อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด
ตอน: บทที่ 7 : อาการปกติธรรมดา(?)
บทที่ 7
ห้องพักขนาดสี่คูณห้าเมตรมีเตียงหลังใหญ่ขนาดสองคนนอนตั้งอยู่ตรงกลาง เยื้องขอบเตียงมาทางด้านซ้ายเป็นบานกระจกใสขนาดสูงเท่าคนเห็นวิวของโดมปลูกกล้วยไม้ด้านนอกได้เต็มตา บนเพดานเหนือเตียงเก็บมุ้งไว้อย่างเรียบร้อย ด้านขวาของเตียงมีห้องน้ำดูโอ่โถงสบาย สัมปันนีสำรวจห้องกว้างที่ดิเรกแนะนำว่าเป็นห้องของดรัลอย่างถูกใจ เครื่องเรือนไม้ทุกชิ้นขัดเงาอย่างดี
ผ้าสะอาดเช็ดลงบนผมเปียกหมาดหลังจากสระเรียบร้อย สายฝนที่ซัดใส่ร่างร่วมสิบนาทีทำให้ทั้งเนื้อตัวรวมถึงกระเป๋าเสื้อผ้าชุ่มฉ่ำจนต้องเอาไปซักใหม่ทั้งหมด ส่วนตัวเธอก็อาบน้ำใหม่ สวมเสื้อผ้าของช่อมาลีไปก่อน
สัมปันนีมองเสื้อลายดอกสีจัดจ้านกับกางเกงคลุมเข่าที่เคลื่อนไหวได้สะดวกสบายดีแล้วจึงทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน
“โอ๊ย!” เพราะทิ้งน้ำหนักร่างลงไม่ดูตาม้าตาเรือจึงเผลอทับแผลถลอกที่มีอยู่ตามแขนขาไปหมด ตอนอาบน้ำเธอได้แต่กัดฟันทนอาการแสบพวกนี้มาแล้วครั้ง จะนอนก็ยังลืมที่จะลงท่าให้ดีๆ
ประตูห้องเปิดและงับปิดคล้อยหลังเสียงร้องของเธอไม่ถึงนาที สัมปันนีนอนคว่ำหน้านิ่ง กางแขนกางขาเต็มที่นอน ไม่ยอมให้คนที่เข้ามาใหม่ได้มีที่นอนด้านบนนี้เด็ดขาด
“มาทายาก่อนสิ แผลเต็มตัวอาลัวเลยนะ”
ขนลุก...สัมปันนีแทบปิดหูไม่ให้ได้ยินเสียงเข้มๆ เรียกเธอเสียงอ่อนอย่างนี้
หญิงสาวพยายามหยัดกายให้แขนขาสัมผัสผ้าบนเตียงน้อยที่สุด หน้าตายังไม่คลายความหงุดหงิดที่ถูกอุ้มขึ้นมาบนบ้านให้อับอายคนในบ้านไปทั่ว ยังไม่ทันได้ฟังคำอธิบายถึงบทละครที่เขากับพ่อเขาช่วยกันเขียนขึ้นมา เธอก็โดนจับยัดมาที่ห้องนี้ให้อาบน้ำเปลี่ยนชุดเสียใหม่
ท่าทางของเธอคงทุลักทุเลพอตัว มือมั่นคงของดรัลจึงมาจับไหล่ แล้วประคองเธอนั่งบนที่นอนให้อย่างเบามือ ห่างจากเธอนั่งไปไม่ถึงช่วงตัวมีกล่องยาที่เขาเอาเข้ามาด้วยวางอยู่
ดรัลถือวิสาสะเข้ามานั่งบนที่นอนตรงหน้าสัมปันนี เขารู้ทันว่าอีกฝ่ายจะเขยิบหนีจึงรั้งข้อมือไว้ แล้วดึงให้กระเถิบมาชิดเขามากขึ้นเสียเลย มือเปิดกล่องหยิบสำลีมา ก้มหน้าเหนือกล่องถามคนเจ็บ “จะเอาน้ำเกลือหรือแอลกอฮอล์ดี เราว่า...” พอเขาเงยหน้าขึ้นมาพบหน้าปูเลี่ยนของคนฟังก็ได้แต่ก้มหน้า และกลั้นยิ้มขำไว้ “แอลกอฮอล์เนอะ”
“น้ำเกลือ!” สัมปันนีมีสติเถียงกลับอย่างเร็ว เจอคนน่าขนลุก ยังจะเจอน้ำยาล้างแผลแสบถึงทรวงอีกเหรอ แผลเธอแค่ถลอกไม่ใช่แผลฉกรรจ์อะไร
“เราว่า...”
มือนุ่มยกขึ้นปิดปากคนที่กำลังทำขนหู ขนคอเธอขนลุก หน้าตาคนฟังพะอืดพะอมจนรับแทบไม่ไหวอีกต่อไป
“ขอร้อง เลิกแทนตัวเองว่าเราเถอะค่ะ หน้าคุณเข้มจะตาย เสียงก็ห้าวแข็ง มาเราอย่างโน้นอย่างนี้ ฉันสยองหู”
รอจนอีกฝ่ายหุบปากสนิทไม่พูดอะไรค้าน สัมปันนีจึงค่อยๆ หดมือลง ดวงตายังหวาดระแวง และไม่วางใจ พอตั้งใจคิดแย่งสำลี และน้ำเกลือมาทำแผลให้ตัวเอง ดรัลก็ยืดสุดแขนไปทางด้านหลัง ปล่อยให้ร่างสูงฮึดฮัด หน้าตาไม่สบอารมณ์
“ทำเองให้ลำบากทำไม มีมือผมทำให้สบายกว่าเยอะ ‘ผู้ชายอ่อนโยน’ ของอาลัวก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน” ปรับสรรพนามแทนตัวให้ดูน่าขนลุกน้อยลง คนฟังจะได้ไม่ทำหน้าอยากอาเจียนใส่เขาตลอดเวลาอีก
“โอ๊ย!” สัมปันนีร้องลั่นกับการกดสำลีที่ชุบน้ำเกลือมาล้างแผลตรงหัวเข่าให้ก็ยังลงแรงเต็มมือจนเธอแทบจะยันท้องบุรุษพยาบาลจำเป็น
“นี่เบามือแล้วนะ”
หน้าตาใสซื่อแต่มือหนัก...หญิงสาวชักลืมเลือนว่าคนตรงหน้าเป็นถึงเจ้านายของตัวเองไปแล้ว เขามีแต่ทำเรื่องให้เธอไม่สบอารมณ์เสมอ หลายเรื่องที่ควรเล่าก็ชักช้าพิรี้พิไร จะให้มหรสพมาเปิดงานก่อนหรือไง
“คุณจะเล่าเรื่องของคุณให้ฟังได้หรือยัง จับฉันมาเล่นจำอวดด้วยแล้วนี่”
ดรัลหัวเราะเบาๆ ท่าทีของเขาผ่อนคลาย ลดความเย็นชาที่ชอบแผ่ใส่คนรอบข้างตลอดเวลาไปได้หลายส่วน มือของเขายังคงเช็ดแผลตามแขนบอบบาง ปากจึงเริ่มเล่า “ปลายสัปดาห์หน้าช่อจะแต่งงาน แล้วเราจะมีงานแสดงและขายกล้วยไม้ที่ตัวจังหวัด ผมเลยให้คุณมาช่วย ช่อเขาจะได้ไปดูแลงานแต่งได้เต็มที่”
“ทำไมต้องโกหกพวกเขาเรื่องฉันเป็นแฟนคุณ ไหนจะเรื่องวันลาของฉัน”
แผลถลอกตามตัวเริ่มใส่ยาเบตาดีนที่มีฤทธิ์แสบและทำให้แผลแห้งตึง ถึงจะชวนดรัลคุยเพื่อจะได้ไม่จดจ่อกับแผลแล้วเธอก็ยังสูดปากด้วยความแสบ ยาว่าแสบเจอฤทธิ์มือหนักๆ เข้าไปอีก มีแต่จะเพิ่มอาการช้ำในให้มากขึ้น
ชายหนุ่มทำเป็นมองไม่เห็นอาการแสบของสัมปันนี “ผมกับช่อรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ผมเคยชอบเขา แต่ยังไม่เคยคบเป็นแฟน แม่ของช่อ กับพ่อของผมก็แต่งงานกันตั้งแต่สี่ปีที่แล้วก่อน” ดรัลก้มมองมือที่แตะหลังมือเขาไว้อย่างนุ่มนวล หน้าตาตั้งใจฟังเต็มที่ ไม่มีอาการดื้อรั้นอีก “ผมไม่อยากเดินหน้า ช่อเองก็เลือกที่จะคบกับคนอื่น เราต่างจบความสัมพันธ์ที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยกันทั้งคู่ ให้เหลือแค่พี่น้องที่ดีต่อกัน”
“คุณยังเจ็บปวดกับความรักครั้งนี้อยู่ใช่ไหม” เธอยังจำสายตาของช่อมาลีตอนที่ได้ยินลุงดิเรกแนะนำว่าเธอเป็นแฟนลูกชายเขาได้ เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าสายตาของแต่งงานคือการอาลัยอาวรณ์คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าบ่าวของตัวเอง
“แทบไม่เหลืออะไรค้างคาใจผมแล้ว”
แปลว่ายังเหลือ...สัมปันนีเอนหลังพิงหมอนนุ่ม ปล่อยให้ดรัลได้ทำแผลตามตัวเธอต่อไป “สิ่งที่เหลือในใจของคุณตอนนี้คืออะไรล่ะคะ เกี่ยวกับการให้ฉันมาเป็นแฟนคุณปลอมๆ ด้วยใช่ไหม”
“ใช่...ผมไม่มั่นใจว่าการแต่งงานของช่อครั้งนี้เกิดจากการประชดผมหรือเปล่า ผมไม่อยากให้ครอบครัวที่ช่อจะมีเกิดขึ้นเพราะเหตุผลนั้น ผมถึงอยากพิสูจน์ให้แน่ใจ”
“ถ้าเป็นไปตามคุณคาดเดาล่ะคะ คุณช่อยังไม่ลืมคุณ”
“ผมจะทำให้เขารู้ว่าในหัวใจผมไม่เหลือที่พอให้เขาอีก ส่วนเขาจะแต่งงานหรือไม่ ผมจะไม่บังคับเขา”
ท่าทีเด็ดขาด ไม่เสียดายคนที่ตนเคยบอกว่าชอบ ทำให้สัมปันนีหวนนึกถึงตัวเอง ในอนาคตเธอจะเป็นแบบดรัลที่เก่งกล้าพอที่จะลืมความรักเก่า หรือจะเป็นอย่างช่อมาลีที่อาลัยรักไม่ลืม แน่นอนว่าหัวใจของเธอปรารถนาอย่างแรก แต่มันไม่ง่ายเลยสักนิดกับการเป็นให้ได้อย่างดรัล คนส่วนใหญ่มักตกอยู่ในวังวนเก่าๆ จนไม่ยอมเดินออกมา...เหมือนเธอในตอนนี้
“คุณเก่งมากเลยค่ะ”
“ตรรกะของคุณคือคนที่ลืมได้ก่อนคือผู้ชนะใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นคุณก็ทำให้ผมดูด้วยแล้วกัน ลืมนวีนชั่วคราว แล้วใช้สายตาคู่นี้ของคุณมองผมเหมือนที่คนเป็นแฟนมอง ในใจคุณจะนึกว่าผมเป็นนวีนก็ได้ ผมไม่ถือสาหรอก ขอแค่ความแนบเนียน จนช่อจับพิรุธไม่ได้”
“ไม่ใช่การลืมหรอกค่ะ แต่มันคือการยอมรับในสถานะนั้นๆ ได้โดยไม่ทุรนทุรายอีก” สัมปันนีเหม่อ ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รับรู้ถึงการกระทำของดรัลที่ทายาบนแผลให้จนเสร็จ ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับอาการเหม่อลอยที่ช่วงหนึ่งเขาก็เคยเป็นอย่างเข้าใจ เรื่องนิดๆ หน่อยๆ ที่เข้ามาสะกิดให้นึกถึงความเจ็บปวด มักฉุดตัวเราลงสู่ห้วงเหวนั้นได้อย่างรวดเร็วเสมอ
ลมหายใจอุ่นร้องอังบริเวณหน้าผากดึงสติที่ลอยหายไปของหญิงสาวกลับสู่ความจริง กลิ่นกายสะอาด และแป้งหอมแตะอยู่ปลายจมูก ริมฝีปากของดรัลวางนิ่งอยู่ตรงหน้าผากเธออย่างนุ่มนวล ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้างอย่างตกใจ และคาดไม่ถึง พอตั้งใจจะกระเถิบหนี ก็พบว่าหลังของตัวเองติดกับพนักเตียงแล้ว
ดรัลถอนหน้าออกอย่างอ้อยอิ่ง เปลี่ยนมากระซิบข้างหูให้คนฟังเกิดอาการร้อนตัว “ถ้าคุณเหม่อคิดถึงนวีนต่อหน้าผมอีก ผมจะหาวิธีใหม่ๆ มาใช้เรียกสติของคุณ สนใจไหม”
“พวกเราเหมือนคุยกันเข้าใจแล้ว ว่าฉันกับคุณไม่ได้คบกันจริงๆ”
“ทุกอย่างต้องสมจริง ผมอุตส่าห์ยอมเสียสละตัว ให้คุณมองผมเป็นนวีน คุณยังเมินนวีนคนนี้ไปได้เลย” เขากำลังสนุกกับการแกล้งผู้หญิงอารมณ์แปรปรวน การทำให้สีหน้าคนสับสนเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวซีด แสดงออกมาต่อวินาทีอย่างนี้ช่วยให้เขาครื้นเครงไม่น้อย
“ก็คุณเป็นนวีนที่ไหนเล่า”
“พยายามเป็น อาลัวก็ไม่ชอบ” ดรัลกลั้นขำกับสีหน้ารับไม่ได้ของสัมปันนี ถอยห่างออกมาไม่ให้หญิงสาวอึดอัด “พรุ่งนี้ผมจะไปทำงานตามปกติ คุณอยากให้ผมกลับมานอนที่นี่เป็นเพื่อนไหม”
ข้อเสนออันน่ายั่วยวนของเขาถูกปัดทิ้งไปอย่างไม่ใยดี หญิงสาวยิ้มแป้นที่รู้ว่าช่วงเวลาน่าอึดอัดนี่กำลังจะหมดลง เธอนึกพลางถูรอยสัมผัสตรงหน้าผากออกไปด้วย นึกขุ่นเคืองในใจเล็กๆ ที่รอยจูบตรงหน้าผากแรกของเธอถึงไม่ใช่นวีน ที่จริงแม้แต่กอดแนบแน่นระหว่างเธอกับนวีนก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้งเดียว
“เดี๋ยวฉันจะนอนข้างล่าง คุณนอนบนนี้ไปแล้วกัน” คนเพิ่งถูกขโมยจุ๊บหน้าผากกล่าวออกมาอย่างลื่นไหล เธอไม่ได้ระแวงอะไรเพราะไม่เห็นรอยพิศวาสในตาของดรัล อีกทั้งภาพวันนั้นที่เขาเคยทำกับหนุ่มหน้าสวยในออฟฟิศก็ย้ำเตือนว่าบางทีคนตรงหน้าถึงเป็นนวีนไม่ได้ ก็เป็นพี่สาวร่างยักษ์ของเธอได้ อาการอกหักอาจจะทำให้คนเข็ดขยาดและรสนิยมแปลกไป เธอเคยได้ยินมา
“ผมนอนข้างล่างเอง” ดรัลปั้นหน้าดุ จบทุกอย่างที่สัมปันนีจะเสนอมาให้ “พรุ่งนี้เช้าคุณทำข้าวกล่องให้ผมไปกินที่บริษัทด้วยสิ”
สัมปันนีตีหน้าเรียบสงบไม่หือไม่อือ แต่ไม่รู้ทำไมพอถึงตีห้าเธอก็ตื่นมาอัตโนมัติ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว ก็ยังเห็นว่าคนข้างเตียงหลับสนิทอยู่จึงค่อยๆ ย่องออกไปนอกห้องไม่อยากรบกวนการนอนหลับของเขา พบช่อมาลีที่บังเอิญตื่นมาเจอกันพอดี ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจออกมาพร้อมกันกันแน่
“ตื่นเช้าจังเลยค่ะคุณอาลัว”
“พี่เอื้องอยากให้ทำข้าวกล่องให้เขาไปทานที่บริษัทค่ะ” หลังจากเมื่อวานเธอเปียกกลับขึ้นมาบนบ้าน ดรัลกับลุงดิเรกก็ช่วยกันโกหกว่าเธอลืมของรีบไปเอาในรถ สัมปันนีไม่รู้หรอกว่าถูกรำเพยและช่อมาลีเพ่งเล็งอย่างไรบ้าง เธอรู้หน้าที่ตัวเองแล้วว่าต้องเล่นเป็นใคร และพยายามยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งนั้นอย่างไรให้ดี
“ฉันทำให้ดีไหมคะ ฉันรู้ว่าพี่เอื้องชอบทานอะไรบ้าง” ช่อมาลีอาสา ถึงการพูดจะไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่คนฟังกลับรู้สึกเหมือนตัวเองโดนกดให้ต่ำลงพิกล
“สอนฉันก็ได้ค่ะ ฉันจะได้ทำเป็น วันหลังพี่เอื้องอยากทานอะไร ฉันจะได้ทำให้เขาทานได้” รอยยิ้มเป็นมิตรของเธอกลายเป็นการประกาศศัตรูกับอีกฝ่ายแทน
“ฉันลืมไปว่ามีงานด่วนในโรงกล้วยไม้ต้องไปจัดการค่ะ”
ช่อมาลีลงจากบ้านไปไม่เหลียวกลับมามองสัมปันนีอีก ในขณะที่คนถูกทิ้งไว้กลางบ้านได้แต่ลอบกลอกตา และเริ่มรู้ชะตากรรมของตัวเองตลอดสัปดาห์นี้ว่าคงไม่ราบรื่นนัก หญิงสาวบีบนวดขมับตัวเอง หันรีหันขวางให้กับรอบด้านที่ยังมืดสนิท
“ห้องครัวอยู่ที่ไหนเนี่ย” เสียงบ่นของสัมปันนีหยุดลงเมื่อผู้ชายหน้าเข้มอ้าปากหาวกว้างออกมาจากในห้อง “คุณสอนฉันทำอาหารหน่อยสิ ฉันทำไม่เก่ง”
ดรัลหัวเราะเบาๆ พอเขาเข้ามาใกล้สัมปันนีจึงเริ่มนินทาเรื่องก่อนหน้า “เมื่อตะกี๊กิ๊กเก่าคุณเกทัพฉันเรื่องอาหารที่คุณชอบ ใครมันจะไปรู้ล่ะคะ ฝีมือทำอาหารฉันก็ไม่เอาไหน คุณเปลี่ยนใจทิ้งฉันตั้งแต่ตอนนี้ยังทันนะ” คนยังไม่ทันลงสนามสู้แต่คิดจะถอดใจจากเกมนี้แล้ว
“คุณควรฝึกเรียกผมว่าพี่เอื้องให้ชิน เหมือนตอนที่คุยกับช่อเขาซะ” ดรัลหัวเราะในลำคอเดินนำไปยังทิศของห้องครัวด้วยตัวเอง
สัมปันนียืนนิ่ง ปากเม้มแน่น อยากกรี๊ดดังๆ เป็นคนบ้าไร้สติ แต่เธอยังมีสติและวุฒิภาวะพอ จึงทำได้แค่แอบหงุดหงิดในใจที่โดนคุณเจ้านายกวนใส่แต่เช้ามืด...เขาได้ยินบทสนทนาของเธอกับช่อมาลีทั้งหมดยังเก๊กหน้าง่วงใส่อีก
ค่ำคืนอันเร่าร้อนจบลงเมื่อใกล้รุ่งสาง นวีนทอดมองร่างที่หลับสนิทของชมนาดด้วยรอยยิ้มจาง ผู้หญิงคนนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจเขาหลายๆ เรื่อง เธอไม่ชอบคนที่ก้าวนำตัวเอง ไม่ชอบคนที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ และยังไม่เคยปล่อยให้ใครที่ไม่ชอบหน้ามีความสุข
ชมนาดคือความร้อนแรง เปรียบเสมือนไฟร้อนๆ ที่ให้ทั้งความอบอุ่น และลวกผิวกายหากอยู่ใกล้โดยไม่ทันระวังตัว เขารู้จักกับชมนาดมาสองปี แต่กลับไม่เคยสนใจอีกฝ่ายมาก่อน กระทั่งคืนหนึ่งที่เขาไปเที่ยวแล้วเจอชมนาด เธอคือความแปลกใหม่สำหรับเขา
“วินกี่โมงแล้วคะ”
“เจ็ดโมงแล้ว เตรียมตัวอาบน้ำเถอะ”
ชมนาดปรือตามองนวีนอย่างยั่วยวน ยื่นตัวมาจุ๊บปากเขาก่อนจะถดกายกลับไปหลับตา “ขออีกห้านาทีนะวิน ตอนนี้ฉันหิวมากด้วย ขอไข่ดาวกับขนมปังทาเนยสักแผ่นนะคะ”
“ได้ครับ” นวีนจับปลายผ้าห่มที่ร่นไปอวดเรือนร่างของชมนาดขึ้นห่มให้อย่างนุ่มนวล จึงเดินออกไปยังบริเวณครัว เปิดตู้เย็นหยิบไข่ออกมาสองฟอง ตั้งกระทะ หลังจากนั้นจึงสาละวนกับการนำขนมปังใส่ไปในเครื่องปิ้ง ตอนน้ำมันกระเด็นใส่ผิวเนื้อตรงแขนเขาจึงเผลเบ้หน้า นึกถึงใครคนหนึ่งที่เคยเข้ามาในครัวนี้ ทั้งที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็น
‘มีคนแฮงก์ไม่ยอมไปทำงาน’ สัมปันนีบ่นทันทีที่เห็นสภาพของนวีนเดินตุปัดตุเป๋มาเปิดประตูห้องพักให้ กลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมาจากลมหายใจของอีกฝ่ายชัดเจน ‘ทำไมต้องดื่มหนักขนาดนี้’
‘อยู่ดีๆ ก็อยากเมา’ นวีนตอบเสียงเอื่อย ใช้สันมือตบศีรษะตัวเองอยู่หลายครั้งเรียกสติให้ตัวเอง
‘ดื่มอะไรอุ่นๆ ไหม’ ร่างสูงเดินไปทางครัว เช็คกาน้ำร้อนที่แห้งขอดจึงเปิดก๊อกน้ำกรองเทใส่กระติก และค้นหาซองชาซึ่งเหลือเป็นซองสุดท้ายพอดีมาชงให้เขาดื่มได้
‘ขอบคุณ’ คนแฮงก์ดื่มชาร้อนจนหมดแก้ว อาการค่อยดีขึ้น ภาพที่เห็นจึงมองได้ชัดเจน เขาเหลือบมองเวลาข้างฝา เข็มสั้นชี้ตรงเลขแปด และเข็มยาวชี้ตรงเลขหก ‘จะกลับยังไง ดึกแล้ว’
‘เรียกแท็กซี่ก็ได้’
‘แม่อาลัวรู้ด่าเราตาย ไม่ต้องกลับหรอกนอนที่นี่แหละ’ นวีนขดตัวไปบนโซฟา นอนหลับตา ไม่ถือสากับการมีสัมปันนีที่มาที่นี่บ่อยจนคุ้นหน้ากับยามข้างล่างดี เขารู้สึกได้ถึงผ้าห่มที่ค่อยๆ คลุมตัวเขาให้อุ่น ‘หิวข้าว ทำอะไรให้กินหน่อยสิ’ เขาบ่นอุบอิบเสียงท้องเรียกร้องหาอาหาร
‘ตื่นมาจะได้กินทันที’ สัมปันนีรับคำอย่างกระตือรือร้น
คนที่ควรจะหลับแอบยิ้ม หูแว่วได้ยินเสียงวุ่นวายภายในครัว รวมถึงเสียงโวยวายหลังจากน้ำมันกระเด็นใส่มือ และเสียงบ่นที่ว่าไข่ไหม้เกินไป
‘ทอดให้นวีนใหม่ดีกว่า ฟองนี้ไหม้ไปเก็บไว้กินเองแล้วกัน’
ความใส่ใจของสัมปันนีมักทำให้เขาเคยชินมาตลอด...
ออฟฟิศที่ไม่มีสัมปันนีก็เหมือนออฟฟิศที่เพิ่มความวุ่นวายกว่าปกติเป็นสองเท่า นวีนได้เรียนรู้หลังจากที่ปัญหาทุกอย่างที่ทุกคนโยนใส่สัมปันนีได้ตลอดเวลาไม่ได้รับการแก้ไข ตั้งเอกสารที่ต้องวิ่งวุ่น บัญชีที่ติดขัด หรือแม้แต่การบริการเล็กๆ น้อยๆ วานไปซื้อของ ซ่อมของนั่นนี่ก็ยังต้องลงมือแก้ไขด้วยตัวเองกันทั้งหมด
“เพื่อนวินทำฉันหัวหมุนมาก” ชมนาดบ่นอย่างไม่พอใจ ช่วงเวลาพักเที่ยงเธอยังมีเวลามาทานข้าวสั้นๆ กับนวีนเท่านั้น แล้วจึงต้องรีบกลับไปสะสางงานต่อ นวีนได้แต่ยิ้มให้กำลังใจ มองห้องอาหารที่เขาชอบมาทานพานนึกถึงสัมปันนีที่จะชอบมาเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหูเขาประจำ
“นั่งด้วยคนนะครับ”
นวีนมองเจ้านายที่พักหลังเขามักจะเห็นอีกฝ่ายในทุกที่ที่สัมปันนีอยู่เสมอ ในมือของเขาถือกล่องข้าวลายน่ารักมาวาง สีสันของข้าวผัดอเมริกันมีไส้กรอกเกรียมๆ กับไข่ดาวมีรอยไหม้ตามขอบอยู่ภายใน ดรัลใช้ช้อนพลาสติกตักทานอย่างไม่ถือสากับหน้าตาอาหารที่บ่งบอกความเป็นมือใหม่ของคนทำ
“คนที่บ้านทำให้ผมทาน”
“น่ารักดีนะครับ” นวีนก้มหน้าทานข้าวราดแกงง่ายๆ สองอย่างโปะบนข้าวที่เขาทานจนเบื่อไม่สนใจเรื่องรสชาติของมันอีกแล้ว
“ครับ...ตอนแรกเขาจะเอาพวกของที่ไหม้นี่ไปทานเอง ผมต้องรีบตักใส่กล่องเก็บมาทาน อยากให้เขาได้ทานของที่ดีกว่า”
สีหน้าคนพูดคล้ายเอ็นดูคนถูกพูดถึงเต็มเปี่ยม และจากแววตาที่ทอประกายอ่อนโยนทำให้นวีนรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่คืบคลานคล้ายเงาดำในใจ เมื่อเช้านี้เขาเพิ่งนึกถึงการกระทำใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ที่สัมปันนีทำให้เขา
‘ทอดให้นวีนใหม่ดีกว่า ฟองนี้ไหม้ไปเก็บไว้กินเองแล้วกัน’
ข้าวในปากแข็งขึ้นมาจนเขาเคี้ยวแทบไม่ออก สีหน้าของนวีนนิ่งไป กว่าเขาจะเค้นเสียงออกมาได้สำเร็จ คนตรงหน้าก็จัดการข้าวกล่องไปกว่าครึ่งแล้ว
“คุณดรัลส่งอาลัวไปทำงานที่ไหนเหรอครับ”
ดรัลยิ้มมุมปาก เห็นสีหน้ากังวล หัวคิ้วขมวดของนวีนก็รู้สิ่งที่อยู่ในหัวอีกฝ่ายได้ทันที สมกับเป็นเพื่อนของสัมปันนี ใบหน้าไม่เคยปิดบังความรู้สึกในใจได้เลย ชายหนุ่มจงใจพิรี้พิไรไม่ตอบ ทานอาหารที่ ‘คนที่บ้าน’ ตั้งใจทำตามที่เขาเคี่ยวเข็ญอย่างอร่อย ใบหน้าของสัมปันนีถึงจะไม่ได้เต็มใจอยากทำอาหารให้เขาทานนัก แต่เธอก็มีความพยายามในการเรียนรู้ให้เขาเห็น แม้ว่าจะทำมันออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เขากลับรู้สึกถึงความอร่อยที่ซ่อนอยู่
“ไม่ไกลมากหรอก”
คนทานข้าวไม่ลงวางช้อน หน้าตาจริงจัง “ผมไปเยี่ยมอาลัวบ้างได้ไหม”
“คุณเพิ่งห่างจากอาลัวเขาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงก็คิดถึงเขาแล้วเหรอ คุณสบายใจได้ ที่ที่อาลัวอยู่สบายกว่านั่งทำงานที่นี่แน่ๆ ผมไม่เอาเขาไปโขกสับหรือทำร้ายจิตใจหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
ความจริงบางอย่างจี้ใจนวีนอย่างจัง เขารู้สึกไม่วางใจที่เห็นดรัลทำท่าทางสบาย และสนิทสนมกับสัมปันนีถึงขนาดเรียกชื่อเล่นออกมาอย่างคล่องปาก ในขณะที่สัมปันนีไม่เคยเอ่ยปากว่าสนิทกับเจ้านายถึงขั้นนี้แล้วให้เขารู้
“คุณดรัลเห็นอาการผิดแปลกของอาลัวเขาบ้างไหมครับ” เขาห่วงความรู้สึกของ ‘เพื่อน’ ตั้งแต่เมื่อวานที่รู้ว่าสัมปันนีรู้ความจริงเรื่องเขากับชมนาด เขาจึงกังวลเร่งไปที่บ้านของสัมปันนี แต่กลับพบว่าฝ่ายนั้นกำลังไปทำงานนอกสถานที่ พร้อมคำถามแปลกๆ ถึงสัมปันนีจะยิ้มแย้มเหมือนเดิม แต่เขากลัวลึกๆ ว่าอีกฝ่ายจะเกิดอาการน้อยใจที่เขาให้ความสำคัญน้อยลง
ดรัลกดมุมปากลึก ดวงตากร้าวขึ้น เขาลอบสังเกตท่าทีลุกรนของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น อยากถามเหลือเกินว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกช้าว่าสัมปันนีเกิดอาการผิดปกติ และเพราะอะไรจึงมาถามหาสัมปันนีกับเขา ถ้านวีนใส่ใจอีกฝ่ายมากพอคงรู้ว่าในใจของสัมปันนีกำลังป่วยขนาดไหน โรครักไม่สมหวังเล่นงานจนเขาเหนื่อยไปแล้วหลายครั้ง
แต่นั่นก็ไม่ต่างจากความท้าทาย ครั้งหนึ่งเขาเคยพาตัวเองออกมาจากจุดที่เรียกว่าความเสียใจได้แล้ว ทำไมเขาจะพาผู้หญิงอ่อนแอ อารมณ์กำลังแปรปรวนเข้าใจยากอีกคนออกมาไม่ได้ คนๆ นั้นแรกพบเธอไม่ต่างจากผู้หญิงธรรมดาที่มักถูกลืมเลือน เธอจะกลืนไปกับทุกสิ่งอย่าง ไม่มีใครให้ความสำคัญ และไม่เด่นพอที่นวีนจะมองเห็นเป็นอื่น
พอเจอหลายครั้งเข้า คนๆ นี้กลับค่อยๆ เปลี่ยนความคิดเขาไป ผู้หญิงคนนี้เป็นคนใส่ใจความรู้สึกคนอื่น และจิตใจดี ถ้าเปลี่ยนจากสัมปันนีเป็นผู้หญิงอื่นที่กล้าได้กล้าเสีย และพุ่งชนทุกอุปสรรค การตัดสินใจหลบไปพักใจ และเลือกถอยออกมาจากความรักไม่สมหวังคงไม่เกิด คนๆ นั้นอาจเลือกทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง แย่งชิงความรักจากนวีนให้ได้ แต่สัมปันนี...ไม่ทำ ทั้งยังบอกว่าสิ่งที่เธอกำลังทำคือเพื่อนวีนและตัวเธอเอง
เขารู้ดีว่าห้วงทุกข์มันทรมานจิตใจขนาดไหน เขาในยามนี้ก็แค่อยากดึงคนๆ หนึ่งออกมาจากเงามืด และยิ้มสดใสได้อีกครั้ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ช่วยฟรีๆ เธอเองจำเป็นต้องช่วยเขาดึงช่อมาลีออกมาจากเงาความรักของเขาเช่นกัน
“ก็ปกติธรรมดาทั่วไปนะครับ” อาการปกติธรรมดาของคนอกหัก...ดรัลไม่โง่พอจะเผยความอ่อนแอที่สัมปันนีมีให้นวีนได้ล่วงรู้
“แล้ว...” นวีนมองกล่องข้าวที่ว่างเปล่าของดรัลอย่างสงสัย แต่ไม่ได้ถามออกไปเมื่อถูกดรัลมองมา “ผมไปทำงานก่อนนะครับ”
“เชิญครับ” ดรัลยิ้มเย็น เขาเห็นสายตาของนวีนที่จ้องกล่องข้าวอย่างมีคำถาม แต่ถ้าไม่ถามออกมาเขาก็จะไม่ตอบอะไรออกไป
...คนบางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกลัวความจริงตรงหน้ามากแค่ไหน
……………………………………..
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ นวีนไม่จริงจังกับความรัก หรือเพราะยังไม่รู้จักความรักจริงๆ กันแน่(ก็ไม่รู้)นะคะ ส่วนของนวีนจะค่อยๆ โผล่มาค่ะ คอยดูว่าตั้งแต่เริ่มเรื่องไปจนท้ายเขาจะเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนกัน
คุณ konhin นวีนตอนนี้เริ่มเป๋แล้ว มีง้างไม้รอไหมตีหัวไหมเอ่ย ฮา แต่เขายังมีอีกหลายๆ มุมที่ยังไม่เปิดเผยนะคะ รอดูกันไปว่าจะตีหัวลงไหม อิอิ เดี๋ยวเขาจะเตรียมกล่องยาไว้ปฐมพยาบาลให้นวีนเอง
คุณ ปอกะเจา อารมณ์ของอาลัวประมาณหนีเสือปะจระเข้จริงๆ ค่ะ มีผู้ชายตัวโตๆ คุมเข้มอยู่หน้าประตูใจ (เน่าเอง ฮา) บทนี้พ่อเสือมาจับเข่าขู่ เอ้ย คุยกับนวีนเลยนะคะ เรื่องนี้รวมแต่คนมีปัญหาหัวใจ สามเส้าไม่พอ ต้องสี่เส้า ฮา (อย่าไว้ใจเขา)
คุณ จ๊ะจ๋า ชื่อเรื่องขนมหวาน น่ากิน แต่ตัวเรื่องมีกลิ่นอายดราม่าไม่น้อยเลยนะคะ แต่...(จะเข้มปี๊ดแค่ช่วงแรก) หลังๆ จะมีความเฮฮาปาจิงโกะเพิ่มมากขึ้นค่ะ ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และกดถูกใจค่า มีอะไรอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะคะ ขอบคุณค่า ^^
ห้องพักขนาดสี่คูณห้าเมตรมีเตียงหลังใหญ่ขนาดสองคนนอนตั้งอยู่ตรงกลาง เยื้องขอบเตียงมาทางด้านซ้ายเป็นบานกระจกใสขนาดสูงเท่าคนเห็นวิวของโดมปลูกกล้วยไม้ด้านนอกได้เต็มตา บนเพดานเหนือเตียงเก็บมุ้งไว้อย่างเรียบร้อย ด้านขวาของเตียงมีห้องน้ำดูโอ่โถงสบาย สัมปันนีสำรวจห้องกว้างที่ดิเรกแนะนำว่าเป็นห้องของดรัลอย่างถูกใจ เครื่องเรือนไม้ทุกชิ้นขัดเงาอย่างดี
ผ้าสะอาดเช็ดลงบนผมเปียกหมาดหลังจากสระเรียบร้อย สายฝนที่ซัดใส่ร่างร่วมสิบนาทีทำให้ทั้งเนื้อตัวรวมถึงกระเป๋าเสื้อผ้าชุ่มฉ่ำจนต้องเอาไปซักใหม่ทั้งหมด ส่วนตัวเธอก็อาบน้ำใหม่ สวมเสื้อผ้าของช่อมาลีไปก่อน
สัมปันนีมองเสื้อลายดอกสีจัดจ้านกับกางเกงคลุมเข่าที่เคลื่อนไหวได้สะดวกสบายดีแล้วจึงทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน
“โอ๊ย!” เพราะทิ้งน้ำหนักร่างลงไม่ดูตาม้าตาเรือจึงเผลอทับแผลถลอกที่มีอยู่ตามแขนขาไปหมด ตอนอาบน้ำเธอได้แต่กัดฟันทนอาการแสบพวกนี้มาแล้วครั้ง จะนอนก็ยังลืมที่จะลงท่าให้ดีๆ
ประตูห้องเปิดและงับปิดคล้อยหลังเสียงร้องของเธอไม่ถึงนาที สัมปันนีนอนคว่ำหน้านิ่ง กางแขนกางขาเต็มที่นอน ไม่ยอมให้คนที่เข้ามาใหม่ได้มีที่นอนด้านบนนี้เด็ดขาด
“มาทายาก่อนสิ แผลเต็มตัวอาลัวเลยนะ”
ขนลุก...สัมปันนีแทบปิดหูไม่ให้ได้ยินเสียงเข้มๆ เรียกเธอเสียงอ่อนอย่างนี้
หญิงสาวพยายามหยัดกายให้แขนขาสัมผัสผ้าบนเตียงน้อยที่สุด หน้าตายังไม่คลายความหงุดหงิดที่ถูกอุ้มขึ้นมาบนบ้านให้อับอายคนในบ้านไปทั่ว ยังไม่ทันได้ฟังคำอธิบายถึงบทละครที่เขากับพ่อเขาช่วยกันเขียนขึ้นมา เธอก็โดนจับยัดมาที่ห้องนี้ให้อาบน้ำเปลี่ยนชุดเสียใหม่
ท่าทางของเธอคงทุลักทุเลพอตัว มือมั่นคงของดรัลจึงมาจับไหล่ แล้วประคองเธอนั่งบนที่นอนให้อย่างเบามือ ห่างจากเธอนั่งไปไม่ถึงช่วงตัวมีกล่องยาที่เขาเอาเข้ามาด้วยวางอยู่
ดรัลถือวิสาสะเข้ามานั่งบนที่นอนตรงหน้าสัมปันนี เขารู้ทันว่าอีกฝ่ายจะเขยิบหนีจึงรั้งข้อมือไว้ แล้วดึงให้กระเถิบมาชิดเขามากขึ้นเสียเลย มือเปิดกล่องหยิบสำลีมา ก้มหน้าเหนือกล่องถามคนเจ็บ “จะเอาน้ำเกลือหรือแอลกอฮอล์ดี เราว่า...” พอเขาเงยหน้าขึ้นมาพบหน้าปูเลี่ยนของคนฟังก็ได้แต่ก้มหน้า และกลั้นยิ้มขำไว้ “แอลกอฮอล์เนอะ”
“น้ำเกลือ!” สัมปันนีมีสติเถียงกลับอย่างเร็ว เจอคนน่าขนลุก ยังจะเจอน้ำยาล้างแผลแสบถึงทรวงอีกเหรอ แผลเธอแค่ถลอกไม่ใช่แผลฉกรรจ์อะไร
“เราว่า...”
มือนุ่มยกขึ้นปิดปากคนที่กำลังทำขนหู ขนคอเธอขนลุก หน้าตาคนฟังพะอืดพะอมจนรับแทบไม่ไหวอีกต่อไป
“ขอร้อง เลิกแทนตัวเองว่าเราเถอะค่ะ หน้าคุณเข้มจะตาย เสียงก็ห้าวแข็ง มาเราอย่างโน้นอย่างนี้ ฉันสยองหู”
รอจนอีกฝ่ายหุบปากสนิทไม่พูดอะไรค้าน สัมปันนีจึงค่อยๆ หดมือลง ดวงตายังหวาดระแวง และไม่วางใจ พอตั้งใจคิดแย่งสำลี และน้ำเกลือมาทำแผลให้ตัวเอง ดรัลก็ยืดสุดแขนไปทางด้านหลัง ปล่อยให้ร่างสูงฮึดฮัด หน้าตาไม่สบอารมณ์
“ทำเองให้ลำบากทำไม มีมือผมทำให้สบายกว่าเยอะ ‘ผู้ชายอ่อนโยน’ ของอาลัวก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน” ปรับสรรพนามแทนตัวให้ดูน่าขนลุกน้อยลง คนฟังจะได้ไม่ทำหน้าอยากอาเจียนใส่เขาตลอดเวลาอีก
“โอ๊ย!” สัมปันนีร้องลั่นกับการกดสำลีที่ชุบน้ำเกลือมาล้างแผลตรงหัวเข่าให้ก็ยังลงแรงเต็มมือจนเธอแทบจะยันท้องบุรุษพยาบาลจำเป็น
“นี่เบามือแล้วนะ”
หน้าตาใสซื่อแต่มือหนัก...หญิงสาวชักลืมเลือนว่าคนตรงหน้าเป็นถึงเจ้านายของตัวเองไปแล้ว เขามีแต่ทำเรื่องให้เธอไม่สบอารมณ์เสมอ หลายเรื่องที่ควรเล่าก็ชักช้าพิรี้พิไร จะให้มหรสพมาเปิดงานก่อนหรือไง
“คุณจะเล่าเรื่องของคุณให้ฟังได้หรือยัง จับฉันมาเล่นจำอวดด้วยแล้วนี่”
ดรัลหัวเราะเบาๆ ท่าทีของเขาผ่อนคลาย ลดความเย็นชาที่ชอบแผ่ใส่คนรอบข้างตลอดเวลาไปได้หลายส่วน มือของเขายังคงเช็ดแผลตามแขนบอบบาง ปากจึงเริ่มเล่า “ปลายสัปดาห์หน้าช่อจะแต่งงาน แล้วเราจะมีงานแสดงและขายกล้วยไม้ที่ตัวจังหวัด ผมเลยให้คุณมาช่วย ช่อเขาจะได้ไปดูแลงานแต่งได้เต็มที่”
“ทำไมต้องโกหกพวกเขาเรื่องฉันเป็นแฟนคุณ ไหนจะเรื่องวันลาของฉัน”
แผลถลอกตามตัวเริ่มใส่ยาเบตาดีนที่มีฤทธิ์แสบและทำให้แผลแห้งตึง ถึงจะชวนดรัลคุยเพื่อจะได้ไม่จดจ่อกับแผลแล้วเธอก็ยังสูดปากด้วยความแสบ ยาว่าแสบเจอฤทธิ์มือหนักๆ เข้าไปอีก มีแต่จะเพิ่มอาการช้ำในให้มากขึ้น
ชายหนุ่มทำเป็นมองไม่เห็นอาการแสบของสัมปันนี “ผมกับช่อรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ผมเคยชอบเขา แต่ยังไม่เคยคบเป็นแฟน แม่ของช่อ กับพ่อของผมก็แต่งงานกันตั้งแต่สี่ปีที่แล้วก่อน” ดรัลก้มมองมือที่แตะหลังมือเขาไว้อย่างนุ่มนวล หน้าตาตั้งใจฟังเต็มที่ ไม่มีอาการดื้อรั้นอีก “ผมไม่อยากเดินหน้า ช่อเองก็เลือกที่จะคบกับคนอื่น เราต่างจบความสัมพันธ์ที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยกันทั้งคู่ ให้เหลือแค่พี่น้องที่ดีต่อกัน”
“คุณยังเจ็บปวดกับความรักครั้งนี้อยู่ใช่ไหม” เธอยังจำสายตาของช่อมาลีตอนที่ได้ยินลุงดิเรกแนะนำว่าเธอเป็นแฟนลูกชายเขาได้ เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าสายตาของแต่งงานคือการอาลัยอาวรณ์คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าบ่าวของตัวเอง
“แทบไม่เหลืออะไรค้างคาใจผมแล้ว”
แปลว่ายังเหลือ...สัมปันนีเอนหลังพิงหมอนนุ่ม ปล่อยให้ดรัลได้ทำแผลตามตัวเธอต่อไป “สิ่งที่เหลือในใจของคุณตอนนี้คืออะไรล่ะคะ เกี่ยวกับการให้ฉันมาเป็นแฟนคุณปลอมๆ ด้วยใช่ไหม”
“ใช่...ผมไม่มั่นใจว่าการแต่งงานของช่อครั้งนี้เกิดจากการประชดผมหรือเปล่า ผมไม่อยากให้ครอบครัวที่ช่อจะมีเกิดขึ้นเพราะเหตุผลนั้น ผมถึงอยากพิสูจน์ให้แน่ใจ”
“ถ้าเป็นไปตามคุณคาดเดาล่ะคะ คุณช่อยังไม่ลืมคุณ”
“ผมจะทำให้เขารู้ว่าในหัวใจผมไม่เหลือที่พอให้เขาอีก ส่วนเขาจะแต่งงานหรือไม่ ผมจะไม่บังคับเขา”
ท่าทีเด็ดขาด ไม่เสียดายคนที่ตนเคยบอกว่าชอบ ทำให้สัมปันนีหวนนึกถึงตัวเอง ในอนาคตเธอจะเป็นแบบดรัลที่เก่งกล้าพอที่จะลืมความรักเก่า หรือจะเป็นอย่างช่อมาลีที่อาลัยรักไม่ลืม แน่นอนว่าหัวใจของเธอปรารถนาอย่างแรก แต่มันไม่ง่ายเลยสักนิดกับการเป็นให้ได้อย่างดรัล คนส่วนใหญ่มักตกอยู่ในวังวนเก่าๆ จนไม่ยอมเดินออกมา...เหมือนเธอในตอนนี้
“คุณเก่งมากเลยค่ะ”
“ตรรกะของคุณคือคนที่ลืมได้ก่อนคือผู้ชนะใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นคุณก็ทำให้ผมดูด้วยแล้วกัน ลืมนวีนชั่วคราว แล้วใช้สายตาคู่นี้ของคุณมองผมเหมือนที่คนเป็นแฟนมอง ในใจคุณจะนึกว่าผมเป็นนวีนก็ได้ ผมไม่ถือสาหรอก ขอแค่ความแนบเนียน จนช่อจับพิรุธไม่ได้”
“ไม่ใช่การลืมหรอกค่ะ แต่มันคือการยอมรับในสถานะนั้นๆ ได้โดยไม่ทุรนทุรายอีก” สัมปันนีเหม่อ ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รับรู้ถึงการกระทำของดรัลที่ทายาบนแผลให้จนเสร็จ ชายหนุ่มส่ายหน้าให้กับอาการเหม่อลอยที่ช่วงหนึ่งเขาก็เคยเป็นอย่างเข้าใจ เรื่องนิดๆ หน่อยๆ ที่เข้ามาสะกิดให้นึกถึงความเจ็บปวด มักฉุดตัวเราลงสู่ห้วงเหวนั้นได้อย่างรวดเร็วเสมอ
ลมหายใจอุ่นร้องอังบริเวณหน้าผากดึงสติที่ลอยหายไปของหญิงสาวกลับสู่ความจริง กลิ่นกายสะอาด และแป้งหอมแตะอยู่ปลายจมูก ริมฝีปากของดรัลวางนิ่งอยู่ตรงหน้าผากเธออย่างนุ่มนวล ดวงตาภายใต้กรอบแว่นเบิกกว้างอย่างตกใจ และคาดไม่ถึง พอตั้งใจจะกระเถิบหนี ก็พบว่าหลังของตัวเองติดกับพนักเตียงแล้ว
ดรัลถอนหน้าออกอย่างอ้อยอิ่ง เปลี่ยนมากระซิบข้างหูให้คนฟังเกิดอาการร้อนตัว “ถ้าคุณเหม่อคิดถึงนวีนต่อหน้าผมอีก ผมจะหาวิธีใหม่ๆ มาใช้เรียกสติของคุณ สนใจไหม”
“พวกเราเหมือนคุยกันเข้าใจแล้ว ว่าฉันกับคุณไม่ได้คบกันจริงๆ”
“ทุกอย่างต้องสมจริง ผมอุตส่าห์ยอมเสียสละตัว ให้คุณมองผมเป็นนวีน คุณยังเมินนวีนคนนี้ไปได้เลย” เขากำลังสนุกกับการแกล้งผู้หญิงอารมณ์แปรปรวน การทำให้สีหน้าคนสับสนเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวซีด แสดงออกมาต่อวินาทีอย่างนี้ช่วยให้เขาครื้นเครงไม่น้อย
“ก็คุณเป็นนวีนที่ไหนเล่า”
“พยายามเป็น อาลัวก็ไม่ชอบ” ดรัลกลั้นขำกับสีหน้ารับไม่ได้ของสัมปันนี ถอยห่างออกมาไม่ให้หญิงสาวอึดอัด “พรุ่งนี้ผมจะไปทำงานตามปกติ คุณอยากให้ผมกลับมานอนที่นี่เป็นเพื่อนไหม”
ข้อเสนออันน่ายั่วยวนของเขาถูกปัดทิ้งไปอย่างไม่ใยดี หญิงสาวยิ้มแป้นที่รู้ว่าช่วงเวลาน่าอึดอัดนี่กำลังจะหมดลง เธอนึกพลางถูรอยสัมผัสตรงหน้าผากออกไปด้วย นึกขุ่นเคืองในใจเล็กๆ ที่รอยจูบตรงหน้าผากแรกของเธอถึงไม่ใช่นวีน ที่จริงแม้แต่กอดแนบแน่นระหว่างเธอกับนวีนก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้งเดียว
“เดี๋ยวฉันจะนอนข้างล่าง คุณนอนบนนี้ไปแล้วกัน” คนเพิ่งถูกขโมยจุ๊บหน้าผากกล่าวออกมาอย่างลื่นไหล เธอไม่ได้ระแวงอะไรเพราะไม่เห็นรอยพิศวาสในตาของดรัล อีกทั้งภาพวันนั้นที่เขาเคยทำกับหนุ่มหน้าสวยในออฟฟิศก็ย้ำเตือนว่าบางทีคนตรงหน้าถึงเป็นนวีนไม่ได้ ก็เป็นพี่สาวร่างยักษ์ของเธอได้ อาการอกหักอาจจะทำให้คนเข็ดขยาดและรสนิยมแปลกไป เธอเคยได้ยินมา
“ผมนอนข้างล่างเอง” ดรัลปั้นหน้าดุ จบทุกอย่างที่สัมปันนีจะเสนอมาให้ “พรุ่งนี้เช้าคุณทำข้าวกล่องให้ผมไปกินที่บริษัทด้วยสิ”
สัมปันนีตีหน้าเรียบสงบไม่หือไม่อือ แต่ไม่รู้ทำไมพอถึงตีห้าเธอก็ตื่นมาอัตโนมัติ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว ก็ยังเห็นว่าคนข้างเตียงหลับสนิทอยู่จึงค่อยๆ ย่องออกไปนอกห้องไม่อยากรบกวนการนอนหลับของเขา พบช่อมาลีที่บังเอิญตื่นมาเจอกันพอดี ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจออกมาพร้อมกันกันแน่
“ตื่นเช้าจังเลยค่ะคุณอาลัว”
“พี่เอื้องอยากให้ทำข้าวกล่องให้เขาไปทานที่บริษัทค่ะ” หลังจากเมื่อวานเธอเปียกกลับขึ้นมาบนบ้าน ดรัลกับลุงดิเรกก็ช่วยกันโกหกว่าเธอลืมของรีบไปเอาในรถ สัมปันนีไม่รู้หรอกว่าถูกรำเพยและช่อมาลีเพ่งเล็งอย่างไรบ้าง เธอรู้หน้าที่ตัวเองแล้วว่าต้องเล่นเป็นใคร และพยายามยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งนั้นอย่างไรให้ดี
“ฉันทำให้ดีไหมคะ ฉันรู้ว่าพี่เอื้องชอบทานอะไรบ้าง” ช่อมาลีอาสา ถึงการพูดจะไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่คนฟังกลับรู้สึกเหมือนตัวเองโดนกดให้ต่ำลงพิกล
“สอนฉันก็ได้ค่ะ ฉันจะได้ทำเป็น วันหลังพี่เอื้องอยากทานอะไร ฉันจะได้ทำให้เขาทานได้” รอยยิ้มเป็นมิตรของเธอกลายเป็นการประกาศศัตรูกับอีกฝ่ายแทน
“ฉันลืมไปว่ามีงานด่วนในโรงกล้วยไม้ต้องไปจัดการค่ะ”
ช่อมาลีลงจากบ้านไปไม่เหลียวกลับมามองสัมปันนีอีก ในขณะที่คนถูกทิ้งไว้กลางบ้านได้แต่ลอบกลอกตา และเริ่มรู้ชะตากรรมของตัวเองตลอดสัปดาห์นี้ว่าคงไม่ราบรื่นนัก หญิงสาวบีบนวดขมับตัวเอง หันรีหันขวางให้กับรอบด้านที่ยังมืดสนิท
“ห้องครัวอยู่ที่ไหนเนี่ย” เสียงบ่นของสัมปันนีหยุดลงเมื่อผู้ชายหน้าเข้มอ้าปากหาวกว้างออกมาจากในห้อง “คุณสอนฉันทำอาหารหน่อยสิ ฉันทำไม่เก่ง”
ดรัลหัวเราะเบาๆ พอเขาเข้ามาใกล้สัมปันนีจึงเริ่มนินทาเรื่องก่อนหน้า “เมื่อตะกี๊กิ๊กเก่าคุณเกทัพฉันเรื่องอาหารที่คุณชอบ ใครมันจะไปรู้ล่ะคะ ฝีมือทำอาหารฉันก็ไม่เอาไหน คุณเปลี่ยนใจทิ้งฉันตั้งแต่ตอนนี้ยังทันนะ” คนยังไม่ทันลงสนามสู้แต่คิดจะถอดใจจากเกมนี้แล้ว
“คุณควรฝึกเรียกผมว่าพี่เอื้องให้ชิน เหมือนตอนที่คุยกับช่อเขาซะ” ดรัลหัวเราะในลำคอเดินนำไปยังทิศของห้องครัวด้วยตัวเอง
สัมปันนียืนนิ่ง ปากเม้มแน่น อยากกรี๊ดดังๆ เป็นคนบ้าไร้สติ แต่เธอยังมีสติและวุฒิภาวะพอ จึงทำได้แค่แอบหงุดหงิดในใจที่โดนคุณเจ้านายกวนใส่แต่เช้ามืด...เขาได้ยินบทสนทนาของเธอกับช่อมาลีทั้งหมดยังเก๊กหน้าง่วงใส่อีก
ค่ำคืนอันเร่าร้อนจบลงเมื่อใกล้รุ่งสาง นวีนทอดมองร่างที่หลับสนิทของชมนาดด้วยรอยยิ้มจาง ผู้หญิงคนนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจเขาหลายๆ เรื่อง เธอไม่ชอบคนที่ก้าวนำตัวเอง ไม่ชอบคนที่มีความคิดเป็นปฏิปักษ์ และยังไม่เคยปล่อยให้ใครที่ไม่ชอบหน้ามีความสุข
ชมนาดคือความร้อนแรง เปรียบเสมือนไฟร้อนๆ ที่ให้ทั้งความอบอุ่น และลวกผิวกายหากอยู่ใกล้โดยไม่ทันระวังตัว เขารู้จักกับชมนาดมาสองปี แต่กลับไม่เคยสนใจอีกฝ่ายมาก่อน กระทั่งคืนหนึ่งที่เขาไปเที่ยวแล้วเจอชมนาด เธอคือความแปลกใหม่สำหรับเขา
“วินกี่โมงแล้วคะ”
“เจ็ดโมงแล้ว เตรียมตัวอาบน้ำเถอะ”
ชมนาดปรือตามองนวีนอย่างยั่วยวน ยื่นตัวมาจุ๊บปากเขาก่อนจะถดกายกลับไปหลับตา “ขออีกห้านาทีนะวิน ตอนนี้ฉันหิวมากด้วย ขอไข่ดาวกับขนมปังทาเนยสักแผ่นนะคะ”
“ได้ครับ” นวีนจับปลายผ้าห่มที่ร่นไปอวดเรือนร่างของชมนาดขึ้นห่มให้อย่างนุ่มนวล จึงเดินออกไปยังบริเวณครัว เปิดตู้เย็นหยิบไข่ออกมาสองฟอง ตั้งกระทะ หลังจากนั้นจึงสาละวนกับการนำขนมปังใส่ไปในเครื่องปิ้ง ตอนน้ำมันกระเด็นใส่ผิวเนื้อตรงแขนเขาจึงเผลเบ้หน้า นึกถึงใครคนหนึ่งที่เคยเข้ามาในครัวนี้ ทั้งที่ทำอะไรไม่ค่อยเป็น
‘มีคนแฮงก์ไม่ยอมไปทำงาน’ สัมปันนีบ่นทันทีที่เห็นสภาพของนวีนเดินตุปัดตุเป๋มาเปิดประตูห้องพักให้ กลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมาจากลมหายใจของอีกฝ่ายชัดเจน ‘ทำไมต้องดื่มหนักขนาดนี้’
‘อยู่ดีๆ ก็อยากเมา’ นวีนตอบเสียงเอื่อย ใช้สันมือตบศีรษะตัวเองอยู่หลายครั้งเรียกสติให้ตัวเอง
‘ดื่มอะไรอุ่นๆ ไหม’ ร่างสูงเดินไปทางครัว เช็คกาน้ำร้อนที่แห้งขอดจึงเปิดก๊อกน้ำกรองเทใส่กระติก และค้นหาซองชาซึ่งเหลือเป็นซองสุดท้ายพอดีมาชงให้เขาดื่มได้
‘ขอบคุณ’ คนแฮงก์ดื่มชาร้อนจนหมดแก้ว อาการค่อยดีขึ้น ภาพที่เห็นจึงมองได้ชัดเจน เขาเหลือบมองเวลาข้างฝา เข็มสั้นชี้ตรงเลขแปด และเข็มยาวชี้ตรงเลขหก ‘จะกลับยังไง ดึกแล้ว’
‘เรียกแท็กซี่ก็ได้’
‘แม่อาลัวรู้ด่าเราตาย ไม่ต้องกลับหรอกนอนที่นี่แหละ’ นวีนขดตัวไปบนโซฟา นอนหลับตา ไม่ถือสากับการมีสัมปันนีที่มาที่นี่บ่อยจนคุ้นหน้ากับยามข้างล่างดี เขารู้สึกได้ถึงผ้าห่มที่ค่อยๆ คลุมตัวเขาให้อุ่น ‘หิวข้าว ทำอะไรให้กินหน่อยสิ’ เขาบ่นอุบอิบเสียงท้องเรียกร้องหาอาหาร
‘ตื่นมาจะได้กินทันที’ สัมปันนีรับคำอย่างกระตือรือร้น
คนที่ควรจะหลับแอบยิ้ม หูแว่วได้ยินเสียงวุ่นวายภายในครัว รวมถึงเสียงโวยวายหลังจากน้ำมันกระเด็นใส่มือ และเสียงบ่นที่ว่าไข่ไหม้เกินไป
‘ทอดให้นวีนใหม่ดีกว่า ฟองนี้ไหม้ไปเก็บไว้กินเองแล้วกัน’
ความใส่ใจของสัมปันนีมักทำให้เขาเคยชินมาตลอด...
ออฟฟิศที่ไม่มีสัมปันนีก็เหมือนออฟฟิศที่เพิ่มความวุ่นวายกว่าปกติเป็นสองเท่า นวีนได้เรียนรู้หลังจากที่ปัญหาทุกอย่างที่ทุกคนโยนใส่สัมปันนีได้ตลอดเวลาไม่ได้รับการแก้ไข ตั้งเอกสารที่ต้องวิ่งวุ่น บัญชีที่ติดขัด หรือแม้แต่การบริการเล็กๆ น้อยๆ วานไปซื้อของ ซ่อมของนั่นนี่ก็ยังต้องลงมือแก้ไขด้วยตัวเองกันทั้งหมด
“เพื่อนวินทำฉันหัวหมุนมาก” ชมนาดบ่นอย่างไม่พอใจ ช่วงเวลาพักเที่ยงเธอยังมีเวลามาทานข้าวสั้นๆ กับนวีนเท่านั้น แล้วจึงต้องรีบกลับไปสะสางงานต่อ นวีนได้แต่ยิ้มให้กำลังใจ มองห้องอาหารที่เขาชอบมาทานพานนึกถึงสัมปันนีที่จะชอบมาเจื้อยแจ้วอยู่ข้างหูเขาประจำ
“นั่งด้วยคนนะครับ”
นวีนมองเจ้านายที่พักหลังเขามักจะเห็นอีกฝ่ายในทุกที่ที่สัมปันนีอยู่เสมอ ในมือของเขาถือกล่องข้าวลายน่ารักมาวาง สีสันของข้าวผัดอเมริกันมีไส้กรอกเกรียมๆ กับไข่ดาวมีรอยไหม้ตามขอบอยู่ภายใน ดรัลใช้ช้อนพลาสติกตักทานอย่างไม่ถือสากับหน้าตาอาหารที่บ่งบอกความเป็นมือใหม่ของคนทำ
“คนที่บ้านทำให้ผมทาน”
“น่ารักดีนะครับ” นวีนก้มหน้าทานข้าวราดแกงง่ายๆ สองอย่างโปะบนข้าวที่เขาทานจนเบื่อไม่สนใจเรื่องรสชาติของมันอีกแล้ว
“ครับ...ตอนแรกเขาจะเอาพวกของที่ไหม้นี่ไปทานเอง ผมต้องรีบตักใส่กล่องเก็บมาทาน อยากให้เขาได้ทานของที่ดีกว่า”
สีหน้าคนพูดคล้ายเอ็นดูคนถูกพูดถึงเต็มเปี่ยม และจากแววตาที่ทอประกายอ่อนโยนทำให้นวีนรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่คืบคลานคล้ายเงาดำในใจ เมื่อเช้านี้เขาเพิ่งนึกถึงการกระทำใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ที่สัมปันนีทำให้เขา
‘ทอดให้นวีนใหม่ดีกว่า ฟองนี้ไหม้ไปเก็บไว้กินเองแล้วกัน’
ข้าวในปากแข็งขึ้นมาจนเขาเคี้ยวแทบไม่ออก สีหน้าของนวีนนิ่งไป กว่าเขาจะเค้นเสียงออกมาได้สำเร็จ คนตรงหน้าก็จัดการข้าวกล่องไปกว่าครึ่งแล้ว
“คุณดรัลส่งอาลัวไปทำงานที่ไหนเหรอครับ”
ดรัลยิ้มมุมปาก เห็นสีหน้ากังวล หัวคิ้วขมวดของนวีนก็รู้สิ่งที่อยู่ในหัวอีกฝ่ายได้ทันที สมกับเป็นเพื่อนของสัมปันนี ใบหน้าไม่เคยปิดบังความรู้สึกในใจได้เลย ชายหนุ่มจงใจพิรี้พิไรไม่ตอบ ทานอาหารที่ ‘คนที่บ้าน’ ตั้งใจทำตามที่เขาเคี่ยวเข็ญอย่างอร่อย ใบหน้าของสัมปันนีถึงจะไม่ได้เต็มใจอยากทำอาหารให้เขาทานนัก แต่เธอก็มีความพยายามในการเรียนรู้ให้เขาเห็น แม้ว่าจะทำมันออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เขากลับรู้สึกถึงความอร่อยที่ซ่อนอยู่
“ไม่ไกลมากหรอก”
คนทานข้าวไม่ลงวางช้อน หน้าตาจริงจัง “ผมไปเยี่ยมอาลัวบ้างได้ไหม”
“คุณเพิ่งห่างจากอาลัวเขาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงก็คิดถึงเขาแล้วเหรอ คุณสบายใจได้ ที่ที่อาลัวอยู่สบายกว่านั่งทำงานที่นี่แน่ๆ ผมไม่เอาเขาไปโขกสับหรือทำร้ายจิตใจหรอกครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
ความจริงบางอย่างจี้ใจนวีนอย่างจัง เขารู้สึกไม่วางใจที่เห็นดรัลทำท่าทางสบาย และสนิทสนมกับสัมปันนีถึงขนาดเรียกชื่อเล่นออกมาอย่างคล่องปาก ในขณะที่สัมปันนีไม่เคยเอ่ยปากว่าสนิทกับเจ้านายถึงขั้นนี้แล้วให้เขารู้
“คุณดรัลเห็นอาการผิดแปลกของอาลัวเขาบ้างไหมครับ” เขาห่วงความรู้สึกของ ‘เพื่อน’ ตั้งแต่เมื่อวานที่รู้ว่าสัมปันนีรู้ความจริงเรื่องเขากับชมนาด เขาจึงกังวลเร่งไปที่บ้านของสัมปันนี แต่กลับพบว่าฝ่ายนั้นกำลังไปทำงานนอกสถานที่ พร้อมคำถามแปลกๆ ถึงสัมปันนีจะยิ้มแย้มเหมือนเดิม แต่เขากลัวลึกๆ ว่าอีกฝ่ายจะเกิดอาการน้อยใจที่เขาให้ความสำคัญน้อยลง
ดรัลกดมุมปากลึก ดวงตากร้าวขึ้น เขาลอบสังเกตท่าทีลุกรนของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น อยากถามเหลือเกินว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกช้าว่าสัมปันนีเกิดอาการผิดปกติ และเพราะอะไรจึงมาถามหาสัมปันนีกับเขา ถ้านวีนใส่ใจอีกฝ่ายมากพอคงรู้ว่าในใจของสัมปันนีกำลังป่วยขนาดไหน โรครักไม่สมหวังเล่นงานจนเขาเหนื่อยไปแล้วหลายครั้ง
แต่นั่นก็ไม่ต่างจากความท้าทาย ครั้งหนึ่งเขาเคยพาตัวเองออกมาจากจุดที่เรียกว่าความเสียใจได้แล้ว ทำไมเขาจะพาผู้หญิงอ่อนแอ อารมณ์กำลังแปรปรวนเข้าใจยากอีกคนออกมาไม่ได้ คนๆ นั้นแรกพบเธอไม่ต่างจากผู้หญิงธรรมดาที่มักถูกลืมเลือน เธอจะกลืนไปกับทุกสิ่งอย่าง ไม่มีใครให้ความสำคัญ และไม่เด่นพอที่นวีนจะมองเห็นเป็นอื่น
พอเจอหลายครั้งเข้า คนๆ นี้กลับค่อยๆ เปลี่ยนความคิดเขาไป ผู้หญิงคนนี้เป็นคนใส่ใจความรู้สึกคนอื่น และจิตใจดี ถ้าเปลี่ยนจากสัมปันนีเป็นผู้หญิงอื่นที่กล้าได้กล้าเสีย และพุ่งชนทุกอุปสรรค การตัดสินใจหลบไปพักใจ และเลือกถอยออกมาจากความรักไม่สมหวังคงไม่เกิด คนๆ นั้นอาจเลือกทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง แย่งชิงความรักจากนวีนให้ได้ แต่สัมปันนี...ไม่ทำ ทั้งยังบอกว่าสิ่งที่เธอกำลังทำคือเพื่อนวีนและตัวเธอเอง
เขารู้ดีว่าห้วงทุกข์มันทรมานจิตใจขนาดไหน เขาในยามนี้ก็แค่อยากดึงคนๆ หนึ่งออกมาจากเงามืด และยิ้มสดใสได้อีกครั้ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ช่วยฟรีๆ เธอเองจำเป็นต้องช่วยเขาดึงช่อมาลีออกมาจากเงาความรักของเขาเช่นกัน
“ก็ปกติธรรมดาทั่วไปนะครับ” อาการปกติธรรมดาของคนอกหัก...ดรัลไม่โง่พอจะเผยความอ่อนแอที่สัมปันนีมีให้นวีนได้ล่วงรู้
“แล้ว...” นวีนมองกล่องข้าวที่ว่างเปล่าของดรัลอย่างสงสัย แต่ไม่ได้ถามออกไปเมื่อถูกดรัลมองมา “ผมไปทำงานก่อนนะครับ”
“เชิญครับ” ดรัลยิ้มเย็น เขาเห็นสายตาของนวีนที่จ้องกล่องข้าวอย่างมีคำถาม แต่ถ้าไม่ถามออกมาเขาก็จะไม่ตอบอะไรออกไป
...คนบางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกลัวความจริงตรงหน้ามากแค่ไหน
……………………………………..
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ นวีนไม่จริงจังกับความรัก หรือเพราะยังไม่รู้จักความรักจริงๆ กันแน่(ก็ไม่รู้)นะคะ ส่วนของนวีนจะค่อยๆ โผล่มาค่ะ คอยดูว่าตั้งแต่เริ่มเรื่องไปจนท้ายเขาจะเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนกัน
คุณ konhin นวีนตอนนี้เริ่มเป๋แล้ว มีง้างไม้รอไหมตีหัวไหมเอ่ย ฮา แต่เขายังมีอีกหลายๆ มุมที่ยังไม่เปิดเผยนะคะ รอดูกันไปว่าจะตีหัวลงไหม อิอิ เดี๋ยวเขาจะเตรียมกล่องยาไว้ปฐมพยาบาลให้นวีนเอง
คุณ ปอกะเจา อารมณ์ของอาลัวประมาณหนีเสือปะจระเข้จริงๆ ค่ะ มีผู้ชายตัวโตๆ คุมเข้มอยู่หน้าประตูใจ (เน่าเอง ฮา) บทนี้พ่อเสือมาจับเข่าขู่ เอ้ย คุยกับนวีนเลยนะคะ เรื่องนี้รวมแต่คนมีปัญหาหัวใจ สามเส้าไม่พอ ต้องสี่เส้า ฮา (อย่าไว้ใจเขา)
คุณ จ๊ะจ๋า ชื่อเรื่องขนมหวาน น่ากิน แต่ตัวเรื่องมีกลิ่นอายดราม่าไม่น้อยเลยนะคะ แต่...(จะเข้มปี๊ดแค่ช่วงแรก) หลังๆ จะมีความเฮฮาปาจิงโกะเพิ่มมากขึ้นค่ะ ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และกดถูกใจค่า มีอะไรอยากพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะคะ ขอบคุณค่า ^^
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ส.ค. 2558, 00:27:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ส.ค. 2558, 00:27:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 1706
<< บทที่ 6 : เปลี่ยนจากอาลัวเป็นสัมปันนี | บทที่ 8 : จุ้นจนได้เรื่อง >> |
konhin 5 ส.ค. 2558, 01:55:53 น.
ทั้งนวีน ทั้งช่อ เข้าข่ายหมาหวงก้างเลยอ่ะ คือแบบว่า ตัวเองมีคนใหม่แล้ว แต่ไม่อยากปล่อยอีกคนไป ดรัลเล่นกับอารมณ์คนได้แรงมาก กระแทกใจนวีนเลย หึๆๆ
ทั้งนวีน ทั้งช่อ เข้าข่ายหมาหวงก้างเลยอ่ะ คือแบบว่า ตัวเองมีคนใหม่แล้ว แต่ไม่อยากปล่อยอีกคนไป ดรัลเล่นกับอารมณ์คนได้แรงมาก กระแทกใจนวีนเลย หึๆๆ
Kim 5 ส.ค. 2558, 07:08:45 น.
สมน้ำหน้านวีน
สมน้ำหน้านวีน
Kim 5 ส.ค. 2558, 07:11:55 น.
ไม่รู้เป็นไร มันไม่ให้เราคอมเม้นท์ยาวๆ พิมพ์5รอบหาย5รอบ
ไม่รู้เป็นไร มันไม่ให้เราคอมเม้นท์ยาวๆ พิมพ์5รอบหาย5รอบ
Kim 5 ส.ค. 2558, 07:14:38 น.
ทั้งๆที่รู้ว่าอาลัวชอบก็ยังจะเล่นตัว พอเห็นเพื่อนจะมีแฟนก็กลัวจะเสียอาลัวไป จะเรียกว่าไม่รู้ตัวหรือเห็นแก่ตัวดี
ทั้งๆที่รู้ว่าอาลัวชอบก็ยังจะเล่นตัว พอเห็นเพื่อนจะมีแฟนก็กลัวจะเสียอาลัวไป จะเรียกว่าไม่รู้ตัวหรือเห็นแก่ตัวดี
ปอกะเจา 5 ส.ค. 2558, 08:38:14 น.
บอสจะดึงอาลัวออกหลุมเดิม มาลงหลุมรักบ่อใหม่ที่บอสขุดไว้อย่างดีใช่ไหม ฮิ้วววววว
บอสจะดึงอาลัวออกหลุมเดิม มาลงหลุมรักบ่อใหม่ที่บอสขุดไว้อย่างดีใช่ไหม ฮิ้วววววว
pretty 5 ส.ค. 2558, 10:29:23 น.
อาลัวสู้ๆ นะค๊าาาา เข้มแข็งๆ ฮึบๆ
อาลัวสู้ๆ นะค๊าาาา เข้มแข็งๆ ฮึบๆ
นักอ่านเหนียวหนึบ 5 ส.ค. 2558, 16:28:20 น.
เข้าข่ายที่ว่า คบคนเช่นไรย่อมเป็นเช่นนั้น
นวีนคบคนดีๆ อย่างอาลัว ยึดอาลัวเป็นแบบอย่างมันก็ดีอยู่แล้ว
จะมาคบยัยชมให้ตัวเองย่ำแย่ลงทำไม
ไข่ดาวไหม้หนึ่งฟองคนที่รักเรา เค้าจะเอาไปกินให้ ส่วนคนที่เรารัก เค้าจะไม่ห้ามถ้าเราจะกินเอง
โอ้ยยยยย พี่เอื้อยยยย น้องอ้ายว่า พี่เองก็ไม่ค่อยรู้ใจตัวเองเหมือนกันละนะ 5555
เข้าข่ายที่ว่า คบคนเช่นไรย่อมเป็นเช่นนั้น
นวีนคบคนดีๆ อย่างอาลัว ยึดอาลัวเป็นแบบอย่างมันก็ดีอยู่แล้ว
จะมาคบยัยชมให้ตัวเองย่ำแย่ลงทำไม
ไข่ดาวไหม้หนึ่งฟองคนที่รักเรา เค้าจะเอาไปกินให้ ส่วนคนที่เรารัก เค้าจะไม่ห้ามถ้าเราจะกินเอง
โอ้ยยยยย พี่เอื้อยยยย น้องอ้ายว่า พี่เองก็ไม่ค่อยรู้ใจตัวเองเหมือนกันละนะ 5555