ในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
เรื่องราวการเดินทางเพื่อเยียวยาหัวใจ ของผู้หญิงที่ดื้อรั้นและพยศกว่าม้าป่า รักอิสระกว่าอินทรี และเปราะบาง...กว่าตุ๊กตาแก้ว...
หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ
หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ
หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ
หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ
หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
Tags: ภูฏาน มังกรสายฟ้า การเดินทาง ความรัก ศัลยแพทย์
ตอน: Punaka Zdong
หลังออกจากวัดชิมิลาคัง เนมาขอให้ทุกคนเร่งเดินทางเพื่อไปชมพูนาคาซองต่อ ไกด์หนุ่มอธิบายว่าป้อมปราการแห่งนี้จะปิดทำการในเวลาห้านาฬิกา ทั้งคณะจึงเร่งฝีเท้าเดินกลับมาที่รถ เมื่อขึ้นรถได้ต่างก็หอบไปตาม ๆ กัน อัญญาเปิดหน้าต่างข้างรถกว้างให้ลมพัดเข้ามาดับความร้อน เหลือบมองทาชิที่ดูไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าแม้แต่น้อยแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้
เกิดเป็นผู้ชายนี่ดีจริง ๆ เลยนะ
รถตู้ออกเดินทางอีกครั้ง เลียบแนวผาเตี้ย ๆ ไปตามทางขนานลำน้ำไปยังจุดที่แม่น้ำมาบรรจบกัน เป็นที่ตั้งของป้อมปราการที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในภูฏาน
“นั่นโพชูกับโมชูครับ ชูคือแม่น้ำ” เนมาชี้ให้ดูแม่น้ำสองสาย ก่อนจะชี้ไปยังป้อมปราการที่อยู่อีกฟากหนึ่ง
“นั่นพูนาคาซองครับ...เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นเป็นแห่งที่สองในภูฏาน ช่วงปี 1637 ได้ชื่อว่าเป็นป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดในภูฏาน ในอดีตเคยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองเหมือนทาชิโช จนเราย้ายราชธานีไปที่ทิมพู แต่พูนาคาซองในฐานะศูนย์กลางทางศาสนาและเป็นที่รักษาสมบัติสำคัญของชาติ”
“คุณจำชับดรุงงาวังนัมเกลได้ไหมครับ ท่านเป็นเจ้าชายจากฑิเบตที่เข้ามารวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ ทำให้ภูฏานรวมเป็นแผ่นดินเดียว เมื่อท่านละสังขาร กระดูกต้นคอของท่านกลายเป็นทองคำ ถ้ามองเข้าไปจะเห็น god of compassion อยู่ในนั้น เราเชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติของชาติ ถูกรักษาไว้ที่นี่”
รถจอดลงที่ลานจอด มีรถของนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยจอดอยู่ก่อนแล้ว เนมาเปิดประตูให้ทุกคนลงมาจากรถ จากลานจอดรถ เป็นป้อมเล็ก ๆที่มีสะพานไม้เชื่อมไปสู่พูนาคาซอง
เนมาเดินนำทุกคนเข้าไปด้านใน ผ่านสะพานไม้สีแดงที่เขียนลวดลายตบแต่งสวยงามตรงไปยังป้อมปราการสีขาวกว้างใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งแม่น้ำ
สายลมเย็นจัดพัดเอาไอน้ำจากแม่น้ำเชี่ยวกรากผ่านมาแตะร่าง อัญญาฉีกยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ
“เย็นดีจังเลยค่ะ”
“พวกคุณโชคดี...กรุ๊ปที่แล้วที่ผมพามาลมไม่เย็นอย่างนี้ อากาศค่อนข้างร้อนอ้าวมากทีเดียว” เนมาบอก
จากสะพานข้ามมาอีกฝั่ง มีประตูไม้เล็ก ๆ อยู่ซ้ายมือ ทาชิเรียกอัญญาให้หยุดดู บอกว่าหลังประตูนั้นมีสนามยิงธนู ซึ่งเป็นกีฬาประจำชาติ
หญิงสาวตาโต มองอย่างสนใจ “คุณยิงเป็นไหม”
“ถ้าคุณอยากลอง ผมจะสอนให้”
“จริงเหรอคะ” หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มตาวาว ถ้ามีหูเหมือนสุนัข ทาชิเชื่อว่าหูเธอคงตั้ง หางเธอคงชี้กระดิกไปมาอย่างออดอ้อน
แล้วอยู่ดี ๆ หูตั้ง ๆ ก็ลู่ลง พร้อมกับแววตาที่หลุบมองพื้น “แต่อัญต้องไปตามเวลาของทัวร์ คงไม่มีเวลาไปลอง”
ทาชิถอนใจ เดินตามหญิงสาวไปที่ด้านหน้าสุดของป้อมสีขาวสะอาด เนมาชี้ให้ทุกคนมองไปด้านบน รังผื้งหลวงรังใหญ่หลายรังเกาะอยู่ที่บัวไม้ประดับด้านบน
“เราเชื่อว่าที่ไหนผึ้งไปทำรัง ที่นั่นจะมีแต่ความโชคดี”
“เหมือนเมืองไทยเลยนะคะ” คุณนิภาหันมาบอก
ทางขึ้นด้านหน้าเป็นบันไดสีขาวกว้าง มีซากผึ้งหลวงที่ร่วงลงมาอยู่ประปราย คุณนิภาเตือนให้ทุกคนเดินอย่างระวัง สูงขึ้นไปเป็นบันไดไม้ค่อนข้างชันทอดไปสู่เรือนด้านบน ขั้นบันไดแคบ มีสามทางคั่นด้วยราวไม้ ตรงกลางกั้นด้วยเชือกสีเหลืองทอง
“เราต้องขึ้นทางด้านข้าง ตรงกลางเป็นเขตหวงห้ามนะครับ” เนมาบอก เขาหันมาช่วยประคองคุณพรรณีเดินขึ้นไปช้า ๆ
เมื่อก้าวมาถึงด้านบน สองข้างติดกงล้อมนตราสีเหลืองทองเอาไว้เหมือนป้อมปราการอื่น ๆ เนมาย้ำถึงวัตถุประสงค์ 3 ด้านในการสร้างป้อมปราการทุกแห่ง คือด้านการเมืองการปกครอง ด้านศาสนา และการป้องกันประเทศ แต่เมื่อบัดนี้แผ่นดินสงบสุข วัตถุประสงค์สุดท้ายจึงไม่ถูกกล่าวถึงนัก
ภายในป้อมส่วนกลางเป็นลานกว้าง ประดิษฐานสถูปทรงบาตรคว่ำ ภายในมีภาพองค์พระศรีศากยมุนีอยู่หน้าต้นโพธิ์ใหญ่ ขนาบด้วยระเบียงทางเดินไม้เขียนลายสีสันสวยงาม
“ที่นี่เป็นที่เรียนของพระเณรด้วย ถ้าเป็นเณรจะห่มจีวรสีแดง เมื่อระดับสูงขึ้น สีจีวรจะเปลี่ยนเป็นส้ม และเหลืองซึ่งเป็นขององค์สังฆราช”
เนมาบอกเมื่อเห็นเณรน้อยเดินไปตามระเบียง เขาพาทุกคนอ้อมตามระเบียงเข้าไปด้านใน หลังส่วนที่เป็นอาคาร ยังมีอาคารหลังสีขาวอีกแห่ง มีบันไดไม้ทอดคู่กันขึ้นไปด้านบน ด้านหน้าที่ฐานอาคารมีป้ายติดเป็นภาษาไทยที่ไกด์หนุ่มชี้ให้ทุกคนดู
“พระเจ้าอยู่หัวเคยพระราชทานกฐินที่นี่” คุณปรีชายิ้มกว้างบอกอย่างปลื้มใจ
เนมาพาทุกคนเข้าไปภายใน ตรงกลางประดิษฐานรูปจำลองขององค์พระศรีศากยมุนี ขนาบด้วยชับดรุงงาวังนำเกล และกูรูรินโปเช
ผนังโดยรอบมีภาพเขียน เล่าเรื่องราวพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ออกผนวช ตรัสรู้ และปรินิพพาน เนมาพาทุกคนมาดูทีละภาพช้า ๆ ก่อนเล่าเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับพุทธประวัติที่เล่ากันในประเทศไทย
เนมาพาทุกคนมาด้านหน้า ที่ฐานพระพุทธรูปมีตะเกียงเนยส่องสว่างเรียงราย ถัดออกมาเป็นทางว่างพอเดินสวนกันได้ มีอ่างไม้บรรจุขนมและข้าวตอกปริมาณมากคั่นอยู่ ภายในมีลูกอมและผลไม้หวานใส่รวมกัน ลามะในจีวรสีแดงกำลังโกยแยกเอาขนมต่างชนิดออกมา
“พวกคุณอยากจุดตะเกียงถวายไหมครับ”
“ค่ะ...” ทุกคนตอบรับในทันที อัญญาหยิบเงินนูทรัลออกมาวางบนถาดรับบริจาครวมกับของคนอื่น ๆ
เนมาเดินเข้าไปพูดคุยกับลามะที่อยู่หน้าอ่างขนม ท่านจึงเดินมาหยิบกำยานแท่งเล็ก จ่อกับตะเกียงด้านบนส่งให้คุณปรีชารับมาจุดตะเกียงน้ำมันเนยที่อยู่บนฐานพระ ต่อจากคุณปรีชาเป็นคุณนิภา อรรัมภา และอัญญาที่ต่อแถวกันเข้าไปจุดตะเกียงคนละดวง
“…ขอให้อัญพบแสงสว่างทั้งทางโลกและทางธรรม...” หญิงสาวอธิษฐานขอพรในใจอย่างที่เธอเคยอธิษฐานอยู่เสมอ ก่อนจะคลานเข่าถอยออกมา เงยหน้ามองพระพุทธรูปนิ่ง
…ให้จิตข้า บริสุทธิ์ ดุจดวงแก้ว
ให้ข้าแคล้ว ทุกบ่วงมาร อย่าพาลล้ำ
ให้จิตมั่น สว่างใน ทางแสงธรรม
ให้สิ้นกรรม ให้ผ่องใส สิ้นอาวรณ์...
อัญญาลุกขึ้นยืน เนมาเดินเข้ามาพร้อมลูกพลัมในมือหลายผล “พระท่านให้ครับ” หญิงสาวหยิบผลพลัมสีแดงสดขึ้นมาผลหนึ่ง ดมกลิ่นหอมจาง ๆ ทำให้สดชื่นขึ้น
“ท่านใจดีจังนะคะ” คุณนิภาหยิบผลพลัมขึ้นมา
เมื่อเดินออกมาจากอาคาร เนมาชี้ให้ดูสัตว์เทพทั้งสี่ที่ปกปักษ์รักษาสถานที่ ติดเป็นรูปปูนลอยตัวอยู่ที่ผนัง ประกอบด้วย ครุฑ มังกร เสือ และสิงโตหิมะ
อัญญาวางลูกพลัมบนมือ ยกกล้องขึ้นกดถ่ายภาพ คุณปรีชาเห็นเข้าจึงหันมาดู แล้วฉีกยิ้มกว้าง มองไปรอบ ๆ
“เดี๋ยวพี่หาที่วางให้ดีไหม” เขามองไปรอบ ๆ ก่อนจะมาสะดุดที่ภาพสิงโตหิมะที่ระเบียง คุณปรีชาเดินตรงไป ก่อนหยิบลูกพลัมขึ้นวางบนมือ อัญญาหัวเราะ
“เก๋มากค่ะ” เธอยกกล้องขึ้น เล็งภาพให้ลูกพลัมอยู่กลางปากสิงโต กดชัตเตอร์เก็บภาพ ก่อนลดกล้องลงดูผลงาน
“ตรงเป๊ะเลยค่ะ” เธอหัวเราะ ส่งกล้องให้คุณปรีชาดู ชายวัยกลางหัวเราะอย่างพอใจ อัญญาเดินไปเรียกอรรัมภา คุณนิภาและคุณพรรณีให้ดู ทาชิกับเนมามองแล้วเดินมาร่วมดูด้วย ก่อนที่สองหนุ่มจะอมยิ้มจนแก้มตุ่ย
“ขี้เล่นจริง ๆ ”
“ไอเดียพี่ปรีชาเลยค่ะ เก๋มาก” อัญญายิ้มกว้าง ก่อนเดินตามเนมาเข้าไปที่อาคารอีกหลัง ไกด์หนุ่มเดินนำขึ้นบันไดไปที่ระเบียงชั้นลอยด้านบน มองลงมาเห็นโถงกลางด้านล่าง แล้วหันมาอธิบาย
“ตรงนี้ล่ะครับ ที่ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษก”
ทุกคนชะโงกลงไปมอง ลานไม้กว้างโล่งมีเพียงแท่นไม้เล็ก ๆ ตั้งอยู่ ดูแทบไม่รู้ว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญยิ่ง
“แล้วพิธีอภิเษกล่ะคะ” คุณนิภาเอ่ยถาม
“ไม่ครับ พิธีอภิเษกทำข้างนอก” เนมาหันไปมองรอบ ๆ “พวกคุณเห็นแล้วว่าลานตรงกลางค่อนข้างกว้าง เวลามีงานสำคัญจะมีผู้คนมากมายมารวมกันอยู่ที่นี่”
“น่าจะแออัดน่าดูใช่ไหมคะ”
“ไม่หรอกครับ เวลานั้นเราต้องเราจัดลำดับขั้นในการเข้าถึงพื้นที่ต่าง ๆ” ไกด์หนุ่มชี้ไปที่อาคารหลังหนึ่ง “คุณเห็นนั่นไหม ชั้นสองของอาคารหลังนี้ เราเชื่อว่าเป็นเขตหวงห้ามที่เก็บสมบัติของชาติ...กระดูกส่วนคอของชับดรุงงาวังนำเกล ที่นั่น...มีเพียงสมเด็จพระสังฆราช และกษัตริย์เท่านั้นที่จะเข้าไปได้”
เนมาพาเดินขึ้นบันไดไปอีกั้น มีช่องหน้าต่างที่มองลงไปเห็นต้นโพธิ์ใหญ่และสถูปด้านหน้า กั้นด้วยตะข่ายเหล็กกันนกเข้า ไกด์หนุ่มหันมาด้านหลังต่อตะข่ายเป็นห้องเล็ก ๆ ที่ปิดไว้แน่นหนา
“นี่คือที่เก็บรูปจำลองชับดรุงงาวังนำเกลครับ เสียดายที่วันนี้ปิด...” เนมาบอกพลาดถอนใจ แต่คณะท่องเที่ยวชาวไทยยังยิ้มได้ ต่างยกมือไหว้นิ่ง
“ไม่เป็นไรค่ะ...เราได้กราบท่านแล้ว” อรรัมภาหันไปบอกไกด์หนุ่ม
เมื่อเดินลงมาด้านล่าง เนมาชะงักเท้าไปวูบหนึ่งเมื่อเห็นพระในจีวรสีส้มยืนคุยอยู่กับชายวัยกลางคนในชุดประจำชาติที่ห่มด้วยผ้าคลุมสีขาว ติดแถบสีแดงด้านข้าง
ไกด์หนุ่มผายมือให้ทุกคนดู แล้วบอกต่อ “อย่างที่ผมเคยบอก สีขาวเป็นสีของความบริสุทธิ์ แทนประชาชนของเรา แต่ถ้าเห็นแถบที่ติดบนผ้า จะบอกฐานะข้าราชการของรัฐ”
แล้วเขาก็ยิ้มเจื่อน ๆ โคลงศีรษะเล็กน้อยให้ชายที่หันมามอง “นั่น...พ่อผมเอง”
ทาชิยืนยกมือไพล่หลังนิ่ง ดวงตาเป็นประกายคล้ายจะยิ้มได้ ชายหนุ่มนิ่งไปครู่เมื่อพระที่คุยกับบิดาของเนมาหันมามองเขา คนตัวโตเดินเข้าไปหาบุคคลทั้งสอง พูดคุยกันเป็นภาษาท้องถิ่นรัวขึ้นจมูก
เพียงไม่นานทาชิก็เดินกลับมา “นั่นพ่อเนมาน่ะครับ เป็นรองผู้ว่าการของพูนาคา”
ทุกคนหันไปมองเนมาอย่างรวดเร็ว ไกด์หนุ่มยกมือเกาศีรษะอย่างเก้อเขิน
“ว่าจะถามนานแล้ว...คุณกับเนมารู้จักกันมาก่อนหรือคะ” อัญญามองหน้าสองหนุ่ม
“พี่โมซาก็รู้จักครับ คนที่นี่เรารู้จักกันแทบทั้งหมด” เนมาบอก
“ฟังดูอบอุ่นดีนะคะ”
เนมายิ้มรับ ก่อนจะพาทุกคนเดินต่อไปด้านหน้า บริเวณลานกว้างที่มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ตรงกลาง ลมเย็นพัดมาตลอดพาให้ใบไม้ไหวเสียดสีเป็นเสียงเพลง
“ต้นโพธิ์นั่นเราได้เมล็ดพันธุ์จากอินเดีย ที่องค์ศรีศากยมุนีตรัสรู้ครับ”
คณะเดินทางชาวไทยถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ก่อนเดินออกมา เนมาคอยช่วยประคองคุณพรรณีเป็นอย่างดีจนมาถึงลานจอดรถ หน้าสะพานฝั่งตรงข้าม เนมาบอกว่าเราคงไปที่ป้อมปราการอีกแห่งไม่ทัน แต่เขาจะพาทุกคนไปอีกที่หนึ่ง
“ผมมั่นใจว่าพวกคุณต้องชอบแน่...ที่นั่นยอดเยี่ยมมาก”
“โอเคค่ะ...อย่างนั้นเราไปกันเลย” อรรัมภาบอกกลั้วหัวเราะ
“จริง ๆ แล้ว เนมาจะพาไปไหนพวกเราก็ว่าสนุกทั้งนั้นล่ะค่ะ เพราะไม่เคยเห็น ไม่เคยมามาก่อนเลยนี่คะ”
อัญญานั่งเล่น มองออกไปนอกหน้าต่าง ยกกล้องขึ้นเก็บภาพข้างทางเป็นช่วง ๆ เมื่อรถแล่นผ่านโตรกผาขึ้นไปจากเขาเตี้ย ๆ สู่อีกยอดเขา
รถจอดลงข้างกำแพงที่ล้อมรอบอาคารหลังสีขาวที่ปูด้วยแผ่นสังกะสีสีแดงบนหลังคาบนเขาแห่งหนึ่ง เนมาหันมามองหน้าคณะทัวร์ แล้วถาม “พวกคุณรู้ไหมครับ ที่นี่ใช้ทำอะไร”
เขาเปิดประตูรถ พาลูกทัวร์ทั้งหมดลงมา อรรัมภามองแล้วเดา “เป็นวัดหรือเปล่าคะ” เธอจำได้ว่าวัดส่วนใหญ่จะมีเสาสีทองขึ้นไปเหนือหลังคา
“ไม่ครับ...ที่นี่ คือที่ที่เราใช้เผาร่างผู้ตาย” เขาบอกหน้าตาเฉย ขณะที่คณะทัวร์หันมามองหน้ากันตาปริบ ๆ
“คุณคงไม่ได้พาเราเข้าไปเที่ยวที่นี่ใช่ไหมคะ” อัญญามองหน้าไกด์หนุ่ม ถึงแม้ชาวภูฏานจะมีความเชื่อว่าการพบขบวนศพจะนำความโชคดีมาให้ แต่กับชาวไทยแล้ว หญิงสาวรู้ดีที่เดียวว่าความตายหรือการลาจากเป็นเรื่องที่คนไทยถือสาอย่างมาก
ไกด์หนุ่มอมยิ้ม “คุณหมอกลัวเหรอครับ”
“เอาจริง ๆ ก็แค่ไม่อยากยุ่งด้วยค่ะ” เธอบอกอย่างตรงไปตรงมา ในชีวิตความเป็นแพทย์อัญญาพบทั้งคนใกล้ตาย คนตาย หรือกระทั่งคนตายแล้วมาไม่น้อย ถ้าเลือกได้หญิงสาวไม่อยากยุ่งกับสองประเภทหลัง
ทาชิหัวเราะในคอ อัญญาเหลือบมองชายหนุ่มก็พอคาดเดาได้ “คุณไม่ได้พาเรามาเที่ยวที่นี่แน่ ๆ ใช่ไหมคะเนมา”
“ครับ...เราต้องเดินเข้าไปอีก จากตรงนี้เรานำรถเข้าไปไม่ได้” เนมาผายมือไปยังเส้นทางลูกรังที่อยู่ข้างฌาปนสถาน เมื่อหันกลับมาเห็นแววตากังขาของลูกทัวร์ เขาก็ยิ้มเจื่อน ๆ บอก
“ผมเชื่อว่าเมื่อไปถึง พวกคุณจะชอบที่นั่น”
“คงไม่ได้หลอกเราไปทิ้งหรอกนะ” คุณปรีชาบอกกลั้วหัวเราะเป็นภาษาไทย ลูกทัวร์หันมามองหน้ากัน
“เอ้า...อย่างนั้นก็ไปกันเถอะค่ะ”
เนมาเดินนำทำคนไปตามเส้นทางเล็ก ๆ จนมาถึงรั้วไม้สามเหลียมกั้นด้านหน้า มีบันไดไม้เตี้ย ๆ ไว้ให้เดินข้าม
“เขากั้นไว้ทำไมหรือคะ”
“กันวัวเดินเข้าไปครับ”
ไกด์หนุ่มข้ามไปยืนรออีกฝั่ง เพื่อช่วยรับคนที่เดินข้ามไปจนครบ ก่อนจะเดินนำทุกคนไปตามทางเดินเลียบข้างผาสูงชันซึ่งมีรั้วลวดหนามเตี้ย ๆ กั้นอยู่ด้านข้าง มองลงไปเบื้องล่างเป็นแม่น้ำเชี่ยวกรากสายเดียวกับที่ไหลไปสู่พูนาคาซอง
เมฆครื้มเริ่มลอยเลี่ยลงมา ชวนให้หวั่นใจว่าสายฝนกำลังจะเท ลมเย็นพัดเอาไอชื้นผ่านมา อัญญากางแขนออกอย่างพึงพอใจ
“คุณชอบอากาศเย็น” เนมาเดาได้ง่ายดาย
“ค่ะ...อัญอยู่ในประเทศที่ร้อนมากนี่คะ”
“ผมเคยไปกรุงเทพฯ 3 ครั้ง”
อรรัมภาหันมาเบิกตามอง “อย่างนั้นคุณคงรู้ว่าร้อนที่พูนาคาของคุณน่ะ ถือว่าอากาศกำลังดีสำหรับชาวกรุงเลยค่ะ”
“พวกคุณโชคดีมากกว่าครับ ปกติพูนาคาค่อนข้างร้อน โดยเฉพาะช่วงนี้ อุณหภูมิสูงขึ้ไปราว 30 องศา แต่วันนี้แดดกำลังดีและมีลมพัดเลยไม่ร้อนมาก” ไกด์หนุ่มบอก “กรุ๊ปที่แล้วที่ผมพามาเมื่ออาทิตย์ก่อน ร้อนจนเหงื่อซึมเชียวครับ”
“พวกเราคงโชคดีมากจริง ๆ ล่ะค่ะ”
เส้นทางจากที่จอดรถตรงไปตามทางเลียบผาค่อนข้างไกล แต่ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามตลอดทาง สองสาวผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพอย่างอรรัมภาและอัญญาจึงสามารถยกกล้องมาบันทึกภาพได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย กว่าจะรู้ตัว เนมาและคณะก็เดินห่างไปไกลมากแล้ว
สุดปลายทางที่เนมาตั้งใจพาทุกคนมา คือสะพานแขวนถักเหล็กเป็นตะข่ายทอดยาวข้ามผา เหนือแม่น้ำที่เชี่ยวกรากจนได้ยินเสียงธารไหลเบื้องล่าง ลมพัดแรงจนสะพานไหวโอนเบา ๆ
เนมาพาคุณปรีชา คุณนิภาและคุณพรรณีข้ามไปเกือบถึงกลางสะพาน อรรัมภาและอัญญาหยุดพักถ่ายภาพเก็บไว้ โดยมีทาชิเป็นช่างภาพจำเป็น
อัญญาก้มลงวางกล้องบนราวสะพาน เก็บภาพธงมนตราหลากสีซึ่งถูกติดอยู่ที่ราวสะพาน ต้องลมพลิ้วปลิวสะบัด สวยงามตัดกับสีขาวของราวโลหะ
ไกลออกไปเป็นบ้านสีขาวสไตล์ภูฏาน ทาชิไม่ยอมบอกสองสาวว่าคืออะไร เขาแค่อมยิ้มแล้วหัวเราะ
“ไปถึงคุณก็รู้เอง”
สองสาวอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถ่ายภาพสะพานแขวนเป็นระยะ เมื่อถึงกลางสะพาน มองลงไปด้านล่างเป็นเนินทรายที่ตื้นขึ้นมาจนเหนือน้ำ กระแสน้ำเชี่ยวแรงด้านล่างดูเย็นสบาย
“น่าลงไปว่ายเล่นนะคะ” อัญญามองตาปรอย
“ไม่ไหวมั้งน้องอัญ พี่ว่ามันตื้นและเชี่ยวมาก”
“จริงค่ะ...แต่ดูท่าจะเย็นดี” อัญญาชอบอากาศเย็น ชอบน้ำเย็น ๆ แต่เธอก็ขี้หนาวมากจนต้องห่อตัวไว้ใต้เสื้อคลุมแทบทุกครั้งที่ลมพัดผ่านมาแตะร่าง
สุดปลายสะพานเป็นบ้านแบบภูฏาน เปิดประตูกว้าง ด้านหน้าเขียนว่า Government shop สองสาวหันมามองหน้ากันก่อนหันมองร้านตาวาว
“ผมว่า...คุณอย่าคาดหวังให้มากนักดีกว่า” ทาชิบอกเบา ๆ เมื่อเห็นสายตาของสองสาว
อัญญาหันมามอง ก่อนจะเดินเข้าไปภายในพร้อมกับอรรัมภา แล้วสองสาวก็หันมาถอนใจใส่กัน
“นี่มันร้านขายของชำแบบโบราณมากเลยนะคะ” อัญญาบอกเสียงเบา
ในร้านลักษณะคล้ายร้านของชำเก่าที่เห็นได้ในไทย ภายในค่อนข้างมืดด้วยแสงจากภายนอกที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาอย่างเลือนราง พื้นปูขัดเงาเรียบ มีตู้สินค้าสองหลังตั้งอยู่สองฝั่งของประตู วางตะกร้าใส่ขนมลูกอม และเครื่องใช้กระจุกกระจิงพวกสบู่ ยาสีฟัน ข้าง ๆ แขวนถุงพลาสติกใส่ขนมกรุบกรอบไว้เกือบเต็ม สุดมุมห้องมีตู้เย็นขายน้ำดื่มหลังเล็ก อัญญากวาดมองโดยรอบแล้วก็ไม่เห็นอะไรที่เธออยากจะซื้อ จึงเดินออกมาภายนอก
หน้าร้าน ลูกวัวตัวเล็กกำลังเดินสะดุดไปมาเพราะเชือกที่ผูกขาข้างหนึ่งไว้วนเข้ามาพันขา ลูกวัวร้องเสียงแหลม ก่อนจะมีเสียงร้องตอบกลับมาจากอีกฝั่งของร้าน อัญญายืนมองกับคุณปรีชาอยู่ครู่ใหญ่
“ถ้าเข้าไปดึงออก เขาจะถีบเราไหมคะ”
“อย่าเลยครับ อันตรายนะ”
อัญญาหันไปหาเนมาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ทำตาปริบ ๆ มองชายหนุ่มที มองลูกวัวที “คุณช่วยน้องวัวได้ไหมคะ เขาคงเดินไม่สบายเท่าไร”
“คุณอยากเห็นผมถูกลูกวัวถีบเหรอครับ” เขาถามกลั้วหัวเราะ ก่อนที่หญิงสูงวัยร่างอวบคนหนึ่งจะเดินออกมาพอดี “เจ้าของวัวมาแล้วครับ เดี๋ยวเธอจะจัดการเอง คุ้นกว่า...น้องวัวจะได้ไม่งอแงนะครับ”
เนมาหันไปพูดบางอย่างกับผู้มาใหม่ เธอหัวเราะแล้วเดินเข้าไปหาลูกวัว วัวขนาดกลางอีกตัวเดินตามเอมา มองอยู่ไม่ห่างนัก
เธอดึงเชือกแล้วจับขาลูกวัวให้ยกขึ้นพ้นเชือกที่พันอยู่ เสียงวัวร้องโต้ตอบกันไปมาทำให้คณะเดินทางมองอย่างหวั่นใจ
“แม่วัวเขาจะนึกว่าเราแกล้งลูกเขาไหมคะ”
“โน่นไงครับ...แม่วัวเดินมานั่นแล้ว” คุณปรีชาชี้ไปที่วัวตัวใหญ่อีกตัวที่เพิ่งเดินมา
“อัญว่า...เราไปกันดีกว่าค่ะ” อัญญาหันไปบอก เมื่อเห็นว่าทุกคนออกมาจากร้านแล้ว “ฝนคงใกล้ตกแล้วด้วย เมฆครึ้มเชียวค่ะ”
ทั้งคณะเดินกลับไปตามสะพานแขวนเดิม เนมาเล่าว่าสะพานนี้ถูกสร้างโดยรัฐบาล ใช้เป็นทั้งเส้นทางสัญจรและเพื่อการท่องเที่ยว
“สวยมากนะคะ วิวแม่น้ำที่นี่ดีมาก” อรรัมภาบอก
“ผมบอกแล้วว่าพวกคุณต้องชอบ” เนมายิ้มรับหน้าบานด้วยความภูมิใจ
เมื่อกลับมาถึงที่รถ ฝนเม็ดบางก็เริ่มหล่นจากฟ้า อัญญาปิดบานหน้าต่าง เอนตัวพิงกระจกรับไอเย็นที่ผ่านเข้ามา
----
วันที่สองของการเดินทางแล้วนะคะ
คุณคิมหันตุ์ : ทาชิน่ะชอบพูดจี้ใจคนนะคะ
เกิดเป็นผู้ชายนี่ดีจริง ๆ เลยนะ
รถตู้ออกเดินทางอีกครั้ง เลียบแนวผาเตี้ย ๆ ไปตามทางขนานลำน้ำไปยังจุดที่แม่น้ำมาบรรจบกัน เป็นที่ตั้งของป้อมปราการที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในภูฏาน
“นั่นโพชูกับโมชูครับ ชูคือแม่น้ำ” เนมาชี้ให้ดูแม่น้ำสองสาย ก่อนจะชี้ไปยังป้อมปราการที่อยู่อีกฟากหนึ่ง
“นั่นพูนาคาซองครับ...เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นเป็นแห่งที่สองในภูฏาน ช่วงปี 1637 ได้ชื่อว่าเป็นป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่และงดงามที่สุดในภูฏาน ในอดีตเคยทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองเหมือนทาชิโช จนเราย้ายราชธานีไปที่ทิมพู แต่พูนาคาซองในฐานะศูนย์กลางทางศาสนาและเป็นที่รักษาสมบัติสำคัญของชาติ”
“คุณจำชับดรุงงาวังนัมเกลได้ไหมครับ ท่านเป็นเจ้าชายจากฑิเบตที่เข้ามารวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ ทำให้ภูฏานรวมเป็นแผ่นดินเดียว เมื่อท่านละสังขาร กระดูกต้นคอของท่านกลายเป็นทองคำ ถ้ามองเข้าไปจะเห็น god of compassion อยู่ในนั้น เราเชื่อว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติของชาติ ถูกรักษาไว้ที่นี่”
รถจอดลงที่ลานจอด มีรถของนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยจอดอยู่ก่อนแล้ว เนมาเปิดประตูให้ทุกคนลงมาจากรถ จากลานจอดรถ เป็นป้อมเล็ก ๆที่มีสะพานไม้เชื่อมไปสู่พูนาคาซอง
เนมาเดินนำทุกคนเข้าไปด้านใน ผ่านสะพานไม้สีแดงที่เขียนลวดลายตบแต่งสวยงามตรงไปยังป้อมปราการสีขาวกว้างใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งแม่น้ำ
สายลมเย็นจัดพัดเอาไอน้ำจากแม่น้ำเชี่ยวกรากผ่านมาแตะร่าง อัญญาฉีกยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ
“เย็นดีจังเลยค่ะ”
“พวกคุณโชคดี...กรุ๊ปที่แล้วที่ผมพามาลมไม่เย็นอย่างนี้ อากาศค่อนข้างร้อนอ้าวมากทีเดียว” เนมาบอก
จากสะพานข้ามมาอีกฝั่ง มีประตูไม้เล็ก ๆ อยู่ซ้ายมือ ทาชิเรียกอัญญาให้หยุดดู บอกว่าหลังประตูนั้นมีสนามยิงธนู ซึ่งเป็นกีฬาประจำชาติ
หญิงสาวตาโต มองอย่างสนใจ “คุณยิงเป็นไหม”
“ถ้าคุณอยากลอง ผมจะสอนให้”
“จริงเหรอคะ” หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่มตาวาว ถ้ามีหูเหมือนสุนัข ทาชิเชื่อว่าหูเธอคงตั้ง หางเธอคงชี้กระดิกไปมาอย่างออดอ้อน
แล้วอยู่ดี ๆ หูตั้ง ๆ ก็ลู่ลง พร้อมกับแววตาที่หลุบมองพื้น “แต่อัญต้องไปตามเวลาของทัวร์ คงไม่มีเวลาไปลอง”
ทาชิถอนใจ เดินตามหญิงสาวไปที่ด้านหน้าสุดของป้อมสีขาวสะอาด เนมาชี้ให้ทุกคนมองไปด้านบน รังผื้งหลวงรังใหญ่หลายรังเกาะอยู่ที่บัวไม้ประดับด้านบน
“เราเชื่อว่าที่ไหนผึ้งไปทำรัง ที่นั่นจะมีแต่ความโชคดี”
“เหมือนเมืองไทยเลยนะคะ” คุณนิภาหันมาบอก
ทางขึ้นด้านหน้าเป็นบันไดสีขาวกว้าง มีซากผึ้งหลวงที่ร่วงลงมาอยู่ประปราย คุณนิภาเตือนให้ทุกคนเดินอย่างระวัง สูงขึ้นไปเป็นบันไดไม้ค่อนข้างชันทอดไปสู่เรือนด้านบน ขั้นบันไดแคบ มีสามทางคั่นด้วยราวไม้ ตรงกลางกั้นด้วยเชือกสีเหลืองทอง
“เราต้องขึ้นทางด้านข้าง ตรงกลางเป็นเขตหวงห้ามนะครับ” เนมาบอก เขาหันมาช่วยประคองคุณพรรณีเดินขึ้นไปช้า ๆ
เมื่อก้าวมาถึงด้านบน สองข้างติดกงล้อมนตราสีเหลืองทองเอาไว้เหมือนป้อมปราการอื่น ๆ เนมาย้ำถึงวัตถุประสงค์ 3 ด้านในการสร้างป้อมปราการทุกแห่ง คือด้านการเมืองการปกครอง ด้านศาสนา และการป้องกันประเทศ แต่เมื่อบัดนี้แผ่นดินสงบสุข วัตถุประสงค์สุดท้ายจึงไม่ถูกกล่าวถึงนัก
ภายในป้อมส่วนกลางเป็นลานกว้าง ประดิษฐานสถูปทรงบาตรคว่ำ ภายในมีภาพองค์พระศรีศากยมุนีอยู่หน้าต้นโพธิ์ใหญ่ ขนาบด้วยระเบียงทางเดินไม้เขียนลายสีสันสวยงาม
“ที่นี่เป็นที่เรียนของพระเณรด้วย ถ้าเป็นเณรจะห่มจีวรสีแดง เมื่อระดับสูงขึ้น สีจีวรจะเปลี่ยนเป็นส้ม และเหลืองซึ่งเป็นขององค์สังฆราช”
เนมาบอกเมื่อเห็นเณรน้อยเดินไปตามระเบียง เขาพาทุกคนอ้อมตามระเบียงเข้าไปด้านใน หลังส่วนที่เป็นอาคาร ยังมีอาคารหลังสีขาวอีกแห่ง มีบันไดไม้ทอดคู่กันขึ้นไปด้านบน ด้านหน้าที่ฐานอาคารมีป้ายติดเป็นภาษาไทยที่ไกด์หนุ่มชี้ให้ทุกคนดู
“พระเจ้าอยู่หัวเคยพระราชทานกฐินที่นี่” คุณปรีชายิ้มกว้างบอกอย่างปลื้มใจ
เนมาพาทุกคนเข้าไปภายใน ตรงกลางประดิษฐานรูปจำลองขององค์พระศรีศากยมุนี ขนาบด้วยชับดรุงงาวังนำเกล และกูรูรินโปเช
ผนังโดยรอบมีภาพเขียน เล่าเรื่องราวพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติ ออกผนวช ตรัสรู้ และปรินิพพาน เนมาพาทุกคนมาดูทีละภาพช้า ๆ ก่อนเล่าเรื่องราวที่คล้ายคลึงกับพุทธประวัติที่เล่ากันในประเทศไทย
เนมาพาทุกคนมาด้านหน้า ที่ฐานพระพุทธรูปมีตะเกียงเนยส่องสว่างเรียงราย ถัดออกมาเป็นทางว่างพอเดินสวนกันได้ มีอ่างไม้บรรจุขนมและข้าวตอกปริมาณมากคั่นอยู่ ภายในมีลูกอมและผลไม้หวานใส่รวมกัน ลามะในจีวรสีแดงกำลังโกยแยกเอาขนมต่างชนิดออกมา
“พวกคุณอยากจุดตะเกียงถวายไหมครับ”
“ค่ะ...” ทุกคนตอบรับในทันที อัญญาหยิบเงินนูทรัลออกมาวางบนถาดรับบริจาครวมกับของคนอื่น ๆ
เนมาเดินเข้าไปพูดคุยกับลามะที่อยู่หน้าอ่างขนม ท่านจึงเดินมาหยิบกำยานแท่งเล็ก จ่อกับตะเกียงด้านบนส่งให้คุณปรีชารับมาจุดตะเกียงน้ำมันเนยที่อยู่บนฐานพระ ต่อจากคุณปรีชาเป็นคุณนิภา อรรัมภา และอัญญาที่ต่อแถวกันเข้าไปจุดตะเกียงคนละดวง
“…ขอให้อัญพบแสงสว่างทั้งทางโลกและทางธรรม...” หญิงสาวอธิษฐานขอพรในใจอย่างที่เธอเคยอธิษฐานอยู่เสมอ ก่อนจะคลานเข่าถอยออกมา เงยหน้ามองพระพุทธรูปนิ่ง
…ให้จิตข้า บริสุทธิ์ ดุจดวงแก้ว
ให้ข้าแคล้ว ทุกบ่วงมาร อย่าพาลล้ำ
ให้จิตมั่น สว่างใน ทางแสงธรรม
ให้สิ้นกรรม ให้ผ่องใส สิ้นอาวรณ์...
อัญญาลุกขึ้นยืน เนมาเดินเข้ามาพร้อมลูกพลัมในมือหลายผล “พระท่านให้ครับ” หญิงสาวหยิบผลพลัมสีแดงสดขึ้นมาผลหนึ่ง ดมกลิ่นหอมจาง ๆ ทำให้สดชื่นขึ้น
“ท่านใจดีจังนะคะ” คุณนิภาหยิบผลพลัมขึ้นมา
เมื่อเดินออกมาจากอาคาร เนมาชี้ให้ดูสัตว์เทพทั้งสี่ที่ปกปักษ์รักษาสถานที่ ติดเป็นรูปปูนลอยตัวอยู่ที่ผนัง ประกอบด้วย ครุฑ มังกร เสือ และสิงโตหิมะ
อัญญาวางลูกพลัมบนมือ ยกกล้องขึ้นกดถ่ายภาพ คุณปรีชาเห็นเข้าจึงหันมาดู แล้วฉีกยิ้มกว้าง มองไปรอบ ๆ
“เดี๋ยวพี่หาที่วางให้ดีไหม” เขามองไปรอบ ๆ ก่อนจะมาสะดุดที่ภาพสิงโตหิมะที่ระเบียง คุณปรีชาเดินตรงไป ก่อนหยิบลูกพลัมขึ้นวางบนมือ อัญญาหัวเราะ
“เก๋มากค่ะ” เธอยกกล้องขึ้น เล็งภาพให้ลูกพลัมอยู่กลางปากสิงโต กดชัตเตอร์เก็บภาพ ก่อนลดกล้องลงดูผลงาน
“ตรงเป๊ะเลยค่ะ” เธอหัวเราะ ส่งกล้องให้คุณปรีชาดู ชายวัยกลางหัวเราะอย่างพอใจ อัญญาเดินไปเรียกอรรัมภา คุณนิภาและคุณพรรณีให้ดู ทาชิกับเนมามองแล้วเดินมาร่วมดูด้วย ก่อนที่สองหนุ่มจะอมยิ้มจนแก้มตุ่ย
“ขี้เล่นจริง ๆ ”
“ไอเดียพี่ปรีชาเลยค่ะ เก๋มาก” อัญญายิ้มกว้าง ก่อนเดินตามเนมาเข้าไปที่อาคารอีกหลัง ไกด์หนุ่มเดินนำขึ้นบันไดไปที่ระเบียงชั้นลอยด้านบน มองลงมาเห็นโถงกลางด้านล่าง แล้วหันมาอธิบาย
“ตรงนี้ล่ะครับ ที่ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษก”
ทุกคนชะโงกลงไปมอง ลานไม้กว้างโล่งมีเพียงแท่นไม้เล็ก ๆ ตั้งอยู่ ดูแทบไม่รู้ว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญยิ่ง
“แล้วพิธีอภิเษกล่ะคะ” คุณนิภาเอ่ยถาม
“ไม่ครับ พิธีอภิเษกทำข้างนอก” เนมาหันไปมองรอบ ๆ “พวกคุณเห็นแล้วว่าลานตรงกลางค่อนข้างกว้าง เวลามีงานสำคัญจะมีผู้คนมากมายมารวมกันอยู่ที่นี่”
“น่าจะแออัดน่าดูใช่ไหมคะ”
“ไม่หรอกครับ เวลานั้นเราต้องเราจัดลำดับขั้นในการเข้าถึงพื้นที่ต่าง ๆ” ไกด์หนุ่มชี้ไปที่อาคารหลังหนึ่ง “คุณเห็นนั่นไหม ชั้นสองของอาคารหลังนี้ เราเชื่อว่าเป็นเขตหวงห้ามที่เก็บสมบัติของชาติ...กระดูกส่วนคอของชับดรุงงาวังนำเกล ที่นั่น...มีเพียงสมเด็จพระสังฆราช และกษัตริย์เท่านั้นที่จะเข้าไปได้”
เนมาพาเดินขึ้นบันไดไปอีกั้น มีช่องหน้าต่างที่มองลงไปเห็นต้นโพธิ์ใหญ่และสถูปด้านหน้า กั้นด้วยตะข่ายเหล็กกันนกเข้า ไกด์หนุ่มหันมาด้านหลังต่อตะข่ายเป็นห้องเล็ก ๆ ที่ปิดไว้แน่นหนา
“นี่คือที่เก็บรูปจำลองชับดรุงงาวังนำเกลครับ เสียดายที่วันนี้ปิด...” เนมาบอกพลาดถอนใจ แต่คณะท่องเที่ยวชาวไทยยังยิ้มได้ ต่างยกมือไหว้นิ่ง
“ไม่เป็นไรค่ะ...เราได้กราบท่านแล้ว” อรรัมภาหันไปบอกไกด์หนุ่ม
เมื่อเดินลงมาด้านล่าง เนมาชะงักเท้าไปวูบหนึ่งเมื่อเห็นพระในจีวรสีส้มยืนคุยอยู่กับชายวัยกลางคนในชุดประจำชาติที่ห่มด้วยผ้าคลุมสีขาว ติดแถบสีแดงด้านข้าง
ไกด์หนุ่มผายมือให้ทุกคนดู แล้วบอกต่อ “อย่างที่ผมเคยบอก สีขาวเป็นสีของความบริสุทธิ์ แทนประชาชนของเรา แต่ถ้าเห็นแถบที่ติดบนผ้า จะบอกฐานะข้าราชการของรัฐ”
แล้วเขาก็ยิ้มเจื่อน ๆ โคลงศีรษะเล็กน้อยให้ชายที่หันมามอง “นั่น...พ่อผมเอง”
ทาชิยืนยกมือไพล่หลังนิ่ง ดวงตาเป็นประกายคล้ายจะยิ้มได้ ชายหนุ่มนิ่งไปครู่เมื่อพระที่คุยกับบิดาของเนมาหันมามองเขา คนตัวโตเดินเข้าไปหาบุคคลทั้งสอง พูดคุยกันเป็นภาษาท้องถิ่นรัวขึ้นจมูก
เพียงไม่นานทาชิก็เดินกลับมา “นั่นพ่อเนมาน่ะครับ เป็นรองผู้ว่าการของพูนาคา”
ทุกคนหันไปมองเนมาอย่างรวดเร็ว ไกด์หนุ่มยกมือเกาศีรษะอย่างเก้อเขิน
“ว่าจะถามนานแล้ว...คุณกับเนมารู้จักกันมาก่อนหรือคะ” อัญญามองหน้าสองหนุ่ม
“พี่โมซาก็รู้จักครับ คนที่นี่เรารู้จักกันแทบทั้งหมด” เนมาบอก
“ฟังดูอบอุ่นดีนะคะ”
เนมายิ้มรับ ก่อนจะพาทุกคนเดินต่อไปด้านหน้า บริเวณลานกว้างที่มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ตรงกลาง ลมเย็นพัดมาตลอดพาให้ใบไม้ไหวเสียดสีเป็นเสียงเพลง
“ต้นโพธิ์นั่นเราได้เมล็ดพันธุ์จากอินเดีย ที่องค์ศรีศากยมุนีตรัสรู้ครับ”
คณะเดินทางชาวไทยถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ก่อนเดินออกมา เนมาคอยช่วยประคองคุณพรรณีเป็นอย่างดีจนมาถึงลานจอดรถ หน้าสะพานฝั่งตรงข้าม เนมาบอกว่าเราคงไปที่ป้อมปราการอีกแห่งไม่ทัน แต่เขาจะพาทุกคนไปอีกที่หนึ่ง
“ผมมั่นใจว่าพวกคุณต้องชอบแน่...ที่นั่นยอดเยี่ยมมาก”
“โอเคค่ะ...อย่างนั้นเราไปกันเลย” อรรัมภาบอกกลั้วหัวเราะ
“จริง ๆ แล้ว เนมาจะพาไปไหนพวกเราก็ว่าสนุกทั้งนั้นล่ะค่ะ เพราะไม่เคยเห็น ไม่เคยมามาก่อนเลยนี่คะ”
อัญญานั่งเล่น มองออกไปนอกหน้าต่าง ยกกล้องขึ้นเก็บภาพข้างทางเป็นช่วง ๆ เมื่อรถแล่นผ่านโตรกผาขึ้นไปจากเขาเตี้ย ๆ สู่อีกยอดเขา
รถจอดลงข้างกำแพงที่ล้อมรอบอาคารหลังสีขาวที่ปูด้วยแผ่นสังกะสีสีแดงบนหลังคาบนเขาแห่งหนึ่ง เนมาหันมามองหน้าคณะทัวร์ แล้วถาม “พวกคุณรู้ไหมครับ ที่นี่ใช้ทำอะไร”
เขาเปิดประตูรถ พาลูกทัวร์ทั้งหมดลงมา อรรัมภามองแล้วเดา “เป็นวัดหรือเปล่าคะ” เธอจำได้ว่าวัดส่วนใหญ่จะมีเสาสีทองขึ้นไปเหนือหลังคา
“ไม่ครับ...ที่นี่ คือที่ที่เราใช้เผาร่างผู้ตาย” เขาบอกหน้าตาเฉย ขณะที่คณะทัวร์หันมามองหน้ากันตาปริบ ๆ
“คุณคงไม่ได้พาเราเข้าไปเที่ยวที่นี่ใช่ไหมคะ” อัญญามองหน้าไกด์หนุ่ม ถึงแม้ชาวภูฏานจะมีความเชื่อว่าการพบขบวนศพจะนำความโชคดีมาให้ แต่กับชาวไทยแล้ว หญิงสาวรู้ดีที่เดียวว่าความตายหรือการลาจากเป็นเรื่องที่คนไทยถือสาอย่างมาก
ไกด์หนุ่มอมยิ้ม “คุณหมอกลัวเหรอครับ”
“เอาจริง ๆ ก็แค่ไม่อยากยุ่งด้วยค่ะ” เธอบอกอย่างตรงไปตรงมา ในชีวิตความเป็นแพทย์อัญญาพบทั้งคนใกล้ตาย คนตาย หรือกระทั่งคนตายแล้วมาไม่น้อย ถ้าเลือกได้หญิงสาวไม่อยากยุ่งกับสองประเภทหลัง
ทาชิหัวเราะในคอ อัญญาเหลือบมองชายหนุ่มก็พอคาดเดาได้ “คุณไม่ได้พาเรามาเที่ยวที่นี่แน่ ๆ ใช่ไหมคะเนมา”
“ครับ...เราต้องเดินเข้าไปอีก จากตรงนี้เรานำรถเข้าไปไม่ได้” เนมาผายมือไปยังเส้นทางลูกรังที่อยู่ข้างฌาปนสถาน เมื่อหันกลับมาเห็นแววตากังขาของลูกทัวร์ เขาก็ยิ้มเจื่อน ๆ บอก
“ผมเชื่อว่าเมื่อไปถึง พวกคุณจะชอบที่นั่น”
“คงไม่ได้หลอกเราไปทิ้งหรอกนะ” คุณปรีชาบอกกลั้วหัวเราะเป็นภาษาไทย ลูกทัวร์หันมามองหน้ากัน
“เอ้า...อย่างนั้นก็ไปกันเถอะค่ะ”
เนมาเดินนำทำคนไปตามเส้นทางเล็ก ๆ จนมาถึงรั้วไม้สามเหลียมกั้นด้านหน้า มีบันไดไม้เตี้ย ๆ ไว้ให้เดินข้าม
“เขากั้นไว้ทำไมหรือคะ”
“กันวัวเดินเข้าไปครับ”
ไกด์หนุ่มข้ามไปยืนรออีกฝั่ง เพื่อช่วยรับคนที่เดินข้ามไปจนครบ ก่อนจะเดินนำทุกคนไปตามทางเดินเลียบข้างผาสูงชันซึ่งมีรั้วลวดหนามเตี้ย ๆ กั้นอยู่ด้านข้าง มองลงไปเบื้องล่างเป็นแม่น้ำเชี่ยวกรากสายเดียวกับที่ไหลไปสู่พูนาคาซอง
เมฆครื้มเริ่มลอยเลี่ยลงมา ชวนให้หวั่นใจว่าสายฝนกำลังจะเท ลมเย็นพัดเอาไอชื้นผ่านมา อัญญากางแขนออกอย่างพึงพอใจ
“คุณชอบอากาศเย็น” เนมาเดาได้ง่ายดาย
“ค่ะ...อัญอยู่ในประเทศที่ร้อนมากนี่คะ”
“ผมเคยไปกรุงเทพฯ 3 ครั้ง”
อรรัมภาหันมาเบิกตามอง “อย่างนั้นคุณคงรู้ว่าร้อนที่พูนาคาของคุณน่ะ ถือว่าอากาศกำลังดีสำหรับชาวกรุงเลยค่ะ”
“พวกคุณโชคดีมากกว่าครับ ปกติพูนาคาค่อนข้างร้อน โดยเฉพาะช่วงนี้ อุณหภูมิสูงขึ้ไปราว 30 องศา แต่วันนี้แดดกำลังดีและมีลมพัดเลยไม่ร้อนมาก” ไกด์หนุ่มบอก “กรุ๊ปที่แล้วที่ผมพามาเมื่ออาทิตย์ก่อน ร้อนจนเหงื่อซึมเชียวครับ”
“พวกเราคงโชคดีมากจริง ๆ ล่ะค่ะ”
เส้นทางจากที่จอดรถตรงไปตามทางเลียบผาค่อนข้างไกล แต่ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามตลอดทาง สองสาวผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพอย่างอรรัมภาและอัญญาจึงสามารถยกกล้องมาบันทึกภาพได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย กว่าจะรู้ตัว เนมาและคณะก็เดินห่างไปไกลมากแล้ว
สุดปลายทางที่เนมาตั้งใจพาทุกคนมา คือสะพานแขวนถักเหล็กเป็นตะข่ายทอดยาวข้ามผา เหนือแม่น้ำที่เชี่ยวกรากจนได้ยินเสียงธารไหลเบื้องล่าง ลมพัดแรงจนสะพานไหวโอนเบา ๆ
เนมาพาคุณปรีชา คุณนิภาและคุณพรรณีข้ามไปเกือบถึงกลางสะพาน อรรัมภาและอัญญาหยุดพักถ่ายภาพเก็บไว้ โดยมีทาชิเป็นช่างภาพจำเป็น
อัญญาก้มลงวางกล้องบนราวสะพาน เก็บภาพธงมนตราหลากสีซึ่งถูกติดอยู่ที่ราวสะพาน ต้องลมพลิ้วปลิวสะบัด สวยงามตัดกับสีขาวของราวโลหะ
ไกลออกไปเป็นบ้านสีขาวสไตล์ภูฏาน ทาชิไม่ยอมบอกสองสาวว่าคืออะไร เขาแค่อมยิ้มแล้วหัวเราะ
“ไปถึงคุณก็รู้เอง”
สองสาวอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถ่ายภาพสะพานแขวนเป็นระยะ เมื่อถึงกลางสะพาน มองลงไปด้านล่างเป็นเนินทรายที่ตื้นขึ้นมาจนเหนือน้ำ กระแสน้ำเชี่ยวแรงด้านล่างดูเย็นสบาย
“น่าลงไปว่ายเล่นนะคะ” อัญญามองตาปรอย
“ไม่ไหวมั้งน้องอัญ พี่ว่ามันตื้นและเชี่ยวมาก”
“จริงค่ะ...แต่ดูท่าจะเย็นดี” อัญญาชอบอากาศเย็น ชอบน้ำเย็น ๆ แต่เธอก็ขี้หนาวมากจนต้องห่อตัวไว้ใต้เสื้อคลุมแทบทุกครั้งที่ลมพัดผ่านมาแตะร่าง
สุดปลายสะพานเป็นบ้านแบบภูฏาน เปิดประตูกว้าง ด้านหน้าเขียนว่า Government shop สองสาวหันมามองหน้ากันก่อนหันมองร้านตาวาว
“ผมว่า...คุณอย่าคาดหวังให้มากนักดีกว่า” ทาชิบอกเบา ๆ เมื่อเห็นสายตาของสองสาว
อัญญาหันมามอง ก่อนจะเดินเข้าไปภายในพร้อมกับอรรัมภา แล้วสองสาวก็หันมาถอนใจใส่กัน
“นี่มันร้านขายของชำแบบโบราณมากเลยนะคะ” อัญญาบอกเสียงเบา
ในร้านลักษณะคล้ายร้านของชำเก่าที่เห็นได้ในไทย ภายในค่อนข้างมืดด้วยแสงจากภายนอกที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาอย่างเลือนราง พื้นปูขัดเงาเรียบ มีตู้สินค้าสองหลังตั้งอยู่สองฝั่งของประตู วางตะกร้าใส่ขนมลูกอม และเครื่องใช้กระจุกกระจิงพวกสบู่ ยาสีฟัน ข้าง ๆ แขวนถุงพลาสติกใส่ขนมกรุบกรอบไว้เกือบเต็ม สุดมุมห้องมีตู้เย็นขายน้ำดื่มหลังเล็ก อัญญากวาดมองโดยรอบแล้วก็ไม่เห็นอะไรที่เธออยากจะซื้อ จึงเดินออกมาภายนอก
หน้าร้าน ลูกวัวตัวเล็กกำลังเดินสะดุดไปมาเพราะเชือกที่ผูกขาข้างหนึ่งไว้วนเข้ามาพันขา ลูกวัวร้องเสียงแหลม ก่อนจะมีเสียงร้องตอบกลับมาจากอีกฝั่งของร้าน อัญญายืนมองกับคุณปรีชาอยู่ครู่ใหญ่
“ถ้าเข้าไปดึงออก เขาจะถีบเราไหมคะ”
“อย่าเลยครับ อันตรายนะ”
อัญญาหันไปหาเนมาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก ทำตาปริบ ๆ มองชายหนุ่มที มองลูกวัวที “คุณช่วยน้องวัวได้ไหมคะ เขาคงเดินไม่สบายเท่าไร”
“คุณอยากเห็นผมถูกลูกวัวถีบเหรอครับ” เขาถามกลั้วหัวเราะ ก่อนที่หญิงสูงวัยร่างอวบคนหนึ่งจะเดินออกมาพอดี “เจ้าของวัวมาแล้วครับ เดี๋ยวเธอจะจัดการเอง คุ้นกว่า...น้องวัวจะได้ไม่งอแงนะครับ”
เนมาหันไปพูดบางอย่างกับผู้มาใหม่ เธอหัวเราะแล้วเดินเข้าไปหาลูกวัว วัวขนาดกลางอีกตัวเดินตามเอมา มองอยู่ไม่ห่างนัก
เธอดึงเชือกแล้วจับขาลูกวัวให้ยกขึ้นพ้นเชือกที่พันอยู่ เสียงวัวร้องโต้ตอบกันไปมาทำให้คณะเดินทางมองอย่างหวั่นใจ
“แม่วัวเขาจะนึกว่าเราแกล้งลูกเขาไหมคะ”
“โน่นไงครับ...แม่วัวเดินมานั่นแล้ว” คุณปรีชาชี้ไปที่วัวตัวใหญ่อีกตัวที่เพิ่งเดินมา
“อัญว่า...เราไปกันดีกว่าค่ะ” อัญญาหันไปบอก เมื่อเห็นว่าทุกคนออกมาจากร้านแล้ว “ฝนคงใกล้ตกแล้วด้วย เมฆครึ้มเชียวค่ะ”
ทั้งคณะเดินกลับไปตามสะพานแขวนเดิม เนมาเล่าว่าสะพานนี้ถูกสร้างโดยรัฐบาล ใช้เป็นทั้งเส้นทางสัญจรและเพื่อการท่องเที่ยว
“สวยมากนะคะ วิวแม่น้ำที่นี่ดีมาก” อรรัมภาบอก
“ผมบอกแล้วว่าพวกคุณต้องชอบ” เนมายิ้มรับหน้าบานด้วยความภูมิใจ
เมื่อกลับมาถึงที่รถ ฝนเม็ดบางก็เริ่มหล่นจากฟ้า อัญญาปิดบานหน้าต่าง เอนตัวพิงกระจกรับไอเย็นที่ผ่านเข้ามา
----
วันที่สองของการเดินทางแล้วนะคะ
คุณคิมหันตุ์ : ทาชิน่ะชอบพูดจี้ใจคนนะคะ
ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ส.ค. 2558, 15:52:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ส.ค. 2558, 15:52:12 น.
จำนวนการเข้าชม : 1097
<< Chimi Lakhung | Bhutanese Archery >> |
ปรางขวัญ 9 ส.ค. 2558, 19:46:33 น.
ชอบบทที่อัญญานึกในใจมากเลยค่ะ เขาเรียกว่าบทอะไรคะ
ชอบบทที่อัญญานึกในใจมากเลยค่ะ เขาเรียกว่าบทอะไรคะ
คิมหันตุ์ 10 ส.ค. 2558, 01:20:34 น.
ลงชื่อรอจ่ะ
ลงชื่อรอจ่ะ