ร้ายรักสลับเล่ห์
ในชีวิตสายลับสุดหล่ออย่างเขา ‘มิณปรานต์’ ไม่เคยหนักใจเรื่องผู้หญิงมาก่อน...
จนกระทั่งมาเจอเธอคนนี้!
ปินญาภัส สาวนักอนุรักษ์ธรรมชาติคนสวย เธอทั้งดื้อ อวดดี เชื่อมั่นในความดีจนน่าตลก
แต่ให้ตายเถอะ! หน่วยที่คอยขจัดอันตรายระดับชาติอย่างหน่วยเทวาพิทักษ์ ถึงกับต้องส่งสายลับระดับพระกาฬแบบเขา
เพื่อมาคุ้มครองเธอและสืบหาผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมระดับชุมชนอย่างลับๆ เนี่ยนะ ไม่ว่าคิดจนหัวแตกก็หาเหตุผลไม่เจอ
แต่มิณปรานต์จำต้องยอมรับ มันคือภารกิจ มันคือหน้าที่
ทว่าเรื่องวุ่นๆ ชวนอิ่มอุ่นหัวใจก็ถือกำเนิดขึ้นจนได้ เมื่อม่านหมอกแห่งกระสุนปืนโรยตัวลงปกคลุมอำเภอฟ้าศักดิ์ พร้อมๆ กับที่ปัญหาระดับชุมชนได้ลุกลามจนกำลังจะเป็นสาเหตุใหญ่ระดับประเทศ มิณปรานต์พบว่าเขาไม่ได้ปกป้องยัยหัวแข็งตามหน้าที่อีกแล้ว แต่เขากำลังโอบกอดเธอ เขากำลังคุ้มครองเธอจากอันตรายทั้งคนใกล้ตัวไกลตัวตามคำสั่ง... จากหัวใจของเขาเอง!
จนกระทั่งมาเจอเธอคนนี้!
ปินญาภัส สาวนักอนุรักษ์ธรรมชาติคนสวย เธอทั้งดื้อ อวดดี เชื่อมั่นในความดีจนน่าตลก
แต่ให้ตายเถอะ! หน่วยที่คอยขจัดอันตรายระดับชาติอย่างหน่วยเทวาพิทักษ์ ถึงกับต้องส่งสายลับระดับพระกาฬแบบเขา
เพื่อมาคุ้มครองเธอและสืบหาผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมระดับชุมชนอย่างลับๆ เนี่ยนะ ไม่ว่าคิดจนหัวแตกก็หาเหตุผลไม่เจอ
แต่มิณปรานต์จำต้องยอมรับ มันคือภารกิจ มันคือหน้าที่
ทว่าเรื่องวุ่นๆ ชวนอิ่มอุ่นหัวใจก็ถือกำเนิดขึ้นจนได้ เมื่อม่านหมอกแห่งกระสุนปืนโรยตัวลงปกคลุมอำเภอฟ้าศักดิ์ พร้อมๆ กับที่ปัญหาระดับชุมชนได้ลุกลามจนกำลังจะเป็นสาเหตุใหญ่ระดับประเทศ มิณปรานต์พบว่าเขาไม่ได้ปกป้องยัยหัวแข็งตามหน้าที่อีกแล้ว แต่เขากำลังโอบกอดเธอ เขากำลังคุ้มครองเธอจากอันตรายทั้งคนใกล้ตัวไกลตัวตามคำสั่ง... จากหัวใจของเขาเอง!
Tags: โรแมนติก แอ็คชั่น ดราม่า สายลับ กุ๊กกิ๊ก
ตอน: บทที่ 1
บทที่ 1
เฉดสีวูบวาบวิบวับของแสงไฟภายในผับดังกลางเมืองกรุงช่วยปรุงแต่งให้บรรดาหญิงสาว ซึ่งกำลังออกลีลาส่ายเอวพลิ้วบนเวทีเบื้องหน้ามิณปรานต์ขณะนี้ ดูสวยงามมากขึ้น น่าสัมผัสมากขึ้น และน่าพาขึ้นเตียงมากขึ้นตามลำดับของปริมาณแอลกอฮอลล์ที่เพิ่มมากขึ้นในเส้นเลือดของชายชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านตรงข้าม
“ปู่ ดึกแล้วยังไม่กลับอีกหรอ” ชายหนุ่มอดถามชายชราออกมาอีกครั้งไม่ได้
“กลับทำไม ยิ่งดึกสิดี เพื่อนปู่บอกว่าของดีๆ มักมาตอนดึกๆ ทั้งนั้น” โสรณค์ตอบหลานชายสีหน้ามีความสุข
มิณปรานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คร้านที่จะรบเร้าคนแก่นิสัยเด็ก ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาที่ขวดเบียร์บนโต๊ะ รินใส่แก้วให้ตัวเอง และยกขึ้นจิบพลางกวาดตามองรอบกายด้วยความเคยชิน
สายลับที่ผ่านการทำงานภาคสนามตั้งแต่อายุยี่สิบอย่างเขารู้ดีว่าไม่มีอะไรปลอดภัยมากไปกว่าการระแวดระวังทุกอย่างรอบตัวในทุกๆ วินาที เพราะบางครั้งเราไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหาปัญหา แต่ปัญหากลับเป็นฝ่ายมาหาเราเอง
ผับนี้มีขนาดใหญ่ ล่วงเข้าห้าทุ่มแล้วยังมีเหล่านักท่องราตรีทยอยเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคงถือเป็นเรื่องปกติสำหรับคืนวันศุกร์ หนุ่มสาววัยทำงานจำนวนไม่น้อยกำลังออกมาวาดลวดลายลีลาการเต้นเหมือนเก็บกดจากการใช้ชีวิตประจำวันขั้นหนักหน่วง
นี่คือหนทางหนึ่งแห่งการปลดปล่อยที่มิณปรานต์ไม่รู้จัก เขาคุ้นชินแต่กับการผ่อนคลายที่ได้อยู่กับบ้านเฉยๆ ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร อบขนมไปตามเรื่องตามราว หรือไม่ก็คว้าจักรยานออกไปปั่นเล่น
ชีวิตที่สงบสุข คือความปรารถนาของสายลับเดนตายเกือบทุกคน
แต่มิณปรานต์เคยคิดว่าหากเขาไม่ตัดสินใจเป็นสายลับที่มีรหัสประจำตัวว่านารท ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ?
“นี่เจ้ามิน ดูสิ มีสาวเหล่แกด้วย” ปู่บอกพอดีเมื่อชายหนุ่มหันกลับมากระดกเบียร์ในแก้วลงคอพรวดเดียวหมด
“เธอมองปู่หรือเปล่า ไม่ได้มองผมหรอกมั้ง” มิณปรานต์หัวเราะให้กับชายชราผู้ที่มีศักดิ์เป็นปู่ของแม่ แต่ไม่เคยยอมอนุญาตให้เขาเรียกว่าทวด
“นั่นไง เดินมาแล้ว มาแล้วๆๆ” โสรณค์เอื้อมมือข้ามโต๊ะมาแตะไหล่หลานหนุ่ม มิณปรานต์ชำเลืองมองไปด้านข้าง ก็เห็นหญิงสาวชุดเดรสสั้นเปิดไหล่เผยหน้าอกหน้าใจเดินเยื้องย่างเข้ามาหาอย่างเย้ายวน ปู่จอมซ่านั่นระริกระรี้บนเก้าอี้ หล่อนหยุดที่ข้างโต๊ะ ก้มมากระซิบชิดใกล้ใบหูของมิณปรานต์
“สนใจออกไปเต้นกันหน่อยไหมคะ รูปหล่อ”
หนุ่มหล่อเลิกคิ้วแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ มองเลยไปยังโต๊ะที่เธอเดินจากมา หญิงสาวอีกสามสี่คนซึ่งคงเป็นผีเสื้อราตรีเพื่อนหล่อนชะม้ายตามองมาที่เขาและกระซิบกระซาบหัวเราะคิกคัก
“พอดีไม่ถนัดเต้นซะด้วยสิครับ” มิณปรานต์ตอบ
“แล้วอย่างอื่นละคะ ถนัดหรือเปล่า”
มือเรียวบางแต่งแต้มเล็บยาวหลากสีสันไล้แผ่วเบาผ่านข้างแก้มลงมายังคอเสื้อเชิ้ตเบะปก เสื้อเชิ้ตที่กลัดกระดุมเพียงหลวมๆ คลุมทับเสื้อยืดสีดำด้านใน แผ่นอกกำยำบึกบึนพอดีตัวกับเสื้อยืดดูดีอย่างนักกีฬา หญิงสาวสยายรอยยิ้มพริ้มพราว สอดมือลงไปใต้เสื้อยืดเพื่อสัมผัสกับความล่ำสันของมิณปรานต์
“โอ๊ย จะเป็นลม” โสรณค์ยกมือกุมหัวแล้วทำท่าโงนเงนเหมือนจะตกเก้าอี้
“ปู่” มิณปรานต์ดึงมือเรียวออกจากเสื้อ ลุกพรวดจากเก้าอี้ปราดไปประคองชายชรา “เป็นอะไรครับ”
“ปู่อิจฉาแก ความเหงามันกำลังโจมตีหัวใจของปู่” โสรณค์พูดเสียงอ่อย หันไปขยิบตาให้ผีเสื้อราตรีสาวที่หมายตาหลานชาย
“แก่แล้วไม่อยู่ส่วนแก่ มาหัวงูใส่เด็กกูหรอไอ้บัดซบ”
เสียงนั้นตะโกนมาจากด้านหลังหญิงสาว เสียงนั้นดังมากพอที่จะดึงสมาธินักเต้นบริเวณข้างเคียงให้หลุดจากเสียงดนตรีก้องกระหึ่มและหันมามองเลิกลั่ก
โต๊ะของหญิงสาวที่นั่งด้วยเพื่อนๆ ของเธอเมื่อครู่ขณะนี้มีชายฉกรรจ์สามคนยืนถลึงตามองมาทางโต๊ะของมิณปรานต์ด้วยความโกรธ คนที่ยืนตรงกลางแต่งกายภูมิฐานลักษณะเป็น ‘อาเสี่ย’ ส่วนที่ยืนประกบสองข้างคือบอดีการ์ดร่างบึกบึน
โสรณค์นั่งหลังตรงตัวแข็งทื่อ ขณะหญิงสาวเล็บสวยหันขวับไปมองแล้วอุทานลั่น
“ป๋าคะ ป๋ามาได้ไง”
“ป๋ามาได้ไงไม่สำคัญ ตอนนี้ตอบป๋าเถอะ ไอ้สองตัวนี่เป็นใคร!” ผู้ถูกถามตวาดกลับ พยักหน้าส่งสัญญาณให้สองบอดีการ์ดเดินปรี่เข้ามาหาพวกเขา
มิณปรานต์หันสบตาชายชรา “ผมบอกให้ปู่รีบกลับก็ไม่เชื่อ”
“อื่อ” โสรณค์ครางในลำคอ “ปู่สัญญา ถ้ารอดไปได้ หลังจากนี้ปู่จะเชื่อฟังแกอย่างดีเลย”
หลังผับเป็นลานจอดรถกว้างใหญ่ ห่างออกมาไม่ไกลคือซอยที่มีไว้สำหรับทิ้งขยะ มันกว้างพอที่จะให้รถเก็บขยะถอยเข้าไปเก็บกวาด จึงไม่ต้องห่วงที่เสี่ยขี้หึงกับลูกน้องจะลากสองปู่หลานออกจากผับมาเหวี่ยงให้ไปยืนหน้าถังขยะขนาดใหญ่ได้อย่างไร้ปัญหา
อาศัยแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าในซอย มิณปรานต์จึงเห็นว่าที่เอวของบอดีการ์ดคนซ้ายมือ คาดปืนพกสั้นไว้หนึ่งกระบอก
“เด็กกูคนนี้กูรักมาก มึงมีสิทธิ์อะไรมาแย่งกู!” เสี่ยเสื้อลายคำรามเสียงต่ำ หญิงสาวผู้เป็นต้นเหตุถูกกระชากศีรษะใบหน้าหงายเริ่ด ตัวสั่นด้วยความวิตก เพื่อนของหล่อนต่างก็หนีกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว
โสรณค์ละล่ำละลักขณะหลานชายช่วยพยุงให้ยืนตัวตรง “พี่ไม่เกี่ยวนะน้องชาย เด็กน้องมาแอ้วหลานพี่ก่อน”
“พี่พ่อมึงสิ แก่กว่าพ่อกูอีกไอ้ห่า” อาเสี่ยหัวเราะเหยียดหยัน
“พูดอะไรให้ความเคารพปู่ผมด้วยเสี่ย พวกผมไม่ได้มีเจตนาไปยุ่งกับเด็กเสี่ยจริงๆ” มิณปรานต์ดันปู่ให้หลบไปยืนด้านหลัง “ไม่เชื่อถามเด็กเสี่ยดูสิ”
หญิงสาวผีเสื้อราตรีส่ายหน้าร้อนรน “เปล่านะคะป๋า พี่เค้าเรียกให้วาวาไปหา วาวากะจะมาหาอะไรดื่มกับเพื่อนเล่นๆ แก้เซ็งเองนะคะ”
มิณปรานต์กรอกตามองค้อนหญิงสาวนามวาวาอย่างเหนื่อยหน่าย
“หน็อย งั้นกระทืบมัน บุ๋มบิ๋ม” เสี่ยขี้หึงพยักเพยิดบอกลูกน้อง บอดีการ์ดที่คาดปืนกับเอวย่างสามขุมเข้ามาหาสองปู่หลาน
มิณปรานต์ถอนหายใจ ทว่าเพียงบอดีการ์ดบุ๋มบิ๋มเคลื่อนกายมาใกล้ เขาก็ถลันเข้าชักปืนออกจากเอวมาชี้หน้าหน้าตาเฉย
ท่าทางการจับปืนของชายหนุ่มบอกถึงความเป็นมืออาชีพที่อันตราย บอดีการ์ดบุ๋มบิ๋มชะงักกึก เพื่อนบอดีการ์ดอีกคนปราดเข้ามาพร้อมชักมีดสวิสออกจากกระเป๋าเสื้อพุ่งแทงมิณปรานต์ แต่เขาก็เบี่ยงกายหลบ และจัดการปลดอาวุธด้วยหมัดซ้ายฮุคใส่ชายโครงสามหมัดซ้อน ก่อนเหวี่ยงกำปั้นเข้ากกหูเน้นหนัก
ร่างของบอดีการ์ดมือมีดร่วงวูบลงไปสลบบนพื้น
บอดีการ์ดบุ๋มบิ๋มยืนรั้งๆ รอๆ ด้วยเกรงกลัวปืนของตัวเองที่อยู่ในมือมิณปรานต์ สายลับหนุ่มดูออกว่าบอดีการ์ดของฝ่ายผู้หาเรื่องทั้งสองคนมาทำหน้าที่ได้ก็เพราะตัวใหญ่กับหน้าตาเหี้ยมโหดเท่านั้น แต่พวกเขาไม่มีทักษะการต่อสู้ที่ถูกต้องแม้แต่ขั้นพื้นฐาน
ดังนั้น เมื่อเสี่ยขี้หึงออกคำสั่งให้บุ๋มบิ๋มจัดการเขา จึงไม่ใช่งานที่ยากไปกว่าการพลิกฝ่ามือสำหรับมิณปรานต์ เขาส่งบอดีการ์ดบุ๋มบิ๋มลงไปนอนสลบเคียงข้างเพื่อนร่วมอาชีพในวินาทีถัดมาด้วยทักษะของมวยจีน ท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมของปู่โสรณค์
“เอาละเสี่ย ปล่อยผู้หญิงมาก่อน” ชายหนุ่มยกปืนชี้ไปที่เสี่ยเสื้อลาย ปืนในมือเขาคือสิ่งที่ทำให้เสี่ยทำตามคำสั่งเป็นอย่างดี
หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าวาวาได้รับการปล่อยตัว หล่อนรีบถลามาหลบหลังเขาทันที
“ต้องการอะไรอีก” อาเสี่ยร่างอ้วนเสียงสั่น สองมือยกขึ้นเหนือหัวเป็นเชิงยอมแพ้โดยอัตโนมัติ
มิณปรานต์ยิ้มหยัน “ขอโทษปู่ผมซะ”
“ผมขอโทษนะพี่ชาย ที่เมื่อกี้พูดจาลามปามไปหน่อย พี่ชายคงไม่โกรธผมนะ” เสี่ยขี้หึงชะโงกหน้าพูดอ้อนวอนกับชายชราที่ยืนอยู่หลังสุดอย่างสิ้นท่า
“พี่ชายพ่อมึงสิ กูแก่กว่าพ่อมึงอีก” โสรณณ์ขบขันท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของอีกฝ่าย เขาเอื้อมมือแตะข้อศอกหลานชาย “พอเถอะเจ้ามิน เราไปกันดีกว่า”
แต่มิณปรานต์ไม่ลดปืนลง “ถอดเสื้อผ้าและของมีค่าทั้งหมดของเสี่ย แล้วโยนไปตรงนั้น”
ชายหนุ่มวาดปืนไปบนพื้นติดกำแพงของซอย ก่อนจะเบนปลายปืนกลับมาชี้ที่เสี่ยร่างอ้วนอีกครั้ง
“นี่จะปล้นกันใช่ไหม” อาเสี่ยงงเป็นไก่ตาแตก
“เสี่ยมีปัญหาหรอ” มิณปรานต์ขึ้นเสียงเข้ม
“ไม่มี! ไม่มีปัญหา” พร้อมคำตอบ เสี่ยร่างอ้วนก็รูดแหวนปลดสร้อยถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดจนเหลือแต่กางเกงชั้นในตัวเดียวโยนข้าวของไปกองที่กำแพงด้านตรงข้าม
“ดี ทีนี้เดินมานี่” มิณปรานต์ชี้ปืนให้เสี่ยผู้โชคร้ายเดินเข้ามาหา เมื่อเสี่ยเข้ามาใกล้ก็ยิ่งเบ้หน้าเพราะเหม็นกลิ่นขยะ ชายหนุ่มไม่ลังเลที่จะสั่ง “ปีนลงไปในถังขยะ”
“หา”
“เดี๋ยวนี้!”
เมื่อมิณปรานต์เค้นเสียงหนักอาเสี่ยก็ลนลานปีนขึ้นถังขยะสีเหลืองใบใหญ่นั้นอย่างงุ่มง่าม มันเป็นถังขยะสูงหนึ่งเมตรครึ่งทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าไร้ฝาปิด อัดแน่นเหม็นหึ่งด้วยของเสียทั้งขยะแห้งขยะเปียกปนเปกันไปหมด มิณปรานต์รอให้อาเสี่ยลงไปอยู่ในหมู่มวลขยะเหล่านั้นและโผล่พ้นขอบถังออกมาแค่ศีรษะเรียบร้อย ก็หันมากล่าวกับวาวา
“หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ”
“อะไรคะ” ผีเสื้อราตรีสาวเลิกคิ้วสูง สีหน้างงงัน
มิณปรานต์ไม่ตอบ เขาพยักหน้ากับผู้เป็นปู่ โยนปืนที่ยึดมาได้จากบอดีการ์ดบุ๋มบิ๋มทิ้งไว้กับกองเสื้อผ้าของเสี่ยร่างอ้วน และพากันเดินออกมาจากซอยเล็กแคบแสงไฟริบหรี่
สองปู่หลานกลับเข้าสู่รถยนต์เอสยูวีที่อยู่ในลานจอดด้านหลังผับ มิณปรานต์สอดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ ปู่ของเขานั่งบนเบาะผู้โดยสารด้านหลังปากพึมพำชื่นชมฝีมือการต่อสู้ของหลานชายไม่หยุด ก่อนจะสำทับปิดท้ายว่าเข็ดขยาดแล้วกับการมาเที่ยวในสถานที่ๆ ไม่ใช่ยุคสมัยของตัวเอง
“ผมก็บอกปู่แล้ว เป็นไงล่ะดื้อไม่เชื่อกัน” มิณปรานต์พูดไม่เชิงดุ ออกจะสงสารเล็กน้อยด้วยซ้ำ เพราะภารกิจภาคสนามแต่ละครั้งก็ใช้เวลาไม่น้อยไปกว่าเศษหนึ่งส่วนสี่ของปี ทำให้เวลาที่จะได้อยู่กับปู่โสรณค์ ญาติคนเดียวที่เขาเหลืออยู่บนโลกใบนี้มีอย่างจำกัดจำเขี่ย เมื่อปู่บอกว่าอยากไปเที่ยวไหน หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงเขาก็จะพาไปให้ทั้งนั้น
ตัวเลขนาฬิกาดิจิตอลบนแผงคอนโซลหน้ารถระบุเวลาเที่ยงคืนกว่า มิณปรานต์เลื่อนมือขยับเกียร์ หมุนพวงมาลัยแตะเท้าบนคันเร่ง รถยนต์เคลื่อนออกจากที่ด้วยความนุ่มนวล อีกสิบนาทีให้หลัง ชายหนุ่มก็ใช้เส้นทางพิเศษศรีรัชไปยังทางออก 2 – 02 สำหรับเข้าสู่ถนนพระรามเก้า และมาจอดติดไฟแดงระหว่างมุ่งหน้ากลับบ้านพักของพวกเขาย่านห้วยขวาง
กรุงเทพคือเมืองที่น่าทึ่ง แม้ว่าขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศกำลังใกล้พินาศเต็มทีและผับบาร์หลายร้านก็ทยอยปิดกิจการลง แต่นักท่องราตรีจำนวนมากก็ยังคงออกมาแสวงหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ นั่นอาจหมายถึงหญิงสาว ชายหนุ่ม คู่นอน คนรัก เงินทอง งานพิเศษ หรือแม้แต่คำว่า ความหมายของชีวิต
เสียงโทรศัพท์มือถือกรีดร้องออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต มิณปรานต์ดูเวลาของสัญญาณไฟแดงว่ามีมากพอสำหรับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ เบอร์โทรศัพท์ชนิดไม่แสดงหมายเลขปรากฏในสายตา เขากดรับพลางแค่นหัวเราะฝืด เสียงราบเรียบที่หลอกหลอนหูดังขึ้น
“สวัสดี นารท นายมีภารกิจใหม่ มาพบเราก่อนห้านาฬิกาเช้านี้ ที่ๆ นายก็รู้ดีว่าที่ไหน”
แล้วสัญญาณก็ขาดหายไป
“ปู่ สงสัยผมจะพาปู่ไปเที่ยวทะเลไม่ได้แล้วละ” มิณปรานต์พูดกับพวงมาลัยขณะสอดสมาร์ทโฟนกลับใส่กระเป๋า แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ จึงชำเลืองมองกระจกส่องหลัง
และพบว่าปู่โสรณค์กำลังนั่งสัปหงกอยู่บนเบาะหลังเสียแล้ว
เฉดสีวูบวาบวิบวับของแสงไฟภายในผับดังกลางเมืองกรุงช่วยปรุงแต่งให้บรรดาหญิงสาว ซึ่งกำลังออกลีลาส่ายเอวพลิ้วบนเวทีเบื้องหน้ามิณปรานต์ขณะนี้ ดูสวยงามมากขึ้น น่าสัมผัสมากขึ้น และน่าพาขึ้นเตียงมากขึ้นตามลำดับของปริมาณแอลกอฮอลล์ที่เพิ่มมากขึ้นในเส้นเลือดของชายชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านตรงข้าม
“ปู่ ดึกแล้วยังไม่กลับอีกหรอ” ชายหนุ่มอดถามชายชราออกมาอีกครั้งไม่ได้
“กลับทำไม ยิ่งดึกสิดี เพื่อนปู่บอกว่าของดีๆ มักมาตอนดึกๆ ทั้งนั้น” โสรณค์ตอบหลานชายสีหน้ามีความสุข
มิณปรานต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ คร้านที่จะรบเร้าคนแก่นิสัยเด็ก ชายหนุ่มหันหน้ากลับมาที่ขวดเบียร์บนโต๊ะ รินใส่แก้วให้ตัวเอง และยกขึ้นจิบพลางกวาดตามองรอบกายด้วยความเคยชิน
สายลับที่ผ่านการทำงานภาคสนามตั้งแต่อายุยี่สิบอย่างเขารู้ดีว่าไม่มีอะไรปลอดภัยมากไปกว่าการระแวดระวังทุกอย่างรอบตัวในทุกๆ วินาที เพราะบางครั้งเราไม่ได้เป็นฝ่ายเข้าหาปัญหา แต่ปัญหากลับเป็นฝ่ายมาหาเราเอง
ผับนี้มีขนาดใหญ่ ล่วงเข้าห้าทุ่มแล้วยังมีเหล่านักท่องราตรีทยอยเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคงถือเป็นเรื่องปกติสำหรับคืนวันศุกร์ หนุ่มสาววัยทำงานจำนวนไม่น้อยกำลังออกมาวาดลวดลายลีลาการเต้นเหมือนเก็บกดจากการใช้ชีวิตประจำวันขั้นหนักหน่วง
นี่คือหนทางหนึ่งแห่งการปลดปล่อยที่มิณปรานต์ไม่รู้จัก เขาคุ้นชินแต่กับการผ่อนคลายที่ได้อยู่กับบ้านเฉยๆ ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร อบขนมไปตามเรื่องตามราว หรือไม่ก็คว้าจักรยานออกไปปั่นเล่น
ชีวิตที่สงบสุข คือความปรารถนาของสายลับเดนตายเกือบทุกคน
แต่มิณปรานต์เคยคิดว่าหากเขาไม่ตัดสินใจเป็นสายลับที่มีรหัสประจำตัวว่านารท ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ?
“นี่เจ้ามิน ดูสิ มีสาวเหล่แกด้วย” ปู่บอกพอดีเมื่อชายหนุ่มหันกลับมากระดกเบียร์ในแก้วลงคอพรวดเดียวหมด
“เธอมองปู่หรือเปล่า ไม่ได้มองผมหรอกมั้ง” มิณปรานต์หัวเราะให้กับชายชราผู้ที่มีศักดิ์เป็นปู่ของแม่ แต่ไม่เคยยอมอนุญาตให้เขาเรียกว่าทวด
“นั่นไง เดินมาแล้ว มาแล้วๆๆ” โสรณค์เอื้อมมือข้ามโต๊ะมาแตะไหล่หลานหนุ่ม มิณปรานต์ชำเลืองมองไปด้านข้าง ก็เห็นหญิงสาวชุดเดรสสั้นเปิดไหล่เผยหน้าอกหน้าใจเดินเยื้องย่างเข้ามาหาอย่างเย้ายวน ปู่จอมซ่านั่นระริกระรี้บนเก้าอี้ หล่อนหยุดที่ข้างโต๊ะ ก้มมากระซิบชิดใกล้ใบหูของมิณปรานต์
“สนใจออกไปเต้นกันหน่อยไหมคะ รูปหล่อ”
หนุ่มหล่อเลิกคิ้วแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ มองเลยไปยังโต๊ะที่เธอเดินจากมา หญิงสาวอีกสามสี่คนซึ่งคงเป็นผีเสื้อราตรีเพื่อนหล่อนชะม้ายตามองมาที่เขาและกระซิบกระซาบหัวเราะคิกคัก
“พอดีไม่ถนัดเต้นซะด้วยสิครับ” มิณปรานต์ตอบ
“แล้วอย่างอื่นละคะ ถนัดหรือเปล่า”
มือเรียวบางแต่งแต้มเล็บยาวหลากสีสันไล้แผ่วเบาผ่านข้างแก้มลงมายังคอเสื้อเชิ้ตเบะปก เสื้อเชิ้ตที่กลัดกระดุมเพียงหลวมๆ คลุมทับเสื้อยืดสีดำด้านใน แผ่นอกกำยำบึกบึนพอดีตัวกับเสื้อยืดดูดีอย่างนักกีฬา หญิงสาวสยายรอยยิ้มพริ้มพราว สอดมือลงไปใต้เสื้อยืดเพื่อสัมผัสกับความล่ำสันของมิณปรานต์
“โอ๊ย จะเป็นลม” โสรณค์ยกมือกุมหัวแล้วทำท่าโงนเงนเหมือนจะตกเก้าอี้
“ปู่” มิณปรานต์ดึงมือเรียวออกจากเสื้อ ลุกพรวดจากเก้าอี้ปราดไปประคองชายชรา “เป็นอะไรครับ”
“ปู่อิจฉาแก ความเหงามันกำลังโจมตีหัวใจของปู่” โสรณค์พูดเสียงอ่อย หันไปขยิบตาให้ผีเสื้อราตรีสาวที่หมายตาหลานชาย
“แก่แล้วไม่อยู่ส่วนแก่ มาหัวงูใส่เด็กกูหรอไอ้บัดซบ”
เสียงนั้นตะโกนมาจากด้านหลังหญิงสาว เสียงนั้นดังมากพอที่จะดึงสมาธินักเต้นบริเวณข้างเคียงให้หลุดจากเสียงดนตรีก้องกระหึ่มและหันมามองเลิกลั่ก
โต๊ะของหญิงสาวที่นั่งด้วยเพื่อนๆ ของเธอเมื่อครู่ขณะนี้มีชายฉกรรจ์สามคนยืนถลึงตามองมาทางโต๊ะของมิณปรานต์ด้วยความโกรธ คนที่ยืนตรงกลางแต่งกายภูมิฐานลักษณะเป็น ‘อาเสี่ย’ ส่วนที่ยืนประกบสองข้างคือบอดีการ์ดร่างบึกบึน
โสรณค์นั่งหลังตรงตัวแข็งทื่อ ขณะหญิงสาวเล็บสวยหันขวับไปมองแล้วอุทานลั่น
“ป๋าคะ ป๋ามาได้ไง”
“ป๋ามาได้ไงไม่สำคัญ ตอนนี้ตอบป๋าเถอะ ไอ้สองตัวนี่เป็นใคร!” ผู้ถูกถามตวาดกลับ พยักหน้าส่งสัญญาณให้สองบอดีการ์ดเดินปรี่เข้ามาหาพวกเขา
มิณปรานต์หันสบตาชายชรา “ผมบอกให้ปู่รีบกลับก็ไม่เชื่อ”
“อื่อ” โสรณค์ครางในลำคอ “ปู่สัญญา ถ้ารอดไปได้ หลังจากนี้ปู่จะเชื่อฟังแกอย่างดีเลย”
หลังผับเป็นลานจอดรถกว้างใหญ่ ห่างออกมาไม่ไกลคือซอยที่มีไว้สำหรับทิ้งขยะ มันกว้างพอที่จะให้รถเก็บขยะถอยเข้าไปเก็บกวาด จึงไม่ต้องห่วงที่เสี่ยขี้หึงกับลูกน้องจะลากสองปู่หลานออกจากผับมาเหวี่ยงให้ไปยืนหน้าถังขยะขนาดใหญ่ได้อย่างไร้ปัญหา
อาศัยแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าในซอย มิณปรานต์จึงเห็นว่าที่เอวของบอดีการ์ดคนซ้ายมือ คาดปืนพกสั้นไว้หนึ่งกระบอก
“เด็กกูคนนี้กูรักมาก มึงมีสิทธิ์อะไรมาแย่งกู!” เสี่ยเสื้อลายคำรามเสียงต่ำ หญิงสาวผู้เป็นต้นเหตุถูกกระชากศีรษะใบหน้าหงายเริ่ด ตัวสั่นด้วยความวิตก เพื่อนของหล่อนต่างก็หนีกระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว
โสรณค์ละล่ำละลักขณะหลานชายช่วยพยุงให้ยืนตัวตรง “พี่ไม่เกี่ยวนะน้องชาย เด็กน้องมาแอ้วหลานพี่ก่อน”
“พี่พ่อมึงสิ แก่กว่าพ่อกูอีกไอ้ห่า” อาเสี่ยหัวเราะเหยียดหยัน
“พูดอะไรให้ความเคารพปู่ผมด้วยเสี่ย พวกผมไม่ได้มีเจตนาไปยุ่งกับเด็กเสี่ยจริงๆ” มิณปรานต์ดันปู่ให้หลบไปยืนด้านหลัง “ไม่เชื่อถามเด็กเสี่ยดูสิ”
หญิงสาวผีเสื้อราตรีส่ายหน้าร้อนรน “เปล่านะคะป๋า พี่เค้าเรียกให้วาวาไปหา วาวากะจะมาหาอะไรดื่มกับเพื่อนเล่นๆ แก้เซ็งเองนะคะ”
มิณปรานต์กรอกตามองค้อนหญิงสาวนามวาวาอย่างเหนื่อยหน่าย
“หน็อย งั้นกระทืบมัน บุ๋มบิ๋ม” เสี่ยขี้หึงพยักเพยิดบอกลูกน้อง บอดีการ์ดที่คาดปืนกับเอวย่างสามขุมเข้ามาหาสองปู่หลาน
มิณปรานต์ถอนหายใจ ทว่าเพียงบอดีการ์ดบุ๋มบิ๋มเคลื่อนกายมาใกล้ เขาก็ถลันเข้าชักปืนออกจากเอวมาชี้หน้าหน้าตาเฉย
ท่าทางการจับปืนของชายหนุ่มบอกถึงความเป็นมืออาชีพที่อันตราย บอดีการ์ดบุ๋มบิ๋มชะงักกึก เพื่อนบอดีการ์ดอีกคนปราดเข้ามาพร้อมชักมีดสวิสออกจากกระเป๋าเสื้อพุ่งแทงมิณปรานต์ แต่เขาก็เบี่ยงกายหลบ และจัดการปลดอาวุธด้วยหมัดซ้ายฮุคใส่ชายโครงสามหมัดซ้อน ก่อนเหวี่ยงกำปั้นเข้ากกหูเน้นหนัก
ร่างของบอดีการ์ดมือมีดร่วงวูบลงไปสลบบนพื้น
บอดีการ์ดบุ๋มบิ๋มยืนรั้งๆ รอๆ ด้วยเกรงกลัวปืนของตัวเองที่อยู่ในมือมิณปรานต์ สายลับหนุ่มดูออกว่าบอดีการ์ดของฝ่ายผู้หาเรื่องทั้งสองคนมาทำหน้าที่ได้ก็เพราะตัวใหญ่กับหน้าตาเหี้ยมโหดเท่านั้น แต่พวกเขาไม่มีทักษะการต่อสู้ที่ถูกต้องแม้แต่ขั้นพื้นฐาน
ดังนั้น เมื่อเสี่ยขี้หึงออกคำสั่งให้บุ๋มบิ๋มจัดการเขา จึงไม่ใช่งานที่ยากไปกว่าการพลิกฝ่ามือสำหรับมิณปรานต์ เขาส่งบอดีการ์ดบุ๋มบิ๋มลงไปนอนสลบเคียงข้างเพื่อนร่วมอาชีพในวินาทีถัดมาด้วยทักษะของมวยจีน ท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมของปู่โสรณค์
“เอาละเสี่ย ปล่อยผู้หญิงมาก่อน” ชายหนุ่มยกปืนชี้ไปที่เสี่ยเสื้อลาย ปืนในมือเขาคือสิ่งที่ทำให้เสี่ยทำตามคำสั่งเป็นอย่างดี
หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่าวาวาได้รับการปล่อยตัว หล่อนรีบถลามาหลบหลังเขาทันที
“ต้องการอะไรอีก” อาเสี่ยร่างอ้วนเสียงสั่น สองมือยกขึ้นเหนือหัวเป็นเชิงยอมแพ้โดยอัตโนมัติ
มิณปรานต์ยิ้มหยัน “ขอโทษปู่ผมซะ”
“ผมขอโทษนะพี่ชาย ที่เมื่อกี้พูดจาลามปามไปหน่อย พี่ชายคงไม่โกรธผมนะ” เสี่ยขี้หึงชะโงกหน้าพูดอ้อนวอนกับชายชราที่ยืนอยู่หลังสุดอย่างสิ้นท่า
“พี่ชายพ่อมึงสิ กูแก่กว่าพ่อมึงอีก” โสรณณ์ขบขันท่าทางที่เปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือของอีกฝ่าย เขาเอื้อมมือแตะข้อศอกหลานชาย “พอเถอะเจ้ามิน เราไปกันดีกว่า”
แต่มิณปรานต์ไม่ลดปืนลง “ถอดเสื้อผ้าและของมีค่าทั้งหมดของเสี่ย แล้วโยนไปตรงนั้น”
ชายหนุ่มวาดปืนไปบนพื้นติดกำแพงของซอย ก่อนจะเบนปลายปืนกลับมาชี้ที่เสี่ยร่างอ้วนอีกครั้ง
“นี่จะปล้นกันใช่ไหม” อาเสี่ยงงเป็นไก่ตาแตก
“เสี่ยมีปัญหาหรอ” มิณปรานต์ขึ้นเสียงเข้ม
“ไม่มี! ไม่มีปัญหา” พร้อมคำตอบ เสี่ยร่างอ้วนก็รูดแหวนปลดสร้อยถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดจนเหลือแต่กางเกงชั้นในตัวเดียวโยนข้าวของไปกองที่กำแพงด้านตรงข้าม
“ดี ทีนี้เดินมานี่” มิณปรานต์ชี้ปืนให้เสี่ยผู้โชคร้ายเดินเข้ามาหา เมื่อเสี่ยเข้ามาใกล้ก็ยิ่งเบ้หน้าเพราะเหม็นกลิ่นขยะ ชายหนุ่มไม่ลังเลที่จะสั่ง “ปีนลงไปในถังขยะ”
“หา”
“เดี๋ยวนี้!”
เมื่อมิณปรานต์เค้นเสียงหนักอาเสี่ยก็ลนลานปีนขึ้นถังขยะสีเหลืองใบใหญ่นั้นอย่างงุ่มง่าม มันเป็นถังขยะสูงหนึ่งเมตรครึ่งทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าไร้ฝาปิด อัดแน่นเหม็นหึ่งด้วยของเสียทั้งขยะแห้งขยะเปียกปนเปกันไปหมด มิณปรานต์รอให้อาเสี่ยลงไปอยู่ในหมู่มวลขยะเหล่านั้นและโผล่พ้นขอบถังออกมาแค่ศีรษะเรียบร้อย ก็หันมากล่าวกับวาวา
“หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ”
“อะไรคะ” ผีเสื้อราตรีสาวเลิกคิ้วสูง สีหน้างงงัน
มิณปรานต์ไม่ตอบ เขาพยักหน้ากับผู้เป็นปู่ โยนปืนที่ยึดมาได้จากบอดีการ์ดบุ๋มบิ๋มทิ้งไว้กับกองเสื้อผ้าของเสี่ยร่างอ้วน และพากันเดินออกมาจากซอยเล็กแคบแสงไฟริบหรี่
สองปู่หลานกลับเข้าสู่รถยนต์เอสยูวีที่อยู่ในลานจอดด้านหลังผับ มิณปรานต์สอดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ ปู่ของเขานั่งบนเบาะผู้โดยสารด้านหลังปากพึมพำชื่นชมฝีมือการต่อสู้ของหลานชายไม่หยุด ก่อนจะสำทับปิดท้ายว่าเข็ดขยาดแล้วกับการมาเที่ยวในสถานที่ๆ ไม่ใช่ยุคสมัยของตัวเอง
“ผมก็บอกปู่แล้ว เป็นไงล่ะดื้อไม่เชื่อกัน” มิณปรานต์พูดไม่เชิงดุ ออกจะสงสารเล็กน้อยด้วยซ้ำ เพราะภารกิจภาคสนามแต่ละครั้งก็ใช้เวลาไม่น้อยไปกว่าเศษหนึ่งส่วนสี่ของปี ทำให้เวลาที่จะได้อยู่กับปู่โสรณค์ ญาติคนเดียวที่เขาเหลืออยู่บนโลกใบนี้มีอย่างจำกัดจำเขี่ย เมื่อปู่บอกว่าอยากไปเที่ยวไหน หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงเขาก็จะพาไปให้ทั้งนั้น
ตัวเลขนาฬิกาดิจิตอลบนแผงคอนโซลหน้ารถระบุเวลาเที่ยงคืนกว่า มิณปรานต์เลื่อนมือขยับเกียร์ หมุนพวงมาลัยแตะเท้าบนคันเร่ง รถยนต์เคลื่อนออกจากที่ด้วยความนุ่มนวล อีกสิบนาทีให้หลัง ชายหนุ่มก็ใช้เส้นทางพิเศษศรีรัชไปยังทางออก 2 – 02 สำหรับเข้าสู่ถนนพระรามเก้า และมาจอดติดไฟแดงระหว่างมุ่งหน้ากลับบ้านพักของพวกเขาย่านห้วยขวาง
กรุงเทพคือเมืองที่น่าทึ่ง แม้ว่าขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศกำลังใกล้พินาศเต็มทีและผับบาร์หลายร้านก็ทยอยปิดกิจการลง แต่นักท่องราตรีจำนวนมากก็ยังคงออกมาแสวงหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ นั่นอาจหมายถึงหญิงสาว ชายหนุ่ม คู่นอน คนรัก เงินทอง งานพิเศษ หรือแม้แต่คำว่า ความหมายของชีวิต
เสียงโทรศัพท์มือถือกรีดร้องออกมาจากกระเป๋าเสื้อเชิ้ต มิณปรานต์ดูเวลาของสัญญาณไฟแดงว่ามีมากพอสำหรับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ เบอร์โทรศัพท์ชนิดไม่แสดงหมายเลขปรากฏในสายตา เขากดรับพลางแค่นหัวเราะฝืด เสียงราบเรียบที่หลอกหลอนหูดังขึ้น
“สวัสดี นารท นายมีภารกิจใหม่ มาพบเราก่อนห้านาฬิกาเช้านี้ ที่ๆ นายก็รู้ดีว่าที่ไหน”
แล้วสัญญาณก็ขาดหายไป
“ปู่ สงสัยผมจะพาปู่ไปเที่ยวทะเลไม่ได้แล้วละ” มิณปรานต์พูดกับพวงมาลัยขณะสอดสมาร์ทโฟนกลับใส่กระเป๋า แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับ จึงชำเลืองมองกระจกส่องหลัง
และพบว่าปู่โสรณค์กำลังนั่งสัปหงกอยู่บนเบาะหลังเสียแล้ว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ส.ค. 2558, 12:09:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ส.ค. 2558, 12:09:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 748
<< บทนำ | บทที่ 2 >> |