รัก-ที่เกิดขึ้นหลังแต่ง
เธอ คือ สาวน้อยผู้น่ารัก สดใส มีจิตใจที่อ่อนโยน แต่แอบดื้ออยู่ลึกๆ ต้องกลายมาเป็นอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเองหลังจากที่แต่งงาน เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าเธอเข้มแข็ง ไม่ได้อ่อนแอ แต่ใครจะไปรู้ว่าลึกๆแล้วเธอไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เธอพยายามแสดงมันออกมา ให้ทุกคนเห็น โดยเฉพาะเขา คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี
ส่วนเขา คือ ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา เย็นชา พูดน้อย และใจร้ายที่สุด เท่าที่เธอเคยรู้จักมา
ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิต เหมือนตอนยังอยู่ตัวคนเดียว แม้บางคนจะพยายามพูดคุยด้วย ถามโน้นนี้นั้น ตามประสาคนสดใส แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือด้วยเลย ทำให้เธอหมดความพยายามในที่สุด เธอจึงกลายเป็นคนที่เงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่ร่าเริงสดใส เหมือนแต่ก่อน ทำให้เขาเริ่มแปลกใจตัวเอง ทำไมถึงต้องรู้สึกยังงี้ด้วย เมื่อเธอกลายเป็นอีกคน ที่เขาไม่คุ้นเคย
ส่วนเขา คือ ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา เย็นชา พูดน้อย และใจร้ายที่สุด เท่าที่เธอเคยรู้จักมา
ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิต เหมือนตอนยังอยู่ตัวคนเดียว แม้บางคนจะพยายามพูดคุยด้วย ถามโน้นนี้นั้น ตามประสาคนสดใส แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือด้วยเลย ทำให้เธอหมดความพยายามในที่สุด เธอจึงกลายเป็นคนที่เงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่ร่าเริงสดใส เหมือนแต่ก่อน ทำให้เขาเริ่มแปลกใจตัวเอง ทำไมถึงต้องรู้สึกยังงี้ด้วย เมื่อเธอกลายเป็นอีกคน ที่เขาไม่คุ้นเคย
Tags: แนวแต่งก่อนจีบ ความรัก เศร้า อัรฮาม VS อัฟชีณ
ตอน: สู่โลกกว้าง
หลังจากงานแต่งผ่านไป เธอก็ยังไม่มีโอกาสได้รู้จักหรือพูดคุยกับสามีตัวเองเลย เพราะเขาไม่มาให้เธอเห็นหน้าเลย หรือเพราะเขารับไม่ได้ที่ต้องแต่งงานอย่างกะทันหัน และยังต้องแต่งงานกับคนที่ตัวเองไม่ได้รักอีก ชายหนุ่มเพียงแค่ฝากบอกมารดาตัวเองให้มาบอกหญิงสาวว่าให้เตรียมตัว ตอนเย็นๆจะมารับไปสนามบิน
“คุณคิดว่าฉันดีใจนักหรือไงที่ต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ที่ฉันไม่รู้จัก” พูดด้วยความน้อยใจ น้อยใจในเรื่องอะไรเธอก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน วันนี้แล้วซินะที่เธอต้องเดินทางไปฝรั่งเศสกับเขา ‘แม่กับน้องๆจะอยู่กันยังไง’
“เตรียมของเสร็จแล้วเหรอลูก” มารดาเข้ามาถามเพราะเห็นว่าใกล้เวลาที่ชายหนุ่มจะมารับแล้ว
“ค่ะแม่” เธอไม่ได้เอาของไปเยอะแยะ เพราะเธอไม่ได้คิดจะไปอยู่ที่โน้นอย่างถาวร เธอยังอยากกลับมาทำตามความฝันของตัวเองให้สำเสร็จ
“งั้นเราลงข้างล่างกันเถอะ เดี่ยวพี่เขาก็มาถึงแล้วแหละ” น้องชายของเธอช่วยขนของลงข้างล่าง
“พี่อัรฮามมาถึงแล้วค่ะแม่” อัฟนานที่รดน้ำต้นไม้อยู่ รีบวิ่งมาบอกมารดาทันทีเมื่อเห็นรถจอดอยู่หน้าบ้าน
“อ้าว พอดีเลย งั้นเราออกไปกันเถอะ อย่าให้พี่เขารอนาน” อาอิชชวนทุกคนออกไปส่งลูกสาวคนโตหน้าบ้าน เพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลาในการเดินทาง
วันนี้หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดยาวสีเทาอ่อน ผ้าคลุมหัวสีดำและไม่ลืมปิดหน้าด้วยนิกอบ เมื่อเจอหน้ากันแล้ว เธอถึงกับทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไง ส่วนเขาเมื่อเห็นเธอก็ทำหน้าตาเย็นชาตามปกติ แล้วหันไปทักทายแม่สะใภ้กับน้องๆของเธอ แต่ไม่ได้ทักทายเธอ
“งั้นก็รีบไปกันเถอลูก จะได้ไม่เสียเวลา” มารดารู้สึกใจหายไม่น้อย ที่อยู่ๆก็ต้องแยกจากกัน
“อัฟฟาน พี่ฝากดูแลแม่และน้องด้วยน่ะ ไปถึงที่โน้นแล้วพี่จะติดต่อกลับมา แล้วพี่จะกลับมาเยี่ยม” อัฟชีณกอดแม่และน้องๆแน่นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลหลงมาด้วยความใจหาย ก่อนจะได้เวลาไป
“ไปกันได้ยัง” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ‘จะล่ำลาไรกันนักหนา ยังกะจะไม่กลับมางั้นแหละ’
“พี่อัฟก็ดูแลตัวเองด้วยน่ะ พี่ต้องสัญญานะว่าจะกลับมาเยี่ยมพวกเรา” อัฟชีณปาดน้ำตาตัวเองก่อนจะก้มลงไปจูบศรีษะของน้องๆเธอ แล้วเดินไปขึ้นรถ เธอหันไปโบกมือให้กับทุกคนจนสุดสายตา ก่อนจะหันไปมองข้างทางไปเรื่อยๆจนไปถึงสนามบิน เมื่อไปถึงสนามบินก็เดินเข้าไปข้างในกับสามี ที่เดินนำหน้าโดยไม่สนใจเธออย่างกับจะทิ้งกัน เขาก็ได้แต่ส่งเสียงเตือนว่าเดียวจะไปขึ้นเครื่องไม่ทันมาตลอดทาง
“เธอจะเปิดหน้าให้ฉันดูได้ยัง................” เขาถามเธอขณะที่นั่งอยู่บนห้องโดยสารบนเครื่องเรียบร้อยแล้ว.........หญิงสาวส่ายหน้า ชายหนุ่มจึงไม่รอช้าหมายจะดึงผ้าปิดหน้าออก แต่หญิงสาวเร็วกว่า หลบมือชายหนุ่มทัน พร้อมกับพูดว่า
“ตอนนี้คนเยอะ ฉันยังเปิดหน้าไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงสาวตอบปฏิเสธออกไป ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“เธอมีเหตุผลอะไร” น้ำเสียงหงุดหงิด รำคาญเช่นเคย
“ฉันอาย” ชายหนุ่มคิด ‘นี่ขนาดอายยังกล้าแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จัก แล้วไหนจะยอมไปฝรั่งเศสกับเขาง่ายๆอีกด้วย เธอเป็นคนยังไงกันแน่นะ’
“งั้นก็ตามใจเธอ แต่ถ้าไปถึงที่โน้นแล้วพลัดหลงกับฉัน ฉันก็ช่วยอะไรเธอได้ไม่มากหรอกนะ เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายหน้าตาเธอให้คนเขารู้ยังไง” คำขู่ของเขาไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัวเลยสักนิด
“ฉันจะไม่พลาดสายตาจากคุณเลยค่ะ” หญิงสาวตอบไปตามที่ใจคิด ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ หญิงสาวถึงกับมองด้วยความประหลาดใจที่เขาหัวเราะ เพราะตั้งแต่เจอเขาเธอยังไม่เคยเห็นเขายิ้มหรือหัวเราะเลยปกตินี้แค่จะคุยกันยังยากเลย
พอลงจากเครื่องก็เดินทางไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองในสนามบิน ระหว่างทางอัฟชีณก็ก้มลงหาหนังสือเดินทางพร้อมเอกสารที่ต้องกรอกในกระเป๋า เงยหน้าขึ้นมาอีกทีชายหนุ่มที่คุ้นเคยกลับหายหน้าไปอย่างไร้ร่องรอย มองไปทางไหนเธอก็เห็นแต่ชาวต่างชาติที่เดินกันไปมา
หญิงสาวพยายามหาสติของตัวเอง แล้วหันไปมองรอบๆอีกครั้งอย่างใจเย็น แต่ผลก็ยังเหมือนเดิมคือหาเขาไม่เจอ เธอพยายามจะไม่ร้องไห้ แต่ด้วยความกลัวทำให้น้ำตาของเธอไหลลงมา แต่เธอก็พยายามเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนเห็นแผ่น
หลังไวๆที่คล้ายกับแผ่นหลังชายหนุ่ม จึงเรียกไว้ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะไม่ใช่ชายหนุ่มอย่างที่เธอคิดไว้
“คุณใจร้ายมากกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ ฮือ ฮือ ฮือ” เมื่อไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วจึงเอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปมาอย่างเร่งรีบ จิตใต้สำนึกบอกให้เธอเชื่อใจเขา อีกเดี่ยวเขาก็มา เขาแค่ไปทำธุระที่ไหนสักที่ หรือไม่ก็คงอยู่แถวๆนี้ ‘แล้วถ้าเขาไม่มาละ’ ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งกลัว เพราะถึงเธอจะเคยไปต่างประเทศมาบ้างแล้ว ก็ไปแค่ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไกลเหมือนที่นี่ อีกอย่างภาษาอังกฤษของเธอก็แค่งูๆปลาๆ จะไปเอาตัวรอดได้ที่ไหน ตอนที่เธอรู้สึกเคว้งขว้างทำอะไรไม่ถูก อยู่ๆก็มีคนเดินมาชนเธอ จนเธอเกือบล้ม แต่โชคดีที่มีมือใครคนหนึ่งคว้าเอวเธอไว้ได้ทันก่อนที่จะต้องล้มหน้าคว่ำจริงๆ เธอถึงกับตกใจ เมื่อได้สติเธอคิดจะผลักคนที่ช่วยเธอไว้ออกห่างจากตัว แต่ไม่ทัน เขาคนนั้นชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ซุ่มซ่าม” หญิงสาวหันไปมองหน้าคนพูดทันที เมื่อมั่นใจว่าน้ำเสียงนี้เป็นของเขา ผู้ชายใจร้าย เธอปิดปากเงียบไม่พูดอะไรกับเขาสักคำ และก็เป็นชายหนุ่มที่ทำลายความเงียบ เมื่อเห็นเธอเช็ดน้ำตาและไม่มองหน้าเขาอีกเลย
“ร้องไห้ทำไม” ถามทั้งๆที่เขาน่าจะรู้คำตอบดีว่าเธอร้องไห้ทำไม เขาทิ้งเธอไป ทั้งๆที่เขาก็น่าจะรู้ว่านี่คือครั้งแรกที่เธอมาฝรั่งเศส
“ปล่อย” หญิงสาวบอกพร้อมๆกับแกะมือชายหนุ่มออกจากเอว เมื่อเขายังไม่ปล่อยเอวเธอ แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เพราะยิ่งเธอแกะมือเขาออก เขาก็จะยิ่งรัดเธอเข้าหาตัวเขามากยิ่งขึ้น จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของชายหนุ่มที่เปารดหน้าผากเธอ หญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่ม
“คุณต้องการอะไรอีก แค่นี้ยังไม่พอใจคุณอีกหรือไง” เธอพูดด้วยความน้อยใจ และโกรธตัวเองที่ร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายใจร้ายอย่างเขา “คุณใจร้ายมาก” พูดจบก็ผลักชายหนุ่มแรงๆ โดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ชายหนุ่มเซเล็กน้อย
หญิงสาวเดินออกไป โดยไม่เหลียวหลังหันกลับไปมองชายหนุ่ม และคำพูดเพียงไม่กี่คำของเธอทำให้ชายหนุ่มอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ เขาก็แค่อยากสั่งสอนเธอ ว่าอย่าอวดเก่งและขัดคำสั่งเขาก็แค่นั้นเอง อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกล เขาก็แอบซุ่มดูเธออยู่ เขาแค่อยากรู้ว่าเธอสามารถเอารอดได้ไหม
“แล้วนี่จะไปไหน รู้จักทางเหรอ” ไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มก็ฉุดแขนหญิงสาวไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะเดินออกห่างไปเรื่อยๆ
เท่าที่เขาสังเกตดูจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เขารู้ว่าเธอกลัวเพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอมาฝรั่งเศสและเขาก็เชื่อว่าเธอสามารถเอาตัวรอดในต่างแดนได้
“ไปกันเถอะ” หญิงสาวปาดน้ำตาออก หลังจากนั้นทั้งคู่ก็นั่งเงียบมาตลอดทาง จมอยู่กับความคิดของตัวเองจนมาถึงบ้านของชายหนุ่ม ต่อไปนี้บ้านหลังนี้จะไม่มีเพียงชายหนุ่มคนเดียวอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป เพราะหลังจากนี้จะมีเธอเข้ามาอยู่ร่วมชายคาด้วยอีกคน บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้น มีบริเวณรอบบ้านกว้างขวาง
ชายหนุ่มขับถไปจอดที่โรงรถก่อนจะเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางสบายๆ ทำให้หญิงสาวต้องเดินถือกระเป๋าเข้าบ้านตามเจ้าของบ้านที่เดินนำหน้าเธอ เมื่อเข้ามาในบ้านเธอถึงกับนึกชื่นชมในใจกับความสวยงามของบ้าน ข้างนอกว่าสวยแล้ว ข้างในยิ่งสวยเข้าไปอีก เธอชื่นชมความสวยงามของบ้านได้ไม่นาน ก็มีผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเจ้าของบ้านด้วยรอยิ้ม
“มาถึงกันแล้วเหรออัรฮาม” คุณคนนั้นทักทายชายหนุ่มเสร็จ สายตาก็ปะทะเข้ากับหญิงสาวรูปร่างเล็ก ปิดหน้าปิดตา ทำให้เธอไม่สามารถที่จะมองเห็นหน้าตาหญิงสาวได้ “นี่คงจะเป็นหลานสะไภ้อาใช่มั๊ย” เธอพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มไปให้หญิงสาวที่หลบอยู่ข้างหลังชายหนุ่ม
“ใช่ครับคุณอา” ชายหนุ่มตอบคำถามผู้เป็นอาเสร็จ แล้วปรายสายตาหันไปมองหญิงสาวที่หลบอยู่ข้างกาย
“ยินดีต้อนรับเข้ามาสู่ครอบครัวเรานะหนู” พูดจบก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวทันทีด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับเข้าไปโอบกอดหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ด้วยการจู่โจมที่รวดเร็วของคุณอาคนสวยถึงกับทำให้เธอตกใจ จนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนนิ่งๆให้คุณอาคนนั้นกอด เมื่อกอดจนพอใจแล้ว ก็เอ่ยพูดกับหญิงสาว “ไหนขออาดูใกล้ๆหน่อยสิ จะสวยสมคำร่ำลือจริงๆหรือเปล่า อ้อ.......ลืมแนะนำ อาเป็นน้องสาวของพ่อพี่เขา” พูดพร้อมกับดึงผ้าปิดหน้าของหญิงสาวออก แต่ยังไม่ทันที่จะได้เห็นหน้าแบบเต็มๆ ก็มีเสียงเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน หญิงสาวจึงรีบปิดหน้าปิดตาให้เรียบร้อย
“คุณแม่นะคุณแม่ ไม่รอกันเลยผมก็อยากเจอเมียไอ้อันฮามเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มผู้มาใหม่เอ่ยตัดพ้อมารดาอย่างไม่จริงจังนัก ที่รีบมาโดยไม่รอตน อัรฮามถึงกับไม่พอใจชายหนุ่มขึ้นมาดื้อๆขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ แล้วเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวพร้อมกับโอบเอวเธอเอาไว้หลวมๆ
“ไง มาทำไม” ชายหนุ่มเอ่ยถามแขกอย่างไม่พอใจ
“ก็บอกแล้วว่าจะมาดูหน้าน้องสะไภ้ นี่ไม่คิดจะแนะนำให้รู้จักกันหน่อยเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยกวนลูกพี่ลูกน้องผู้พี่ ที่ถึงแม้เราจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ถ้านับกันตามจริงแล้วเขาเกิดก่อนสามวัน ฉะนั้นแล้วถึงเขาจะเป็นลูกพี่เขาก็ไม่สน เพราะถือว่าเขาเกิดก่อน
“แกกลับไปเลยไป ฉันไม่ต้อนรับ” ชายหนุ่มเอ่ยไล่ลูกพี่ลูกน้องอย่างไม่ไยดี
“แม่ดูมันสิห่วงไม่เข้าเรื่อง ผมแค่อยากทำความรู้จักกับ...........น้องสะไภ้ก็แค่นั้น” ชายหนุ่มเว้นคำพูดนิดหน่อย พร้อมกับหันไปสังเกตุปฎิกริยาของลูกพี่ลูกน้อง ‘หึ ปากบอกไม่รัก ไม่สนใจเขา แต่ห่วงยิ่งกว่าหมาบ้าซะอีก’ เขาแค่แหย่นิดแหย่หน่อยก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยทีเดียว สังเกตได้จากมือที่กำพร้อมต่อยเขาเต็มที่
“พอ พอ พอ พอทั้งคู่เลย เจอกันเป็นต้องกัดกันตลอดเลยสินะ ฉันไม่เข้าใจพวกแกเลยจริงๆ” ผู้ใหญ่คนเดียวในวงรีบห้ามทับ ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ “เราขึ้นไปเก็บของข้างบนกันก่อนเถอะหนู อย่าไปสนใจพวกมันเลย” ด่าลูกชาบกับหลานชายเสร็จก็หันไปเอ่ยชวนหลานสะไภ้ขึ้นไปเก็บของให้เรียบร้อย พูดพลางยื่นมือทั้งสองข้างจะช่วยหญิงสาวยกกระเป๋าสัมภาระ
“ไม่เป็นไรค่ะ อัฟยกไหว ขอบคุณนะค่ะ” หลังจากที่เงียบฟังสองพี่น้องเถียงกันมานานก็หาเสียงตัวเองเจอ เมื่อคุณอาของสามีจะช่วยยกของให้
“งั้นก็ตามใจ ตามอามา” ผู้เป็นอาของสามีไม่เซ้าซี้ จึงผายมือพร้อมเดินนำหญิงสาวสู่ห้องพักชั้นบน แต่ก็ต้องเดินผ่านห้องรับแขก
โถ่งนี้มีหน้าต่างสูงอยู่รายรอบ กรุด้วยผ้าลูกไม้สีขาวซ้อนม่านกำมะหยี่สีฟ้ามองแล้วสบายตายาวจรดพื้น ออกแนวโมเดิร์นๆหน่อย ตั้งชุดด้วยโซฟาสีขาวทางซ้ายมือ บนพื้นปูด้วยพรมสีเบจสัมผัสนุ่มนวล
หญิงสาวเดินตามการก้าวของคุณอาสามีไปติดๆ ทั้งที่ยังไม่มีโอกาสชื่นชมความประณีตวิจิตรภายในที่มองปราดก็สัมผัสได้ถึงความไม่มีที่ติ ยังมีของตกแต่งจากรุ่นสู่รุ่นอีกมากมายที่ตั้งโชว์ในห้องโถ่ง ดูก็รู้แล้วว่าของเหล่านั้นมีราคามหาสาน แล้วเลี้ยวขึ้นบันไดเวียนซึ่งบิดตัวโค้งพาขึ้นสู่ชั้นบน
ชั้นสองของตัวอาคารมืดทึบจากการบดบังแสงสว่างของผ้าม่านสีฟ้าเหมือนชั้นล่าง เพียงแต่ชั้นบนไม่ได้เปิดผ้าม่านไว้ให้แสงสว่างลอดผ่านเข้ามาภายใน ชั้นนี้มีห้องย่อยๆเรียงกันอยู่หลายห้อง แบ่งตามฝั่งปีกขวามีห้องอยู่ห้าถึงหกห้อง ฝั่งปีกซ้ายมีอยู่สี่ห้อง ทุกห้องปิดประตูสนิทชวนขนลุก คุณอาสามีคงสังเกตเห็นได้ถึงความรู้สึกนี้ของผู้มาใหม่ จึงยิ้มเอ็นดู
“ฝั่งปีกซ้ายเป็นส่วนของห้องทำงานกับห้องสมุด อ้อ.....แล้วก็ห้องรับแขกด้วย เราแบ่งให้แขกพักฝั่งโซนนี้ ส่วนห้องนอนของสมาชิกในบ้านจะอยู่ฝั่งปีกขวา ตอนนี้ไม่มีคนใช้ก็เลยต้องปิดไว้ก่อน เลยทำให้บรรยากาศดูวังเวงชอบกล” พูดแนะนำหญิงสาวไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เมื่อนึกไปถึงเรื่องราวดีๆในอดีตที่ผ่านมา “แต่ก่อนอาก็อาศัยอยู่ที่นี้ เมื่ออาแต่งงานออกเรือนไป อาก็ย้ายไปอยู่บ้านสามีอีกเมืองหนึ่ง ไม่ไกลจากที่นี่หรอก” เธอได้แต่ฟังเงียบๆ พร้อมกับนึกชื่นชมครอบครัวของเขาในใจ
“อ่ะนี้.......ถึงห้องพักหนูแล้ว” พูดพร้อมกับเปิดประตู เบื้องหลังประตูคือห้องนอนสีขาวสะอาดตา คุณอาสามีเดินเข้าไปรูดม่านสีเขียวอ่อนแสนหวานเปิดรับแสงสว่างให้เข้ามา ตรงกลางห้องชิดผนังด้านขวามีเตียงขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าปูสีเขียวอ่อนแสนหวานเข้าชุดกับผ้าม่านตั้งอยู่ บนโต๊ะหัวเตียงประดับด้วยโคมไฟสีเขียวลวดลายดอกไม้น่ารัก เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นไม้ที่ได้รับการเลือกสรรอย่างลงตัวในโทนสีขาว ตรงทางเดินมีพรมผืนนุ่มหนาสีเขียวอ่อนแสนหวาน
ไม่เพียงแต่ความงดงามของห้องนอนเท่านั้นที่ทำให้อัฟชีณต้องตะลึง หากทัศนียภาพกว้างไกลของชนบททั้งภูเขาและทุ่งหญ้าก็ทำให้หญิงสาวอดใจแทบไม่ไหว อยากชะโงกหน้าออกไปยังระเบียงชื่นชมความงาม แต่ก็ต้องตั้งใจฟังคุณอาสามีเล่ารายละเอียดต่างๆที่จำเป็นภายในบ้านให้ฟัง แนะนำแม้แต่การใช้ห้องน้ำ การเปิดปิดไฟ และการควบคุมอุณหภูมิเครื่องทำความร้อน เมื่อแนะนำอะไรเสร็จเรียบร้อย ก็ปล่อยให้หญิงสาวได้มีเวลาพักผ่อน พร้อมกับเอ่ยลา
“นี่ก็ได้เวลาอาต้องกลับแล้ว มีอะไรปรึกษาอาได้ทุกเรื่องนะลูก ไว้วันหลังอาจะมาหาใหม่”
“ขอบคุณมากนะค่ะ” เมื่อหญิงกลางคนออกไปแล้ว อัฟชีณนั่งลงบนเตียงหนานุ่ม มองไปรอบตัว เธอจินตนาการตัวเองนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟานวมตรงกลางห้อง มองทิวทัศน์สบายตาตรงระเบียงห้อง หญิงสาวอมยิ้มตลกตัวเอง เมื่อระลึกได้ว่าเธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อพักผ่อนเล่นๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ให้เรียบร้อย พร้อมกับสัมภาระอื่นๆที่เอามาด้วยเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย ระหว่างที่เธอกำลังจัดของอยู่นั้น ชายหนุ่มผู้เป็นสามีทางนิตินัยเปิดประตูเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มองการกระทำของหญิงสาวอย่างเพลินๆ ด้วยไม่คิดว่าจะมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย ทำให้หญิงสาวไม่ทันระวังชนเข้ากับหน้าอกชายหนุ่มอย่างแรง ดีที่มีมือเขาเข้ามาโอบเอวไว้ ไม่งั้นเธอคงล้มหน้าฟาดพื้นไปแล้วแน่ๆ
“โอ๊ยยยย” เธอร้องด้วยความเจ็บ แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขาที่เป่ารดหน้าผากเธอถึงจะมีผ้าปิดหน้ากั้นไว้ก็เถอะ หน้าชายหนุ่มลอยอยู่ตรงหน้าอยู่ตรงหน้าเธอแค่ไม่กี่เซนเท่านั้น
“คะ คุณเข้ามาได้ยังไง” เมื่อตั้งสติได้ เธอถามด้วยความตกใจ หญิงสาวพยายามผลักชายหนุ่มออก แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อยิ่งผลักเขาก็ยิ่งรัดเข้าหาตัวเองแน่น “นี่คุณปล่อยฉันน่ะ”
“ซุ่มซ่าม” ชายหนุ่มว่า แล้วก้มลงไปจูบหน้าผากหญิงสาว สบตาเธอแวบหนึ่งแล้วปล่อย จากนั้นก็พาตัวเองไปทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่ม
“เธอชอบห้องนี้มั๊ย” เอ่ยถามหญิงสาว พร้อมกับจ้องเธอไม่วางตา ถึงกับทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก
“เอ่อ......ค่ะ” ตอบเสร็จก็หลบหน้าชายหนุ่ม
“ก็ดี” หลังจากนั้นทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร แล้วชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวช้าๆ “แล้วนี้จะเปิดหน้าให้ฉันดูได้หรือยัง” หญิงสาวสะดุ้งกับน้ำเสียงกระด้างของเขา เร็วเท่าความคิด ชายหนุ่มหมายจะดึงผ้าปิดหน้าของหญิงสาวออก แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาซะก่อน ทำให้มือชายหนุ่มหยุดชะงักแล้วล้วงมือรับโทรศัพท์อย่างหัวเสีย
“มีอะไร” เมื่อดูเบอร์คนที่โทรเข้ามา ยิ่งทำให้หงุดหงิด หันไปมองหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วก็เดินออกไปคุยโทรศัพย์ด้านนอก
อัฟชีณระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเขาเดินออกไปแล้ว ก็รีบวิ่งไปล๊อกประตูห้องนอนไว้ทันทีด้วยความรวดเร็ว สักพักเสียงมาเคาะประตูดังขึ้น แต่เธอไม่ได้เปิด
“ใครค่ะ” ถามทั้งที่มั่นใจว่าคนที่มาเคาะต้องเป็นเขาแน่ๆ แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เธอต้องระวังตัวไว้ก่อน
“แล้วเธออยู่กับใครล่ะในบ้านนี้” ชายหนุ่มตอบไปอย่างหงุดหงิด เมื่อเปิดประตูห้องหญิงสาวไม่ได้ ‘นี้กล้าขนาดล๊อกประตูใส่ฉันเหรอ หึ ฝากไว้ก่อนเหอะ’
“เอ่อ คุณมีอะไรหรือเปล่าค่ะ” เธอลองเสี่ยงตอบเขาไป
“เปิดประตู” เสียงเขาเริ่มแข็งขึ้นมา แต่เธอก็ยังเงียบ ทำให้อัรฮามยอมถอย
“ฉันจะออกไปข้างนอก ดึกๆคงกลับ” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ชายหนุ่มจึงเอ่ยพูดต่อ
“ถ้ามีใครมาหา ไม่ต้องเปิดประตู หรือตอบรับ ยกเว้นฉันคนเดียว เข้าใจมั๊ย” เมื่อเธอยังคงเงียบ ชายหนุ่มก็ตะคอกออกไปอีกที
“เธอเป็นใบ้หรือไง ฉันถามว่าเข้าใจมั๊ย”
“ขะ เข้าใจค่ะ” เมื่อได้ยินเธอตอบ ชายหนุ่มก็รีบออกไปจากบ้านทันทีด้วยความรวดเร็ว
หญิงสาวจัดการกับตัวเองเรียบร้อย เดินลงไปสำรวจความเรียบร้อยของบ้าน แล้วจึงเดินเลยเข้าห้องครัวเพื่อทำอะไรทานง่ายๆสำหรับตัวเอง ‘แล้วนี่ต้องทำให้เผื่อเขาด้วยมั๊ย’ เธอคิดอย่างหว้าวุ่นใจ ‘ถ้าทำเผื่อแล้วถ้าเขากินจากข้างนอกมาแล้วล่ะ’ สุดท้ายเธอก็ทำเผื่อให้เขาด้วย เผื่อกลับมาดึกๆแล้วเขาหิวขึ้นมา
หลังจากทานอาหาร ทำความสะอาดห้องครัวเรียบร้อยแล้วเธอก็เดินกลับขึ้นห้อง ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปด้วยความเพลียจากการเดินทาง
ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ ชายหนุ่มไขกุญแจสำรองย่องเข้ามาในห้องนอนของหญิงสาวอย่างเงียบเชียบ แล้วเดินไปนั่งบนเตียงนอน หวังเพื่อจะมองหน้าหญิงสาว แต่มองยังไงก็มองไม่เห็นด้วยความมืด มีเพียงแค่แสงสว่างจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ส่องแสงลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา ด้วยความที่เธอนอนตะแคงข้างยิ่งทำให้ลำบากในการมองเห็น ชายหนุ่มลูบผมยาวสลวยนุ่มมือของหญิงสาวเงียบๆในความมืด แล้วก้มลงจูบหน้าผากเนิ่นนาน ต่อด้วยแก้มหอมของหญิงสาว เรื่อยมาจนถึงเสี้ยวหนึ่งของริมฝีปากบางเรียวได้รูปเนิ่นนาน จึงผละออกมาด้วยความเสียดาย “นอนขี้เซาขนาดนี้เลยเหรอเนี๊ยะ นี่ถ้าโจรบุกขึ้นมาจะว่ายังไง” ชายหนุ่มบ่นพึมพำภรรยาด้วยความหมั่นเขี้ยวกับความขี้เซาของเจ้าหล่อนนัก ไม่นานชายหนุ่มลุกขึ้นกลับห้องตัวเองพร้อมกับล็อกประตูห้องให้หญิงสาว ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คุณคิดว่าฉันดีใจนักหรือไงที่ต้องแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ที่ฉันไม่รู้จัก” พูดด้วยความน้อยใจ น้อยใจในเรื่องอะไรเธอก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน วันนี้แล้วซินะที่เธอต้องเดินทางไปฝรั่งเศสกับเขา ‘แม่กับน้องๆจะอยู่กันยังไง’
“เตรียมของเสร็จแล้วเหรอลูก” มารดาเข้ามาถามเพราะเห็นว่าใกล้เวลาที่ชายหนุ่มจะมารับแล้ว
“ค่ะแม่” เธอไม่ได้เอาของไปเยอะแยะ เพราะเธอไม่ได้คิดจะไปอยู่ที่โน้นอย่างถาวร เธอยังอยากกลับมาทำตามความฝันของตัวเองให้สำเสร็จ
“งั้นเราลงข้างล่างกันเถอะ เดี่ยวพี่เขาก็มาถึงแล้วแหละ” น้องชายของเธอช่วยขนของลงข้างล่าง
“พี่อัรฮามมาถึงแล้วค่ะแม่” อัฟนานที่รดน้ำต้นไม้อยู่ รีบวิ่งมาบอกมารดาทันทีเมื่อเห็นรถจอดอยู่หน้าบ้าน
“อ้าว พอดีเลย งั้นเราออกไปกันเถอะ อย่าให้พี่เขารอนาน” อาอิชชวนทุกคนออกไปส่งลูกสาวคนโตหน้าบ้าน เพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลาในการเดินทาง
วันนี้หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดยาวสีเทาอ่อน ผ้าคลุมหัวสีดำและไม่ลืมปิดหน้าด้วยนิกอบ เมื่อเจอหน้ากันแล้ว เธอถึงกับทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไง ส่วนเขาเมื่อเห็นเธอก็ทำหน้าตาเย็นชาตามปกติ แล้วหันไปทักทายแม่สะใภ้กับน้องๆของเธอ แต่ไม่ได้ทักทายเธอ
“งั้นก็รีบไปกันเถอลูก จะได้ไม่เสียเวลา” มารดารู้สึกใจหายไม่น้อย ที่อยู่ๆก็ต้องแยกจากกัน
“อัฟฟาน พี่ฝากดูแลแม่และน้องด้วยน่ะ ไปถึงที่โน้นแล้วพี่จะติดต่อกลับมา แล้วพี่จะกลับมาเยี่ยม” อัฟชีณกอดแม่และน้องๆแน่นพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลหลงมาด้วยความใจหาย ก่อนจะได้เวลาไป
“ไปกันได้ยัง” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ‘จะล่ำลาไรกันนักหนา ยังกะจะไม่กลับมางั้นแหละ’
“พี่อัฟก็ดูแลตัวเองด้วยน่ะ พี่ต้องสัญญานะว่าจะกลับมาเยี่ยมพวกเรา” อัฟชีณปาดน้ำตาตัวเองก่อนจะก้มลงไปจูบศรีษะของน้องๆเธอ แล้วเดินไปขึ้นรถ เธอหันไปโบกมือให้กับทุกคนจนสุดสายตา ก่อนจะหันไปมองข้างทางไปเรื่อยๆจนไปถึงสนามบิน เมื่อไปถึงสนามบินก็เดินเข้าไปข้างในกับสามี ที่เดินนำหน้าโดยไม่สนใจเธออย่างกับจะทิ้งกัน เขาก็ได้แต่ส่งเสียงเตือนว่าเดียวจะไปขึ้นเครื่องไม่ทันมาตลอดทาง
“เธอจะเปิดหน้าให้ฉันดูได้ยัง................” เขาถามเธอขณะที่นั่งอยู่บนห้องโดยสารบนเครื่องเรียบร้อยแล้ว.........หญิงสาวส่ายหน้า ชายหนุ่มจึงไม่รอช้าหมายจะดึงผ้าปิดหน้าออก แต่หญิงสาวเร็วกว่า หลบมือชายหนุ่มทัน พร้อมกับพูดว่า
“ตอนนี้คนเยอะ ฉันยังเปิดหน้าไม่ได้หรอกค่ะ” หญิงสาวตอบปฏิเสธออกไป ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“เธอมีเหตุผลอะไร” น้ำเสียงหงุดหงิด รำคาญเช่นเคย
“ฉันอาย” ชายหนุ่มคิด ‘นี่ขนาดอายยังกล้าแต่งงานกับคนที่ไม่รู้จัก แล้วไหนจะยอมไปฝรั่งเศสกับเขาง่ายๆอีกด้วย เธอเป็นคนยังไงกันแน่นะ’
“งั้นก็ตามใจเธอ แต่ถ้าไปถึงที่โน้นแล้วพลัดหลงกับฉัน ฉันก็ช่วยอะไรเธอได้ไม่มากหรอกนะ เพราะฉันก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายหน้าตาเธอให้คนเขารู้ยังไง” คำขู่ของเขาไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัวเลยสักนิด
“ฉันจะไม่พลาดสายตาจากคุณเลยค่ะ” หญิงสาวตอบไปตามที่ใจคิด ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ หญิงสาวถึงกับมองด้วยความประหลาดใจที่เขาหัวเราะ เพราะตั้งแต่เจอเขาเธอยังไม่เคยเห็นเขายิ้มหรือหัวเราะเลยปกตินี้แค่จะคุยกันยังยากเลย
พอลงจากเครื่องก็เดินทางไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองในสนามบิน ระหว่างทางอัฟชีณก็ก้มลงหาหนังสือเดินทางพร้อมเอกสารที่ต้องกรอกในกระเป๋า เงยหน้าขึ้นมาอีกทีชายหนุ่มที่คุ้นเคยกลับหายหน้าไปอย่างไร้ร่องรอย มองไปทางไหนเธอก็เห็นแต่ชาวต่างชาติที่เดินกันไปมา
หญิงสาวพยายามหาสติของตัวเอง แล้วหันไปมองรอบๆอีกครั้งอย่างใจเย็น แต่ผลก็ยังเหมือนเดิมคือหาเขาไม่เจอ เธอพยายามจะไม่ร้องไห้ แต่ด้วยความกลัวทำให้น้ำตาของเธอไหลลงมา แต่เธอก็พยายามเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ จนเห็นแผ่น
หลังไวๆที่คล้ายกับแผ่นหลังชายหนุ่ม จึงเรียกไว้ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะไม่ใช่ชายหนุ่มอย่างที่เธอคิดไว้
“คุณใจร้ายมากกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ ฮือ ฮือ ฮือ” เมื่อไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วจึงเอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ท่ามกลางผู้คนที่เดินไปมาอย่างเร่งรีบ จิตใต้สำนึกบอกให้เธอเชื่อใจเขา อีกเดี่ยวเขาก็มา เขาแค่ไปทำธุระที่ไหนสักที่ หรือไม่ก็คงอยู่แถวๆนี้ ‘แล้วถ้าเขาไม่มาละ’ ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งกลัว เพราะถึงเธอจะเคยไปต่างประเทศมาบ้างแล้ว ก็ไปแค่ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไกลเหมือนที่นี่ อีกอย่างภาษาอังกฤษของเธอก็แค่งูๆปลาๆ จะไปเอาตัวรอดได้ที่ไหน ตอนที่เธอรู้สึกเคว้งขว้างทำอะไรไม่ถูก อยู่ๆก็มีคนเดินมาชนเธอ จนเธอเกือบล้ม แต่โชคดีที่มีมือใครคนหนึ่งคว้าเอวเธอไว้ได้ทันก่อนที่จะต้องล้มหน้าคว่ำจริงๆ เธอถึงกับตกใจ เมื่อได้สติเธอคิดจะผลักคนที่ช่วยเธอไว้ออกห่างจากตัว แต่ไม่ทัน เขาคนนั้นชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ซุ่มซ่าม” หญิงสาวหันไปมองหน้าคนพูดทันที เมื่อมั่นใจว่าน้ำเสียงนี้เป็นของเขา ผู้ชายใจร้าย เธอปิดปากเงียบไม่พูดอะไรกับเขาสักคำ และก็เป็นชายหนุ่มที่ทำลายความเงียบ เมื่อเห็นเธอเช็ดน้ำตาและไม่มองหน้าเขาอีกเลย
“ร้องไห้ทำไม” ถามทั้งๆที่เขาน่าจะรู้คำตอบดีว่าเธอร้องไห้ทำไม เขาทิ้งเธอไป ทั้งๆที่เขาก็น่าจะรู้ว่านี่คือครั้งแรกที่เธอมาฝรั่งเศส
“ปล่อย” หญิงสาวบอกพร้อมๆกับแกะมือชายหนุ่มออกจากเอว เมื่อเขายังไม่ปล่อยเอวเธอ แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เพราะยิ่งเธอแกะมือเขาออก เขาก็จะยิ่งรัดเธอเข้าหาตัวเขามากยิ่งขึ้น จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของชายหนุ่มที่เปารดหน้าผากเธอ หญิงสาวต้องเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่ม
“คุณต้องการอะไรอีก แค่นี้ยังไม่พอใจคุณอีกหรือไง” เธอพูดด้วยความน้อยใจ และโกรธตัวเองที่ร้องไห้ต่อหน้าผู้ชายใจร้ายอย่างเขา “คุณใจร้ายมาก” พูดจบก็ผลักชายหนุ่มแรงๆ โดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ชายหนุ่มเซเล็กน้อย
หญิงสาวเดินออกไป โดยไม่เหลียวหลังหันกลับไปมองชายหนุ่ม และคำพูดเพียงไม่กี่คำของเธอทำให้ชายหนุ่มอดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ เขาก็แค่อยากสั่งสอนเธอ ว่าอย่าอวดเก่งและขัดคำสั่งเขาก็แค่นั้นเอง อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกล เขาก็แอบซุ่มดูเธออยู่ เขาแค่อยากรู้ว่าเธอสามารถเอารอดได้ไหม
“แล้วนี่จะไปไหน รู้จักทางเหรอ” ไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ชายหนุ่มก็ฉุดแขนหญิงสาวไว้ได้ทัน ก่อนที่เธอจะเดินออกห่างไปเรื่อยๆ
เท่าที่เขาสังเกตดูจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ เขารู้ว่าเธอกลัวเพราะนี่คือครั้งแรกที่เธอมาฝรั่งเศสและเขาก็เชื่อว่าเธอสามารถเอาตัวรอดในต่างแดนได้
“ไปกันเถอะ” หญิงสาวปาดน้ำตาออก หลังจากนั้นทั้งคู่ก็นั่งเงียบมาตลอดทาง จมอยู่กับความคิดของตัวเองจนมาถึงบ้านของชายหนุ่ม ต่อไปนี้บ้านหลังนี้จะไม่มีเพียงชายหนุ่มคนเดียวอย่างที่ผ่านมาอีกต่อไป เพราะหลังจากนี้จะมีเธอเข้ามาอยู่ร่วมชายคาด้วยอีกคน บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้น มีบริเวณรอบบ้านกว้างขวาง
ชายหนุ่มขับถไปจอดที่โรงรถก่อนจะเดินเข้าบ้านด้วยท่าทางสบายๆ ทำให้หญิงสาวต้องเดินถือกระเป๋าเข้าบ้านตามเจ้าของบ้านที่เดินนำหน้าเธอ เมื่อเข้ามาในบ้านเธอถึงกับนึกชื่นชมในใจกับความสวยงามของบ้าน ข้างนอกว่าสวยแล้ว ข้างในยิ่งสวยเข้าไปอีก เธอชื่นชมความสวยงามของบ้านได้ไม่นาน ก็มีผู้หญิงมีอายุคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายเจ้าของบ้านด้วยรอยิ้ม
“มาถึงกันแล้วเหรออัรฮาม” คุณคนนั้นทักทายชายหนุ่มเสร็จ สายตาก็ปะทะเข้ากับหญิงสาวรูปร่างเล็ก ปิดหน้าปิดตา ทำให้เธอไม่สามารถที่จะมองเห็นหน้าตาหญิงสาวได้ “นี่คงจะเป็นหลานสะไภ้อาใช่มั๊ย” เธอพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มไปให้หญิงสาวที่หลบอยู่ข้างหลังชายหนุ่ม
“ใช่ครับคุณอา” ชายหนุ่มตอบคำถามผู้เป็นอาเสร็จ แล้วปรายสายตาหันไปมองหญิงสาวที่หลบอยู่ข้างกาย
“ยินดีต้อนรับเข้ามาสู่ครอบครัวเรานะหนู” พูดจบก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวทันทีด้วยความรวดเร็ว พร้อมกับเข้าไปโอบกอดหญิงสาวเข้ามาไว้ในอ้อมแขน ด้วยการจู่โจมที่รวดเร็วของคุณอาคนสวยถึงกับทำให้เธอตกใจ จนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนนิ่งๆให้คุณอาคนนั้นกอด เมื่อกอดจนพอใจแล้ว ก็เอ่ยพูดกับหญิงสาว “ไหนขออาดูใกล้ๆหน่อยสิ จะสวยสมคำร่ำลือจริงๆหรือเปล่า อ้อ.......ลืมแนะนำ อาเป็นน้องสาวของพ่อพี่เขา” พูดพร้อมกับดึงผ้าปิดหน้าของหญิงสาวออก แต่ยังไม่ทันที่จะได้เห็นหน้าแบบเต็มๆ ก็มีเสียงเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน หญิงสาวจึงรีบปิดหน้าปิดตาให้เรียบร้อย
“คุณแม่นะคุณแม่ ไม่รอกันเลยผมก็อยากเจอเมียไอ้อันฮามเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มผู้มาใหม่เอ่ยตัดพ้อมารดาอย่างไม่จริงจังนัก ที่รีบมาโดยไม่รอตน อัรฮามถึงกับไม่พอใจชายหนุ่มขึ้นมาดื้อๆขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ แล้วเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวพร้อมกับโอบเอวเธอเอาไว้หลวมๆ
“ไง มาทำไม” ชายหนุ่มเอ่ยถามแขกอย่างไม่พอใจ
“ก็บอกแล้วว่าจะมาดูหน้าน้องสะไภ้ นี่ไม่คิดจะแนะนำให้รู้จักกันหน่อยเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยกวนลูกพี่ลูกน้องผู้พี่ ที่ถึงแม้เราจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ถ้านับกันตามจริงแล้วเขาเกิดก่อนสามวัน ฉะนั้นแล้วถึงเขาจะเป็นลูกพี่เขาก็ไม่สน เพราะถือว่าเขาเกิดก่อน
“แกกลับไปเลยไป ฉันไม่ต้อนรับ” ชายหนุ่มเอ่ยไล่ลูกพี่ลูกน้องอย่างไม่ไยดี
“แม่ดูมันสิห่วงไม่เข้าเรื่อง ผมแค่อยากทำความรู้จักกับ...........น้องสะไภ้ก็แค่นั้น” ชายหนุ่มเว้นคำพูดนิดหน่อย พร้อมกับหันไปสังเกตุปฎิกริยาของลูกพี่ลูกน้อง ‘หึ ปากบอกไม่รัก ไม่สนใจเขา แต่ห่วงยิ่งกว่าหมาบ้าซะอีก’ เขาแค่แหย่นิดแหย่หน่อยก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยทีเดียว สังเกตได้จากมือที่กำพร้อมต่อยเขาเต็มที่
“พอ พอ พอ พอทั้งคู่เลย เจอกันเป็นต้องกัดกันตลอดเลยสินะ ฉันไม่เข้าใจพวกแกเลยจริงๆ” ผู้ใหญ่คนเดียวในวงรีบห้ามทับ ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ “เราขึ้นไปเก็บของข้างบนกันก่อนเถอะหนู อย่าไปสนใจพวกมันเลย” ด่าลูกชาบกับหลานชายเสร็จก็หันไปเอ่ยชวนหลานสะไภ้ขึ้นไปเก็บของให้เรียบร้อย พูดพลางยื่นมือทั้งสองข้างจะช่วยหญิงสาวยกกระเป๋าสัมภาระ
“ไม่เป็นไรค่ะ อัฟยกไหว ขอบคุณนะค่ะ” หลังจากที่เงียบฟังสองพี่น้องเถียงกันมานานก็หาเสียงตัวเองเจอ เมื่อคุณอาของสามีจะช่วยยกของให้
“งั้นก็ตามใจ ตามอามา” ผู้เป็นอาของสามีไม่เซ้าซี้ จึงผายมือพร้อมเดินนำหญิงสาวสู่ห้องพักชั้นบน แต่ก็ต้องเดินผ่านห้องรับแขก
โถ่งนี้มีหน้าต่างสูงอยู่รายรอบ กรุด้วยผ้าลูกไม้สีขาวซ้อนม่านกำมะหยี่สีฟ้ามองแล้วสบายตายาวจรดพื้น ออกแนวโมเดิร์นๆหน่อย ตั้งชุดด้วยโซฟาสีขาวทางซ้ายมือ บนพื้นปูด้วยพรมสีเบจสัมผัสนุ่มนวล
หญิงสาวเดินตามการก้าวของคุณอาสามีไปติดๆ ทั้งที่ยังไม่มีโอกาสชื่นชมความประณีตวิจิตรภายในที่มองปราดก็สัมผัสได้ถึงความไม่มีที่ติ ยังมีของตกแต่งจากรุ่นสู่รุ่นอีกมากมายที่ตั้งโชว์ในห้องโถ่ง ดูก็รู้แล้วว่าของเหล่านั้นมีราคามหาสาน แล้วเลี้ยวขึ้นบันไดเวียนซึ่งบิดตัวโค้งพาขึ้นสู่ชั้นบน
ชั้นสองของตัวอาคารมืดทึบจากการบดบังแสงสว่างของผ้าม่านสีฟ้าเหมือนชั้นล่าง เพียงแต่ชั้นบนไม่ได้เปิดผ้าม่านไว้ให้แสงสว่างลอดผ่านเข้ามาภายใน ชั้นนี้มีห้องย่อยๆเรียงกันอยู่หลายห้อง แบ่งตามฝั่งปีกขวามีห้องอยู่ห้าถึงหกห้อง ฝั่งปีกซ้ายมีอยู่สี่ห้อง ทุกห้องปิดประตูสนิทชวนขนลุก คุณอาสามีคงสังเกตเห็นได้ถึงความรู้สึกนี้ของผู้มาใหม่ จึงยิ้มเอ็นดู
“ฝั่งปีกซ้ายเป็นส่วนของห้องทำงานกับห้องสมุด อ้อ.....แล้วก็ห้องรับแขกด้วย เราแบ่งให้แขกพักฝั่งโซนนี้ ส่วนห้องนอนของสมาชิกในบ้านจะอยู่ฝั่งปีกขวา ตอนนี้ไม่มีคนใช้ก็เลยต้องปิดไว้ก่อน เลยทำให้บรรยากาศดูวังเวงชอบกล” พูดแนะนำหญิงสาวไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เมื่อนึกไปถึงเรื่องราวดีๆในอดีตที่ผ่านมา “แต่ก่อนอาก็อาศัยอยู่ที่นี้ เมื่ออาแต่งงานออกเรือนไป อาก็ย้ายไปอยู่บ้านสามีอีกเมืองหนึ่ง ไม่ไกลจากที่นี่หรอก” เธอได้แต่ฟังเงียบๆ พร้อมกับนึกชื่นชมครอบครัวของเขาในใจ
“อ่ะนี้.......ถึงห้องพักหนูแล้ว” พูดพร้อมกับเปิดประตู เบื้องหลังประตูคือห้องนอนสีขาวสะอาดตา คุณอาสามีเดินเข้าไปรูดม่านสีเขียวอ่อนแสนหวานเปิดรับแสงสว่างให้เข้ามา ตรงกลางห้องชิดผนังด้านขวามีเตียงขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าปูสีเขียวอ่อนแสนหวานเข้าชุดกับผ้าม่านตั้งอยู่ บนโต๊ะหัวเตียงประดับด้วยโคมไฟสีเขียวลวดลายดอกไม้น่ารัก เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นไม้ที่ได้รับการเลือกสรรอย่างลงตัวในโทนสีขาว ตรงทางเดินมีพรมผืนนุ่มหนาสีเขียวอ่อนแสนหวาน
ไม่เพียงแต่ความงดงามของห้องนอนเท่านั้นที่ทำให้อัฟชีณต้องตะลึง หากทัศนียภาพกว้างไกลของชนบททั้งภูเขาและทุ่งหญ้าก็ทำให้หญิงสาวอดใจแทบไม่ไหว อยากชะโงกหน้าออกไปยังระเบียงชื่นชมความงาม แต่ก็ต้องตั้งใจฟังคุณอาสามีเล่ารายละเอียดต่างๆที่จำเป็นภายในบ้านให้ฟัง แนะนำแม้แต่การใช้ห้องน้ำ การเปิดปิดไฟ และการควบคุมอุณหภูมิเครื่องทำความร้อน เมื่อแนะนำอะไรเสร็จเรียบร้อย ก็ปล่อยให้หญิงสาวได้มีเวลาพักผ่อน พร้อมกับเอ่ยลา
“นี่ก็ได้เวลาอาต้องกลับแล้ว มีอะไรปรึกษาอาได้ทุกเรื่องนะลูก ไว้วันหลังอาจะมาหาใหม่”
“ขอบคุณมากนะค่ะ” เมื่อหญิงกลางคนออกไปแล้ว อัฟชีณนั่งลงบนเตียงหนานุ่ม มองไปรอบตัว เธอจินตนาการตัวเองนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟานวมตรงกลางห้อง มองทิวทัศน์สบายตาตรงระเบียงห้อง หญิงสาวอมยิ้มตลกตัวเอง เมื่อระลึกได้ว่าเธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อพักผ่อนเล่นๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็เดินไปเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้ให้เรียบร้อย พร้อมกับสัมภาระอื่นๆที่เอามาด้วยเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย ระหว่างที่เธอกำลังจัดของอยู่นั้น ชายหนุ่มผู้เป็นสามีทางนิตินัยเปิดประตูเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มองการกระทำของหญิงสาวอย่างเพลินๆ ด้วยไม่คิดว่าจะมีคนอื่นอยู่ในห้องนี้ด้วย ทำให้หญิงสาวไม่ทันระวังชนเข้ากับหน้าอกชายหนุ่มอย่างแรง ดีที่มีมือเขาเข้ามาโอบเอวไว้ ไม่งั้นเธอคงล้มหน้าฟาดพื้นไปแล้วแน่ๆ
“โอ๊ยยยย” เธอร้องด้วยความเจ็บ แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของเขาที่เป่ารดหน้าผากเธอถึงจะมีผ้าปิดหน้ากั้นไว้ก็เถอะ หน้าชายหนุ่มลอยอยู่ตรงหน้าอยู่ตรงหน้าเธอแค่ไม่กี่เซนเท่านั้น
“คะ คุณเข้ามาได้ยังไง” เมื่อตั้งสติได้ เธอถามด้วยความตกใจ หญิงสาวพยายามผลักชายหนุ่มออก แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อยิ่งผลักเขาก็ยิ่งรัดเข้าหาตัวเองแน่น “นี่คุณปล่อยฉันน่ะ”
“ซุ่มซ่าม” ชายหนุ่มว่า แล้วก้มลงไปจูบหน้าผากหญิงสาว สบตาเธอแวบหนึ่งแล้วปล่อย จากนั้นก็พาตัวเองไปทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่ม
“เธอชอบห้องนี้มั๊ย” เอ่ยถามหญิงสาว พร้อมกับจ้องเธอไม่วางตา ถึงกับทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก
“เอ่อ......ค่ะ” ตอบเสร็จก็หลบหน้าชายหนุ่ม
“ก็ดี” หลังจากนั้นทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร แล้วชายหนุ่มก็เดินเข้าไปหาหญิงสาวช้าๆ “แล้วนี้จะเปิดหน้าให้ฉันดูได้หรือยัง” หญิงสาวสะดุ้งกับน้ำเสียงกระด้างของเขา เร็วเท่าความคิด ชายหนุ่มหมายจะดึงผ้าปิดหน้าของหญิงสาวออก แต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาซะก่อน ทำให้มือชายหนุ่มหยุดชะงักแล้วล้วงมือรับโทรศัพท์อย่างหัวเสีย
“มีอะไร” เมื่อดูเบอร์คนที่โทรเข้ามา ยิ่งทำให้หงุดหงิด หันไปมองหญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วก็เดินออกไปคุยโทรศัพย์ด้านนอก
อัฟชีณระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเขาเดินออกไปแล้ว ก็รีบวิ่งไปล๊อกประตูห้องนอนไว้ทันทีด้วยความรวดเร็ว สักพักเสียงมาเคาะประตูดังขึ้น แต่เธอไม่ได้เปิด
“ใครค่ะ” ถามทั้งที่มั่นใจว่าคนที่มาเคาะต้องเป็นเขาแน่ๆ แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เธอต้องระวังตัวไว้ก่อน
“แล้วเธออยู่กับใครล่ะในบ้านนี้” ชายหนุ่มตอบไปอย่างหงุดหงิด เมื่อเปิดประตูห้องหญิงสาวไม่ได้ ‘นี้กล้าขนาดล๊อกประตูใส่ฉันเหรอ หึ ฝากไว้ก่อนเหอะ’
“เอ่อ คุณมีอะไรหรือเปล่าค่ะ” เธอลองเสี่ยงตอบเขาไป
“เปิดประตู” เสียงเขาเริ่มแข็งขึ้นมา แต่เธอก็ยังเงียบ ทำให้อัรฮามยอมถอย
“ฉันจะออกไปข้างนอก ดึกๆคงกลับ” เมื่อไม่มีเสียงตอบรับ ชายหนุ่มจึงเอ่ยพูดต่อ
“ถ้ามีใครมาหา ไม่ต้องเปิดประตู หรือตอบรับ ยกเว้นฉันคนเดียว เข้าใจมั๊ย” เมื่อเธอยังคงเงียบ ชายหนุ่มก็ตะคอกออกไปอีกที
“เธอเป็นใบ้หรือไง ฉันถามว่าเข้าใจมั๊ย”
“ขะ เข้าใจค่ะ” เมื่อได้ยินเธอตอบ ชายหนุ่มก็รีบออกไปจากบ้านทันทีด้วยความรวดเร็ว
หญิงสาวจัดการกับตัวเองเรียบร้อย เดินลงไปสำรวจความเรียบร้อยของบ้าน แล้วจึงเดินเลยเข้าห้องครัวเพื่อทำอะไรทานง่ายๆสำหรับตัวเอง ‘แล้วนี่ต้องทำให้เผื่อเขาด้วยมั๊ย’ เธอคิดอย่างหว้าวุ่นใจ ‘ถ้าทำเผื่อแล้วถ้าเขากินจากข้างนอกมาแล้วล่ะ’ สุดท้ายเธอก็ทำเผื่อให้เขาด้วย เผื่อกลับมาดึกๆแล้วเขาหิวขึ้นมา
หลังจากทานอาหาร ทำความสะอาดห้องครัวเรียบร้อยแล้วเธอก็เดินกลับขึ้นห้อง ไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไปด้วยความเพลียจากการเดินทาง
ล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ ชายหนุ่มไขกุญแจสำรองย่องเข้ามาในห้องนอนของหญิงสาวอย่างเงียบเชียบ แล้วเดินไปนั่งบนเตียงนอน หวังเพื่อจะมองหน้าหญิงสาว แต่มองยังไงก็มองไม่เห็นด้วยความมืด มีเพียงแค่แสงสว่างจากดวงจันทร์เท่านั้นที่ส่องแสงลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา ด้วยความที่เธอนอนตะแคงข้างยิ่งทำให้ลำบากในการมองเห็น ชายหนุ่มลูบผมยาวสลวยนุ่มมือของหญิงสาวเงียบๆในความมืด แล้วก้มลงจูบหน้าผากเนิ่นนาน ต่อด้วยแก้มหอมของหญิงสาว เรื่อยมาจนถึงเสี้ยวหนึ่งของริมฝีปากบางเรียวได้รูปเนิ่นนาน จึงผละออกมาด้วยความเสียดาย “นอนขี้เซาขนาดนี้เลยเหรอเนี๊ยะ นี่ถ้าโจรบุกขึ้นมาจะว่ายังไง” ชายหนุ่มบ่นพึมพำภรรยาด้วยความหมั่นเขี้ยวกับความขี้เซาของเจ้าหล่อนนัก ไม่นานชายหนุ่มลุกขึ้นกลับห้องตัวเองพร้อมกับล็อกประตูห้องให้หญิงสาว ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
Fidavs
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ส.ค. 2558, 16:05:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ส.ค. 2558, 16:05:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 1200
<< แผนการลับฉบับแม่ๆ | ความกลัว >> |