ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๑๗ .. ครอบครัวสุขสันต์ ?




ปารตีเอาแต่นั่งเงียบมาในรถยนต์อเนกประสงค์ของครอบครัวหลังรับทราบจากพฤหัสผู้เป็นสามีว่า การเดินทางไปทะเลวันนี้ นอกจากคนในครอบครัวแล้ว ยังมีหญิงสาวข้างบ้านและเพื่อนของเธอไปด้วย

สาวใหญ่นักอสังหาริมทรัพย์รู้จักเภตราดีพอสมควร จึงยินดีที่จะมีเพื่อนบ้านร่วมทางรวมไปถึงหญิงสาวอีกคน ซึ่งเธอจำได้ว่าเคยพบและทักทายกันมาก่อนแล้ว แต่ที่ทำให้มารดาของตรีวธูถึงกับคอแข็ง เมื่อลูกสาวสุดที่รักอ้อมแอ้มบอกหลังสบตากับบิดาซึ่งพยักหน้าให้ ราวกับรอกองหนุนว่า รวิรุจน์จะตามมาด้วยอีกคน

นี่ยังดีว่าคนที่ปารตีไม่ปรารถนาจะพบหน้านัก ไม่ได้ร่วมโดยสารมารถคันเดียวกัน ไม่เช่นนั้นมันคงทำให้เธออึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกเลยทีเดียว .. มันน่าตีทั้งคนพ่อคนลูก ทำอะไรไม่เคยจะปรึกษาหรือขอความเห็นกันก่อนเลย

ความขุ่นเคืองในใจถูกทำลายลง เมื่อเด็กหญิงคนเดียวในรถชะโงกหน้าแทรกกลาง ระหว่างที่นั่งของบิดามารดามาถามไถ่อย่างชวนคุย

“คุณแม่ขา อีกนานไหมคะกว่าจะถึงทะเล”

“อีกไม่นานหรอกลูก เราออกจากบ้านมาเร็วก็ถึงเร็ว .. ใจเย็นๆนะ .. เจ้าเกรซ”

พฤหัสหันไปคนตอบคำถามของลูกสาวคนเล็กแทน หากแต่สายตาก็ชำเลืองไปที่ภรรยาเป็นเชิงปลอบประโลม เพราะเข้าใจได้ดีถึงสาเหตุแห่งความนิ่งเงียบเจืออารมณ์ขุ่น แต่ก็ยังระงับไว้ให้รู้กันเป็นการเฉพาะ

ก่อนบรรยากาศภายในห้องโดยสารจะอึมครึมยิ่งกว่านี้ ชายสูงวัยผู้เป็นต้นคิดเรื่องปิกนิกริมทะเล เพื่อฉลองวันคล้ายวันเกิดให้ตรีวธู ก็เปลี่ยนเรื่องมาคุยกับสองสาวที่นั่งขนาบซ้ายขวาลูกสาวของตนอย่างติดตลก ผ่อนคลายความตึงเครียดให้คนข้างตัว

“หนูเภาหนูพุด ฝากน้องด้วยนะลูก .. วันนี้มีสาวๆมากันหลายคน หนุ่มๆอย่างลุงกับเจ้าวิชชุ์เห็นทีจะได้ควงสาวๆเที่ยวซะแล้วงานนี้”

“งั้น .. คุณลุงควรเริ่มจากการเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวใหม่ ให้สมกับที่บอกว่าเป็นหนุ่มๆแล้วล่ะค่ะ ..”

“เปลี่ยนยังไงคะ .. พี่พุด”

เด็กหญิงฉงนในคำบอกขององก์อัมพุท จึงหันมาทางหญิงสาวทั้งตัวเกาะแขนถามอย่างไม่เข้าใจ จึงกระตือรือร้นอยากรู้ตามประสา

องก์อัมพุทยิ้มกับกิริยาท่าทางวางใจของตรีวธูที่มอบให้ ต่างจากครั้งแรกที่ได้พบกันจนแทบไม่น่าเชื่อ นั่นอาจเป็นเพราะ เมื่อวานตอนที่เธอมาถึงบ้านเภตรา เด็กหญิงก็มานั่งเล่นอยู่ที่บ้านเพื่อนแล้ว

ต้องขอบคุณตัวแทนสื่อสัมพันธภาพที่สร้างไมตรีอย่างเจ้าจัน ที่มีส่วนให้เธอและเด็กหญิงสามารถพูดคุยกันได้อย่างเป็นมิตรมากขึ้น

แต่ความเกรงใจอันเป็นข้อจำกัดของการมาเที่ยวครั้งนี้ ทำให้องก์อัมพุทตัดสินใจฝากเจ้าจันไว้ที่คลินิกรักษาสัตว์ชั่วคราว เพราะคิดว่าไม่เหมาะสมเท่าใดนักที่จะพามันมาด้วย แม้เด็กหญิงจะเสียดายนักหนาแต่เธอก็เข้าใจเมื่อได้รับคำอธิบาย

“ก็คุณลุงบอกว่า วันนี้มีแต่สาวๆนี่คะ น้องเกรซก็อายุครบ ๑๑ ปีเต็มพอดี เริ่มเป็นสาวน้อย คุณแม่น้องเกรซก็ยังสาวยังสวย .. แถมสวยกว่าพวกพี่อีก .. ใช่มั้ยเภา”

หญิงสาวคุยกับเด็กหญิงพลางเหลือบมองเภตราที่เอาแต่เหม่อมองนอกรถ เธอจึงรั้งสติเพื่อนให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันมากกว่าปัญหาที่ยังมาไม่ถึง

เภตรากะพริบตาปริบหันมามองคนโบ้ยคำถาม แม้จะไม่ทันได้ตั้งใจฟังแต่ก็พอจับคำพูดได้บ้าง ก็พยักหน้าอือออเห็นด้วยพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ

“อืม .. ใช่ๆ .. ตามนั้นเลยน้องเกรซ”

ตรีวธูเหลียวมองไปทางเภตราครู่เดียว แล้วหันกลับมาเพื่อฟังองก์อัมพุทต่อ เพราะอยากรู้ว่าพี่สาวเจ้าของเจ้าจัน ลูกแมวน่ารักตัวนั้นจะให้เธอเรียก ‘คุณพ่อ’ ว่าอย่างไร

“คุณลุงคะ .. ขออนุญาตนะคะ”

“ตามสบายเลยจ้ะ .. สาวๆ .. 'เรียกพี่ ..ได้ไหม .. แล้วพี่จะให้ กินขนม หมื่นห้า .. ถ้าเรียกอา ลดมาห้าพัน .. เรียกลุงเลิกพลัน..'* .. ”

พฤหัสออกปากอนุญาตตามคำขอขององก์อัมพุท พร้อมครวญเพลงลูกทุ่งที่เคยฮิตติดปากบรรดาหนุ่มใหญ่วัยดึกอยู่ยุคหนึ่ง หากแต่แววตาพราวประกายระยับกรุ้มกริ่ม กลับมีเพื่อ‘สาวๆ’ข้างกายที่นั่งเคียงคู่กันนี่เอง

ปารตีซึ่งหันข้างอยู่เห็นอาการเล่นหูเล่นตาเจ้าชู้ของสามี แถมยังบทเพลงที่สามีร้องให้เธอ ที่ฟังทีไรก็ให้พิพักพิพ่วนทุกคราว จนอดหมั่นไส้ไม่ได้ต้องยกมือตีที่หน้าขาของพฤหัสเบาๆ ไม่รู้ว่ากำลังปรามการหยอกล้อของเขา หรือแก้อาการขัดเขินของตนกันแน่ แต่มันก็ช่วยให้เลือนความขุ่นมัวเมื่อแรกเดินทางไปได้ไม่น้อย

แม้เด็กหญิงจะไม่อาจเข้าใจเรื่องราวหรือเนื้อหาของเพลงได้ทั้งหมด แต่ก็ช่างสังเกตจนเห็นความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา

“คุณแม่ขา .. ทำไมคุณแม่หน้าแด๊งแดงล่ะคะ .. อ๋อ .. เกรซรู้แล้ว”

ตรีวธูปิดปากตัวเองไม่ยอมบอกว่า ที่รู้นั้น ‘รู้’ อะไร แต่กลับสะกิดแขนองก์อัมพุทเบาๆให้หญิงสาวโน้มตัวเล็กน้อย ตอนที่คนตัวเล็กเงยหน้าป้องปากเหมือนมีสิ่งสำคัญจะกระซิบให้ฟัง

“เหมือนเพื่อนเกรซเลยค่ะ พี่พุด .. พอมีเด็กผู้ชายมาแกล้งเขาก็ตีแบบนี้ แต่ตัวเองก็หน้าแดง .. เขาต้องแอบชอบกันแน่เลย .. เนอะพี่พุดเนอะ”

องก์อัมพุทและเภตราได้แต่หันมาสบตาแล้วเมินหลบ ต่างคนต่างอมยิ้มกับคำพูดของตรีวธู รวมไปถึงการจีบกันต่อหน้าต่อตาของหนุ่มใหญ่และสาวสวย ที่พยานรักของคนทั้งคู่ยังนั่งมองคนนั้นทีคนนี้ที แต่ทั้งสองสาวก็ต้องพยายามเก็บกลั้นรอยยิ้มไม่ให้แก้มปริแตกออกมา ถึงกับลืมไปเลยว่ายังค้างคาคำถามเรื่องสรรพนามกันอยู่

วิชชุ์วิธูที่ตั้งใจขับรถทำหน้าที่สารถีที่ดีมาตลอดทาง ยังอดชำเลืองมองผ่านกระจกไม่ได้หลังฟังเสียงเจื้อยแจ้วเจรจาของน้องน้อย และเขาก็เห็นแล้วว่า ปฏิกิริยาของผู้โดยสารแต่ละคนเป็นเช่นไร ก่อนดึงความสนใจกลับมายังเส้นทางเบื้องหน้า สายตาเหลือบมองรอบทิศทางเพื่อประเมินสภาพอากาศในการท่องเที่ยววันนี้

ชายหนุ่มระบายยิ้มในหน้า .. เมฆขาวเบาบางลอยละล่อง ท้องฟ้าช่างสดใสดีจริง!





ริมหาดทรายในวันหยุดสุดสัปดาห์ หาได้มีความสงบเงียบเหมือนช่วงวันธรรมดาเสียแล้ว เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องง่ายๆที่เข้าใจได้ไม่ยาก และถึงมัตติก์จะเข้าใจ แต่เขาก็ยังมีสีหน้าเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด

ชายหนุ่มในวัยสามสิบปีดิ้นรนหนีความวุ่นวายจากเรื่องไร้สาระ เนื่องจากรู้สึกว่า ‘คุณนายกัทลิน’ มารดาของเขา ที่เจ้าตัวแอบยกตำแหน่ง ‘คุณนาย’ ให้ยามไม่สบอารมณ์ กำลังเข้ามาก้าวก่ายความเป็นส่วนตัวในชีวิตมากเกินไป

อย่างเมื่อ ๒ เดือนก่อนจู่ๆกัทลินก็มาบอกว่า ให้เขาไปเป็นครูสอนเด็กอนุบาลแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงเรียนของเพื่อน แต่ด้วยงานที่ติดพันทำให้ไม่สามารถทำความประสงค์ได้ จนมารู้ทีหลังว่า มารดาวางแผนจับคู่ดูตัวให้กับเขา

“บ้าชะมัด”

มัตติก์สบถออกมาไม่รู้แน่ว่า ต้นเหตุของความขัดเคืองใจมีที่มาจากการจำต้องมีว่าที่คู่หมาย หรือเพราะสัญญาณการสื่อสารมันห่วยแตกกัน จึงไม่อาจติดต่อบุคคลปลายทางได้

แต่ข้อพิสูจน์เรื่องสัญญาณต้องตกไป เมื่อมีสายเรียกเข้ามาที่โทรศัพท์ตัวบางในมือ และชายหนุ่มก็ยกมันขึ้นมาดูทันที ในใจห่อเหี่ยวแห้งแล้งไปเมื่อคนที่ติดต่อมาไม่ใช่คนที่เขาหวัง

“ครับ .. พ่อ”

“ขอบใจมากนะดิน .. พ่อเพิ่งรู้เรื่องที่ทางมหา’ลัยมอบทุนให้งานวิจัยของพวกพ่อ”

ด็อคเตอร์เหม กาญจนรักษ์ หรืออาจารย์เหม หัวหน้าทีมวิจัยบอกน้ำเสียงยินดีไม่น้อย ที่บุตรชายออกหน้าให้ความช่วยเหลือเรื่องงานที่จำเป็นต้องอาศัยเงินทุนพอสมควร แม้จะต้องขัดแย้งกับบอร์ดบริหารของมหาวิทยาลัยตามที่เขาทราบมา

“เรื่องเล็กครับ .. พ่อทำงานให้สบายใจเถอะ แต่กลับบ้านบ้างก็ดีนะ ไม่งั้นมีอะไรแม่ก็มาลงที่ผมคนเดียว”

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าดิน .. แล้วนั่น เสียงเหมือนคลื่นเลย ไม่ได้อยู่บ้านรึไง”

มัตติก์ยิ้มออกมาได้ที่บิดายังใส่ใจเขามากกว่าที่เห็นภายนอกว่า ‘บ้างาน’ ชายหนุ่มตระหนักดีในเรื่องนี้ และเข้าใจบิดารวมไปถึงการทำงานของบิดามากกว่ามารดา ซึ่งกัทลินไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ที่สามีจะมาเสียเวลาหมกตัวอยู่ตามป่าเขาหรือสำนักวิจัย มากกว่าสร้างความเจริญให้แก่มหาวิทยาลัยของตนเอง

“ผมมาพักผ่อนน่ะ .. เบื่อๆ”

“เบื่อหรือหลบหน้าแม่แก”

ชายหนุ่มถึงกับหงายหน้าหัวเราะเลยทีเดียวที่บิดารู้ทัน ซึ่งปลายสายก็คงกำลังทำไม่ต่างกัน เพราะแว่วเสียงราวกับขบขันผ่านเครือข่ายสัญญาณสื่อสารไร้สาย แต่ไม่นานเขาก็เงียบลงก่อนถอนหายใจดังๆคลายความอึดอัดภายใน ฝากไปกับคลื่นลมค่อนข้างแรง คล้ายกับว่าอะไรๆก็ไม่เป็นไปอย่างใจเลยสักอย่าง

“เฮ้อ .. ผมอยากไปช่วยงานพ่อบ้างจัง .. อยู่ป่าน่าจะสงบแล้วก็ดีกว่านี้”

“ดิน .. ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรง แกก็ช่วยแม่ไปก่อน .. แทนพ่อ .. ทางนี้ถ้าพ่อหาใครที่คิดว่าจะสานต่อได้ พ่อก็คงค่อยๆวางมือ ไม่ใช่ว่าจะเลิกทำงานที่รักหรอกนะ แต่เพราะพ่อเห็นแก่ตัวมานาน .. ที่ทิ้งแม่เขาเหนื่อยกับการสร้างรากฐานความมั่นคงให้ครอบครัวแทบจะคนเดียว .. วันหนึ่งพ่อคงได้มีโอกาสชดเชยให้ลูกกับแม่เขาบ้าง”

มัตติก์เข้าใจเหมผู้เป็นบิดาดี และเขาก็พอจะมองเห็นด้วยว่า ใคร .. ที่พอจะฝากฝังงานที่พ่อของเขารักได้

“ผมว่าในทีมของพ่อ .. มีคนที่พร้อมอยู่นะครับ .. และถ้าผมยังเป็นรองประธานฯบอร์ด ผมสัญญาว่าจะยังสนับสนุนทุน .. เหมือนตอนนี้ .. เหมือนที่ผ่านๆมา”

“ขอบใจลูก .. ขอบใจมาก .. เอาล่ะ พ่อคงต้องไปละ .. ทแกล้วรออยู่ .. รักษาตัวนะลูก”

“พ่อด้วยนะครับ”

ชายหนุ่มรับคำและร่ำ ลาบิดาหลังได้ยินชื่อใครบางคน .. ริมฝีปากได้รูปก็เหยียดวาดยิ่งทำให้ใบหน้าคมคาย น่ามองขึ้นกว่าเดิม





พื้นที่ริมถนนที่มีทิวต้นสนทอดยาวไปไกลลิบขนานกับชายหาด หลายครอบครัวมาจับจองจอดยานพาหนะ แต่ก็ยังมีที่ว่างพอสำหรับผู้ที่เพิ่งมาถึง เมื่อวิชชุ์วิธูเลือกทำเลที่คิดว่ายังมีความเป็นส่วนตัว แต่ก็ไม่ไกลจากผู้คนมากนัก

รถยนต์อเนกประสงค์ที่มีผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นสุภาพสตรี หน้าที่ขนของและอุปกรณ์ปิกนิกจึงตกเป็นของสุภาพบุรุษที่เหลือเพียง ๒ คนทันที

แต่องก์อัมพุทกับเภตราก็ไม่ได้นิ่งเฉย สองสาวยินดีและเต็มใจช่วยทุกอย่าง ตั้งแต่มองหาที่ร่มเหมาะปูเสื่อน้ำมันที่ม้วนเตรียมมาแล้วปูผ้ารองอีกชั้น เสร็จแล้วก็ดูแลจัดการเรื่องเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว ส่วนรายการพิเศษนอกเหนือจากนี้ พวกเธอรับรู้แต่ว่า ‘พี่ชายอีกคน’ ของตรีวธูจะนำมา
‘เซอร์ไพรส์’ น้องสาวตัวน้อย

มีบ้างที่สายตาของวิชชุ์วิธูเผลอมององก์อัมพุท แต่ก็เพียงไม่นานเพราะคล้ายกับมีใครอีกคน คอยลอบสังเกตเขาไม่ต่างกัน

“แกไปโทร.บอกเจ้ารุจน์หน่อยไป ว่าเราอยู่กันตรงไหนของหาด .. เอ้า มัวแต่มองหนูพุด .. เดี๋ยวค่อยกลับมามองก็ได้ อ่อ .. ตอนนี้ยังไม่สายเท่าไหร่ ลองไปเดินหากุ้งหอยปูปลามาด้วยล่ะ”

พฤหัสสั่งการระหว่างช่วยกันตั้งเตาห่างจากที่นั่งในระยะพอเหมาะ และตรวจสอบแล้วว่าอยู่ใต้ลม เพื่อไม่ให้มีควันไฟรบกวนความสำราญ

“พ่อแน่ใจนะ .. ว่าเจ้ารุจน์เต็มใจมา ผมยังมีเรื่องต้องคุยมันไม่น้อย ..”

วิชชุ์วิธูพูดพลางชำเลืองไปทางปารตีที่จูงมือตรีวธูออกไปสำรวจชายหาด เพราะเด็กหญิงยังตื่นเต้นกับการได้มาปิกนิกริมทะเลในวันเกิดของตน

“ยังไงก็ให้ผ่านวันนี้ไปก่อนนะวิชชุ์ .. พ่อดีใจที่นานๆจะได้เห็นลูกๆอยู่พร้อมหน้ากัน .. มีเรื่องอะไรเอาไว้วันหลังเถอะ เมื่อเช้าแกก็เห็นว่ารตีเขาโกรธแค่ไหน พอรู้ว่าเจ้ารุจน์จะมาสมทบด้วย”

“ก็ได้ครับ .. เพื่อความสบายใจของพ่อ และความสุขของน้อง .. เดี๋ยวผมมานะครับ”

ชายหนุ่มติดตั้งอุปกรณ์เรียบร้อยก็เตรียมปลีกตัวออกไปตามคำสั่งบิดา และโดยไม่คาดคิดพฤหัสก็ส่งเสียงเรียกใครอีกคนให้ไปทำหน้าที่ผู้ช่วยของเขา จนเจ้าตัวถึงกับงงงันก่อนเบือนหน้าลอบยิ้มกับทิวต้นสน แล้วหันมาทำหน้าเรียบนิ่งดังเดิม

“หนูพุด .. ลุงรบกวนหน่อยลูก ไปช่วยพี่เขาเลือกซื้อของสดหน่อย .. ทางนี้เดี๋ยวลุงอยู่ช่วยหนูเภาเอง”

องก์อัมพุทอ้ำอึ้งไปเหมือนกันกับคำขอร้องแบบไม่ให้ปฏิเสธ จนเภตราที่อยู่ใกล้ๆต้องสะกิดเตือน แล้วพยักพเยิดไปทางวิชชุ์วิธูว่าเขากำลังรออยู่ แถมกระซิบบอกเพื่อนอย่างน่าหยิกจริงๆ

“ไปสิ .. ไม่ต้องรีบกลับมาก็ได้นะ .. ของสด มันต้องดูนานๆ .. ต้องใช้เวลา”

“ยัยเภา .. แกนี่ ..”

หญิงสาวไม่รู้จะต่อว่าหรือขอบใจเพื่อนดี ได้แต่ทำสีหน้าพิกลจนมันระเรื่อเล็กน้อยกับคำพูดกำกวมคลุมเครือ แต่เมื่อหันไปตามสายตาของเภตรา ก็เห็นว่าชายหนุ่มยืนมองเรียบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ องก์อัมพุทก็แทบจะหน้าชาไปเลยว่า นี่ตัวเองคิดบ้าบอไปถึงไหนกัน



วิชชุ์วิธูกับองก์อัมพุทเดินมาจนถึงแหล่งจับจ่ายซื้อหาของสดจากทะเล ที่ชาวบ้านนำมาวางขายกันเอง แม้จะไม่มากเท่าแพปลาที่รอรับสินค้าจากเรือประมงเทียบท่า แต่ที่นี่ก็มีกุ้งหอยปูปลาที่สดและได้ขนาดพอสมควร อีกทั้งราคาก็ไม่ได้แพงจนเรียกว่า ขูดเลือดขูดเนื้อนักท่องเที่ยวอย่างที่เคยมีข่าวให้ได้ยิน

ขามาทั้งสองคนแทบไม่ได้พูดจาใดๆกัน นอกจากถามตอบตอนขอความเห็นเรื่องอาหารทะเล กระทั่งขากลับจากซื้อของและช่วยกันหอบหิ้ว

ระหว่างนั้นวิชชุ์วิธูขอตัวครู่หนึ่ง เพื่อใช้โทรศัพท์ติดต่อใครบางคนที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งองก์อัมพุทเดาว่า คงเป็นน้องชายของเขาตามที่เภตราเกริ่นนำให้ฟัง จึงไม่ได้สนใจมากนักนอกจากเหลียวซ้ายแลขวามองดูผู้คนที่ทยอยกันมาพักผ่อนเหมือนกัน

ไม่นานวิชชุ์วิธูก็ให้หญิงสาวสัญญาณโดยการพยักหน้าเล็กน้อย เป็นเชิงบอกว่าธุระของเขาเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเอ่ยคำแรกราวกับจะชวนคุยทำลายความเงียบที่มีมาตลอดทาง

“เจ้าจันเป็นยังไงบ้างล่ะ .. ผมยังไม่ได้เจอเลย มีแต่เกรซกลับมาเล่าให้ฟังว่า คุณพาลูกแมวลายเมฆมาด้วย”

“เอ่อ .. ก็สบายดีค่ะ เริ่มกินเก่ง ขี้อ้อนพอๆกับขี้เซา .. กินอิ่มก็พร้อมหลับทันที”

ชายหนุ่มเห็นแล้วว่า องก์อัมพุทดูมีท่าทีผ่อนคลายลงยามได้บอกเล่าถึง ‘เจ้าจัน’ ลูกแมวตัวน้อยที่เขาและเธอให้ความช่วยเหลือก่อนหน้านี้

“แค่เดือนกว่าๆ ตอนนี้เจ้าจันไม่เหลือเค้าลูกแมวผอมโซขี้โรคเลยค่ะคุณวิชชุ์ .. แต่เพราะจะมาเที่ยวกันแบบนี้ พุด เอ่อ ฉัน .. เกรงใจ เลยพาไปฝากไว้ที่คลินิกก่อนค่ะ”

“เอ .. ตอนก่อนมาพ่อผมบอกคุณว่ายังไงนะ .. คุณถึงได้มาช่วยผมซื้อของ”

องก์อัมพุทมุ่นคิ้วเล็กน้อยกับคำถามเปลี่ยนเรื่องของวิชชุ์วิธู ชำเลืองสายตามองเขาที่เดินเคียงกันทำท่าครุ่นคิด แล้วก็นึกได้ถึงคำขอของพฤหัส บิดาของชายหนุ่มที่ยังคงไว้ซึ่งใบหน้าเรียบเฉย แต่เธอพอจะจับกระแสบางอย่างได้จากน้ำเสียงว่า มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เคยคิดเสียแล้ว

หน้านิ่ง .. แต่คำพูดบอกชัดว่า กำลังสนุกแบบหน้าตาย!

“หรือต้องให้ทวนความจำ ..”

“จำได้ค่ะ แค่ไม่กี่นาทีเอง .. ไม่ใช่คนขี้ลืมสักหน่อย”

วิชชุ์วิธูยกมุมปากเล็กน้อยเมื่อคนข้างกาย ที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นลูกศิษย์ของเขา แม้จะไม่ได้อบรมสั่งสอนกันโดยตรง แต่ด้วยวิทยฐานะของความเป็นอาจารย์ จึงไม่มีความเหมาะสมที่ทั้งสองจะให้ความสนิทสนมจนมากเกินไป

ทว่า วันนี้และเวลานี้ .. ไม่ใช่

เขาก็แค่ผู้ชายคนหนึ่ง .. และเธอ .. ก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เช่นกัน

“งั้น .. พ่อผมบอกว่าไงครับ .. หนูพุด”

หางเสียงคำเรียกนั้นอ่อนโยนกึ่งอ้อนนิดๆ แต่ถึงกับทำให้เจ้าของชื่อชะงักการเดิน ก้าวเท้าไม่ออกเลยทีเดียว เธอหยุดมองแผ่นหลังของคนพูด ที่สาวเท้านำหน้าไปสองก้าว เพราะยังไม่รู้ว่าอีกคนยืนนิ่งไปเสียเฉยๆ

ชายหนุ่มรู้สึกได้ในที่สุดว่า คนข้างๆไม่ได้เดินเคียงมาด้วยแล้วจึงหยุดหันไปมอง สีหน้าประหลาดใจ งงงัน ขัดเขินมันบ่งบอกเขาได้อย่างดีเลยว่า ‘หนูพุด’ กำลังสับสนกับสิ่งที่เขาถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงเมื่อครู่นี้

วิชชุ์วิธูถึงกับยิ้มกว้างขณะย่างเท้าเข้าไปหาองก์อัมพุท เธอทำให้เขารู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้น่ารัก .. จริงๆ

เป็นครั้งแรกที่องก์อัมพุทได้เห็นรอยยิ้มเปิดเผยของวิชชุ์วิธู ผู้ซึ่งมีใบหน้าเรียบนิ่งแทบจะตลอดเวลา .. รอยยิ้มนี้มันทำให้ดวงหน้าของเขา กระจ่างสดใสและชวนมองไม่รู้เบื่อ .. ในความรู้สึกของเธอ

“ว่าไง ตอบได้หรือยัง .. พ่อผมบอกว่ายังไง”

หญิงสาวไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเขาจึงทู่ซี้ถามคำถามนี้นัก แต่คงเพราะเธอกำลังมึนงงกับนัยน์ตาระยิบระยับ ที่เกิดขึ้นยามเขายิ้มเยื้อนส่งมา ประหนึ่งว่าต้องมนตร์สะกดจนเธอก็ไม่รู้ตัวว่าควรพูด .. จะพูดอะไรออกไปดี รู้แต่ว่าได้พูดออกไปแล้ว

“คุณลุงบอกให้หนูพุดไปช่วยพี่เขาซื้อของ .. คุณลุงพูดแบบนี้ค่ะ”

“แล้วพี่เขาน่ะ .. ใคร”

องก์อัมพุทยังมึนงงกับตัวเองอยู่อย่างนั้น ในข้อสงสัยเหตุใดแต่ละคำถามของวิชชุ์วิธูให้ความรู้สึกว่า เขาใกล้เข้ามาทุกที และคำตอบของเธอก็ดูเลื่อนลอยพิกล เมื่อต้องสบตากับเขาตลอดเวลาที่ตอบคำถาม

“คุณวิชชุ์ไงคะ .. พี่”

“พี่วิชชุ์?”

“ใช่ค่ะ .. พี่วิชชุ์”

นั่นเป็นคำตอบสุดท้ายชัดถ้อยชัดคำขององก์อัมพุท ที่ย้ำคำทวนถามของวิชชุ์วิธู และดูเหมือนว่าจะถูกใจคนถามจนเขายิ้มกว้างให้เธออีกครั้ง จนหญิงสาวแน่ใจมากกว่าครั้งใดๆว่า รอยยิ้มนี้คือรางวัลแด่เธอ

“เรียกพี่วิชชุ์ .. ได้เสียทีนะครับ หนูพุด”

วิชชุ์วิธูเอ่ยอย่างยินดีกับวิธีการเรียกระหว่างกัน แต่เขาก็ยังเก็บมันเอาไว้ไม่เผยออกมาทั้งหมด หากก็มั่นใจว่าหญิงสาวรับรู้ความรู้สึกของเขา เท่าที่มันจะค่อยเป็นค่อยไป

ชายหนุ่มเอื้อมมือคว้าถุงข้าวของที่ช่วยกันถือ ก่อนที่มันจะร่วงหล่นลงไปกองกับพื้น เพราะดูท่าว่าคนที่ยังดูงุนงงกับท่าทีของเขายังตั้งตัวไม่ติดนัก

“มาเถอะ .. เจ้าของงานบ่นอุบแล้วมั้งว่า .. พี่ๆมาซื้อของกันนานจัง”

“คะ .. ค่ะ”

องก์อัมพุทตอบรับแล้วก้าวเดินเคียงไปกับวิชชุ์วิธู ความรู้สึกคลับคล้ายเบาหวิวเหมือนจะล่องลอยได้ในอากาศ จนเธอนึกตำหนิตัวเองว่า ไม่น่าให้เขาเอาของไปถือคนเดียว เพราะตอนนี้ร่างกายราวกับไร้น้ำหนัก ตัวเธอแทบก้าวเดินไม่ติดพื้นแล้ว

ทว่า องก์อัมพุทก้าวพ้นจากตำแหน่งที่หยุดยืนคุยกับวิชชุ์วิธูได้ไม่นาน หญิงสาวก็ต้องตกใจหันไปตามเสียงคุ้นหูที่เรียกชื่อของเธอ ซึ่งจำได้ดีว่า น้ำเสียงเช่นนี้ การเรียกแบบนี้ .. มีไม่กี่คนที่ใช้มัน

“คุณพุด!”








*เพลง 'เรียกพี่ได้ไหม' .. ศิลปิน คุณเสรี รุ่งสว่าง




********************************************






โปรดติดตามตอนต่อไป ...

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ... และขอขอบคุณสำหรับไลค์กำลังใจฮะ


คุณใบบัวน่ารัก ... เปิดเทอมก็ ป. 5 แล้วฮะ (ทั้งที่จริงควรขึ้น ป.6 ... ถ้าไม่ ..)
เอ .. ไม่กล้าฟันธงฮะ .. ว่าจะถึงขั้นประกาศสงคราม เป็นศึกชิงนางมั้ย ... O_O



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ส.ค. 2558, 05:26:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2558, 05:23:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1175





<< บทที่ ๑๖ .. ชุลมุน ครุ่นคิด .. รักผิดหรือ?   บทที่ ๑๘ .. ชีวิตนี้ ใครที่คิดบงการ >>
ใบบัวน่ารัก 10 ส.ค. 2558, 06:52:14 น.
มีอีกหนุ่มด้วย ทะเลก็มีหาดเดียวด้วย เจอกันไหมค้า
อีกคน ก็หายไปเลยมัวแต่เข้าป่า


ปรางขวัญ 10 ส.ค. 2558, 20:10:35 น.
เอาแล้วๆหนูพุด งานนี้มีแต่หนุ่มๆหมายปอง อิอิ รอลุ้นตอนหน้าค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account