ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๑๘ .. ชีวิตนี้ ใครที่คิดบงการ



เภตราอยู่เป็นลูกมือของ 'ลุงหัส' จนไม่มีอะไรให้ทำอีกแล้ว เพราะตอนนี้ขาดอยู่ก็แต่อาหารทะเลสดจำพวกกุ้ง หอย ปู ซึ่งพฤหัสจัดแจงใช้วิชชุ์วิธูให้ออกไปซื้อมา โดยไหว้วานองก์อัมพุทไปช่วยเลือกอีกแรง เธอจึงขอตัวออกไปตามปารตี ที่จูงมือตรีวธูเดินเล่นเลาะชายหาดห่างจากจุดปิกนิกไกลพอสมควร

หญิงสาวสวมรองเท้าแตะหนังสาน ก้าวไปยังทิศทางที่สองแม่ลูกยืนอยู่ลิบๆ ช่วงสายแม้แสงแดดยังไม่จัดจ้า แต่พอเดินเข้าใกล้หาดทรายที่มีคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่ง ทุกสัมผัสก็รับรู้ถึงแรงลมที่ไม่เบาเลย จนเสื้อผ้าที่สวมใส่ถูกพัดพลิ้วแนบตัว เรียกได้ว่าอวดสัดส่วนสรีระชนิดไปต้องคาดเดาให้เหนื่อยจินตนาการ

เจ้าตัวมุ่งแต่จะไปให้ถึงบุคคลเบื้องหน้า จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับตัวเองมากนัก เว้นเสียแต่เส้นผมยาวที่เริ่มรุ่ยร่ายพันกันเพราะแรงลม ทำให้ต้องคอยจับรวบแล้วปัดไปข้างหลังบ่อยครั้ง จนไม่ทันได้สังเกตว่า ช่วงจังหวะที่เธอเร่งฝีเท้าให้แซงผู้ชายคนหนึ่ง ที่เดินทอดน่องชมวิวทิวทัศน์อย่างสบายอารมณ์ ปลายเส้นผมของเภตรามันก็สะบัดไปโดนใบหน้าเขาเข้าพอดี

แต่เพราะความรีบร้อนมองเฉพาะทางข้างหน้าไม่สนใจบนพื้นทราย ว่าจะมีสิ่งใดเกะกะหรือกีดขวาง เภตราจึงสะดุดเข้ากับก้อนหินก้อนหนึ่ง ส่งผลให้เธอถึงกับเซถลาไปสองสามก้าว ก่อนจะล้มลงต่อหน้าต่อตาคนที่เพิ่งแซงขึ้นมาเมื่อครู่

มัตติก์มองเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ส่ายหน้าช้าๆกับหญิงสาวที่ไม่รู้จักระมัดระวังใดๆ ตั้งแต่ตอนที่สะบัดเส้นผมมาโดนหน้าของเขา แต่เพราะไม่อาจนิ่งเฉยดูดายผู้หญิงขณะกำลังประสบเหตุ จึงก้าวยาวๆเข้าไปหาเผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง

"เป็นยังไงบ้างคุณ .. เจ็บตรงไหนรึเปล่า"

เภตราเหลียวมองหาเสียงห้วนอย่างงงๆ ไม่แน่ใจว่ามีใครกำลังถามเธออยู่หรือเปล่า ด้วยสภาพสะโพกข้างขวากระแทกกับพื้น เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อยและเจ็บอยู่บ้างแต่ในใจอดคิดไม่ได้ว่า โชคยังดีที่หน้าไม่คว่ำลงไป

คนรอคำตอบก็ชักสีหน้ามากขึ้นไม่อยากรอ คิดว่าจะถามอีกครั้งเดียว หากยังอ้ำอึ้งไม่พูดไม่จา เขาก็จะได้ไปจากตรงนี้เสียที

"ลุกไหวมั้ย .."

"เอ่อ .. ไม่รู้ค่ะ .. มันจุกๆนิดหน่อย แต่คงไม่เป็นไร ขอบคุณนะคะ"

มัตติก์เผลอถอนใจแรงจนเภตราได้ยินจึงเงยหน้าขึ้นมอง เข้าใจอยู่หรอกว่าอีกฝ่ายอาจจะอยากช่วย แต่พอรับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาราวกับรำคาญไม่ปิดบังอย่างนี้ เป็นใครก็ต้องข้องใจเป็นธรรมดา

และพอเภตราได้เห็นหน้าชายหนุ่มที่ยืนปักหลักค้ำร่าง ซึ่งยังนั่งกองกับพื้นทรายเธอถึงกับต้องจ้องมองตาไม่กะพริบ เนื่องจากรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับเขาอย่างประหลาด เหมือนว่าเคยเห็นจากที่ไหนสักแห่งหรืออะไรสักอย่างเมื่อไม่นานมานี้

"เคยมีใครบอกหรือเปล่าว่า การจ้องหน้าคนไม่รู้จัก มันเสียมารยาทมากน่ะ .. รู้มั้ย"

ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดกับการถูกคนแปลกหน้าที่ทั้งซุ่มซ่าม และดูเธอช่างไร้จรรยามรรยาทจ้องเอาๆ จนต้องออกปากตักเตือนโดยลืมไปว่า คำพูดของเขาก็ไม่สมควรเช่นกัน

เภตราไม่ได้สนใจถ้อยคำเหล่านั้นเลย นอกจากเร่งประมวลผลในสมอง แล้วเธอก็จำผู้ชายตรงหน้าได้ในเวลาไม่ถึงอึดใจว่า .. เขาเป็นคนคนเดียวกัน .. กับคนที่เธอไม่อยากพบที่สุด

"คุณ .. มัตติก์?"

"หืม .. รู้จักผมด้วย?"

คำย้อนถามนั้น ถือเป็นการยืนยันตัวตนของคนที่ทำให้เภตราปวดเศียรเวียนเกล้ามาแรมเดือน แถมบทจะได้เจอะเจอมันก็ช่างบังเอิญจนน่าแปลกใจ คล้ายกับเรื่องตลกที่ขำไม่ออก

"ก็ไม่ได้อยากรู้จักเท่าไหร่หรอกค่ะ .."

หญิงสาวตอบออกไปอย่างใจคิดไม่อ้อมค้อม เหมือนที่เขากล้าพูดตรงไปตรงมาตามความรู้สึก

หากมันก็ไปสะกิดใจต่อมสงสัยของมัตติก์อย่างจัง ทั้งที่คิดว่าจะผละจากไปเมื่ออีกฝ่ายบอกแล้วว่า ไม่ได้เป็นอะไรมาก

"ผมไม่รู้จักคุณ คุณจะมารู้จักผมได้ยังไง"

"เอาเป็นว่า .. เอ่อ ช่างมันเถอะ"

"เพี้ยนรึเปล่าคุณ .. ตอนล้มหัวไม่ได้กระแทกใช่มั้ย"

มัตติก์ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เหตุใดจะต้องเสียเวลาต่อความยาวสาวความยืดกับผู้หญิงคนหนึ่งด้วย สุดท้ายเขาก็เลือกตัดบทเสียเอง

"ถ้าคุณไม่เป็นไร ผมจะไปล่ะ .. ออ เดินเหินก็ให้มันระมัดระวังหน่อย ไม่ใช่แค่ตัวเองที่เดือดร้อนหรอกนะ"

แม้เภตราจะไม่เข้าใจที่มัตติก์พูดทั้งหมด แต่อย่างน้อยเธอก็เห็นแล้วว่า ผู้ชายคนนี้ยังพอเป็นสุภาพบุรุษอยู่บ้าง .. ถึงเธอจะมองเห็นความฝืดฝืนในแววตา และสัมผัสได้จากความรู้สึกแปลกแปร่งจากเขา จนต้องกลั้นยิ้มแล้วตอบไปว่า

"ขอบคุณค่ะ .. ที่อุตส่าห์เตือน .. ฉันจะระวังเท่าที่ระวังได้ค่ะ แต่ตอนนี้มั่นใจแล้ว .. ว่าไม่เป็นอะไร .. แน่ๆ"

ชายหนุ่มขมวดคิ้วกับประโยคขอบคุณยืดยาวแฝงนัยยะ ประเภทพูดเองเออเอง แล้วยังสายตาวิบวับที่สานสบกันนั่นอีก .. ผู้หญิงอะไร พิลึกคน!

มัตติก์ก้มองหญิงสาวที่เขานึกค่อนในใจเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนก้าวออกมาเมื่อเธอพยักหน้าให้ ยืนยันว่า .. ไม่เป็นไรจริงๆ

เภตรามองส่งมัตติก์เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม รู้สึกว่าความหนักหน่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มันปลอดโปร่งโล่งสบายจนหายใจได้เต็มปอด

แต่พอนึกอะไรขึ้นมาได้ ร่องรอยความเบิกบานก็แทบมลายหายหมดสิ้น

มือข้างซ้ายยกขึ้นมาทาบเหนือหน้าท้อง .. ไม่หรอกน่า อาจเป็นเพราะความเครียดเลยทำให้มันมาไม่ตรงเวลา

ความผิดปกติในแบบเฉพาะตัวของผู้หญิงที่เธอรู้ดีว่า สาเหตุแห่งความคลาดเคลื่อนนั้น เกิดได้จากอะไรบ้าง

.. นี่แค่เดือนเดียว รอดูอีกสักพัก อย่าเพิ่งคิดมากสิ .. เภตรา

หญิงสาวพยายามปลอบใจตัวเอง ไม่ให้คิดถึงเรื่องที่ได้ตัดสินใจทำลงไป เนื่องจากยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีอาการอื่นแทรกซ้อน อย่างที่ใครๆเคยบอกเล่า นอกจากเฝ้ารอสิ่งที่คำนวณไว้เพื่อให้มันแสดงผลไม่ผิดพลาด

.. แต่ถ้าเธอคิดผิด มันก็ดีกับตัวเองมิใช่หรือ?

ความคิดของเภตราโต้แย้งไปมาอย่างสับสนจนลืมไปแล้วว่า ตัวเองอยู่ในสภาพใด กระทั่งเสียงเล็กๆสดใสดังใกล้เข้ามาอย่างตกใจ ก่อนที่ตรีวธูจะถลาเข้ามาประชิดตัว ตามด้วยปารตีอีกคน

"พี่เภา .. เป็นอะไรคะ เกรซเรียกตั้งนาน พี่เภาก็ไม่ตอบ"

"นั่นสิ .. พี่เห็นคุณเภานั่งนิ่งเลย หกล้มหรือยังไงคะ ลุกไหวมั้ย"

สุ้มเสียงอ่อนโยนถ่ายทอดความห่วงใยด้วยใจจริง ผิดกับผู้ชายก่อนหน้าที่เดินไปไม่เหลียวมองแม้แต่น้อย แต่ก็ดีแล้วที่ 'ว่าที่คู่หมาย' อย่างมัตติก์ไม่ได้สนใจเภตรามากกว่านี้

บางที ถ้าวันที่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการมาถึง ทั้งเธอและเขา .. อะไรๆที่หวั่นวิตกอาจง่ายขึ้นก็ได้




รวิรุจน์วางสายได้ไม่กี่นาที รถคู่ใจก็ขับเคลื่อนเข้ามายังถนนเลียบชายหาด ระหว่างทางที่กำลังจะผ่านไป เขาสะดุดตากับร่างสูงเพรียวของผู้ชายที่จำได้ในพริบตาว่า นั่น คือวิชชุ์วิธูพี่ชายของเขา

แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มต้องชะลอความเร็วที่ช้าอยู่แล้ว จากการขับจนแทบจะเป็นคลาน คือหญิงสาวลักษณะท่าทางคุ้นตา ซึ่งเจ้าตัวแอบพาเธอเข้ามาไว้ในใจแต่ยังหาโอกาสบอกเธอไม่ได้

ทุกอิริยาบถที่รวิรุจน์เห็น ราวกับภาพเคลื่อนไหวเชื่องช้า นับแต่วิชชุ์วิธูหันกลับมาแล้วสาวเท้าก้าวไปหาองก์อัมพุท ซึ่งหยุดยืนนิ่งเป็นหุ่นปั้นเหมือนพบความประหลาดใจอย่างไม่คาดคิด

เขามองเห็นท่าทางประหม่าของหญิงสาว การช้อนสายตาขึ้นมองและอากัปกิริยาบางอย่างที่ชัดเจน ซึ่งเป็นลักษณะอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อเธออยู่ต่อหน้าเขา หรือจะพูดให้ถูกคือ ทุกการกระทำและคำพูดของรวิรุจน์ ไม่เคยสร้างปฏิกิริยาเหล่านั้นได้เลย

ชายหนุ่มตัดสินใจในวินาทีนั้นหักพวงมาลัยชิดขอบทาง โดยไม่สนใจว่าจะมีพาหนะใดแล่นตามมา รถหยุดเครื่องยนต์ถูกดับ เขารีบเปิดประตูรถก้าวลงไปด้วยความรู้สึกที่รุมร้อนอัดแน่นในโพรงอก

ยิ่งท่าทีที่พี่ชายของเขาแสดงความอ่อนโยนใส่ใจหญิงสาวคนที่เขาหมายตา รวิรุจน์ก็ตระหนักได้ว่า อะไรกำลังจะเกิดขึ้น

ราวกับเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับ .. ภาพนั้นทับซ้อนกับหญิงสาวมาดมั่นที่ครั้งหนึ่ง รวิรุจน์หลงชื่นชม

วิชชุ์วิธู .. พี่ชายที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่รู้สึกรู้สาว่าใครจะคิดอะไร .. ผลที่ออกมาคือ มีคนที่ต้องเจ็บปวดโดยเจ้าตัวไม่เคยสนใจไยดี

รวิรุจน์จดจำและเก็บมันไว้ .. ไม่เคยลืม

กระทั่งวันนี้ .. ผู้ชายสายเลือดเดียวกัน กำลังเริ่มต้นรอยเดิม หากที่เปลี่ยนไปคือ เป้าหมายใหม่

แต่เขาจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย .. องก์อัมพุท ไม่ควรมองพี่ชายของเขา ด้วยสายตาที่บอกให้รู้ได้ว่า เธอกำลังตกหลุมที่พี่ชายของเขาเป็นคนขุด แล้วพยายามล่อลวงให้ตกลงไป .. ก่อนจะเขี่ยให้พ้นทางในที่สุด

เหมือนกับปารตี .. ที่สุดท้ายก็กลับมาช่วงชิงพ่อของเขา ไปจากแม่จนครอบครัวแตกสลายนับแต่วันนั้น

แล้วจะให้เขาทนได้อย่างไร .. ที่เห็นทั้งพ่อ ทั้งพี่ชาย .. และผู้หญิงคนนั้น เสวยสุขเป็นครอบครัวเดียวกัน

ทุเรศ!




สองเท้าเร่งสับความเร็วจนอยู่ในระยะที่คาดว่าใกล้ตามทัน รวิรุจน์จึงส่งเสียงเรียกคนที่เดินเยื้องหลังคล้ายรั้งท้าย เพราะก้าวสั้นกว่าผู้ชายที่ดูก็รู้ว่า ผ่อนระยะรอเต็มที่

“คุณพุด!”

ระดับความดังของเสียงไม่มากไม่น้อย แต่ก็มีผลให้เจ้าของชื่อชะงักการเคลื่อนไหว แล้วหันไปหาต้นเสียงก่อนดวงตาจะเบิกขึ้นพอประมาณ บอกให้รู้ว่าเธอประหลาดใจกับการได้พบเจ้านายของเธอที่นี่

“คุณรุจน์?”

“ไม่ยักรู้นะครับ .. ว่าเพื่อนสาวของคุณพุด .. จะเป็น..”

รวิรุจน์ก้าวยาวจนมาหยุดเบื้องหน้า แต่เพราะไม่อาจระงับอารมณ์ได้ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจึงเหมือนกำลังจับผิดและรวนกรุ่นด้วยโทสะ สายตาจ้องเขม็งคนที่ยืนซ้อนอยู่เบื้องหลัง แสดงออกชัดเจนเลยว่ากำลังหมายถึงใคร

วิชชุ์วิธูยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง หากนัยน์ตาวาบประกายกับประโยคของรวิรุจน์ แต่ก็สามารถรักษาอาการให้อยู่ในความสงบได้อย่างดีและรอดูเหตุการณ์ตรงหน้า ทั้งที่ความคิดทำงานอย่างหนักในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างน้องชายของเขากับอดีตลูกศิษย์สาวคนนี้

“โธ่ .. คุณรุจน์ไม่ใช่ค่ะ พอดีเรา .. เอ่อ พวกเรามากันหลายคนเลยแบ่งหน้าที่กัน เพื่อนดิฉันอยู่ช่วยเรื่องสถานที่ หน้าที่ซื้อของเลยตกมาทางนี้อย่างที่เห็น”

องก์อัมพุทอธิบายไปตามเรื่องราว หารู้ไม่ว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลัง ที่แม้สีหน้าจะพยายามรักษาให้มันราบเรียบไร้ความรู้สึกเพียงใด แต่จากการจับใจความในคำพูดก็บอกได้ในตัวของมันเองว่า ความสัมพันธ์ของรวิรุจน์กับองก์อัมพุทยังมีระยะ .. ค่อนข้างห่างไกลทีเดียว

มุมปากของวิชชุ์วิธูยกขึ้นน้อยๆ พอรู้ตัวว่าอาจจะควบคุมความขบขันในใจไม่ได้ จึงทำเป็นเบือนหน้าเมินไปทิศทางตรงข้ามกับที่รวิรุจน์ยืนอยู่ การมองคลื่นทะเลกระทบฝั่งช่วยให้คลายใบหน้า ที่พร้อมจะปลดปล่อยสิ่งที่เก็บกลั้นได้พอดี

อากัปกิริยาของชายหนุ่มร่างสูงเพรียว ที่ถึงจะเบือนหน้าไปทางอื่น รวิรุจน์ก็ยังจับอารมณ์ของคนเป็นพี่ชายได้อยู่หมัด เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มกับองก์อัมพุท แต่สายตากลับชำเลืองไปยังคนข้างหลังแทน ออกตัวในประโยคให้อีกคนเข้าใจว่า เขารู้จักหญิงสาวคนนี้ดีและสนิทกันระดับใด

“บังเอิญจังนะครับ .. ถ้ารู้ตั้งแต่วันก่อนที่ผมชวนคุณพุด เราจะได้มาแล้วก็กลับพร้อมๆกันเลย .. แต่ตอนนี้ผมชักอยากเจอ ‘ครอบครัวของผม’ เร็วๆซะแล้วสิ”

องก์อัมพุทได้แต่ยิ้มรับไม่พูดอะไรเห็นจะดีกว่า เพราะดูทีท่าและลักษณะคำพูดคำจาของรวิรุจน์ ค่อนข้างผิดแผกแตกต่างไปจากคนที่อยู่ในตำแหน่งเจ้านายเหลือเกิน

เพราะความที่อารมณ์ของวิชชุ์วิธู ก็ยังขุ่นเคืองในเรื่องที่รวิรุจน์ก่อก่อนหน้านี้ไม่หาย แถมมาเจอคำพูดหยั่งเชิงราวกับต้องการยั่วยุ มันทำให้พี่ชายนึกขวางในใจเหมือนกัน และสิ่งที่จะใช้แก้ลำน้องชายได้ .. ก็แค่

“ไปกันเถอะ ‘หนูพุด’ .. ‘พี่’ ไม่อยากให้พ่อรอนาน”

“ค่ะ .. พี่วิชชุ์”

หญิงสาวยังกระดากและประหม่าอยู่บ้าง แต่ก็ยอมเรียกสรรพนามแทนตัวที่ชายหนุ่มย้ำเรียกนำ ให้เธอต้องเรียกตามอย่างไม่กล้าปฏิเสธเขา .. และใจของเธอเอง

รวิรุจน์ได้ยินชัดเจนสองหู ทั้งยังรู้เห็นด้วยตาทั้งคู่ .. นี่มันอะไรกัน ความใกล้ชิดสนิทสนม อย่างที่เขาปรารถนากลับอยู่ไปที่ ..

คำถามอื้ออึงวนเวียนอยู่กับชายหญิงสองคนตรงหน้า จนอดรนทนต่อไปไม่ไหว เปิดปากโพล่งถามเสียงกร้าวให้รู้กันไป ก่อนที่จะหงุดหงิดหัวใจจนรั้งสติไม่อยู่ในนาทีใดนาทีหนึ่งนับจากนี้

“หมายความว่ายังไง .. พี่วิชชุ์ .. คุณพุด?”

องก์อัมพุทชะงักตัวเองไม่รู้ว่าเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันนี้ แต่สิ่งที่รวิรุจน์ตั้งคำถามนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะส่งสายตาสงสัยไปยัง ‘พี่วิชชุ์’ ที่ถูกเรียกจากผู้ชายอีกคน

วิชชุ์วิธูที่ปิดปากเงียบรับฟังและสังเกตการณ์ สบนัยน์ตาสวยที่ม่านตาเหมือนจะขยายเล็กน้อย ฉายแววใคร่รู้คำตอบ จนเขาอดอมยิ้มเอ็นดูไม่ได้แล้วพยักหน้าเบาๆ

“ไม่ต้องแปลกใจหรอกหนูพุด .. เขาเป็นน้องชายพี่เอง .. เป็นพี่ชายที่เกรซกำลังตั้งตารอการมาถึง”

“อะไรนะคะ .. คุณรุจน์ เป็นน้องชายพี่วิชชุ์!”

มันจะเป็นไปได้ยังไง .. ทว่า คำถามนี้ได้แต่อยู่แค่ในใจของหญิงสาวเท่านั้น เพราะคนที่เพิ่งบอกเธอเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาเมื่อครู่ ก้มลงกระซิบข้างหูให้พอได้ยินกันสองคน

“แล้วพี่จะเล่าให้ฟัง”

วิชชุ์วิธูปิดท้ายประโยคด้วยดวงตาแฝงรอยยิ้ม ที่ทำเอาองก์อัมพุทตาพร่าไปได้อีกคราว .. ราวกับมึนเมาในความแปลกใหม่ของอดีตอาจารย์ .. ที่เธอไม่เคยรู้จักเขาในแง่มุมเช่นนี้มาก่อน

“ตามมาสิ .. หรือนายจะกลับไปเอารถ แล้วขับตามไปก็ได้นะ เราอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้หรอก”

มันเป็นคำสั่งเฉียบขาดหรือแค่การบอกเล่าให้คนฟังปฏิบัติตาม องก์อัมพุทไม่อาจแน่ใจได้ เพราะตอนนี้เธอกำลังคิดถึงเรื่องราวของวิชชุ์วิธู อดีตอาจารย์บรรณารักษ์ ที่เคยคิดว่า เขาเป็นได้แค่เพียงรักแรกของสาวน้อย .. แต่ไม่อาจสมหวังได้

ซึ่งต่างจากท่าที ณ ปัจจุบันหน้ามือเป็นหลังมือ และดูเหมือนว่า ความหวังที่เกือบมอดดับไปแล้ว กำลังถูกจุดไฟให้ส่องแสงเปล่งประกาย .. เจิดจ้ากว่าที่เป็นมา

ส่วนรวิรุจน์ คนที่องก์อัมพุทเห็นเขาเป็นเจ้านาย และจะยังคงเป็นเช่นนั้นตลอดไป แต่มาวันนี้เธอกลับเพิ่งมาพบว่า เขาเป็นน้องชายของคนที่เธอปักใจไม่เคยลืมเลือน

ถ้าหญิงสาวจะไม่รับไม่รู้ว่า เขารู้สึกต่อเธออย่างไร .. มันคงจะดีกว่านี้

แม้ว่ามันจะไม่เกี่ยวข้องอะไร อีกทั้งเป็นความคิดเพ้อฝันของเธอเอง .. แต่หากคิดให้ลึกซึ้งแล้ว มันก็ชวนให้กระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง ถ้าในอนาคต ..

“บ้าจริง .. เพ้อเจ้อชะมัด”

“ครับ .. หนูพุดว่าพี่เหรอ”

วิชชุ์วิธูไม่สนใจแล้วว่า รวิรุจน์จะตามมาหรือไม่ หรือจะทำอย่างไรต่อไป เพราะตอนนี้คนที่อยู่ข้างกายดูท่าจะยังคิดไม่ตกในบางเรื่อง จนเผลอสบถออกมาเบาๆ ชนิดที่เขาเองไม่คาดคิดว่าจะได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น

เป็นครั้งแรกที่องก์อัมพุทแสดงสีหน้าและความรู้สึก ‘หมั่นไส้’ คนที่เธอคิดเอาเองว่า เขาเนี้ยบ เรียบนิ่งและสุขุม .. แต่ตอนนี้คงต้องเพิ่มคำว่า ‘เจ้าเล่ห์’ ให้ด้วย

“ใครจะไปกล้าว่าอาจารย์ล่ะคะ”

ชายหนุ่มคล้ายถูกกระตุกหัวใจ คำๆเดียวที่มีผลจนสร้างความหวั่นไหว .. สถานะที่ควบคุมไม่ให้ความรู้สึกฝ่ายต่ำเอาชนะจิตสำนึกและจริยธรรม

จากที่องก์อัมพุทชำเลืองส่งค้อนให้คนเจ้าเล่ห์ไปหนึ่งวง กระทั่งสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายเงียบและขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ต้องละล่ำละลักถามอย่างเป็นห่วง

“เอ่อ พี่วิชชุ์ เป็นอะไรคะ .. พุดพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า”

วิชชุ์วิธูค่อยระบายลมหายใจดึงความคิดคืนมา มองดูคนที่เริ่มคุ้นเคยกับการเรียกเขาอย่างเป็นกันเองขึ้น ความอ่อนโยนสื่อออกมาทางสายตา เพราะคิดได้ว่า จะต้องไปเดือดร้อนกับวิทยฐานะในอดีตทำไม ในเมื่อมันก็แค่อาชีพๆหนึ่งที่เคยเป็น

และมันก็ผ่านมาเนิ่นนานจนสาวน้อยคนนั้น เติบโตเป็นหญิงสาวเต็มตัว .. สามารถเดินเคียงข้างเขาโดยไม่ต้องคำนึงถึงความแตกต่างอื่นใดอีก

รอยยิ้มละมุนปรากฏบนใบหน้าที่มักจะเรียบนิ่งไม่บ่งอารมณ์ แต่คราวนี้องก์อัมพุทกลับรับรู้ความรู้สึกบางอย่างเต็มเปี่ยม พอได้ยินน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลน่าฟังของวิชชุ์วิธูก็เผลอแย้มยิ้มตามไปด้วยง่ายดาย

“ไม่เลยหนูพุด .. ไม่มีใครผิดอะไรเลย”



สายตาวาววับของรวิรุจน์จ้องเขม็งมายังแผ่นหลังของวิชชุ์วิธู เขาพอจะเข้าใจแล้วว่า เหตุใดองก์อัมพุทจึงได้เฉยเมยกับเขานัก

เพราะไม่ว่าจะแสดงออกทางใด เธอก็หลีกเลี่ยงไปเสียทั้งหมด .. เขารู้อยู่เสมอว่า ไม่เคยอยู่ในสายตาของเธอแม้แต่น้อย

บัดนี้ รวิรุจน์ซาบซึ้งแล้วว่า ที่แท้ต้นเหตุที่องก์อัมพุทไม่เปิดใจรับความรู้สึดของเขา ก็มาจากคนไม่ใกล้ไม่ไกล ..

เป็นปลายขนตาที่แม้แต่ดวงตายังมองไม่เห็น




มัตติก์คิดว่าแค่ช่วงสายของวัน เขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะละเลียดกลิ่นไอความสดชื่นของทะเลและฟ้าสีครามอีกแล้ว ทุกอย่างมันเหือดหายไปตั้งแต่เจอผู้หญิงท่าทางจัดว่าดี แต่ซุ่มซ่ามจนน่าขำ ซ้ำร้ายยังไม่มีมารยาทมาจ้องหน้าคนไม่รู้จัก

แต่มันไม่ได้ติดอยู่ในความคิดของเขานานนัก เพราะกำลังติดใจเรื่องที่เธอรู้จักเขามากกว่า

น่าแปลก ..

พอๆกับคนกลุ่มนั้นนั่นล่ะ .. หนึ่งหญิงสองชายที่ยืนประจันหน้าราวกับเป็นคนคุ้นเคย ที่รู้จักกันเป็นอย่างดี

ชายหนุ่มเหลียวมองด้วยหางตา แล้วเหยียดยิ้มหัวเราะในลำคอ ราวกับมันเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่าง ก่อนจะเปรยกับตัวเองอย่างคนที่ตัดสินอะไรได้ในชั่วเวลาอันสั้น

“เฮ้อ .. ท่าทางจะรักสามเส้า แต่เขาไม่รู้กัน .. โชคดีที่เรื่องของเราคงไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก หึหึ”

แต่ใครเลยจะรู้ว่า คำพูดของมัตติก์อาจเป็นดั่งบูมเมอแรง ที่พอขว้างออกไปไม่นาน มันก็จะย้อนกลับมาหาตัวคนขว้าง .. อย่างแน่นอน











********************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอขอบคุณทุกการกดไลค์เป็นกำลังใจฮะ


คุณใบบัวน่ารัก ... และแล้ว ก็เจอกันที่หาดเดียวกันนี่ล่ะ .. หุหุ
แต่คนที่อยู่ป่า .. ไม่แน่ว่า อาจอยากมาทะเลบ้างก็ได้ .. เนอะ


คุณปรางขวัญ ... ถีงมีหนุ่มหมายปอง .. แต่หนูพุดก็มีหนุ่มที่หมายมาดในใจอยู่คนเดียวฮะ ^^



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ส.ค. 2558, 09:19:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ส.ค. 2558, 09:22:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1202





<< บทที่ ๑๗ .. ครอบครัวสุขสันต์ ?   บทที่ ๑๙ .. แค่ใจน่ะ ไม่พอหรอก ! >>
ใบบัวน่ารัก 12 ส.ค. 2558, 20:33:03 น.
ออกจากป่าไปทะเลกันเถอะ
ทางยำทะเล3 เศร้า เรื่องของ ฝั่งพี่ชายกะฝั่งน้องสาว
เอาแซ่บๆๆนะคับ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account