าลำลองไม่กี่ชุดเตรียมพร้อมบนหลัง เธอโกยหนังสือที่เกี่ยวกับกล้วยไม้ไว้ในอ้อมแขน ปิดไฟในห้อง ปล่อยให้ทุกอย่างมืดมิด ไม่ต่างจากความรักครั้งแรกของเธอ
พอลงมาถึงชั้นล่างบรรยากาศอบอุ่นของบ้านเธอคล้ายมีส่วนเกินที่แสนเย็นชามานั่งประทับ รอยยิ้มบนหน้าของดรัลประหยัดขี้งก ไม่พร่ำเพรื่อ วางมาดทางการขนาดเธอที่เพิ่งมาถึงยังรู้สึกอึดอัดเหลือแสน ดูท่าคนเดียวที่อยู่กับน้ำแข็งขั้วโลกได้โดยไม่ทำสีหน้าเกร็งค้างน่าจะเป็นบุหลัน บุคคลผู้กลืนไปกับทุกสรรพสิ่ง
การมาของเธอทำให้บทสนทนาที่นิ่งเงียบเป็นหลุมอากาศเมื่อครู่ถูกเติมเต็ม ดรัลลุกขึ้นยืนรอคอยเธอ
“เอาขนมไปฝากที่บ้านคุณด้วยก็ได้นะคะ” เรไรยิ้มหน้าบานที่เห็นเจ้านายของลูกสาวทานขนมพร่องไปเกือบครึ่งจาน
“รบกวนด้วยนะครับ” ดรัลยิ้มรับขอบคุณอย่างไม่ถือตัวให้กับมารดาของลูกน้องสาว
“มีเจ้านายหน้าตาดี มาดดีขนาดนี้ ทำไมอาลัวไม่เคยพูดถึงเลยนะ แม่ก็นึกว่าเรามีนวีนเป็นเพื่อนคนเดียว” มัศกอดยิ้มตาหวานใส่ดรัล เธอสำรวจทางกายภาพแล้ว ทั้งรูปร่าง หน้าตา การศึกษาล้วนดูดี ถึงนิสัยจะค่อนข้างเย็นชา หน้าตาไร้ความรู้สึก พูดไม่มาก แต่ถ้าสนิทๆ กันไปเขาน่าจะพูดมากขึ้นบ้าง
“นวีนเป็นเพื่อนของหนูคนเดียวจริงๆ นี่คะ...ส่วนเจ้านายมาที่นี่ก็เพราะงานล้วนๆ” สัมปันนีรับไม่ได้ที่ในรายชื่อเพื่อนของเธอจะมีบุคคลน่ากลัวไม่น่าเข้าใกล้อย่าง ‘ดรัล’ เพิ่มเข้ามา เขาไม่เคยบอกสักคำว่าอยากเป็นเพื่อนเธอ และเธอก็ไม่รื่นภิรมย์พอจะตีขลุมเหมาเขาเป็นเพื่อนด้วย จะเป็นฝันร้ายมากกว่าฝันดีซะเปล่า
เรไรถลึงตาดุลูกสาวที่พูดไม่รักษาน้ำใจเจ้านาย “นี่มันนอกเวลางานนะอาลัว คนเขามีน้ำใจ ไม่ขอบคุณ ยังพูดจาใจร้ายอีก”
สัมปันนีปรายตาไปทางดรัลก็พบว่ามุมปากของอีกฝ่ายกำลังยกยิ้มบางๆ ที่คนอื่นอาจมองแค่มุมปากที่กดลึกกว่าปกติ แต่เธอรู้...เขาคล้ายถูกใจที่เธอถูกต่อว่าโดยไม่ต้องขยับปากยืนยันคำพูด แค่ยืนเก๊กหล่อๆ ทำหน้าเข้มไปอย่างนั้น หญิงสาวรอให้มารดาส่งกล่องขนมไทยหลายชนิดที่ที่บ้านเธอมักมีติดตู้เย็นไว้ส่งให้กับดรัล บรรยายราวกับโฆษณาลูกสาวมากกว่าขนม
“มัศกอด คัพเค้กสไตล์ไทยๆ สัมปันนีก็สูตรเด็ดเนื้อหวานนุ่มไม่เหมือนที่ไหน ส่วนบุหลันดั้นเมฆ สีที่ใส่ลงไปก็เป็นสีธรรมชาติไม่ผสมสารเคมีนะคะ”
“มัศกอด สัมปันนี บุหลันดั้นเมฆ” ดรัลทวนชื่อขนมอย่างสนใจ โดยเฉพาะชื่อกลางที่เขาคุ้นหูเป็นพิเศษ และถ้าให้เขาคาดเดาชื่อขนมอีกสองประเภทอาจจะเป็นชื่อของลูกสาวอีกสองคนของบ้านนี้
“ชื่อของลูกๆ บ้านนี้ค่ะ หวานเหมือนชื่อกันทุกคน ว่าแต่คุณชอบขนมชนิดไหนที่สุดคะ” เรไรกลั้วหัวเราะ คนโตก็มากเล่ห์เพทุบาย คนกลางบ้าพลัง แต่ดันซื่อใสไม่ค่อยทันใคร ส่วนคนเล็ก...กล่าวถึงให้น้อยที่สุดจะดีกว่า
สามพี่น้องกลอกตากับความพยายามเต็มที่ในการขายลูกสาวออกนอกหน้าของมารดา ตรงข้ามกับบิดาที่ได้แต่ก้มหน้าทานข้าวเงียบๆ แต่แอบทำปากขมุบขมิบเออออไปกับลูกสาวคนกลางที่ส่ายหน้าดิกคัดค้านวาจาของมารดา
“ไปดีกว่าค่ะ เดี๋ยวไปถึงมืดค่ำคุณจะขับรถลำบาก” เห็นดรัลกำลังอ้าปากตอบ สัมปันนีก็รีบสอดปากไปขัดไว้ได้ทัน กระชับสายเป้บนหลัง หน้าตาแช่มชื่น ราวกับไม่รับรู้ว่าได้ขยี้ความฝันในการขายลูกสาวของมารดาให้ป่นปี้อย่างไร ส่วนพี่ของเธอกลับทำมือไล่เธอออกจากบ้าน และน้องสาวที่ขยับตัวอึดอัดตลอดเวลาที่ถูกนำมาวางขายก็ค่อยๆ ผ่อนร่างที่เกร็งลง และใช้สายตาไร้ความรู้สึกขับไล่เจ้านายของเธอ
“ผมไปก่อนนะครับ” ดรัลไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม ไม่คิดตอบคำถามที่คนถามได้แต่ทำหน้าเสียดายไล่หลัง พอแขกคนสำคัญไปคุณเรไรจึงได้แต่มองค้อนลูกทั้งสองกับสามี บ่นออกมาเสียงดัง “ขายใครไม่ออกกันอยู่แล้วเนี่ย ก็รู้อยู่ว่าเจ้าอาลัวชอบใคร”
“นวีนไม่ใช่แฟนอาลัวเขานะคะแม่ แม่ยังไม่เลิกเชียร์นวีนให้อาลัวอีกเหรอ” มัศกอดหยิบขนมบนโต๊ะมาทานต่อด้วยอาการโล่งอก
“นวีนก็ชอบอาลัว แม่ดูออก” เรไรไม่เห็นด้วยที่มัศกอดสันนิษฐาน และเชื่อสายตาของตัวเองมากกว่า
บุหลันหัวเราะเหอะ เท้าคางกับแขนที่วางรองอยู่บนโต๊ะ พูดออกมาเสียงยานคาง “นวีนหัวช้าเกินไป”
“หัวช้า?”
มารดาได้แต่สงสัย ในขณะที่สามีกับลูกสาวคนโตยกจานขนมไปทานต่อหน้าทีวีไม่คิดสานต่อบทสนทนา และพอนางคิดจะคาดคั้นกับลูกสาวคนเล็กก็พบว่าอีกฝ่ายฟุบหลับกำลังส่งเสียงกรนเบาๆ ออกมาแล้ว
การมาถึงของใครบางคนทำให้หัวใจที่พยายามปิดให้สนิทสั่นสะเทือนโยกไหวอีกครั้ง นวีนลงมาจากรถสีหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติ เหมือนทุกครั้งที่เขามาถึงบ้านของเธอ สัมปันนียิ้มตอบเขาไปอย่างมึนงง
“นึกว่าลืมว่าบ้านเราตั้งอยู่ที่ไหนแล้วนะ”
“ใครจะลืม” นวีนแก้ตัวเขินๆ รู้สึกผิดที่พักหลังเขามีเวลาให้สัมปันนีน้อยลงเรื่อยๆ จากที่เคยมานั่งทานข้าวที่บ้านนี้ทุกวัน ช่วงสามเดือนมานี้ถึงกับนับวันมาที่นี่ได้...สายตาของเขาจับจ้องไปยังกระเป๋าสัมภาระบนหลังของสัมปันนี “จะไปไหนเหรออาลัว”
“ทำงาน”
“นานไหม”
“ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็กลับมา” สัมปันนียิ้มให้ความมั่นใจตัวเอง อย่างไรการกลับมาครั้งนี้จะไม่แบกความเจ็บปวดในการแอบรักนวีนเต็มหัวใจกลับมาด้วยแน่ แต่ก่อนจะไปเธออยากถามบางสิ่งให้มั่นใจเสียก่อน จำต้องขอเวลานี้จากดรัล “ฉันขอคุยกับนวีนหน่อยได้ไหมคะ”
“อย่านานนักล่ะ ผมไม่ชอบรอใคร” ดรัลยืนพิงรถตัวเอง ไม่สะทกสะท้านกับการถูกมองว่ายุ่งเรื่องของคนอื่น
สัมปันนียิ้มแหยให้นวีน เดินเลี่ยงออกมาให้ห่างจากระยะทางที่ดรัลได้ยิน ท่าทางของสัมปันนีจริงจังจนเกร็ง เธอสูดหายใจเข้าปอดเฮือกแล้วเฮือกเล่า โชคดีที่นวีนไม่เร่งรัด แค่เลิกคิ้วมองเธออย่างพิศวง
“นวีน นายรักคุณชมจริงๆ ใช่ไหม”
นวีนมองคนถามอยากจะหยั่งให้ถึงหัวใจ แต่เมื่อพบดวงตาคู่เดิมที่มองเขาด้วยสายตาของคนที่ไม่เคยทรยศเขา ที่จริงเขาไม่เคยเห็นสายตาคู่ไหนที่หวังดี เป็นมิตร และมองเขาอย่างซื่อสัตย์ได้เท่ากับสายตาของสัมปันนีมาก่อน
“น่าจะนะ มีหลายๆ เรื่องที่เรากับเขาเข้ากันได้ดี”
“งั้นเหรอ” แล้วเธอล่ะ เข้ากับเขาไม่ได้ตรงไหน
สัมปันนีมีอาการเหม่อลอย ก่อนจะกะพริบตาเรียกสติ รวบรวมหัวใจที่ชอบกระจัดกระจายออกจากร่าง “เรายังไม่เคยอวยพรนายเลยนี่นะ...นวีน มีความรักที่ดี ทะนุถนอมคนที่รักให้มากๆ เราอยากเห็นนายมีความสุขอย่างนี้ตลอดไป” ใกล้เคียงกับคำบอกรัก...คือการอวยพรให้เขามีความสุข สิ่งเดียวที่คนเป็นเพื่อนจะทำได้
“มีอาลัวเป็นเพื่อนเราก็มีความสุขมากแล้ว”
หัวใจคล้ายมีเข็มเล็กๆ ทิ่มตำจนพรุน สัมปันนีฝืนยิ้มออกมา บังคับให้ตัวเองไม่ทุรนทุราย ไม่อิจฉาความรู้สึกที่ชมนาดได้รับจากนวีนอีก เธอไม่มีสิทธิ์คิดเกินเลยหรือคาดหวังในความรักครั้งนี้ เขาย้ำชัดมาเสมอว่า...เพื่อน แค่เป็นเพื่อนเขาก็มีความสุขดีแล้ว
“นวีนก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่เราเคยมีเหมือนกัน และมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงด้วย อย่าคิดมากเรื่องที่นวีนจะมีแฟนอีก เราเป็นเพื่อน ไม่ใช่แฟน นายไม่ต้องแคร์ความรู้สึกเรามากขนาดนั้นก็ได้” สัมปันนีเสยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา กอปรกับฟ้าเบื้องบนที่ค่อยๆ ถูกระบายด้วยสีกำมะหยี่ เป็นช่วงเวลาที่อำพรางแววตาวูบไหว และเศร้าของเธอได้ดี
“ไปก่อนนะนวีน”
“ไปนานไหม”
“ไม่นานหรอก” หญิงสาวหมุนกายกลับมายังรถของดรัล ทุกย่างก้าวที่ถอยห่างจากนวีนเต็มไปด้วยความทรมาน เธอไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองเขา และมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมรัก เต็มไปด้วยความภูมิใจอย่างที่เคยทำ ทุกอย่างจะต้องหยุดลง
“อยากร้องไห้ไหม” ดรัลกางแขนออกกว้าง ชูแขนเสื้อต่างผ้าเช็ดหน้าให้เธอ
สัมปันนีเชิดคอขึ้น ดวงตารื้นน้ำจางๆ แต่ไม่มีของเหลวเล็ดรอดออกมาประจานความรู้สึกย่ำแย่ในใจ ท่าทางดื้อรั้นที่กำลังต่อสู้กับความอ่อนแอในใจของตัวเองถูกใจคนมองที่ค่อยๆ ลดแขนตัวเองลงแนบลำตัว เปิดประตูข้างคนขับให้หญิงสาวได้ก้าวเข้าไปนั่ง คนได้รับเกียรติพิเศษนี้มองเขาอย่างประหลาดใจ
“ใจดีจังเลยนะคะ”
“ผมกลัวรองเท้าคุณบินต่างหาก”
ร่องรอยประหลาดใจหายวับ เหลือเพียงอาการหดคอ และหลบตาอย่างคนมีชนักติดหลัง ดรัลส่ายหน้าให้กับอาการของสัมปันนี พอเขาจะเดินอ้อมรถไปฝั่งตัวเองก็พบนวีนยืนมองอยู่ เขาก้มศีรษะให้กับนวีนเป็นการทักทาย ก่อนจะเข้ามาในรถ รีบพาคนหัวใจย่ำแย่ที่นั่งเงียบอย่างเดียวจากมาให้ไกล และห่างพอจนมองคนทำร้ายจิตใจผ่านกระจกมองข้างไม่ได้อีก
“รู้ไหมว่าน้ำตามันมีประโยชน์อยู่อย่าง”
“อะไรคะ” น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ
“น้ำตาจะล้างตาให้สะอาด เราจะเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้น”
ดรัลไม่ต้องหันไปมอง เสียงสะอื้นของคนนั่งข้างๆ ก็ทำให้รู้ว่าน้ำตากำลังทำหน้าที่ล้างตาของใครบางคนอยู่...
“ทำไมคุณถึงช่วยฉันคะ” น้ำเสียงขึ้นจมูกถามด้วยความสงสัย ถึงนิสัยของดรัลจะไม่น่าคบหา แต่หลายสิ่งที่เขาช่วยเหลือเธอตั้งแต่วันแรกที่พบกันก็ทำให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนแย่อะไร เขามีสิทธิ์จะมองเลยผ่านเธอ ทำเป็นมองไม่เห็นน้ำตาของคนผิดหวัง แต่เขาก็ยังยื่นมือมาช่วย
“พ่อผมเขาเอ็นดูคุณ”
“ขอความจริงได้ไหมคะ ถึงลุงดิเรกจะเอ็นดูฉัน แต่ท่านก็คงไม่ได้ขอให้คุณเป็นธุระมาจัดการชีวิตฉันขนาดนี้”
ดรัลถอนหายใจให้กับคนอยากรู้ ไม่ยอมปริปากบอกเหตุผลที่แท้จริง ที่ว่าทำไมจู่ๆ เขาจึงถูกพ่อเตะส่งมายังออฟฟิศในกรุงเทพฯ แทนการทำงานอยู่ในอาณาจักรสวนกล้วยไม้ที่ต่างจังหวัด
……………………………………………………
คุณ ปอกะเจา นวีนจะทำยังไงกับความรู้สึกของตัวเองนะคะ เหมือนจะรู้ตัว แต่ก็ไม่รู้ตัว
คุณ konhin ดรัลจะเป็นคนที่ดีกว่านวีนหรือเปล่า ต้องรอลุ้นกันต่อไปนะคะ
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ นางเอกเรื่องนี้ว่าซื่อแล้ว ยังมีคนซื่อกว่านางเอกอีก ฮา
คุณ kaelek พี่นางเอกชื่อมัศกอด (มัด-กอด) เป็นชื่อขนมไทยค่ะ บทนี้รู้ที่มาของชื่อนางเอกกับน้องด้วยเลย ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า ขอบคุณที่กดถูกใจด้วยค่ะ อ่านแล้วรู้สึกยังบอกกันได้นะคะ ::D
สัมปันนีนั่งหลังตรงหน้าโต๊ะทำงานไร้ของระเกะระกะอย่างสงบเสงี่ยม เสียงหัวเราะของผู้ชายคนนี้ที่อยู่ด้านนอกยังดังหลอกหลอนเธอได้ราวกับนั่งฟังคลื่นวิทยุสยองขวัญกลางดึก ฟังแล้วมีแต่จะขนคอลุกชัน ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนหัวเราะพร่ำเพรื่อ ยิ้มแต่ละทีก็ว่าเหมือนแงะหอยออกจากหิน วันๆ ดีแต่สร้างเมฆครอบงำชีวิตคนอื่น
ประตูห้องงับเปิดและปิด หญิงสาวสะดุ้งเบาๆ มือต้องยั้งร่างที่เกือบกระโดดจากที่นั่งจิกให้อยู่กับที่เพราะดันลืมตัวไปว่าที่ต่อว่าดรัลในใจยาวเหยียดยังไม่หลุดออกมาเป็นคำพูด
พอร่างของเจ้าของห้องอ้อมโต๊ะ และเอนหลังนั่งท่าสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ แล้วเอาแต่จ้องเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
“พ่อผมเล่าเรื่องของคุณให้ฟังมาบ้างว่าคุณเป็นคนดี เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือเพื่อนพ้อง และมักกลับเป็นคนสุดท้าย”
ถึงนั่นจะเป็นเรื่องดีๆ แต่เธอก็ระแวงในสิ่งที่ดรัลเริ่มต้น “ลุงดิเรกท่านเมตตาฉันน่ะค่ะ”
“เพราะคุณเคยช่วยพ่อผมตอนท่านหน้ามืด ความดันขึ้น พ่อเล่าให้ผมฟังมาตลอดเวลาที่ผมทำอะไรไม่ได้ดังใจท่าน ให้เอาคุณเป็นแบบอย่าง”
เกิดอาการอิจฉาตาร้อนนี่เอง...สัมปันนีถึงบางอ้อ ใช้สายตาจับผิดจ้องเจ้านายที่ยังคงทำหน้านิ่งจ้องเธอกลับมา จะว่าไปนึกถึงเรื่องที่เขาเล่ามา เธอเองก็น่านับถือตัวเองไม่น้อย เพราะลุงดิเรกที่ดำรงตำแหน่งเจ้านายใหญ่เป็นลมล้มพับไปกลางห้องในเวลาเย็น ออฟฟิศแทบจะร้าง พอเธอไปเจอสิ่งที่ทำคือนำท่านขึ้นหลัง และแบกท่านลงลิฟต์ ให้ยามประจำตึกเป็นธุระเรียกแท็กซี่ให้เพื่อพาท่านไปโรงพยาบาล วันนั้นเธอจึงไม่ได้กลับบ้าน กว่าจะได้กลับก็ตอนคุณลุงฟื้นขึ้นมา ขอให้เธอเรียกเขาว่าลุง และท่านมองเธอเป็นลูกเป็นหลานแทนที่จะเป็นแค่พนักงานคนหนึ่ง
แต่ใครเลยจะรู้ว่านั่นรวมถึงการนำเธอไปเปรียบเทียบกับลูกชายแท้ๆ ของท่าน ทั้งที่เธอไม่เคยคิดเป็นหนี้บุญคุณอะไรมาก่อน ออกจะน่าอายด้วยซ้ำที่ผู้หญิงอย่างเธอแกร่งขนาดแบกคนแก่ลงพุงขึ้นหลังลงลิฟต์ได้
“พ่อบอกมาว่าให้ดูแลคุณให้ดี เพราะคุณชอบถูกคนอื่นในบริษัทรังแก”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ”
ดรัลลุกขึ้นยืนเดินไปหยุดตรงมุมห้องซึ่งเป็นแผนกชั้นหนังสือ คัดเลือกหนึ่งในแถวยาวออกมาเล่มหนึ่ง แล้วโยนส่งให้กับสัมปันนีที่รีบอ้าแขนรับไว้ได้โดยสันไม่กระทบดั้งจมูก เธอเผลอเป่าลมออกจากปากกับสิ่งที่ดรัลทำ นึกเคืองเขาแต่ก็ด่าไม่ออก
“อยู่ที่นี่ต่อไป ทุกคนในออฟฟิศอาจท่วมน้ำตาคุณตาย” ดรัลพยักพเยิดไปยังหนังสือในอ้อมแขนของสัมปันนี “ศึกษาให้หมดภายในหนึ่งสัปดาห์ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ” ก้มหน้าคัดหนังสือตรงชั้นวางมาโยนส่งให้อีกสามเล่ม คราวนี้มีเล่มหนึ่งที่สัมปันนีรับพลาด หนังสือหล่นบนพื้นเสียงดัง
“ไม่ต้องเข้า ได้หยุดฟรีๆ เหรอคะ” คนก้มเก็บหนังสือหลับตาทำหน้าหวาดเสียว ไม่รู้จะรับมือกับคนแปลกตรงหน้าอย่างไร ที่บ้านก็ว่ามีแปลกอยู่แล้วคนหนึ่ง ที่ทำงานยังมีคนแปลกๆ ให้รับมือเพิ่มอีก
“ผมไม่ได้ให้คุณหยุด แต่ให้คุณออกไปทำงานนอกสถานที่” ดรัลดับฝันหวานของสัมปันนีอย่างเย็นชา “วันนี้เย็นจัดของใส่กระเป๋าให้พร้อม ผมจะไปรับที่บ้าน”
“คุณไปด้วย?”
ดรัลใช้สายตาเหนื่อยหน่าย “แค่ไปส่ง เดี๋ยวพ่อผมจะหาว่าดูแลเด็กคนโปรดของท่านไม่ดี”
“จะได้เจอลุงดิเรกเหรอคะ” นัยน์ตาคนจะได้ออกนอกสถานที่เต้นระริก ปากฉีกเป็นรอยยิ้มกว้าง ในอ้อมแขนกอดกองหนังสือไว้แน่น หลายเดือนแล้วที่เธอไม่มีผู้ใหญ่ใจดีคอยคุยเล่นเวลางาน ไม่ใช่มีสภาวะน่าอึดอัดอย่างที่ลูกชายท่านทำไว้ในออฟฟิศนี้ คุยกับลูกน้องแบบนับคำ ไม่ชอบสุงสิงสนิทกับใคร และยังเจ้าคิดเจ้าแค้นขี้อิจฉา
“อืม”
“แล้วงานที่นี่ล่ะคะ บัญชีที่ฉันดูแล...”
“ให้เพื่อนคุณรับไป”
“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ไป” สัมปันนีส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เธอไม่อยากเพิ่มภาระให้กับนวีน เขาเป็นฝ่ายติดต่อลูกค้า คิดแผนการค้าใหม่ๆ จะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลบัญชียิบย่อยน่าเวียนหัวเหล่านี้ เธอรู้ว่านวีนไม่เหมาะกับงานตำแหน่งของเธอเลย และเธอไม่อยากให้เขาปวดหัวกับงานส่วนนี้
“แฟนของเพื่อนคุณเขาทำได้”
“แต่ว่า...” คำเตือนนั้นทำให้สัมปันนีจำได้ว่าชมนาดกับเธอทำตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน คอยตรวจเช็คเลขบัญชีที่เธอทำไป
ดรัลส่ายหน้าระอา กำลังจะหมดความอดทนในการมานั่งอธิบาย และสั่งการคนสมองทึ่มตรงหน้านี้ “ถามจริงในสมองคุณเคยนึกถึงตัวเองก่อนคนอื่นเป็นไหม เขาไม่รักก็ยังไม่รู้จักรักษาตัวและหัวใจตัวเอง รู้ว่าควรถอยห่าง แต่ก็ไม่เคยถอยห่าง ไม่อย่างนั้นคุณก็สู้ไปเลย ทำให้เพื่อนคุณรักคุณ อย่าทำให้ผมเห็นน้ำตาหรือขอบตาช้ำๆ ของคุณอีก”
บรรยากาศเย็นในห้องเพิ่มความยะเยือกขึ้นทันตา คนถูกต่อว่านั่งหน้าเอ๋อ อ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าสิ่งที่ดรัลว่ามายาวเหยียดนั้นเกี่ยงเนื่องกับฐานะของเจ้านายหรือเปล่า และคำสั่งที่ว่าห้ามเธอร้องไห้ไม่รู้ว่าไปเกี่ยวกับการทำงานตรงไหน เวลาที่เธอร้องก็ไม่เคยเอาเวลางานมาร้องเสียด้วย ถึงจะจัดการหัวใจตัวเองได้ยอดแย่ แต่ว่าหัวใจนั้นมันเป็นของเธอไม่ใช่เหรอ
“ด่าผมว่าเสือกเรื่องคุณก็ด่ามาเลย” ดรัลตอกหน้าคนที่กำลังครวญในใจหน้าหงาย
สัมปันนีชักเหลือเชื่อกับวาจาเผ็ดร้อนไม่เลือกที่เลือกเวลาของดรัลขึ้นทุกที และเห็นพ้องด้วยในที่สุด ในเมื่อเธอไม่คิดแย่งนวีนกับใครเพราะผลสุดท้ายก็เห็นๆ อยู่ว่าเธอจะแพ้ ทางเดียวที่เหลืออยู่คือถอยห่างออกมา ทำอะไรหลายๆ อย่างให้ยุ่ง สมองมีเวลาคิดถึงชาวบ้านน้อยลง อาการทุรนทุรายอาจจะน้อยลงจนหายสนิท
“ขอบคุณที่ช่วยคิดแทนฉันค่ะ ฉันเห็นด้วยทุกอย่าง คุณทำเหมือนมีประสบการณ์มาก่อน รู้จักจัดการความรู้สึกดีจังนะคะ” เขาอาจเคยชอบเพื่อนผู้ชายสักคนแล้วแสดงออกไม่ได้...เพศอย่างเขาก็น่าอึดอัดไม่น้อย
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ เย็นนี้เตรียมตัวให้พร้อมก็พอ” ดรัลไม่เปลี่ยนสีหน้า
“เย็นชาชะมัด” อุตส่าห์จะเห็นใจเขาขึ้นนิดหนึ่งแล้วแท้ๆ
“ผมได้ยิน”
คนถูกดุลอยหน้าลอยตาหน้าระรื่นได้อยู่ เพราะรู้ว่าคนหนุนหลังเธอใหญ่ขนาดไหน และแค่ระดับลูกชายจะมาข่มขวัญเธอเหมือนแต่ก่อนไม่ได้อีก
“ก็ตั้งใจพูดให้ได้ยินไงคะ...มนุษย์เย็นชา” ปากร้าย
สายตาน้ำแข็งขั้วโลกแช่แข็งคำต่อว่าสุดท้ายของสัมปันนีให้ค้างแค่ในลำคอ หญิงสาวรีบรวบหนังสือมาไว้ในอ้อมแขน และแทบจะลอยละล่องออกจากห้องทำงานของเขาไป
การเก็บของ ทำให้ของหลายๆ สิ่งถูกค้นพบ ทั้งของขวัญวันเกิดสามชิ้นที่นวีนซื้อมาให้ ของที่เขาซื้อให้ตอนวันหยุดที่ว่างไปเที่ยวด้วยกัน หรือเวลาที่เขาไปเที่ยวก็จะมีของฝากมาให้เสมอ ทุกสิ่งถูกรวบรวมเก็บไว้ใส่ในลังเปล่าใบหนึ่ง สัมปันนีกอดเข่ามองนิ่งอยู่หลายนาที ก่อนจะหลับตา และเอื้อมมือไปด้านหลังหยิบเทปกาวที่เตรียมไว้มาถือ ลืมตาอีกครั้ง ก่อนจะปิดฝากล่องที่บรรจุของสำคัญต่อจิตใจไว้ชั่วคราว พอเสร็จสิ้นจึงดันกล่องลังไปไว้ที่ใต้เตียง รอเวลาเมื่อเธอพร้อมอีกครั้งที่จะไม่แสลงใจเวลาเห็นของเหล่านี้ เธอจะเปิดกล่องออกอีกครั้ง และนำมาตั้งวางโดยไม่รู้สึกอะไร
“อาลัว เจ้านายมารับหนูแล้ว” เสียงของเรไรดังอยู่ด้านล่างของบ้าน สัมปันนีกะพริบตาเรียกแรงกายใจ มองกล่องที่เธอเลือกปิดมันไว้เป็นครั้งสุดท้าย แววตามีร่องรอยอาลัยอยู่ชั่ววูบก่อนจะเลือนหายไป
เมื่อเลือกที่จะเป็นเพื่อน สิ่งที่ต้องกำจัดคือความรู้สึกส่วนเกิน...ความรู้สึกต้องห้าม
“ค่ะแม่” กระเป๋าเป้บรรจุเสื้อผ้าลำลองไม่กี่ชุดเตรียมพร้อมบนหลัง เธอโกยหนังสือที่เกี่ยวกับกล้วยไม้ไว้ในอ้อมแขน ปิดไฟในห้อง ปล่อยให้ทุกอย่างมืดมิด ไม่ต่างจากความรักครั้งแรกของเธอ
พอลงมาถึงชั้นล่างบรรยากาศอบอุ่นของบ้านเธอคล้ายมีส่วนเกินที่แสนเย็นชามานั่งประทับ รอยยิ้มบนหน้าของดรัลประหยัดขี้งก ไม่พร่ำเพรื่อ วางมาดทางการขนาดเธอที่เพิ่งมาถึงยังรู้สึกอึดอัดเหลือแสน ดูท่าคนเดียวที่อยู่กับน้ำแข็งขั้วโลกได้โดยไม่ทำสีหน้าเกร็งค้างน่าจะเป็นบุหลัน บุคคลผู้กลืนไปกับทุกสรรพสิ่ง
การมาของเธอทำให้บทสนทนาที่นิ่งเงียบเป็นหลุมอากาศเมื่อครู่ถูกเติมเต็ม ดรัลลุกขึ้นยืนรอคอยเธอ
“เอาขนมไปฝากที่บ้านคุณด้วยก็ได้นะคะ” เรไรยิ้มหน้าบานที่เห็นเจ้านายของลูกสาวทานขนมพร่องไปเกือบครึ่งจาน
“รบกวนด้วยนะครับ” ดรัลยิ้มรับขอบคุณอย่างไม่ถือตัวให้กับมารดาของลูกน้องสาว
“มีเจ้านายหน้าตาดี มาดดีขนาดนี้ ทำไมอาลัวไม่เคยพูดถึงเลยนะ แม่ก็นึกว่าเรามีนวีนเป็นเพื่อนคนเดียว” มัศกอดยิ้มตาหวานใส่ดรัล เธอสำรวจทางกายภาพแล้ว ทั้งรูปร่าง หน้าตา การศึกษาล้วนดูดี ถึงนิสัยจะค่อนข้างเย็นชา หน้าตาไร้ความรู้สึก พูดไม่มาก แต่ถ้าสนิทๆ กันไปเขาน่าจะพูดมากขึ้นบ้าง
“นวีนเป็นเพื่อนของหนูคนเดียวจริงๆ นี่คะ...ส่วนเจ้านายมาที่นี่ก็เพราะงานล้วนๆ” สัมปันนีรับไม่ได้ที่ในรายชื่อเพื่อนของเธอจะมีบุคคลน่ากลัวไม่น่าเข้าใกล้อย่าง ‘ดรัล’ เพิ่มเข้ามา เขาไม่เคยบอกสักคำว่าอยากเป็นเพื่อนเธอ และเธอก็ไม่รื่นภิรมย์พอจะตีขลุมเหมาเขาเป็นเพื่อนด้วย จะเป็นฝันร้ายมากกว่าฝันดีซะเปล่า
เรไรถลึงตาดุลูกสาวที่พูดไม่รักษาน้ำใจเจ้านาย “นี่มันนอกเวลางานนะอาลัว คนเขามีน้ำใจ ไม่ขอบคุณ ยังพูดจาใจร้ายอีก”
สัมปันนีปรายตาไปทางดรัลก็พบว่ามุมปากของอีกฝ่ายกำลังยกยิ้มบางๆ ที่คนอื่นอาจมองแค่มุมปากที่กดลึกกว่าปกติ แต่เธอรู้...เขาคล้ายถูกใจที่เธอถูกต่อว่าโดยไม่ต้องขยับปากยืนยันคำพูด แค่ยืนเก๊กหล่อๆ ทำหน้าเข้มไปอย่างนั้น หญิงสาวรอให้มารดาส่งกล่องขนมไทยหลายชนิดที่ที่บ้านเธอมักมีติดตู้เย็นไว้ส่งให้กับดรัล บรรยายราวกับโฆษณาลูกสาวมากกว่าขนม
“มัศกอด คัพเค้กสไตล์ไทยๆ สัมปันนีก็สูตรเด็ดเนื้อหวานนุ่มไม่เหมือนที่ไหน ส่วนบุหลันดั้นเมฆ สีที่ใส่ลงไปก็เป็นสีธรรมชาติไม่ผสมสารเคมีนะคะ”
“มัศกอด สัมปันนี บุหลันดั้นเมฆ” ดรัลทวนชื่อขนมอย่างสนใจ โดยเฉพาะชื่อกลางที่เขาคุ้นหูเป็นพิเศษ และถ้าให้เขาคาดเดาชื่อขนมอีกสองประเภทอาจจะเป็นชื่อของลูกสาวอีกสองคนของบ้านนี้
“ชื่อของลูกๆ บ้านนี้ค่ะ หวานเหมือนชื่อกันทุกคน ว่าแต่คุณชอบขนมชนิดไหนที่สุดคะ” เรไรกลั้วหัวเราะ คนโตก็มากเล่ห์เพทุบาย คนกลางบ้าพลัง แต่ดันซื่อใสไม่ค่อยทันใคร ส่วนคนเล็ก...กล่าวถึงให้น้อยที่สุดจะดีกว่า
สามพี่น้องกลอกตากับความพยายามเต็มที่ในการขายลูกสาวออกนอกหน้าของมารดา ตรงข้ามกับบิดาที่ได้แต่ก้มหน้าทานข้าวเงียบๆ แต่แอบทำปากขมุบขมิบเออออไปกับลูกสาวคนกลางที่ส่ายหน้าดิกคัดค้านวาจาของมารดา
“ไปดีกว่าค่ะ เดี๋ยวไปถึงมืดค่ำคุณจะขับรถลำบาก” เห็นดรัลกำลังอ้าปากตอบ สัมปันนีก็รีบสอดปากไปขัดไว้ได้ทัน กระชับสายเป้บนหลัง หน้าตาแช่มชื่น ราวกับไม่รับรู้ว่าได้ขยี้ความฝันในการขายลูกสาวของมารดาให้ป่นปี้อย่างไร ส่วนพี่ของเธอกลับทำมือไล่เธอออกจากบ้าน และน้องสาวที่ขยับตัวอึดอัดตลอดเวลาที่ถูกนำมาวางขายก็ค่อยๆ ผ่อนร่างที่เกร็งลง และใช้สายตาไร้ความรู้สึกขับไล่เจ้านายของเธอ
“ผมไปก่อนนะครับ” ดรัลไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม ไม่คิดตอบคำถามที่คนถามได้แต่ทำหน้าเสียดายไล่หลัง พอแขกคนสำคัญไปคุณเรไรจึงได้แต่มองค้อนลูกทั้งสองกับสามี บ่นออกมาเสียงดัง “ขายใครไม่ออกกันอยู่แล้วเนี่ย ก็รู้อยู่ว่าเจ้าอาลัวชอบใคร”
“นวีนไม่ใช่แฟนอาลัวเขานะคะแม่ แม่ยังไม่เลิกเชียร์นวีนให้อาลัวอีกเหรอ” มัศกอดหยิบขนมบนโต๊ะมาทานต่อด้วยอาการโล่งอก
“นวีนก็ชอบอาลัว แม่ดูออก” เรไรไม่เห็นด้วยที่มัศกอดสันนิษฐาน และเชื่อสายตาของตัวเองมากกว่า
บุหลันหัวเราะเหอะ เท้าคางกับแขนที่วางรองอยู่บนโต๊ะ พูดออกมาเสียงยานคาง “นวีนหัวช้าเกินไป”
“หัวช้า?”
มารดาได้แต่สงสัย ในขณะที่สามีกับลูกสาวคนโตยกจานขนมไปทานต่อหน้าทีวีไม่คิดสานต่อบทสนทนา และพอนางคิดจะคาดคั้นกับลูกสาวคนเล็กก็พบว่าอีกฝ่ายฟุบหลับกำลังส่งเสียงกรนเบาๆ ออกมาแล้ว
การมาถึงของใครบางคนทำให้หัวใจที่พยายามปิดให้สนิทสั่นสะเทือนโยกไหวอีกครั้ง นวีนลงมาจากรถสีหน้ายิ้มแย้มเป็นปกติ เหมือนทุกครั้งที่เขามาถึงบ้านของเธอ สัมปันนียิ้มตอบเขาไปอย่างมึนงง
“นึกว่าลืมว่าบ้านเราตั้งอยู่ที่ไหนแล้วนะ”
“ใครจะลืม” นวีนแก้ตัวเขินๆ รู้สึกผิดที่พักหลังเขามีเวลาให้สัมปันนีน้อยลงเรื่อยๆ จากที่เคยมานั่งทานข้าวที่บ้านนี้ทุกวัน ช่วงสามเดือนมานี้ถึงกับนับวันมาที่นี่ได้...สายตาของเขาจับจ้องไปยังกระเป๋าสัมภาระบนหลังของสัมปันนี “จะไปไหนเหรออาลัว”
“ทำงาน”
“นานไหม”
“ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็กลับมา” สัมปันนียิ้มให้ความมั่นใจตัวเอง อย่างไรการกลับมาครั้งนี้จะไม่แบกความเจ็บปวดในการแอบรักนวีนเต็มหัวใจกลับมาด้วยแน่ แต่ก่อนจะไปเธออยากถามบางสิ่งให้มั่นใจเสียก่อน จำต้องขอเวลานี้จากดรัล “ฉันขอคุยกับนวีนหน่อยได้ไหมคะ”
“อย่านานนักล่ะ ผมไม่ชอบรอใคร” ดรัลยืนพิงรถตัวเอง ไม่สะทกสะท้านกับการถูกมองว่ายุ่งเรื่องของคนอื่น
สัมปันนียิ้มแหยให้นวีน เดินเลี่ยงออกมาให้ห่างจากระยะทางที่ดรัลได้ยิน ท่าทางของสัมปันนีจริงจังจนเกร็ง เธอสูดหายใจเข้าปอดเฮือกแล้วเฮือกเล่า โชคดีที่นวีนไม่เร่งรัด แค่เลิกคิ้วมองเธออย่างพิศวง
“นวีน นายรักคุณชมจริงๆ ใช่ไหม”
นวีนมองคนถามอยากจะหยั่งให้ถึงหัวใจ แต่เมื่อพบดวงตาคู่เดิมที่มองเขาด้วยสายตาของคนที่ไม่เคยทรยศเขา ที่จริงเขาไม่เคยเห็นสายตาคู่ไหนที่หวังดี เป็นมิตร และมองเขาอย่างซื่อสัตย์ได้เท่ากับสายตาของสัมปันนีมาก่อน
“น่าจะนะ มีหลายๆ เรื่องที่เรากับเขาเข้ากันได้ดี”
“งั้นเหรอ” แล้วเธอล่ะ เข้ากับเขาไม่ได้ตรงไหน
สัมปันนีมีอาการเหม่อลอย ก่อนจะกะพริบตาเรียกสติ รวบรวมหัวใจที่ชอบกระจัดกระจายออกจากร่าง “เรายังไม่เคยอวยพรนายเลยนี่นะ...นวีน มีความรักที่ดี ทะนุถนอมคนที่รักให้มากๆ เราอยากเห็นนายมีความสุขอย่างนี้ตลอดไป” ใกล้เคียงกับคำบอกรัก...คือการอวยพรให้เขามีความสุข สิ่งเดียวที่คนเป็นเพื่อนจะทำได้
“มีอาลัวเป็นเพื่อนเราก็มีความสุขมากแล้ว”
หัวใจคล้ายมีเข็มเล็กๆ ทิ่มตำจนพรุน สัมปันนีฝืนยิ้มออกมา บังคับให้ตัวเองไม่ทุรนทุราย ไม่อิจฉาความรู้สึกที่ชมนาดได้รับจากนวีนอีก เธอไม่มีสิทธิ์คิดเกินเลยหรือคาดหวังในความรักครั้งนี้ เขาย้ำชัดมาเสมอว่า...เพื่อน แค่เป็นเพื่อนเขาก็มีความสุขดีแล้ว
“นวีนก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่เราเคยมีเหมือนกัน และมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงด้วย อย่าคิดมากเรื่องที่นวีนจะมีแฟนอีก เราเป็นเพื่อน ไม่ใช่แฟน นายไม่ต้องแคร์ความรู้สึกเรามากขนาดนั้นก็ได้” สัมปันนีเสยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา กอปรกับฟ้าเบื้องบนที่ค่อยๆ ถูกระบายด้วยสีกำมะหยี่ เป็นช่วงเวลาที่อำพรางแววตาวูบไหว และเศร้าของเธอได้ดี
“ไปก่อนนะนวีน”
“ไปนานไหม”
“ไม่นานหรอก” หญิงสาวหมุนกายกลับมายังรถของดรัล ทุกย่างก้าวที่ถอยห่างจากนวีนเต็มไปด้วยความทรมาน เธอไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองเขา และมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมรัก เต็มไปด้วยความภูมิใจอย่างที่เคยทำ ทุกอย่างจะต้องหยุดลง
“อยากร้องไห้ไหม” ดรัลกางแขนออกกว้าง ชูแขนเสื้อต่างผ้าเช็ดหน้าให้เธอ
สัมปันนีเชิดคอขึ้น ดวงตารื้นน้ำจางๆ แต่ไม่มีของเหลวเล็ดรอดออกมาประจานความรู้สึกย่ำแย่ในใจ ท่าทางดื้อรั้นที่กำลังต่อสู้กับความอ่อนแอในใจของตัวเองถูกใจคนมองที่ค่อยๆ ลดแขนตัวเองลงแนบลำตัว เปิดประตูข้างคนขับให้หญิงสาวได้ก้าวเข้าไปนั่ง คนได้รับเกียรติพิเศษนี้มองเขาอย่างประหลาดใจ
“ใจดีจังเลยนะคะ”
“ผมกลัวรองเท้าคุณบินต่างหาก”
ร่องรอยประหลาดใจหายวับ เหลือเพียงอาการหดคอ และหลบตาอย่างคนมีชนักติดหลัง ดรัลส่ายหน้าให้กับอาการของสัมปันนี พอเขาจะเดินอ้อมรถไปฝั่งตัวเองก็พบนวีนยืนมองอยู่ เขาก้มศีรษะให้กับนวีนเป็นการทักทาย ก่อนจะเข้ามาในรถ รีบพาคนหัวใจย่ำแย่ที่นั่งเงียบอย่างเดียวจากมาให้ไกล และห่างพอจนมองคนทำร้ายจิตใจผ่านกระจกมองข้างไม่ได้อีก
“รู้ไหมว่าน้ำตามันมีประโยชน์อยู่อย่าง”
“อะไรคะ” น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ
“น้ำตาจะล้างตาให้สะอาด เราจะเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้น”
ดรัลไม่ต้องหันไปมอง เสียงสะอื้นของคนนั่งข้างๆ ก็ทำให้รู้ว่าน้ำตากำลังทำหน้าที่ล้างตาของใครบางคนอยู่...
“ทำไมคุณถึงช่วยฉันคะ” น้ำเสียงขึ้นจมูกถามด้วยความสงสัย ถึงนิสัยของดรัลจะไม่น่าคบหา แต่หลายสิ่งที่เขาช่วยเหลือเธอตั้งแต่วันแรกที่พบกันก็ทำให้รู้ว่าเขาไม่ใช่คนแย่อะไร เขามีสิทธิ์จะมองเลยผ่านเธอ ทำเป็นมองไม่เห็นน้ำตาของคนผิดหวัง แต่เขาก็ยังยื่นมือมาช่วย
“พ่อผมเขาเอ็นดูคุณ”
“ขอความจริงได้ไหมคะ ถึงลุงดิเรกจะเอ็นดูฉัน แต่ท่านก็คงไม่ได้ขอให้คุณเป็นธุระมาจัดการชีวิตฉันขนาดนี้”
ดรัลถอนหายใจให้กับคนอยากรู้ ไม่ยอมปริปากบอกเหตุผลที่แท้จริง ที่ว่าทำไมจู่ๆ เขาจึงถูกพ่อเตะส่งมายังออฟฟิศในกรุงเทพฯ แทนการทำงานอยู่ในอาณาจักรสวนกล้วยไม้ที่ต่างจังหวัด
……………………………………………………
คุณ ปอกะเจา นวีนจะทำยังไงกับความรู้สึกของตัวเองนะคะ เหมือนจะรู้ตัว แต่ก็ไม่รู้ตัว
คุณ konhin ดรัลจะเป็นคนที่ดีกว่านวีนหรือเปล่า ต้องรอลุ้นกันต่อไปนะคะ
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ นางเอกเรื่องนี้ว่าซื่อแล้ว ยังมีคนซื่อกว่านางเอกอีก ฮา
คุณ kaelek พี่นางเอกชื่อมัศกอด (มัด-กอด) เป็นชื่อขนมไทยค่ะ บทนี้รู้ที่มาของชื่อนางเอกกับน้องด้วยเลย ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า ขอบคุณที่กดถูกใจด้วยค่ะ อ่านแล้วรู้สึกยังบอกกันได้นะคะ ::D
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ส.ค. 2558, 09:46:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ส.ค. 2558, 09:49:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 1427
<< บทที่ 4 : ถอนขนลูกเป็ด | บทที่ 6 : เปลี่ยนจากอาลัวเป็นสัมปันนี >> |
konhin 3 ส.ค. 2558, 11:23:28 น.
ชอบน้องนางเอก หึๆๆ น่ารักมองคนออก
ชอบน้องนางเอก หึๆๆ น่ารักมองคนออก
ปอกะเจา 3 ส.ค. 2558, 12:48:15 น.
เสียดาย บอสไม่น่าโดนสัมปันนีเบรกเลย อยากรู้ / บุหลันดูนิ่งๆ แต่มองอะไรได้ชัดเจนมาก นวีนเอ๋ย หมดโอกาสแล้วล่ะลูก รู้ตัวหลังจากนี้ก็คงสายไปแล้ว
เสียดาย บอสไม่น่าโดนสัมปันนีเบรกเลย อยากรู้ / บุหลันดูนิ่งๆ แต่มองอะไรได้ชัดเจนมาก นวีนเอ๋ย หมดโอกาสแล้วล่ะลูก รู้ตัวหลังจากนี้ก็คงสายไปแล้ว
ปรางขวัญ 3 ส.ค. 2558, 12:53:28 น.
สนุกดีค่ะ มายกมือขอเป็นแฟนคลับด้วยคนค่ะ
สนุกดีค่ะ มายกมือขอเป็นแฟนคลับด้วยคนค่ะ
ปิ่นนลิน 3 ส.ค. 2558, 16:07:13 น.
อ่านไปหิวอาลัวไป
อ่านไปหิวอาลัวไป
นักอ่านเหนียวหนึบ 3 ส.ค. 2558, 21:36:34 น.
อยากให้สองพี่น้องมีคู่ด้วยยยยยย หามาให้โหน่ยยยยย กิกิกิ
อยากให้สองพี่น้องมีคู่ด้วยยยยยย หามาให้โหน่ยยยยย กิกิกิ