อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด

ตอน: บทที่ 8 : จุ้นจนได้เรื่อง

บทที่ 8

ผู้หญิงแค้นเพราะรัก...น่ากลัวพิลึก

สัมปันนีไม่เคยรู้สึกถึงความแค้น แม้ตัวเธอจะไม่สมหวังในความรัก แต่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับผู้หญิงที่ชื่อช่อมาลี เธอไม่ได้เหมือนนางร้ายที่ด่าแว้ดๆ ปากตลาดตามละครทีวี หรือคิดแผนชั่วตลอดเวลา แต่ทุกสิ่งที่แผ่ออกมาจากร่างของช่อมาลีล้วนน่ากลัว ไอปฏิปักษ์ชัดเจน แม้ต่อหน้าจะยังยิ้มแย้ม แต่ก็แฝงความหมางเมิน ห่างเหินไว้

คนภายนอกอาจจะไม่รู้สึก แต่คนที่วิ่งรอกโดนสั่งให้ไปประสานงานคนดูแลกล้วยไม้ เดี๋ยววิ่งไปทางแล็บ หรือไปติดต่อกับผู้จัดการของสวนกล้วยไม้ตลอดทั้งวี่วันเพื่อเตรียมไปดูแลงานกล้วยไม้ที่จะจัดในตัวจังหวัดวันพรุ่งนี้เหนื่อยสายตัวแทบขาด เป็นแรงงานชั้นทาสที่ช่อมาลีใช้เหตุผลว่า ‘เพื่อความสมบูรณ์แบบของงาน ทุกอย่างฝากความหวังไว้ที่คุณอาลัวนะคะ’

คำพูดคำจาก็คล้ายคลึงราวกับดรัลก็อปปี้สอง ถ้าพูดว่าพวกเขาเคยแอบกิ๊กกั๊กยังไม่น่าเชื่อเท่าพวกเขาเป็นพี่น้องที่โขลกกันมามากกว่า

จะ...บ้า...ตาย! คนไม่เคยดูแลงาน ก็โยนทุกสิ่งอย่างมาให้ราวกับเป็นแม่งานภายในหนึ่งวัน เธอเก็บข้อมูล การวางแปลนงาน ติดต่อสถานที่ด้วยอาการอยากสำรอกข้อมูลที่รู้มาเต็มแก่

สัมปันนีฉวยโอกาสช่วงที่ช่อมาลีใช้ให้ตามหาผู้จัดการของสวนกล้วยไม้เป็นรอบที่สามมานั่งพักอยู่ข้างชั้นวางกล้วยไม้ที่เป็นที่วางยาวสำหรับให้ลูกค้าได้เดินเลือก บริเวณนี้เป็นร้านกล้วยไม้ใหญ่ติดแอร์เย็นฉ่ำ พวกพนักงานที่เห็น ‘แฟนคุณเอื้อง’ มีสภาพใกล้จะเป็นลมอยู่รอมร่อจึงจัดหาเก้าอี้ พร้อมน้ำเย็นฉ่ำมาให้

วันลาพักร้อนที่ดรัลแอบอ้างกับช่อมาลี ทำให้เธอถูกใช้แรงงานหนักยิ่งกว่าไปนั่งทำงานที่ออฟฟิศเสียอีก หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะหยิบสมุดปกหนามาตรวจทานรายละเอียดที่เธอต้องทำ อาทิ การจดจำพันธุ์กล้วยไม้ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับลูกค้า อีกหน้าที่ของแม่ค้าที่เธอได้รับเกียรติมาจากช่อมาลี

“คุณอาลัวอยู่ทางนั้นค่ะ”

พนักงานในร้านแนะนำเธอกับผู้ชายตัวสูง ผิวสีแทน สวมเสื้อสก็อต กางเกงยีนส์ มาดลูกทุ่ง เดินมาหาเธอด้วยเขารอยยิ้มของคนถูกชะตาและเป็นมิตร สัมปันนีนึกโล่งอกที่ไม่มีคนมาสมัครเป็นศัตรู(ฝ่ายเดียว)กับเธอเพิ่มอีก ไม่อย่างนั้นกว่าจะจบงานมหาโหดตลอดสัปดาห์นี้เธออาจเหลือแต่กระดูก เพราะโดนแล่เนื้อเถือหนังไปหมด ไหนจะเวลากลับไปเธอยังต้องไปตั้งรับชมนาดให้ดีอีก

ชีวิตอยู่ดีๆ ก็มีคนโน้นคนนี้มาหาเรื่องอยู่เรื่อย อาลัวหนออาลัว

“สวัสดีครับอาลัว”

“สวัสดีค่ะ” สัมปันนียกมือไหว้เขาที่หน้าตาอยู่ในวัยที่อาวุโสกว่าเธอเกินห้าปี

“พี่ชื่อพี่จุ้น คุมสวนกล้วยไม้ฝั่งโน้น” เขาชี้ไปทางฝั่งที่ต้องข้ามสะพานใหญ่ไป “แล้วก็กำลังจะแต่งงานกับช่อ” ตบท้ายด้วยรอยยิ้มภูมิใจ

รอยยิ้มของคนกำลังจะแต่งงานมีความสุขมากมายอย่างนี้นี่เอง สัมปันนีนึกสงสารที่อีกฝ่ายไม่ล่วงรู้เลยว่าในใจแท้ๆ ของช่อมาลียังมีบางอย่างค้างคาในใจกับดรัลอยู่ เธอจึงอยากทำดีกับเขาไว้มากๆ ในภาวะนี้เขาสุ่มเสี่ยงจะโดนยกเลิกงานแต่งงานได้เสมอ

“ดีใจด้วยจริงๆ นะคะ”

“พี่สิโล่งอก ตอนแรกก็นึกว่าไอ้เอื้องมันจะไม่เปิดใจรับใครอีก บางคนยังคิดว่ามันจะเป็นเกย์เลย” จุณวัฒน์บอกหน้ายิ้มๆ เขาเป็นเพื่อนเล่นกับทั้งดรัล และช่อมาลีมาตั้งแต่เด็กตัวกะเปี๊ยก วิ่งเล่นกันข้ามฝั่งคลอง รู้ดีว่าความรู้สึกของดรัลกับช่อมาลีเป็นอย่างไร และก็รู้ว่าทั้งคู่ต่างหักห้ามใจ และไม่ต่อยอดความรู้สึกหลังจากเลือกให้ความสุขกับพ่อและแม่ของตัวเองมากกว่า เขาจึงกลายเป็นคนที่ได้อยู่ในสายตาของช่อมาลีบ้าง

สัมปันนีหัวเราะเจื่อน ยิ่งมีคนคาดเดาว่าดรัลเป็นเกย์ ก็ยิ่งตอกย้ำสิ่งที่เธอเคยเห็นมาก่อน คิดว่าเปลี่ยนเรื่องพูดให้ไกลตัวจะดีกว่า “ว่าแต่พี่จุ้นมาเตรียมงานแต่งงานใช่ไหมคะ”

“ช่อเขาเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วล่ะ”

นั่น...ยิ่งน่าเป็นห่วง สัมปันนีอยากเตือนให้เขาช่วยดูงานแต่งงานด้วย ไม่อย่างนั้นเขานี่แหละจะเป็นหม้ายงานแต่ง “คุณช่อเธอเก่งมากเลยนะคะ” จุดๆ นี้เธอชื่นชมช่อมาลีจากใจจริง...ที่เลือกอีกคนแต่มาหึงผู้ชายอีกคนได้

“อาลัวก็คงไม่ธรรมดาหรอก ไม่อย่างนั้นเจ้าเอื้องคงไม่สนใจ”

ง่ะ...โยงมาที่เธอจนได้ อีกครั้งที่หญิงสาวหัวเราะเจื่อน เสยกน้ำเย็นขึ้นจิบ ในใจก่นด่าเจ้านายเป็นกระบุง...คนพรรค์นั้นไม่เห็นเธอเก่งหรอก เห็นว่าโง่ ใช้งานง่ายมากกว่า เธอก็โง่ยอมให้เขากดหัวใช้ยิกๆ อีกแน่ะ

“ฉันไม่มีอะไรโดดเด่นหรอกค่ะ ธรรมดาพื้นๆ”

“ถ่อมตัว” จุณวัฒน์ส่ายหน้า ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าสัมปันนีคือผู้หญิงที่ไม่มีความพิเศษ

“พี่จุ้นรู้จักกล้วยไม้หลายพันธุ์ใช่ไหมคะ” มองสิ่งที่ต้องทำอย่างการจำประเภทกล้วยไม้ และชื่อก็ทำให้สัมปันนีท้อแล้ว ทั้งร้านที่มีอาณาเขตกว้างขวางนี่ก็มีพันธุ์กล้วยไม้ไม่น้อยเลย

“ใช่สิ ไม่มีพันธุ์ไหนที่พี่ไม่รู้จัก”

“ช่วยหน่อยสิคะ ฉันต้องจดจำกล้วยไม้พวกนี้ให้ได้ให้หมด แต่รออ่านหนังสืออย่างเดียวก็ไม่ไหว ง่วงนอนค่ะ” สัมปันนียิ้มแหย

จุณวัฒน์หัวเราะอารมณ์ดี กางมือออก เตรียมพาออกเดิน “มา วันนี้พี่จุ้นพาทัวร์เอง ไอ้เอื้องมันบังคับให้จำใช่ไหม”

“ค่ะ” ทั้งคุณเอื้อง และคุณช่อว่าที่เจ้าสาวพี่จุ้นเลย ไม่รู้ไปทำอะไรให้พวกเขาโกรธแค้นนักหนา ยังดีที่ในหัวเธอยังพอจดจำชื่อพันธุ์ภาษาอังกฤษของกล้วยไม้จากการทำบัญชีบ่อยๆ ได้บ้าง แต่ให้ถามว่าแต่ละพันธุ์หน้าตาเป็นอย่างไรเธอไม่เคยรู้ ไม่สันทัดจริงๆ

“พี่จุ้น” เสียงเรียกดังมาจากทางเข้าร้านกล้วยไม้ ช่อมาลีเดินดุ่มเข้ามา สายตาสังเกตคนสองคนที่กำลังคุยกันอย่างเป็นมิตร ใช้สายตาที่อ่านไม่ออกหยุดยังสัมปันนี “คุณอาลัวทำไมไม่คุยงานกับผู้จัดการล่ะคะ”

ทำอะไรก็ผิดไปหมด...

สัมปันนีถอนหายใจกับตัวช่วยที่เพิ่งสร้างความหวังในการทำงานให้เธอไม่ถึงห้านาทีดีอย่างเข้าใจ เธอเองก็ไมได้อารมณ์ว่าง่ายตลอดเวลา จึงไม่คิดสานบทสนทนากับมนุษย์(ป้า)ช่อมาลี ที่เดี๋ยวหงุดหงิดเรื่องเธอกับดรัล อีกเดี๋ยวมาทำท่าเอาเรื่องใส่เธอกับจุณวัฒน์ สรุปคนไหนตัวจริงตัวหลอก หรือจะเป็นตัวจริงในใจทั้งคู่ อ่า...สัมปันนีเหลียวหลังกลับมาแอบมองคู่รักที่ดูราบรื่นดีอย่างสงสัย

สัมปันนีก้มหน้าวาดรูปตัวการ์ตูนชายหญิงหัวโตบนกระดาษ วาดเขี้ยวงอกยาวออกมา ตาหรี่เล็ก เป็นตัวแทนของพวกเขาสองพี่น้อง

“คนหนึ่งต้องเป็นเจ้าเอื้อง อีกคนนี่ใครน้า”

“ลุงดิเรก!” สัมปันนีปิดสมุดเล่มหนาแนบอก หลบไม่ให้ผู้ชายที่ชะโงกหน้ามาอ่านได้เห็นอีก หลังจากมื้อเช้าเธอก็ไม่เห็นอดีตเจ้านายของเธอ เพราะท่านไปทำบุญกับคุณรำเพยที่วัด และได้ปล่อยเธอไว้กับแม่เสือดุ

ดิเรกหัวเราะลั่นไม่ได้สำนึกกับการกระทำของตัวเอง เขาถูกใจหน้าตาเหนื่อยล้า และท่าทางวุ่นวายไม่ได้พักของสัมปันนี อย่างน้อยแววตาว้าวุ่น สับสน เศร้าหมองอย่างเมื่อวานนี้ก็ยังไม่ปรากฏขึ้นมาให้เขาได้เห็น

“โดนใช้งานจนอิ่มเลยไหม พักหน่อยเถอะ”

สัมปันนีคอตก เธออยากพัก แต่นิสัยที่ทำงานติดไฟจนไม่อยากพักลักดันให้เธอต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จในวันเดียวเสมอ “ยังค่ะลุง หนูยังต้องรู้จักพวกกล้วยไม้ให้มากกว่านี้”

“ง่ายมาก” ดิเรกยืนยัน

“รีบสอนหนูเลยค่ะ”

ร่างอ้วนลุงพุงเดินไปหากล้วยไม้ดอกสีม่วงปลายกลีบขาว แตะกลีบดอกของมันอย่างทะนุถนอม และเริ่มพูด “สวัสดีเจ้าหวาย ฉันชื่อดิเรกนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

“...”

ในใจสัมปันนีด่าลูกชายแทนคนเป็นพ่อเรียบร้อย...เขาส่งเธอมาให้ถูกคนที่นี่ปั่นสมองจนเพี้ยนแท้ๆ



อาการเมื่อยล้าตามร่างทำให้สัมปันนีกลับเข้าห้องทันทีหลังสิ้นสุดมื้อเย็น อาบน้ำและคลานขึ้นเตียงหลังใหญ่ที่วันนี้จะไม่มีร่างของคนมาสิงอยู่ข้างเตียง เธอนอนแผ่หลาอย่างสบาย พลิกตัวไปมา กลิ่นที่นอนที่ใช้เวลาคืนเดียวเธอก็รู้สึกชินอย่างง่ายดาย ที่นี่ทำให้เธอใช้สมองคิดเรื่องอื่นนอกจากงานได้น้อยถึงน้อยที่สุด

และต่อให้ตอนนี้เธอมีเวลาคิดถึงนวีนจริง ร่างกายเธอก็ล้าเต็มทีจนไม่คิดเสียดายเวลามาโอดครวญถึงความช้ำใจ

ลมธรรมชาติพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดโล่ง สัมปันนีหลับตาลง และซึมซับบรรยากาศแปลกใหม่เหล่านี้ที่เธอหาไม่ได้จากที่บ้านให้เต็มปอด ในช่วงที่หนังตาหนักอึ้งจวนจะปิด โทรศัพท์หัวเตียงที่เธอไม่พกติดตัวก็เริ่มสั่น หญิงสาวคลำมือหยิบมากดรับ ไม่สนใจว่าใครโทรเข้ามา

“สวัสดีค่ะ”

“วันแรกเป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงของเจ้าของเตียงทำให้สัมปันนีลืมตาขึ้นมา

“ก็ดีค่ะ” เหนื่อยสายตัวแทบขาด

“พ่อบอกว่าคุณเจอจุ้นมันแล้ว”

“เขาน่ารักดีนะคะ” จุณวัฒน์ทำตัวเหมือนเป็นพี่ชายที่อยากรู้จักน้องสาวร่วมโลกคนนี้เต็มแก่ ขนาดมื้อเย็นที่มีเขามาร่วมโต๊ะด้วยก็เอาแต่ถามถึงความสัมพันธ์ของเธอกับดรัล โชคดีที่มีดิเรกคอยช่วยปั้นน้ำเป็นตัวเป็นเพื่อนเธออีกคน

“กับผมไม่เห็นจะชมว่าน่ารักบ้างเลย”

นิสัยขี้น้อยใจที่ลุงดิเรกว่าเขาน่ะจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ “พี่เอื้องก็น่ารักค่ะ น่ารักอย่างกับผี” แน่นอนว่าเธอไม่คิดโกหกเขา

ปลายสายทำเสียงข่มขู่มา แต่คนที่อยู่ไกลห่างมาหลายสิบกิโลเมตรไม่ได้หวาดกลัว เธอยังหัวเราะคิกกลับไปให้เขาได้ยิน เริ่มบรรยายวีรกรรมนายทาสสุดโหดที่เธอถูกช่อมาลีรังแกให้ฟัง ก่อนจะสรุปรวบรัดในแบบที่ตัวเองเข้าใจ

“ฉันว่าคุณช่อต้องเกลียดขี้หน้าฉันมากแน่ แต่ฉันไม่รู้ว่าเกลียดเพราะฉันคบคุณ หรือฉันไปคุยเล่นกับพี่จุ้น ฉันวัดจากรังสีอำมหิตที่คุณช่อส่งออกมา มีมาถึงฉันตลอดเวลา”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องพิสูจน์อีกสักรอบ ผมต้องการความชัดเจน สรุปช่อเขารักใครมากกว่ากัน”

“ใช้กันจริงนะคะ” น้ำเสียงค่อนขอดเหน็บแนม จะให้เธอไปล้วงสี่ห้องหัวใจของช่อมาลีถึงซอกหลืบไหนกันจึงจะพอใจเขา

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมกลับไปให้อาลัวเห็นหน้าแล้วจะได้หายเหนื่อยนะ”

“กลับมาแล้วเอามีดมาแทงฉันให้ตายในครั้งเดียวดีกว่าค่ะ หรือไม่อย่างนั้นคุณก็รอเก็บศพฉัน ให้ฉันไปแหย่นางเสือน้องคุณอีกกี่ครั้งก็ไม่รู้ ชีวิตฉันถึงจะเอาคำตอบมาให้คุณได้ บางทีอาจเป็นวิญญาณมาบอกคุณแทน”

ดรัลหัวเราะเสียงดัง “วันนี้คุณอยู่ในโหมดความแค้นสุมอกจริงๆ อย่าไปโกรธไปแค้นคนอื่นเขามาก ระวังหน้าจะแก่เร็ว”

“คุณก็เอาตัวเองมาพิสูจน์หัวใจกับคุณช่อเธอเองสิคะ ชาวบ้านเขาจะได้ไม่ต้องมาหน้าแก่ก่อนวัยอันควร”

น้ำเสียงปกติ มีชีวิตชีวาในการตอบโต้ทำให้ดรัลพอใจ เขาจึงไม่ปิดบังสิ่งที่ได้พบมา “วันนี้ผมไปนั่งทานข้าวเที่ยงโต๊ะเดียวกับนวีนมา”

สัมปันนีกำมือรอบโทรศัพท์แน่นขึ้น ตกใจที่วันนี้ตัวเองไม่ได้คิดเรื่องของนวีนในหัวเลย ถึงคิดก็จำไม่ได้แล้วว่าคิดถึงไปตอนไหน เธอเหนื่อยเกินกว่าจะรู้สึกเจ็บปวด

“เขาถามถึงคุณ”

“คุณมาบอกฉันทำไมคะ ไม่กลัวฉันจะยิ่งลืมนวีนยากเหรอ” ไม่รู้ทำไมที่เวลานี้หูของเธออยากหลีกหนีจากคนที่ชื่อนวีนชั่วคราว เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ในหัวเธอไม่มีภาพความอ่อนโยน หรือเหตุการณ์เก่าๆ มาหลอกหลอน

“ผมขอเวลาคุณแค่เจ็ดวัน คุณไม่ต้องลืมเขา แค่คิดถึงเขาให้น้อยลง ผมก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว”

“ประกาศโฆษณาเกินจริงหรือเปล่าคะ ว่าแต่ถ้าคุณช่วยฉันสำเร็จคุณจะได้อะไร”

“แลกกับงานที่ผมให้ไปทำ คุณเองก็ต้องทำให้สำเร็จเหมือนกัน”

ล้มโต๊ะเถอะ!...สัมปันนีไม่อยากยอมรับว่าการทำงานหนัก และเอาหัวสมองไปคิดเรื่องอื่น แทนที่จะนั่งซึมกะทือไปวันๆ ได้ผลจริง แต่นี่แค่วันแรกเธอจะไม่ยอมปริปากบอกเขาเด็ดขาดถึงความสำเร็จที่เริ่มมาเยือน

“ทำไมถึงเลือกฉัน” คำถามนี้ยังคาใจสัมปันนีมาตลอด เธอรู้สึกราวกับได้รับอภิสิทธิ์เหนือใคร แม้การมาทำงานที่นี่จะไม่ใช่เรื่องง่าย และเหนื่อย แต่ทุกอย่างก็ได้พิสูจน์ว่าดรัลตั้งใจช่วยเธอจริงๆ

“ไม่ใช่คนอกหักทุกคนที่ผมจะช่วย...แต่เพราะคุณมาอยู่ตรงหน้าผมได้ถูกที่ถูกเวลาในเวลาที่ผมกำลังต้องการช่วยเหลือต่างหาก คุณควรขอบคุณความโชคดีของตัวเองให้มากๆ”

คนฟังลอบเบะปาก ถึงมันจะฟังดูดี และอบอุ่นหัวใจนิดหนึ่ง แต่ก็ยังแฝงความโอหังของคนพูดไว้ไม่น้อย เขาคือคนแปลกหน้าที่เธอเองก็ได้แต่เลยตามเลยให้เขาช่วย

“ขอบคุณที่คุณมาอยู่ตรงหน้าฉันได้ถูกเวลาเหมือนกันนะคะ” แต่พอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดก็อดเหน็บเล็กๆ คืนไม่ได้ “รองเท้าสองคู่ของฉันถึงต้องสังเวยให้เจ้าเต่าทัพคู่หนึ่ง ให้เปียกฝนจมน้ำดินจนแฉะอีกคู่หนึ่ง ขอบคุณจริงๆ”

ดรัลบ่นพึมพำ “ไม่ยักรู้ว่าคุณเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น”

สัมปันนีถลึงตาใส่โทรศัพท์ ปกติเธอเป็นคนอารมณ์เย็น ใครสั่งอะไรก็ก้มหน้าทำไม่มีบ่น ออกจะว่าง่าย ให้เลี้ยวซ้ายเธอก็เลี้ยว แต่ตั้งแต่ได้รู้จักดรัล เธอกำลังแหกกฎตายตัวของตัวเองไปทีละนิด คนไม่ชอบมีปากเสียงกับใครแต่กลับชอบคุยขวางๆ ใส่คนที่เธอเรียกเขาว่า ‘เจ้านาย’ เป็นประจำ และท่าทางยอมแพ้ไม่ตอบโต้ จะทำให้เธอรู้สึกว่าถูกเขากดหัวมากไป ปากเธอจึงเถียงไปพร้อมๆ สมองอยู่หลายครั้ง

“คุณกำลังทำให้ฉันเป็นคนนิสัยไม่ดี” หญิงสาวพูดเสียงอ่อย

“คุณก็แค่น่ารักในฉบับของคุณ ไม่ได้นิสัยเสียอะไรหรอก...ให้คุณได้พักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้คงต้องเหนื่อยอีกเยอะ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

คนน่ารักในฉบับของตัวเองกะพริบตาปริบๆ ในความมืด ใบหน้าร้อนผ่าวจนเธอต้องก้มเอาหน้าฝังไปบนหมอน เผื่ออุณหภูมิบนกายจะลดลงบ้าง ไม่เคยมีใครชม ‘เป็ด’ อย่างเธอมาก่อน สัมปันนีดึงผ้าห่มมาห่มกาย หลับตา แต่คล้ายว่าเธอจะได้เห็นสีหน้า น้ำเสียงของดรัลที่พูดชมเธอชัดเจนขึ้น

หวังว่าผีจะไม่เข้าคนดุๆ ปากจัดอย่างดรัลบ่อย หญิงสาวนึกภาวนาในใจ ไม่อย่างนั้นตัวเธอจะลอยเป็นลูกโป่งขึ้นฟ้าสักวัน

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นสัมปันนีก็ค่อยๆ จมสู่นิทรา ในความฝันของเธอมีนวีนที่คอยปกป้อง ดูแลเธอเหมือนทุกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับมีมือของอีกคนที่พยายามดึงเธอออกมาให้ไกลจากนวีน แต่มือของผู้ช่วยเหลือเธออีกข้างกลับเกาะกุมมือผู้ชายไว้อีกข้างหนึ่ง

โทรศัพท์บนหัวเตียงสั่นขึ้นอีกครั้ง แต่คนหลับไม่ยอมตื่น จึงไม่ได้พูดคุยกับคนที่ปกติมักจะอยู่ในฝันของเธอเสมอ...นวีน


ชมนาดจ้องตัวเลขในสมุดบัญชีเงินฝากของนวีนอย่างไม่พอใจ “คุณมีเงินเก็บแค่เกือบแสนเองเหรอคะ เท่านี้จะไปพอทำอะไรได้” ตรงข้ามกับเธอที่แม้จะเป็นครอบครัวที่มีพ่อแม่ทำงานเป็นพนักงานบริษัท แต่พวกท่านก็อยู่ในตำแหน่งที่สูง เงินเดือนแต่ละเดือนของพวกท่านเกือบแสน

“เอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินได้นะชม” นวีนนึกถึงตอนที่สัมปันนีเห็นเงินเก็บในบัญชีเขา ปฏิกิริยาคือดีใจอย่างกับมันเป็นเงินของตัวเอง

‘เยอะมากเลยนวีน นายเก่งจริงๆ ส่งตัวเองเรียนตั้งแต่มัธยมปลาย มีรถ มีบ้านของตัวเอง ทำทุกอย่างด้วยน้ำพักน้ำแรง แล้วยังมีเหลือเก็บ อยากเป็นให้ได้สักครึ่งของนวีนจัง’

“แล้วมันจะไปพออะไรกับการยืนอยู่ข้างฉัน พ่อแม่ฉันไม่มีทางพอใจกับเม็ดเงินแค่นี้แน่” ชมนาดโยนสมุดบัญชีที่เปิดหราอยู่ลงบนโต๊ะ หน้าตาไม่สบอารมณ์ คำว่าไม่พอไม่ได้ทำให้ผู้ชายที่เรียกตัวเองว่าคนรักของเธอมีสีหน้าทุกข์ร้อนกระวนกระวายใจเลย “คุณจริงจังกับฉันแค่ไหนวิน”

“ผมจริงจัง”

“จริงจังคุณก็ต้องมีความพยายามมากกว่านี้” ชมนาดลุกขึ้นเดินหนีไปอย่างไม่สบอารมณ์

นวีนเอนหลังกับโซฟา เขาไม่ใช่คนที่มีความทะยานอยากในชีวิตสูง ไม่ใช่คนที่ฝันเห็นเงินทองกองท่วมเป็นภูเขาเลากา เขาต้องการแค่ชีวิตตัวเองที่อยู่รอดได้โดยไม่เป็นภาระของใคร ไม่ถูกใครมองอย่างดูแคลน หรือเรียกเขาว่าไอ้เด็กกำพร้า

วันนี้เขาพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ แต่ชมนาดกลับไม่พอใจ เขาอยากพาเธอไปรู้จักคนที่เขาเรียกว่าครอบครัวอย่างเต็มปากเต็มคำ แต่นั่นก็อาจจะไม่พอใจเจ้าหล่อน

ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางนิ่งบนโต๊ะขึ้นมากดดูเบอร์โทรศัพท์ที่เขาโทรออกและรับ นอกจากลูกค้า ชมนาด อีกคนที่แสดงเบอร์เมื่อสองวันก่อนก็คือ ‘อาลัว’ รายชื่อนี้คล้ายมีแรงดึงดูด นิ้วของเขาจึงกดโทรออกไป สัญญาณที่ดังอยู่หลายครั้งจนไม่สามารถติดต่อได้ ก่อกองไฟเล็กๆ ที่เขามองไม่เห็นขึ้นมา

ตอนนี้สัมปันนีอยู่ที่ไหน ทำอะไร และ...อยู่กับใคร


รายชื่อลูกค้ารายใหญ่จากญี่ปุ่นที่ทยอยกันมาเยือนไทยเพื่อมาเยี่ยมชมกล้วยไม้ที่นำไปส่งออกทางนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญที่เขาจำเป็นต้องใส่ใจ แต่เขายังไม่รู้ว่า ‘ยูกิ’ สมญานามของผู้บริหารธุรกิจนำเข้ากล้วยไม้รายใหญ่ของทางญี่ปุ่นจะมาโผล่แบบไหน

ผู้ค้ากล้วยไม้ส่วนใหญ่พยายามสืบเสาะหาเขากันทั้งนั้น แต่ยังไม่มีใครได้เจอ ข่าวของเขายังเงียบกริบ

ดรัลตรวจรายงานการประชุม และข้อมูลเก่าๆ สมัยที่พ่อเขาเข้ามาบริหารถึงสมัยที่สัมปันนีเข้ามาทำงานแล้ว ผู้หญิงคนนี้แทบจะทำหน้าที่ซับซ้อนกับเลขาฯ ของพ่อเขา เกือบทุกการประชุมจะต้องมีสักหน้าที่ให้กับสัมปันนีห้อยอยู่เป็นคนสุดท้ายเสมอ

โทรศัพท์ของดรัลมีเสียงข้อความเข้า ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาเปิดดู ทั้งที่ปกติไม่ชอบหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาใช้ในเวลางาน แต่เพราะว่าตอนนี้คล้ายว่าเขาคาดหวังบางอย่างในใจ

ข้อความที่ส่งมามีพร้อมรูปถ่าย ภาพลิงตัวสูงโย่งปีนบันไดไม้สูงผูกกล้วยไม้ติดกับน้ำตกจำลองเรียกเสียงหัวเราะของดรัลได้ โดยเฉพาะข้อความที่จุณวัฒน์แนบมาให้เขาได้อ่าน

‘ผู้หญิงทรีอินวัน เหมาะสมกับผู้ชายวันอินทรีแบบแกว่ะ’

คนหนึ่งเกิน...อีกคนขาด ดรัลอารมณ์ดีจึงต่อสายไปหาเพื่อนที่เป็นผู้สังเกตการณ์อยู่ในสถานที่จัดงานแสดงกล้วยไม้

จุณวัฒน์คอยช่วยจับบันไดไม้ที่สัมปันนีขึ้นไปให้อย่างระวัง เผื่อเหตุฉุกเฉินร่วงลงมาเขาจะได้ช่วยเหลือได้ทัน ตอนแรกเขาก็ขันอาสาจะทำเอง แต่ ‘มนุษย์ว่างงาน’ ผู้ไม่รู้จักพักหลังปลีกตัวจากการส่งกล้วยไม้กับผู้จัดการของสวนดิเรกเข้าประกวดกล้วยไม้ที่ส่วนกลางเสร็จ ก็มาบู๊ตกแต่งกล้วยไม้ประดับสถานที่ต่อ

“อาลัวแกร่งขนาดนี้ ผู้ชายก็อดอวดความแมนหมดสิ”

สัมปันนีใช้ลวดพันเกี่ยวกระถางกาบมะพร้าวที่บรรจุกล้วยไม้พันธุ์แวนด้าสีม่วงอ่อนอย่างคล่องมือ หลังจากเรียนรู้งานนี้ไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน อาการเมื่อยล้าทั้งแขนและขาเริ่มมี แต่เธออยากเร่งงานให้เสร็จเร็วๆ

“ผู้หญิงไทยเราต้องเก่งค่ะ สมัยนี้ผู้ชายเขาเปลี่ยนใจไปรักกันเองเยอะ เราจะหวังพึ่งให้ผู้ชายมาดูแลอย่างเดียวอีกไม่ได้” ปากขยับแต่มือยังทำงาน

“ถ้าพี่ไม่รู้ว่าอาลัวเป็นแฟนเอื้อง จะนึกว่าอาลัวยังโสด”

คนอยู่สูงจากพื้นร่วมสามเมตรหัวเราะขำ ในใจเธอยอมรับว่าตัวเองยังโสด ถึงสถานะที่คนแถบนี้รู้จะไม่ใช่ก็ตาม

“ต้องไปถามพี่เอื้องนะคะ ว่ายินดีให้ฉันโสดหรือเปล่า”

“ถามมันเลยสิ” จุณวัฒน์จับบันไดด้วยมือเดียว อีกมือชูเครื่องมือสื่อสารที่ขึ้นหน้าจอสีเขียว และชื่อของ ‘เอื้อง’ ว่าฟังอยู่นานหลายนาทีแล้ว

“พี่จุ้น!” จุ้นสมชื่อ สัมปันนีค่อนขอด รู้สึกมือไม้ตัวเองจะขัดหูขัดตาพิลึก เธอสิที่ควรกังวล เล่นยกเปรียบเปรยถึงเพศที่สาม ให้คนที่เป็นเพศนั้นได้ฟังจังๆ

“จะทำอะไรก็ระวังๆ หน่อย เดี๋ยวล้มหน้าทิ่มไปเหมือนวันนั้นอีก” จุณวัฒน์บอกหน้าตายิ้มแย้ม ก่อนให้เครดิตคน “ไอ้เอื้องฝากมาบอก”

หน็อย...เอาเรื่องเธอล้มวันนั้นมาเผาให้เพื่อนฟังอีก สัมปันนีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน จับราวบันไดไต่ลงให้เร็วขึ้นเพื่อจัดการกับปลายสายที่ตัวไม่อยู่ก็ยังสามารถหาเรื่องเธอได้ แต่เพราะว่าก้าวเร็วเกินไป และลำไม้ไผ่ลื่น สัมปันนีจึงเสียศูนย์ มือของจุณวัฒน์ที่เผลอปล่อยออกมาทั้งสองมือเพื่อเจรจาพาทีกับเพื่อนผ่านโทรศัพท์จึงไม่ได้อยู่รับน้ำหนักบันไดให้ ร่างของหญิงสาวกระเด็นจากตัวบันได หลังไต่ลงมาได้แค่ครึ่งทาง และ ตู้ม! ตกใส่น้ำตกจำลองเสียงดัง และโป๊ก! บันไดที่ร่วงลงมาเล็งศีรษะเธอไว้ได้อย่างแม่นยำพอดิบพอดี

จุณวัฒน์ และเหล่าคนงานต่างอึ้งไปชั่วขณะ สัมปันนีต้องรีบตะกายหินปีนขึ้นมา ก้มหน้าไม่กล้ามองใคร ในใจเดาว่าเวลาเงยขึ้นไปจะมีใครหัวเราะไหม สมองเธอมึนเบลอ ไม่รู้ว่าแว่นสายตาหล่นหายไปไหน ภาพตรงหน้าเธอจึงจับได้ไม่ชัดเจน และก่อนที่เธอจะลื่นตะไคร่น้ำจนล้มซ้ำไปอีกรอบ จุณวัฒน์จึงเข้ามาถึงตัวเธอ ค่อยๆ พยุงขึ้นมา

“มึนไหม”

“ทั้งมึนทั้งเจ็บค่ะ” สัมปันนีเบ้หน้า รู้สึกหนึบๆ ตรงโคนผม

“ไปโรงพยาบาลเนอะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่นั่งพักเฉยๆ ก็พอ”

“ไปเถอะ หัวเราแตก ต้องเย็บแผล”

สัมปันนีกลืนน้ำลายเอื๊อก ยื่นมือไปซับของเหลวข้างแก้ม และแผ่มือตนเองเบื้องหน้า ถึงภาพจะค่อนข้างเบลอไปบ้าง แต่สีแดงของมันก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน

เจ็บ! ส่วนหนึ่งเพราะเธอไม่ระวัง แต่อีกส่วนเพราะดรัลกวนสมาธิของเธอ! สัมปันนีนึกอย่างพาลพาโล แต่ไม่ร้องสักแอะออกมา เจ็บกาย เจ็บมาบ่อยจนเคยชิน ส่วนเจ็บทางใจ...สัมปันนีหยุดเดิน ทั้งที่เตือนตัวเองให้คิดถึงนวีนให้น้อยลงแล้วแท้ๆ

ภาพที่นวีนมีมือทิพย์ กี่ครั้งที่เธอบาดเจ็บมามือของเขาที่ทำแผลให้จะเบาราวกับปุยนุ่น จนเธอแทบไม่รู้สึก ทุกครั้งที่เสร็จจากการทำแผล นวีนจะเป่าแผลเพี้ยงให้เธอหายดี

‘ทำไมถึงเป่าแผลให้ด้วยล่ะ เราโตแล้วนะ’

‘ไม่เคยมีน้องสาว เห็นพี่ชายเขาชอบทำเวลาน้องเจ็บ ก็เห็นว่าได้ผลตลอด เด็กหยุดร้อง’

‘ฉันอายุตั้งยี่สิบกว่าแล้วนะ ไม่ร้องหรอก’ นวีนหน้าเก้อไป แล้วก็ยิ้มออกได้ในนาทีถัดมา ‘แต่ถ้านวีนสัญญาว่าจะเป่าแผลให้ฉันคนเดียว จะยอมเป็นน้องน้อยให้ก็ได้นะ’

เธอใจอ่อน และไม่เคยดื้อใส่นวีน หลายครั้งที่เธอสงสัยว่าสถานะระหว่างเธอกับนวีนคือสิ่งใด คนที่ห่วงใยกันเวลามีใครสักคนป่วยดังครอบครัว คนที่พร้อมเปิดใจรับฟังทุกปัญ

หาเช่นเพื่อน คนที่มองตาก็เข้าใจเกือบจะเป็นคนรัก...แต่ไม่เคยได้เป็น

เธอคิดถึงลมอุ่นๆ ที่คอยเป่าแผลให้ยามเจ็บ สัมปันนีเม้มปาก สัมผัสได้ว่าจุณวัฒน์กำลังหิ้วปีกเธอเดินเกือบวิ่งไปยังรถที่จอดรออยู่ พอเธอขึ้นนั่งรถเสร็จ จุณวัฒน์ที่ประจำที่นั่งคนขับแล้วก็อยู่ไม่เป็นสุขค้นหาผ้าสะอาดเพื่อมาห้ามเลือดให้เธอ

ก่อนจะตัดใจ และเปลี่ยนมากดโทรศัพท์ยื่นส่งมาให้สัมปันนี ส่วนตัวเองเหยียบคันเร่งเต็มที่เพื่อพาคนเจ็บไปส่งยังโรงพยาบาล

“ผมกำลังจะไปหา” น้ำเสียงของดรัลยังคงสงบและมั่นคง

“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ”

“ผมจะไปเห็นด้วยตาตัวเองก่อนค่อยตัดสินว่ามากหรือน้อย”

“มีอย่างนี้ด้วย” หญิงสาวกลั้วหัวเราะจนสะเทือนถึงแผล ได้แต่กัดฟันทนเจ็บ และอวยพรอีกฝ่ายไป “ไม่ต้องรีบมากนะคะ ฉันไม่ได้จะออกจากโรงพยาบาลเสร็จแล้วไปวัดต่อเลย”

“แช่งผมหรือแช่งตัวเอง”

สัมปันนีภาวนาให้ชาติหน้าเธอมีเขี้ยวยาวๆ จะได้เอาไว้ข่มขวัญคนประเภทดรัลที่เห็นนิ่งๆ แต่ระดับความกวนประสาทไม่แพ้จอมกวนทั้งหลาย

“ถ้าผมอยู่แถวนั้นจะดึงคุณมาเป่ากระหม่อมให้หมดทุกข์หมดโศก”

“ฉันมีคนเป่าแผลให้ส่วนตัวมาตั้งนานแล้ว” เพราะความเคยชินผสมกับความลืมตัว สัมปันนีจึงหลุดสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป ปลายสายเองก็เงียบไปจนน่าใจหาย หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง รู้สึกตัวเองเพิ่งกระทำความผิดมหันต์ลงไป ทั้งที่เธอออกปากกับเขาจริงจังว่าจะคิดถึงนวีนให้น้อยลงแล้วแท้ๆ

“ผมจะรีบไป”

ดรัลวางสายไปแล้วพักใหญ่ สัมปันนีจึงเพิ่งลดโทรศัพท์ที่มีคราบเลือดเธอติดอยู่คืนเจ้าของไปโดยไม่สนใจจะเช็ดทำความสะอาด ดวงตากะพริบปริบๆ พยายามนึกถึงคำพูดสุดท้ายที่ดรัลใช้เสียงต่ำมาก คล้ายกดความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่รู้ไว้


เขาจะรีบมาเพราะเป็นห่วงเธอ หรือเพราะเคืองที่เธอพูดถึงคนอื่นต่อหน้าเขา เป็นแฟนกันปลอมๆ ต้องขุ่นเคืองกันจริงจังขนาดนี้ด้วยเหรอ เธอได้แต่หวังว่าปฏิกิริยาของดรัลที่เธอจะได้พบในไม่กี่สิบนาทีข้างหน้าจะไม่สยดสยองเท่าในความคิด...อ่า เธอลืมไป เขามันมนุษย์ขี้น้อยใจตัวพ่อ!


..................................

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน กดถูกใจ และแสดงความคิดเห็นค่ะ

คุณ konhin ชมนาดกับช่อเข้าข่ายกรณีเดียวกันเลยนะคะ หวงก้าง สำหรับชมนาดพอเข้าใจได้แฟนเขา แต่ช่อมาลีเนี่ย ไม่อยากปล่อยมือใครสักคน คล้ายกับนวีนพิก๊ลนะคะ

คุณ Kim คอมเมนท์อาจมีปัญหามั้งคะ แต่ปวราอ่านของคุณ Kim ได้ทุกอันไม่ต้องกังวลค่า คนอย่างนวีนอาจไม่รู้จักตัวเองมากพอก็ได้นะคะ กลายเป็นทำร้ายใจคนข้างๆ ไม่รู้ตัว

คุณ ปอกะเจา บอสเขาล้ำลึกค่ะ มือหนึ่งดึงอาลัว อีกมือขุดหลุมรอไว้ให้อาลัวมาตกอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว สาวเจ้าเขาจะกระโดดมาลงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮา

คุณ pretty หัวใจอาลัวนี่เหมือนผีเข้าผีออกนะคะ เหมือนจะเลิกคิดได้ แต่ก็ยังไม่

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ บทวิเคราะห์ไข่ดาวไหม้ที่คุณนักอ่านเหนียวหนึบเขียนขึ้นมา มันเจ๋งมากกกก พูดซะพี่เอื้องดูเป็นพระเอ๊กพระเอกขึ้นมาได้เลยค่ะ นวีนจะเป็นคนเช่นนั้นตามชมไหมต้องรอต่อไป

แวบมาบอกก่อนว่าอาจจะหายหน้าไปสักวันสองวัน สองวันนี้จะงานรัดตัวมากค่ะ แล้วจะมาอัพให้ต่อนะคะ อาจจะวันมะรืน ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ส.ค. 2558, 06:20:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ส.ค. 2558, 06:21:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1509





<< บทที่ 7 : อาการปกติธรรมดา(?)   บทที่ 9 : เลือกได้ไม่ยาก >>
ใบบัวน่ารัก 6 ส.ค. 2558, 06:45:29 น.
นั่นจิรัก3 เศร้า*2
สุดรันทด


ปอกะเจา 6 ส.ค. 2558, 09:31:22 น.
บอสต้องรุกหนักแล้วแหละ ไม่งั้นอาลัวไม่ยอมลงหลุมรักแน่ๆ สู้ๆ นะบอส #ทีมบอส


konhin 6 ส.ค. 2558, 10:26:22 น.
ชอบบบบบ "ผู้หญิง 3 in 1 กับผู้ชาย 1 in 3"


ปรางขวัญ 6 ส.ค. 2558, 10:49:11 น.
บอส เป็น 1 in 3 ตรงไหนน๊าาา


กาซะลองพลัดถิ่น 6 ส.ค. 2558, 16:46:34 น.
พี่จุ้นนี่ท่าจะเอ็นดูรักแบบน้องสาวแน่ ๆ เลย .....ทั้งช่อและชม นี่สวยแต่รูป จิตใจไม่ได้สวยไปด้วยเลย
นวีน น่าจะรู้ตัวบ้างนะ ชมพูดถึงขนาดนี้ ....อาลัวอย่าไปคิดถึงนวีนมาก คิดถึงดรัลดีกว่า



นักอ่านเหนียวหนึบ 7 ส.ค. 2558, 13:26:44 น.
ตอนนี้กำลังสงสัยว่าพี่จุ้นเนี่ยยย รู้ตัวอยู่ป้ะว่าเจ้ชมเค้ารักหรือม่ายรักตัวเองอ้ะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 7 ส.ค. 2558, 13:30:27 น.
เค้าหมายถึงเจ้าป้าช่อนะ ยัยเจ้ชมเนี่ย ชอบเรียนมาจุ้นเรื่อยเบยย 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account