อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด

ตอน: บทที่ 10 : ขายความลับเจ้านาย

บทที่ 10

...นวีน

ดรัลมองเลขหมายที่โทรเข้ามาในโทรศัพท์ของสัมปันนีอย่างถือวิสาสะ เขาเพิ่งรู้ว่านิสัยไม่พกโทรศัพท์ติดตัวของสัมปันนีนั้นทำงานเกือบตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่คล้ายเจ้าตัวเองก็พยายามนึกถึงเครื่องมือสื่อสารนี้ให้น้อยที่สุดเช่นกัน ความพยายามเล็กๆ น้อยๆ ของสัมปันนีทำให้ดรัลพอใจ

ชายหนุ่มวางโทรศัพท์ปิดเสียงแต่เปิดเป็นระบบสั่นลงบนหัวเตียงเช่นเดิม เขาอยากรู้ว่าสุดท้ายสัมปันนีจะทำเช่นไรต่อไป

ฟุ เด็กชายวัยสิบขวบที่ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายกำลังนั่งขัดสมาธิบนฟูกนอนมองการกระทำของเขาอยู่ตลอด เป็นเด็กชายประหยัดคำพูด ถามสิบตอบมาสักสาม

“ทำไมพี่เอื้องพูดภาษาญี่ปุ่นคล่องจังคะ” พอปรับสภาพอารมณ์ และหัวใจได้ สัมปันนีจึงตัดสินใจทำทุกอย่างตามที่ดรัลว่ามา เธอไม่เคยเป็นแฟนใครมาก่อน และครั้งนี้ก็เป็นการพิสูจน์ว่าห้าวันที่เหลือจากนี้ การเป็นแฟนของดรัลจะช่วยเหลือเธอจากโรคความรักได้มากน้อยแค่ไหน เธอจึงจำเป็นต้องฝึกทุกอย่างให้เป็น ‘แฟน’ ของเขาได้จริงๆ

หญิงสาวออกมาจากห้องน้ำด้วยเสื้อยืด กางเกงขาสั้น เป็นชุดอยู่บ้านง่ายๆ ที่พกติดกระเป๋ามาด้วย เธอเดินมาหย่อนตัวลงนั่งยังที่ว่างบนที่นอนข้างดรัล

“พ่อพี่มองไกล ให้พี่เลือกเรียนภาษาที่สามตั้งแต่เด็ก พี่ดูแนวโน้มธุรกิจของครอบครัว ตลาดกล้วยไม้ในเอเชียเราที่นำเข้ากล้วยไม้จากเราอันดับหนึ่งก็คือญี่ปุ่น พี่ก็เลย...” เขาไหวไหล่ราวกับคำตอบต่อจากนั้นไม่จำเป็นต้องตอบออกมา

“มีหัวธุรกิจแต่เด็กเลยนะคะ”

ดรัลยิ้มรับ “มนุษย์เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต”

ต่างจากเธอ...สัมปันนีนึกสะท้อนใจถึงชีวิตตัวเองที่ไม่เคยมองอนาคตได้ไกล ชอบชีวิตระยะสั้น วางแผนเผื่อไว้ไม่นานแล้วก็เร่งมือทำ สิ่งไหนที่ต้องวางแผนไว้ล่วงหน้าหลายๆ ปีเธอจึงไม่เคยทำ แม้แต่การยอมรับสิ่งที่ครอบครัวมี เธอกลับเลือกหันหลังให้เมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นไร้ซึ่งความชอบ

“คิดถึงตัวเองหรือไง”

“ฉันใช้ชีวิตไม่มีแบบแผนมาตลอด ถึงวันหนึ่งฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าอยู่บนทางแยกสองทางที่ต้องเลือกเสมอ”

“แล้วอาลัวเลือกทางได้ถูกไหม”

คนตอบส่ายหน้า มุมปากยิ้มหยัน “มีทั้งถูก และไม่ถูก บางครั้งก็ไม่คิดว่าสุดท้ายเราจะเลือกทางนั้น แต่มันกลับเป็นทางที่ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง ตรงข้ามกับอีกทางที่เราตั้งใจเลือก เราจะรู้สึกว่ามันไม่เป็นไปตามที่เราคาดคิดแต่แรก ทางเดียวที่ฉันจะเผชิญทุกทางได้ดีคือสติ และยอมรับทางที่ฉันได้เลือกไป” เธอเชื่อเช่นนั้นเสมอ

“มีสติมากขนาดนี้ไง พี่ถึงไม่เคยคิดว่าอาลัวจะทำร้ายตัวเองเพราะความผิดหวัง”

น้ำเสียงอ่อนโยน ดวงตาที่มองเธออย่างชื่นชมทำให้หญิงสาวเกิดอาการขัดเขินในใจขึ้นมา เธอไม่เคยมีใครชมต่อหน้า คนส่วนใหญ่ล้วนไม่เชื่อในความสามารถของเธอ ไม่เคยมอบหมายงานใหญ่ๆ และกวาดงานยิบย่อยทุกชนิดแก่เธอ เขาคนที่น่าจะมองฟันเฟืองเล็กๆ ไม่มีความโดดเด่นในสารบบงานไม่ออก กลับได้อยู่ในสายตาของเขา

“แล้วตอนนี้คุณอยู่บนทางแยกใช่ไหม”

“ค่ะ” สัมปันนีเสเปลี่ยนเรื่อง เอี้ยวตัวไปด้านหลังเพื่อจะมองเห็นเด็กน้อยหน้าตาน่ารักได้เต็มตา “แยกว่าจะส่งเด็กกลับบ้าน หรือรับข้อหาลักพาตัวเด็ก”

ดรัลใช้สายตาขำขันมองคนหลีกเลี่ยง “พ่อเขาฝากให้พวกเราดูแลเขาชั่วคราวครับ”

“คุณโทรบอกพ่อเขาแล้ว” คนถามแทบจะแยกเขี้ยวออกมา

“ผมไม่ช่วยใครสุ่มสี่สุ่มห้า” ดรัลเห็นสายตามองค้อนของสัมปันนีรู้สึกเพลินจนหัวเราะในลำคอเบาๆ

คนรู้ช้ากว่าใครเม้มปาก ชี้นิ้วไปยังข้างเตียงที่ที่เขาต้องลงไปนอน ครั้งนี้ดรัลร้องโอดโอย ล้มตัวลงนอนตรงกลางเตียง ยกมือปิดหน้าบ่งบอกว่ากำลังง่วงนอนเต็มแก่ มีแก่ใจหันมาเรียกฟุให้นอนอยู่ข้างตัว ยังดีที่เด็กชายไม่ได้เส้นตื้นนอนตาม

สัมปันนีหยิบหมอนข้างแข็งๆ มาตีร่างของคนที่นอนเหยียดยาวอย่างหมั่นไส้ หน้าตาแสร้งว่าเอาเรื่องเขาที่แกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่ ดรัลตั้งแขนรับหมอนด้วยใบหน้ายิ้ม เขารู้สึกว่าช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่สัมปันนีลืมเลือนไปว่าเขาเป็นใคร...และเธอเป็นใคร ไม่ใช่คนสองคนที่มีฐานะลูกน้องกับเจ้านายอีก รวมถึงในหัวใจของหญิงสาวไม่ได้มีใครนั่งทับหนักอยู่ในนั้น

คนตีถูกหัวเจ้านายจนอีกฝ่ายมึนปล่อยมือร่วงจากหมอน หน้าตาสำนึก สติเริ่มมาทักทาย เธอยิ้มแหยให้เขาอย่างขอโทษขอโพย

“ตีอีกก็ได้นะ” เขาไม่ทำสีหน้าโกรธเคือง กลับยื่นศีรษะ เอนกายมาใกล้

คนถูกท้ามองค้อน เขยิบออกมายืนที่ว่างข้างเตียง เว้นที่ว่างระหว่างกัน เธอไม่ได้เล่นอะไรเป็นเด็กๆ อย่างนี้มานาน แม้แต่กับนวีนเธอก็ยังไม่เคยใกล้ชิดกับเขาขนาดนั่งคุยเล่นกันบนเตียงนอนเดียวกัน หญิงสาวนึกประหลาดใจ รวมถึงการได้เห็นผู้ชายตัวโตๆ ตีหน้าดุใส่เธอในวันแรก บัดนี้เขากลับมีมุมกระเซ้าเย้าแหย่เช่นกัน

“ยิ้มอะไรของอาลัว” ดรัลไม่ไว้ใจใบหน้ายิ้มหรี่ตาของสัมปันนี

หญิงสาวส่ายหัวดุ๊กดิ๊ก “ฉันเพิ่งเห็นความเป็น ‘เด็ก’ ในตัวพี่เอื้องนี่คะ”

อารมณ์ดีของ ‘เด็กโข่ง’ ไม่ได้เลือนหาย ทั้งยังยืดอก ใช้มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ เสนอตัวอย่างเต็มใจ “พี่น่ารักนะ อยากรู้จักเพิ่มไหม” พอเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าดิก ทำหน้าสยดสยอง เขาก็นึกอยากเขกมะเหงกงามๆ ให้อย่างหมั่นไส้ไปที “ทีอย่างนี้ล่ะรีบปฏิเสธ”

ประตูห้องมีเสียงเคาะอยู่แค่ทีเดียว บานประตูก็ถูกผลักเช้ามา เบื้องหลังมีช่อมาลียืนทำหน้าทะมึนตึง คล้ายมีลมฝนอยู่บนหัวตลอดเวลาพาเมฆฝนมาเยือนถึงในห้อง

“คืนนี้ อาลัวมานอนที่ห้องฉันสิ ฉันจะไปนอนกับแม่ แล้วลุงดิเรกจะมานอนห้องนี้”

“ฉันดูเป็นภาระจังเลยนะคะ” สัมปันนียิ้มแหย ทั้งบ้านต้องวิ่งวุ่นสลับเปลี่ยนที่นอนให้วุ่นเพราะเธอ จะด้วยตั้งใจหรือไม่ แต่ช่อมาลีทำให้เธอรู้สึกถึงความเป็นภาระของตัวเองจริงๆ

สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของสัมปันนีอยู่ในสายตาของดรัลทุกอย่าง ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง ไม่สนใจทรงผมที่ไม่เข้ารูป หรือคอเสื้อที่เปิดกว้างอวดเนื้อใน เขาสนใจแค่ทำอย่างไร คนยืนเก้ๆ กังๆ ตรงนี้จะไม่อึดอัด...เขารู้เท่านั้น

“ไม่ต้องย้ายไปไหนให้วุ่นวายหรอก พ่อพี่ก็บอกแต่แรกแล้วว่าให้อาลัวนอนห้องนี้ และพี่เองก็ไม่ใช่คนมือไวใจเร็ว” ดรัลลอยหน้าลอยตาพูด “คนอย่างอาลัว ใจแข็งจะตายไป”

“ยังไงก็ไม่ควรนะคะ ถ้าบ้านของอาลัวเขารู้...” ช่อมาลีไม่ยอมหยุด

ครั้งนี้สัมปันนีกระแอมก่อนจะพูดบ้าง “ที่บ้านฉันไว้ใจฉันมากค่ะ ถ้าอธิบายถึงความจำเป็นท่านก็จะเข้าใจ บ้านเราไม่สนใจสายตาใคร นอกจากคนในครอบครัว”

ช่อมาลีหันมาถลึงตา แววตามีร่องรอยของความเหลือเชื่อของผู้หญิงที่สาธยายความเป็นครอบครัวออกมาเสียยาวยืด พูดง่ายๆ ก็คือ สัมปันนียินดูถูกคนอื่นตราหน้าว่าเป็นหญิงหน้าไม่อายค้างในห้องผู้ชายได้โดยที่ไม่กลัวเกรง

ดรัลกลั้นขำ มองท่าทีของสัมปันนีที่แสดงนิสัยธรรมชาติออกมาอย่างพาซื่อ เอาเถอะ...เขาไม่ได้มองท่าทีกระตือรือร้นอยากจะนอนห้องนี้ของสัมปันนี แต่เพราะไม่อยากเป็นฝ่ายอึดอัดใจมากกว่า

“ช่อไม่ต้องกังวล ห้องนี้ก็มีฟุอยู่” ดรัลวางมือแปะไปบนแก้มยุ้ยของเด็กชายวัยสิบขวบที่พยายามดึงหน้าออกจากมือใหญ่

“พี่เอื้องคะ”

“ช่อ...ที่ทำอยู่นี่เพราะหึง หรือเพราะห่วงสวัสดิภาพของอาลัวเขา”

คำถามคมกริบอย่างดอกธนูพุ่งเร็วทิ่มกลางใจช่อมาลีอย่างจัง หญิงสาวอึกอัก สูญเสียความมั่นใจที่บากหน้ามาเพื่อแยกสัมปันนีออกจากดรัลให้ต้องหลบตาไม่กล้าเปิดเผยความอ่อนแอในใจอีก

“ว่าไง” ดรัลหุบยิ้ม เหลือเพียงร่องรอยจริงจัง เขาจงใจเอื้อมมือมาจับมือเล็กของสัมปันนีมากุมไว้ต่อหน้าต่อตาช่อมาลี “อาลัวอยู่ที่ไหน พี่ก็จะอยู่ที่นั่น ย้ายไปนอนห้องช่อ พี่ก็จะตามไป”

“พี่เอื้องพูดขนาดนี้ก็ไม่ต้องไปไหนแล้วล่ะค่ะ” ช่อมาลีหันหลังเดินกลับออกไป

ภายในห้องเงียบกริบ ทั้งดรัล และสัมปันนีต่างรับรู้ความรู้สึกซ่อนเร้นในใจของช่อมาลีที่ระเบิดออกมาได้ชัดเจน และเป็นหญิงสาวที่จำต้องยกมือห้ามดรัลหลังจากเขาทำท่าจะลุกตามออกไป เธอคิดว่าผู้หญิงด้วยกันน่าจะเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงด้วยกันมากกว่า

“อยู่ที่นี่ดีกว่าค่ะ ฉันออกไปเอง” สัมปันนีเดินกึ่งวิ่งออกไป รู้สึกว่าการมาอยู่ที่นี่ได้แค่สามวัน เธอเหนื่อยกายอย่างที่สุด เจ็บตัวที่สุด ซ้ำยังมีเรื่องให้ปวดหัวไม่เว้นวัน จนเธอเกือบจะลืมเลือนไปว่าแรกเริ่มของการมาที่นี่เพียงเพราะเธอต้องการที่จะลืมเลือน...นวีน เวลานี้ความเจ็บปวดในตอนแรกมันค่อยๆ เจือจางลงไปจากแต่ก่อน แต่ความสุขยามที่นึกถึงนวีน สำหรับเธอแล้วยังมีอยู่ทุกช่วงเวลา

ร่างสูงเดินตามร่างที่เล็กกว่าลงบันไดบ้านมาอย่างเป็นห่วง มืดค่ำอีกฝ่ายกลับเดินลงไปดูโรงกล้วยไม้คนเดียว ก่อนที่ช่อมาลีจะหงุดหงิด และกล้วยไม้มารับเคราะห์อารมณ์เธอจึงต้องส่งตัวเองเป็นหน่วยกล้าตายมาห้ามทัพ

“คุณช่อคะ”

ช่อมาลีหยุดเท้า และหันมามอง ภายใต้เงาที่มีแสงไฟส่องไม่ถึงปกปิดแววตาของช่อมาลีไว้ จนสัมปันนีที่พยายามเพ่งตามองก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจน

“มีอะไรอีกคะ” ท้ายเสียงถึงจะดูอ่อนหวาน แต่น้ำเสียงกลับกร้าวกระด้าง มีแต่ความไม่พอใจ

บรรยากาศยามค่ำมีสายลมเย็น ในอากาศมีกลิ่นฝนอยู่อ่อนๆ ทำให้ร่างสูงกว่าหนาวยะเยือกพิกล สัมปันนีรู้สึกว่าสายตาของช่อมาลีประกาศชัดว่าเกลียดชังเธอ นับตั้งแต่ถูกแนะนำว่าเป็นอะไรกับดรัล แต่เธอคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้อาจจะไม่ยุติธรรมกับช่อมาลีนัก

“ฉันอยากรู้ความรู้สึกของคุณกับพี่เอื้อง ถึงฉันจะดูโง่ แต่ก็ยังดูออกว่าคุณยังมีเยื่อใยกับพี่เอื้องอยู่” ช่อมาลีกำมือแน่น คนพูดกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง รวบรวมความกล้า “แล้วคุณคิดยังไงกับพี่จุ้นคะ”

“มันเรื่องของฉัน”

“แต่ถ้าเกี่ยวกับพี่เอื้อง มันไม่ใช่เรื่องของคุณช่อคนเดียวค่ะ”

ช่อมาลีตาเขียวปั้ด “ใช่ ฉันรู้สึกว่าฉันทนเห็นพี่เอื้องมีเธอไม่ได้”

สัมปันนียิ้มเย็น ดวงตาอ่อนแสงลง รู้สึกภาระที่ดรัลมอบมาให้บนไหล่สองข้างกำลังได้รับคำตอบที่ชัดเจนในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

“คุณเอาพี่จุ้นไปไว้ที่ไหนล่ะคะ”

“พี่จุ้นรู้ทุกความรู้สึกของฉัน”

“เขาก็ยังยินดีที่จะแต่งงาน?” ตรงนี้เธอประหลาดใจที่สุด จุณวัฒน์ผู้ชายร่าเริง นิสัยดี ช่างเจรจา กลับเก็บความรู้สึกพวกนี้ไว้ได้ เขาจะรู้สึกอย่างไรที่คนที่รัก และกำลังแต่งงาน...ยังอาลัยรักเก่า คงทรมานกว่ารักที่ไม่สมหวังแต่แรกเริ่มอย่างเธอ

“เสียดายนะคะ...ที่ฉันเจอพี่จุ้นช้าไป”

“นี่เธอ!”

สังเกตสีหน้าที่เผยออกมาจากเงามืดเพราะเจ้าตัวเดินกระทืบเท้า ย่างก้าวเข้ามาใกล้ สัมปันนีก็พบสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า “คุณใช้สิทธิ์อะไรมาหึงพี่จุ้นล่ะคะ”

“ฉันกำลังจะแต่งงานกับเขา!” ช่อมาลีหน้าแดงก่ำ ตะคอกออกมาอย่างโกรธจัด

นั่นไง...สัมปันนีเก็บปฏิกิริยาทางบวกของช่อมาลีไว้ในใจ อยากรี่กลับไปรายงานให้ดรัลได้ดีใจเนื้อเต้นเหมือนกันกับเธอ แต่ต้องแสร้งถามอีกหนึ่งคำถามเพื่อความมั่นใจ

“แล้วคุณใช้สิทธิ์อะไรมาหวงพี่เอื้องล่ะคะ”

“...” สีหน้าโกรธจัดของช่อมาลีค่อยซีดเผือดด้วยไม่คิดว่าคำถามจะเปลี่ยนไปกะทันหันจนเธอตั้งหลักแทบไม่ทัน

สัมปันนีถอนหายใจเบาๆ เธอเกือบกระโดดดีใจที่ช่อมาลีมีอาการกับจุณวัฒน์แล้วแท้ๆ แต่พอเจอท่าทีลังเลกับดรัลเธอจึงไม่กล้าฟันธง บางครั้งการจะรู้ความจริงอะไรสักอย่าง ก็จำต้องยื่นเหยื่อออกมาล่อ เธอตั้งใจลงมาก็เพื่อสิ่งนี้ เพื่อความเท่าเทียม

“ที่จริง...ฉันกับพี่เอื้อง เราไม่ใช่แฟนกันหรอกค่ะ เราตกลงที่จะคบกันแค่ระยะสั้นจนกว่าจะถึงงานแต่งงานของคุณ” หญิงสาวยังคงยิ้มออก เสียดายที่ทำตัวเป็นลูกน้องผู้ทรยศ ขายความลับของเจ้านาย พอเห็นอาการนิ่งอึ้งของอีกฝ่าย เธอจึงยิ่งพูดต่อ “ฉันคิดว่าคุณควรรู้ คุณจะได้เข้าใจหัวใจตัวเองได้อย่างถ่องแท้ ถึงมันจะไม่ยุติธรรมกับพี่จุ้นก็ตาม”

“คุณกับพี่เอื้องเป็นอะไรกัน”

“เจ้านายกับลูกน้องค่ะ”

ช่อมาลีส่ายหน้าไม่เห็นพ้อง เธอไม่เคยเห็นความเป็นธรรมชาติยามที่ดรัลเล่นคุยกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน สายตาของดรัลยามมองสัมปันนีก็แตกต่างจากที่เคยมองคนอื่นๆ ดรัลใส่ใจผู้หญิงคนนี้ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ช่อมาลีหงุดหงิด มากกว่ามาใส่ใจว่าคนทั้งคู่อยู่ในสถานะไหน...แต่เพราะอะไรกัน “ทำไมคุณเอาเรื่องนี้มาบอกฉัน”

“เพราะฉันก็แอบรักคนที่ไม่ควรรักเหมือนกันนี่คะ ฉันถึงเข้าใจ...ฉันแอบรักเพื่อนสนิทของตัวเอง”

คนฟังหันหน้ามามองใบหน้าของคนที่ตกอยู่ในห้วงความรู้สึกเดียวกันด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป “ถ้าความจริงนี้ทำให้งานแต่งงานที่จะมีล่มไปล่ะ ฉันอาจจะพยายามทุกทางเพื่อคว้าหัวใจพี่เอื้องกลับมาอีกครั้งแทน” ช่อมาลีเองก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายเท้าที่ไม่มั่นคงจะไปจบลงที่ตรงไหน

“แล้วหัวใจของพี่จุ้น...คุณจะไม่สนใจใยดีเลยสักนิดเหรอคะ”

“เธอนี่มันจริงๆ เลย...เก่งนักเรื่องปั่นหัวชาวบ้าน” ช่อมาลีไม่รู้จะโกรธ โมโห หรือหัวเราะในความซื่อปนโง่ที่จู่ๆ มาโยนความหวังใส่คนอื่น แต่มันก็ทำให้เธอเห็นบางสิ่งที่ไม่เคยมองได้ชัดเต็มสองตามากขึ้น

สัมปันนียกมือลูบหัวคิ้ว หัวเราะขำ เธอกลับรู้สึกสบายใจหลังจากเปิดอกคุยกับช่อมาลี “ขอล่ะนะคะ อย่าบอกพี่เอื้อง ว่าฉันเอาความลับที่สัญญากันไว้มาบอก”

ช่อมาลีย่นจมูก ส่งเสียงหึ เมินไปทางอื่น เธอภาวนาว่าอย่าได้มีลูกน้องพรรค์นี้มาอยู่ใต้อาณัติจะดีกว่า ลูกน้องปากเปราะ ซื่อ ซุ่มซ่าม แล้วยังลามปามเจ้านายอยู่เป็นนิจโดยไม่รู้ตัว คนแบบนี้มีอะไรที่น่าสนใจกัน

“คุณทำยังไงกับความรักของคุณ” ช่อมาลีเสียงอ่อนลง การเจรจาคล้ายการปรับทุกข์ของคนมีปัญหาความรัก จากเกลียดค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเห็นใจ อกหักกลัดหนอง...ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เรื่องความรู้สึก มันห้ามกันได้ยาก

คนถูกถามแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มีเมฆอยู่อึมครึม มีบ้างที่ฟ้าแลบแปลบปลาบมาให้เห็น คล้ายปัญหาความรักที่เข้ามาทักทายหัวใจให้รู้สึกเจ็บจี๊ด แต่เธอเชื่อว่าสักวัน สายลมเย็นๆ จะพัดพาเมฆทะมึน และอากาศแปรปรวนทั้งหลายให้ผ่านไปอย่างช้าๆ ได้ เธอเองหัวใจกำลังมั่นคงขึ้น และมีสายลมเบาบางกำลังอยู่ข้างกายเธอ

“ฉันพยายามลบความรู้สึกนั้นค่ะ เพื่อที่ฉันจะได้อยู่ข้างเขาได้ในฐานะที่ถูกต้อง ฉันไม่อยากจะเสียเขาไป”

ความรัก...ที่สะท้อนอยู่ในแววตาของสัมปันนีเต็มไปด้วยความปรารถนาดี ถึงแม้ผู้หญิงตรงหน้าเธอจะไม่ได้สวย หน้าตาก็บ้านๆ แต่ยามมีความรู้สึกนี้ทอประกายขึ้นมา ความอ่อนโยนจะรายรอบตัว ในที่สุดเธอก็รู้แล้วเพราะอะไรดรัลถึงสนใจคนๆ นี้ขึ้นมา

“เธอก็รู้ใช่ไหม ว่าการลืม ไม่ใช่การหลอกตัวเอง ถึงเธอจะพยายามมากแค่ไหน ท้ายที่สุดเธออาจจะเป็นเหมือนฉัน แต่ถ้าลบเงาจากใจได้ เธอจะเป็นเหมือนกับพี่เอื้อง”

“ฉันจะทำให้ได้ค่ะ” สัมปันนีสัญญากับตัวเอง

ช่อมาลียกมุมปาก “รักษาหัวใจ ก็ระวังถูกบางอย่างจู่โจมหัวใจเข้าด้วยล่ะ”

“คะ?”

คนอยากรู้คำตอบพยายามคิดตาม แต่คนที่ให้คำตอบได้กลับเดินออกไปไกลแล้ว เธอจึงไม่รู้ว่าสิ่งใดกำลัง...จู่โจมหัวใจเธอ สัมปันนีส่ายศีรษะลบความคิดฟุ้งซ่าน ปลอดโปร่งหัวใจขึ้นมาก และหวังว่าจากนี้ช่อมาลีจะไม่มาแยกเขี้ยว ทำหน้ายักษ์ใส่เธออีก แต่ถ้าดรัลรู้ล่ะ...หญิงสาวห่อไหล่ ทำหน้าแหย



โทรศัพท์หัวเตียงสั่นจนสัมปันนีทนข่มตาหลับต่อไปไม่ไหว หญิงสาวอ้าปากหาว ลืมตาตื่นขึ้นมองฟ้าเบื้องนอกที่ยังมืดสนิท นึกก่นด่าคนที่โทรเข้ามาแต่เช้ามืดหลายกระบุง แต่ก็ยอมลุกขึ้นมาหยิบเปิดดู ชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้หัวใจคนมองดิ่งวูบ และเต้นรัวในคราวเดียว ความลังเลถามหาว่าเธอควรรับหรือไม่รับดี

แต่เธอไม่อยากหนี...นวีน

ร่างสูงหยิบโทรศัพท์มาถือ และเดินออกมาจากในห้องด้วยย่างเท้าอันแผ่วเบา ไม่อยากปลุกเด็กหนึ่งคนบนเตียง และหนุ่มโตร่างใหญ่ข้างเตียงให้ต้องตื่น เธอกดรับ ทำน้ำเสียงให้ปกติที่สุด

“นวีน กวนเราแต่เช้ามืดเลยนะ”

“เราไม่ได้คุยกันมาเกือบสามวันแล้ว...คิดถึงบ้างไม่ได้หรือไง”

คิดถึง...แบบเพื่อนน่ะสิ สัมปันนีนึกเกือบลิงโลด และใช้ตัวเองห้ามยั้งไว้ได้ทัน ความจริง...สิ่งที่หลับตา ลืมตา ก็รับรู้ได้ด้วยตัวเอง

“ย่ะ...คิดถึงเหมือนกัน”

“โอย ฟังแล้วปลื้ม” นวีนประชดมาตามสาย “อยู่ที่ไหนเนี่ย อยากไปหา”

“เกิดอะไรขึ้นหรือไง ตัวไม่ติดกับแฟนเธอแล้วเหรอ” พอนึกถึงหน้าของชมนาดหัวใจที่เคยเจ็บปวดมันไม่ทุรนทุราย เธออยากเห็นเพื่อนมีความสุข และคิดว่าตอนนี้เธอยิ้มให้กับความสุขของเพื่อนมากกว่าเดิม

“...”

“หลับแล้วเหรอ”

“...”

“นี่ล่ะน้า โทรมาป่วนชาวบ้านแล้วไม่พูด”

“ยังเหมือนเดิมอยู่ไหมอาลัว”

“อะไรคือเหมือนเดิม” หญิงสาวไม่เข้าใจคำถามของนวีน

“เปล่าหรอก” นวีนบอกมาเสียงเบา ก่อนจะหาวกว้างๆ “เริ่มง่วงอีกแล้ว สรุปจะไม่บอกใช่ไหมว่าอยู่ที่ไหน”

“ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกนวีน นายอาจจะยังหาเราไม่เจอ แต่พอเรากลับไปให้นายเจอ...นายอาจไม่ทันเอะใจกับการหายไปของเราก็ได้”

“อาลัวจะทิ้งเราเหรอ” น้ำเสียงหงอยเหงาของนวีนทำให้สัมปันนีเอะใจ เธอกำลังพูดเป็นนัยให้เขารู้ว่าเธอจะกลับไปเป็นเพื่อนเขาดังเดิม...แต่ สิ่งที่เธอเข้าใจเขาคือสิ่งที่นวีนกำลังเจอ

“มีปัญหากับชมหรือเปล่า”

“ไม่หรอก...ปกติดีทุกอย่าง”

โกหก! สัมปันนีอยากจะถามเขาให้ชัด แต่เธอเองก็ไม่อยากรับรู้ถึงปัญหาความรักของเพื่อน ทั้งที่ตัวเองยังสะสางหัวใจตัวเองไม่เสร็จ ถ้าเกิดชมนาดเลิกรากับนวีน เธอก็ยังไม่กล้ารักเขา เธอกลัวคำตอบของนวีน และขี้ขลาดจนกลัวว่าเขาจะเกลียดเธอมากกว่าอื่นใด

“มีอะไรบอกเรานะ เราเป็นเพื่อนนวีนเสมอ เข้าใจไหม”

“รับทราบครับ...เพื่อน”

สัมปันนียิ้มรับ วางสายไปด้วยดวงตาที่ตื่นเต็มตา ดวงตาแหงนมองท้องฟ้าที่มันโปร่งไร้เมฆจนเห็นดาวเต็มฟ้าได้มากกว่าเมื่อคืน ฝนกลางดึกช่วยชะล้าง และพัดเมฆให้มลายหายไป

‘รู้ไหมว่าน้ำตามันมีประโยชน์อยู่อย่าง’

‘อะไรคะ’

‘น้ำตาจะล้างตาให้สะอาด เราจะเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้น’

วันนี้น้ำตาของเธอมันเลิกทำงานแล้ว สัมปันนียังคงยิ้มด้วยดวงตากระจ่างใส หัวใจอาจเหลือเมฆหมอกเบาบาง แต่มันดีขึ้นจากแต่ก่อนแล้วจริงๆ

“ตื่นแต่เช้าเลยอาลัว” ดิเรกออกมาจากห้อง ทันเห็นอาการซ่อนโทรศัพท์ของอดีตลูกน้องได้พอดี “อึดอัดไหม เจ้าเอื้องคงไม่ได้นอนกรนใช่ไหม”

“ไม่หรอกค่ะ ที่นี่อากาศดีนะคะ” ในห้องนอนที่เปิดหน้าต่างรับลมเย็นทำให้ไม่ร้อนอ้าว และไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศให้เปลืองไฟ

“ชอบก็มาอยู่ตลอดไปก็ได้นะ”

สัมปันนีหัวเราะคิก ไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง “ได้ยังไงคะ นี่ลุงเชิญหนูมาเป็นลูกสะใภ้ลุงใช่ไหม เอาใจคนหน้าไม่สวยอย่างหนู หนูรู้หรอกน่า”

“บ๊ะ...หน้าตาเราไม่สวย แต่นิสัยเราน่ารัก มีอะไรไม่ดีตรงไหน”

“ลุงดิเรกอ่า” หญิงสาวบ่นหน้าง้ำ ถึงจะรู้ตัวว่าไม่สวย เธอก็ไม่อยากแสลงหูความจริงนี้นัก

ดิเรกยิ้มขัน พยักพเยิดไปทางประตูห้องที่เธอออกมา มีร่างสูงของบุตรชายท่านยืนหน้าง่วงอยู่ เขาโบกมือมาให้ก่อนจะเดินมาหาลูกน้องสาว

“คุยอะไรกันครับ ท่าทางน่าสนุก”

“พ่อก็อยากรู้ว่าอาลัวเขาคุยอะไรกับคนในโทรศัพท์ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เชียว” ดิเรกกลั้วหัวเราะ สังเกตสีหน้าของสัมปันนีที่กำลังอ้าปากค้าง ไม่คาดว่าเขาจะแฉการกระทำก่อนหน้าเธอออกมาให้ลูกชายรู้ แล้วตัวท่านเองก็ลงไปตรวจงานในสวนกล้วยไม้ต่อ สัมปันนีหันหน้ากลับมา เจอแววตาค้นคว้ารอคอยของอีกฝ่ายก็รีบหดคอห่อไหล่ ไม่สนว่าบุคลิกนี้จะทำให้เธอดูแย่อย่างไร แต่เธอไม่รู้จะสู้สายตาเขาอย่างไร และเขาจะเข้าใจเธอผิดไปอีกไกลแค่ไหน จะหาว่าเธอขี้ขลาดตาขาว กลับไปตายรังเก่าหรือเปล่า ทำให้ความหวังดีของเขาสูญเปล่า

เธอ...ควรตอบว่าอย่างไร

“ใครโทรมาเหรออาลัว”

สัมปันนีถอนหายใจแผ่วทีหนึ่ง แทนที่จะตอบกลับยื่นโทรศัพท์ส่งให้เขา “ดูเองสิคะ ตรวจสอบให้ละเอียดยิบได้เลย แต่ฉันขอพูดอยู่อย่างหนึ่ง” สายตาที่คล้ายระริกยิ้มกึ่งบึ้งทำให้สัมปันนีหลบตาก่อนจะพูดต่อ “วันนี้ฉันไม่ได้ร้องไห้แล้ว ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าถ้าพบหน้ากันฉันจะกลับไปน้ำตาเช็ดหัวเข่าอีกไหม...แต่ตอนนี้ดีขึ้น ฉันยิ้มได้มากขึ้น”

ประกายตาที่ยิ้มกว้างขวางแข่งกับแสงดาวระยิบเบื้องบนทำให้สัมปันนีไม่กล้าสู้หน้า แก้มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เธอเพิ่งรู้ว่าเขายิ้มได้กว้างขนาดนี้ เพิ่งรู้ว่ายิ้มของเขา...สวย

“ฉันขอยกความดีทั้งหมดให้กับพี่เอื้องค่ะ”

ดรัลไม่รับโทรศัพท์แต่กลับวางมือไปบนศีรษะของหญิงสาว วางมือแผ่วเบา ไม่อยากให้กระเทือนแผลหัวแตกที่อีกฝ่ายไปให้หมอเย็บมาเมื่อวาน “กำลังทำไหล่ให้ว่าง ไม่ร้องอย่างนี้ไหล่พี่ก็เหงาแย่สิ” ก่อนจะอาศัยช่วงไม่ทันที่สัมปันนีตั้งตัว ดึงร่างเพรียวมากอด ให้หน้าผากซบลงไปตรงไหล่เขาอย่างพอดิบพอดี

“เก่งมากอาลัว”

ร่างที่เกร็งค่อยๆ คลาย และปล่อยตัวตามสบาย พิงศีรษะไปบนไหล่ของเขา เธอไม่เคยลืมว่าช่วงเวลานี้ยังอยู่ในช่วงเวลา ‘คนรัก’ ที่เธอต้องทำให้สมจริง ถึงไม่ได้ร้อนแรง หรือร้อนผ่าวในใจเหมือนเวลาที่มีนวีนอยู่เคียงข้าง แต่ความรู้สึกนี้กลับอุ่นและเย็นในคราวเดียว อุ่นอยู่ในใจ และเย็นสบายคล้ายมีลมโอบกอด เขาคือคนปัดเป่าที่จับจูงเธอออกมาจากความทุกข์

เธออยากหลับตาไปกับความรู้สึกสบายนี้...

เสียงเคร้งของจานชามกระทบกันแถวครัวทำให้สัมปันนีลืมตาตื่น หญิงสาวผละออกมาจากร่างดรัล หน้าขึ้นสีอ่อน มีช่อมาลีที่ออกมาขัดจังหวะเรียกสติของเธอกลับมาให้แจ่มชัด

ดรัลคือเจ้านาย...ที่ให้ความรู้สึกคล้ายเธอกอดพ่อก็เท่านั้น สัมปันนีเดินก้มหน้างุดกลับเข้าห้อง ไม่เคยคิดเข้าข้างตัวเองเลยสักเสี้ยววินาที ว่าคนอย่างเธอจะไปต้องตาคนอย่างดรัล แต่ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าที่เขาชมว่าเธอเก่งนั้น...ทำไมมันดูอ่อนโยนเกินกว่าเจ้านายจะเอ่ยชมผลงานของลูกน้อง

อ่า...เธอกำลังนึกเข้าข้างตัวเองอีกแล้ว สัมปันนีเดินเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำวักล้างหน้าให้ตื่นเต็มตา พินิจหน้าตาแสนธรรมดาติดจะจืดชืด เฉิ่มเชย คิ้วบาง ขนตาสั้น ตาเล็ก จมูกยังไม่โด่ง เธอไม่เคยมั่นใจว่าตัวเองสวยพอจะมัดใจใครได้ ก็ขนาดนวีนเธอยังไม่เคยกล้าไปสารภาพความรู้สึก เพราะคิดว่าคงไม่แคล้วอกเดาะ และยังทำลายความเป็นเพื่อนลงไป

แล้วตอนนี้ล่ะ นี่เธอกล้าสงสัยน้ำใจอันงดงามของดรัลเชียวเหรอ

“ตื่นซะอาลัว...ความจริงมันก็ทนโท่อยู่ตรงหน้าแล้ว อย่าได้ฝันเด็ดขาด”

ดรัลกอดอกอยู่ข้างประตูห้องน้ำ จุ๊ปากให้เด็กชายที่สะลืมสะลือตื่นอย่าเพิ่งส่งเสียง เขากำลังกลั้นยิ้มกับบทรำพึงรำพันของอีกฝ่าย

..........................................................

คุณ ปิ่นนลิน จริงค่ะ นางเอกเรื่องนี้จอมมึนสุดๆ ฮา ซื่อๆ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ นับวันพัฒนาการของดรัลจะมีมากขึ้นนะคะ นางเอกเขาเริ่มตั้งรับไม่ทัน ฮา

คุณ ปอกะเจา บอสเองก็มีทำอาลัวแอบเขวนะคะ ยิ่งอาลัวไม่ปิดเรื่องนวีนสงสัยพ่อเจ้าประคุณยิ่งได้ใจใหญ่ อย่าได้วางใจอะไรง่ายๆ นะเจ้าคะ อิอิ

คุณ จ๊ะจ๋า เดี๋ยวนวีนได้มีคืนฟอร์มค่ะ แต่ใจอาลัวจะเป็นไงบ้างไม่รู้

คุณ กาซะลอง อ่านตอนนี้อาจจะหมั่นไส้ชมนาดขึ้นมาอีกเท่าตัวค่ะ อาลัวเริ่มมีปฏิกิริยาที่แปลกและดีขึ้นแล้ว แต่ระยะเวลาก็จะหมดแล้วเช่นกันนะคะ

คุณ konhin บทนี้ความรู้สึกของนวีนมีน้อยค่ะ เลยไม่รู้ว่าหลังจากเลิกกับชมนาดมีสภาพอย่างไรเนอะ

คุณ yapapaya ชมนาดจะหยุดเท่านั้นเหรอคะ นวีนออกจะดีไม่รู้จักรักษาเขาไว้

หายไปสามวัน วันนี้เลยอยากกลับมาอัพให้ได้ค่ะ อิอิ ปั่นเสร็จยามดึก อ่านให้สนุกนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เข้ามากดถูกใจ และเข้ามาเม้าท์กันค่า วันพรุ่งนี้(วันศุกร์)ตอนใหม่เขาน่าจะปั่นทัน แล้วเจอกันค่า ^^





ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ส.ค. 2558, 00:27:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ส.ค. 2558, 00:27:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1337





<< บทที่ 9 : เลือกได้ไม่ยาก   บทที่ 11 : ความลับไม่มีในโลก >>
konhin 13 ส.ค. 2558, 04:17:43 น.
ปล่อยให้นวีนกลายเป็นพระรองที่กว่าจะรู้ตัวว่ารักหรือคิดจะรักนางเอกในวันที่สายไปแล้ว ชอบความน่ารักของนางเอกอ่ะ


ใบบัวน่ารัก 13 ส.ค. 2558, 06:53:16 น.
ของหายอยากได้คืนหรือ


ปอกะเจา 13 ส.ค. 2558, 10:14:50 น.
บอสสสสสส ลุยโลดข่า อย่างอาลัวต้องแสดงให้เห็นชัดๆ นางถึงจะรู้ตัว เพราะนางเฉื่อย เอ้ย เป็นคนประเภทไม่เข้าข้างตัวเอง เขี่ยนวีนให้ตกขอบไปเล้ย ทางช่อก็ดูจะไม่เป็นปัญหาแล้วด้วย #ทีมบอส


นักอ่านเหนียวหนึบ 13 ส.ค. 2558, 22:25:16 น.
เจ้ช่อ ช่วยน้องด้วยยยยย น้องอุตสาห์ชี้ทางสว่างให้เจ้นะ!!!!
เรื่องผงเข้าตานี่น้าาาา ถ้าไม่มีใครช่วยมันก็เคืองอยู่อย่างนั้นละน้าส


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account