อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด

ตอน: บทที่ 12 : เลิกซื่อ

บทที่ 12

ดื้อ!

ดรัลไม่คิดว่าตัวเองจะหัวเสียขนาดหนักเมื่อรับรู้ว่าสัมปันนีหายออกมาจากงานกล้วยไม้ เขาพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายจะไปไหน จึงอดใจรออยู่ที่ออฟฟิศ กระทั่งเห็นว่าสัมปันนีไม่ได้ขึ้นมา และมีเพียงนวีนที่กลับมาทำงาน...ด้วยใบหน้าของคนคิดไม่ตก เขาก็ยังปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีเรื่องร้ายแรงใดๆ ถ้าถึงขั้นคอขาดบาดตาย ไม่อย่างนั้นนวีนคงไม่เดินกลับเข้ามาอย่างนี้

ผู้หญิงแกร่ง และบอกเขาว่าไม่ร้องไห้แล้วนั้น ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ดรัลถึงกับตกใจกับความรู้สึกของตัวเองว่าเหตุใดจึงได้ให้ความสนใจลูกน้องแสนธรรมดาคนหนึ่งมากขนาดนี้

รอจนหมดเวลางาน และจงใจทำงานล่วงเวลาของวันพรุ่งนี้ให้เสร็จด้วยเขาจึงออกจากบริษัท พยายามคิดในแง่ดี และทำให้ตัวเองใจร่มที่สุดว่าจะไม่โกรธทันทีที่เจออีกฝ่ายหนีออกมาจากงานที่เขาให้ทำ เขาอุตส่าห์หางานยุ่งๆ มาให้ทำเพื่อจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน ความรู้สึกในใจของสัมปันนีหนักหนายิ่งกว่าหิน ให้เวลาไปแค่ไหนก็ลบเลือนความรักยิ่งใหญ่นั้นไปจากใจอีกฝ่ายไม่ได้

...แล้วเธอไปอยู่ที่ไหน

ดรัลเหลือบมองลานจอดรถที่ค่อนข้างเงียบเชียบอย่างพิศวง ตอนนี้บนลานแทบไม่เหลือรถสักคัน แต่บรรยากาศที่เป็นอยู่ตอนนี้บอกว่ามีใครบางคนอยู่ร่วมหายใจกับเขาที่นี่

เขาพยายามกวาดตามองหา เหลียวซ้ายแลขวา นอกจากความเงียบ วังเวง และแสงไฟที่ส่องลงมาให้พบแต่ความว่างเปล่า เขาก็ยังไม่พบสิ่งใด

หรือเขาจะคิดมากไปเอง ดรัลส่ายหน้า ก่อนจะจมอยู่กับความคิดว่าสัมปันนีหายไปไหนต่อ

“พี่เอื้อง” น้ำเสียงเบาหวิว และคุ้นเคยฉุดรั้งร่างของเขาที่กำลังก้าวขึ้นรถไว้ได้ทันที เขาค่อยๆ หันช้าๆ ไปมองท้ายรถที่เกือบชิดขอบกำแพง ตรงนั้นมีร่างสูงนั่งคุดคู้อยู่ หน้าตาเหม่อลอย ปราศจากน้ำตา

“อาลัว” เขาเรียกอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ...เหมือนว่าคนตรงหน้าเขาในตอนนี้กำลังช็อกกับเรื่องบางอย่างมา “เป็นอะไรมากไหม” เขาเดินเข้าไปใกล้มากขึ้น และถามอย่างระวัง แววตาของสัมปันนีแห้งผาก และคล้ายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ทุกเมื่อ

“นวีนรู้ความรู้สึกของฉันหมดแล้วค่ะ” ดวงตาเริ่มมีน้ำเอ่อรื้นอย่างเจ็บปวด ก่อนจะบอกกล่าวถึงความจริงอันน่าเจ็บปวดหัวใจ “และเขารับไม่ได้”

เสียงเบาอ่อนแรงของสัมปันนีคล้ายมือที่มองไม่เห็นกำหัวใจดรัลไว้ได้ชะงักงัน ชายหนุ่มค่อยๆ เดินหน้าไปทีละก้าวอย่างเชื่องช้า เสียงระเบิดในหัวดังลูกแล้วลูกเล่าไปมา ตอนที่เขาพยุงกายอีกฝ่ายที่สั่นเทาขึ้นยืน และดึงมากอดปลอบ สัมปันนีรีบกอดเขาแน่นอย่างหาที่พึ่ง และขอโทษซ้ำไปมาที่หนีออกมาช่วยทำให้เขา...รู้ตัวว่าเขาอยากปกป้องคนๆ นี้มากมายแค่ไหน ต่อให้เธอโง่เง่า ไม่ฉลาด ไม่เฉลียวเลยสักนิด เขาก็อยากจะถนอมทุกสิ่งที่สัมปันนีเป็น สัมปันนียังบริสุทธิ์ ความรู้สึกทุกอย่างของเธอจึงเป็นของจริง และเขาไม่อยากให้เธอสูญเสียมันไปเพราะคนๆ เดียว

“เจ็บมาพอหรือยัง” ฝ่ามือของดรัลลูบปลอบหลังที่เริ่มสะอื้นหนัก และเงียบไปในที่สุดอย่างใจเย็น จนกระทั่งเธอดึงร่างกลับมายืนตรง จมูกแดงก่ำ ปากแดงจัดจากการกัดไว้แน่น ดรัลลูบริมฝีปากที่มีเลือดซิบ ไม่ปิดบังแววตาว่าเจ็บปวดแทนแค่ไหน

คนถูกลูบริมฝีปากกะพริบตาอย่างงงงัน แต่ก็ยังพยักหน้ารับ เธอนั่งช็อกอยู่ตรงนี้มาหลายชั่วโมงติดกัน จมอยู่กับความเจ็บปวดจนไม่อยากเฉียดกรายอยู่กับมันอีก ไม่รู้ทำไมเธอจึงคิดถึงเขาแทนที่จะเป็นบ้าน เพราะรู้ว่าเขาเป็นหมอรักษาหัวใจที่ดีที่สุดของเธอกระมัง ซึ่งพอเขามา ความรู้สึกประเดประดังทั้งหลายที่เธอเผชิญโหมเป็นพายุอยู่ในหัวจึงค่อยๆ สงบลง และเธอได้หลับตาพักลงในอ้อมกอดของคนที่เข้าใจที่สุด

ฝ่ามือของเขาที่กำลังลูบริมฝีปากเธอก็นุ่มนวลจนเธอไม่รู้สึกเจ็บ ไม่ทันสังเกตระยะห่างของใบหน้าของเขาที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามาทีละนิด ดรัลถอดแว่นไปให้อย่างใจดีเพราะเขาอาจเห็นว่าเธอร้องไห้จนเลนส์แว่นฉ่ำน้ำ หญิงสาวกำลังคิดเอ่ยขอบคุณในความใจดีของเขา สัมผัสอุ่นและนุ่มของอวัยวะเดียวกันก็สัมผัสริมฝีปากของเธอทันที

ราวกับถูกฟ้าผ่าเป็นรอบที่สองของวัน เธอได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ริมฝีปากของเขาครอบครองอย่างทำอะไรไม่ถูก รู้แค่ว่าความนุ่มนวลในปากกำลังรัดรึงหัวใจของเธอให้เจ็บปวดมากขึ้น คำถามระเบิดซ่านในหัวมากมายไม่รู้จบ กระทั่งเขาถอนริมฝีปากออกไป ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาบนหน้าให้ เธอก็ยังยืนนิ่งคล้ายไม่ได้สติ

“อาลัว” ดรัลไม่นึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองสักนิด

“ฉันเพิ่งถูกนวีนตราหน้าว่าคิดไม่ซื่อกับเขา และบอกว่าไม่รู้จะเป็นเพื่อนฉันได้อีกไหม”

ริมฝีปากของเขาโฉบลงมาตำแหน่งเดิม ราวกับแสลงหูกับการได้ยินเรื่องราวของนวีนเต็มแก่ ดวงตาหรี่ลงอย่างไม่พอใจ พอเขาถอนใบหน้าขึ้นมา ใบหน้าของสัมปันนีเริ่มมีร่องรอยเจ็บปวดระบายอยู่บนหน้าแทน

“ฉันเพิ่งถูกเหยียบย่ำความรัก...แต่คุณกลับฉวยโอกาสกับฉัน”

สัมปันนีถูกปิดปากด้วยวิธีการเดิม แต่คราวนี้เธอรวบรวมแรงจนผลักอกเขาให้ถอยออกไปได้สำเร็จ พ่นสิ่งที่เธอเก็บกักไว้ออกมาอย่างหมดเปลือก

“คุณควรสำเหนียกตัวเองว่าคุณเพศไหน...เผื่อคุณจะลืม”

“ว่าไงนะ!” ดรัลคิดว่าตัวเองหูฝาด

คนถูกจูบถึงสามครั้งติดใช้หลังมือถูอย่างรับไม่ได้ หน้าตาจวนจะร้องไห้ สาธยายถึงความตกอับสุดขีดของชีวิต

“ฉันเพิ่งโดนคนที่ตัวเองหลงรักปฏิเสธ ยังมาถูกเกย์จูบเพราะอารมณ์ปลอบขวัญพิสดารอีกอย่างนั้นเหรอ จะตอกย้ำความอับเฉาในชีวิตรักฉันถึงไหน”

“อาลัว!”

คนถูกเรียกด้วยเสียงตะคอกดังสะดุ้งโหยง สีหน้าเกรี้ยวกราด กอปรแววตาหรี่ต่ำน่ากลัวทำให้สัมปันนีสยดสยองในใจ กว่าจะก้าวเท้าหันหลังหนีได้ทัน ข้อมือของเธอก็ถูกดึง กระตุกทีเดียวก็จมหายไปในอ้อมกอดของเขา รู้ตัวอีกทีก็ถูกริมฝีปากเดิมโฉบลงมาปิดปากของเธอเป็นครั้งที่สี่ ครั้งนี้ความร้อนแรงโมโหของเขาได้กดลงตอกย้ำ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนอย่างเชื่องช้าเมื่อรับรู้ได้ถึงท่าทีต่อต้านในตอนแรก คนที่คิดจะขัดขืนเผลอตอบสนองไปอย่างไม่ประสา กระทั่งเข่าของเธออ่อนยวบลง ยังดีที่มีอ้อมแขนแข็งแรงโอบร่างของเธอไว้อย่างแน่นหนา และพยุงไว้ให้ยามที่เขาค่อยๆ ถอนริมฝีปากออกไป ปล่อยให้เธอได้หายใจหายคอ ทั้งที่หัวใจโหมแรงแทบล้นออกมานอกอก ดวงตาร้อนผ่าวของเขากำลังประกาศชัยเหนือเธอ

“ให้พิสูจน์อีกไหมว่าเป็นเกย์หรือไม่เป็นเกย์” เขาไม่รู้ว่าสัมปันนีไปเอาความคิดนี้มาจากไหน

สัมปันนีก้มหน้างุดปฏิเสธ เกลียดตัวเองที่วันนี้เพิ่งร้องห่มร้องไห้เพราะชายคนหนึ่ง แต่กลับมาอ่อนระทวยกับจูบของอีกคน เธอมันนางกากีสองใจ! ถึงจะยังค้างคาใจกับภาพที่เคยเห็นเขากับผู้ชายอีกคนตั้งแต่วันนั้นที่แอบมองเขาในห้อง แต่รอยจูบของเขาไม่มีไตร่ตรองมาก่อนทำให้เธอเชื่อว่าเขาไม่รังเกียจผู้หญิง ก่อนจะสรุปในใจเงียบๆ...หรือเขาจะเป็นเสือไบ

“อย่าซื่อให้มันมากนักเลยอาลัว” ดรัลกระซิบแผ่วชิดริมฝีปากที่ช้ำแดงขึ้นเพราะเขา

“ใครเขาซื่อกัน” คนถูกว่าบ่นอุบ สายตาร้อนแรงแทบเผาเธอทั้งเป็นในตอนนี้บอกชัดยิ่งกว่าอะไร เธอได้แต่หดคอ เม้มปาก ป้องกันตัวเองให้มากที่สุดภายในอ้อมกอดรัดแน่นของเขา

“ผมให้เวลาคุณถอนหัวใจตัวเองจากนวีน แต่ไม่ให้คุณกลับไปรักเขาอีก...ไม่อย่างนั้นผมจะลงโทษลูกน้องดื้อๆ อย่างคุณ”

“แต่...” คนอกหักไม่ทันเถียงได้เต็มคำ ก็ต้องปิดปากเมื่อเขาตั้งใจโฉบริมฝีปากลงมาข่มขู่

“จากนี้เป็นเวลาของผม ตั้งตัวรับให้ดีแล้วกัน เพราะวันดีคืนดี คุณอาจจะคิดถึงผมทุกเวลาค่ำเช้าไปโดยไม่รู้ตัว”

ไม่มีทาง! คนเถียงทางปากไม่ได้เถียงสู้ในใจอย่างหัวชนฝา แต่ไม่กล้าสบตา

ดรัลปล่อยร่างที่เขาเริ่มรู้สึกห่วงและหวงออกเพื่อให้เธอได้หายใจหายคอสะดวกขึ้น เขารู้ว่าเขามันเห็นแก่ตัวมาฉกฉวยช่วงเวลาที่อีกฝ่ายกำลังอ่อนแอ แต่เขาทนเห็นน้ำตาหรือความอ่อนแอของสัมปันนีที่มีให้กับนวีนอีกต่อไปไม่ไหว มันมากมายจนเกินไป จนเขากลัวว่าสองตาของสัมปันนีมันจะสะอาดเกลี้ยงเกลาขนาดมองไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หัวใจของเขายอมศิโรราบให้ผู้หญิงที่เอาแต่พร่ำเพ้อถึงคนอื่น คนที่ไม่เคยร้องเรียกหาเขาอย่างผู้หญิงคนก่อน คนที่เอาแต่พูดถึงความรักในอุดมคติที่ไม่เคยสมหวังในชีวิตจริง และคนที่เผยแต่ด้านอ่อนแอออกมาทุกครั้งที่เขาเผลอร่วมรับรู้ เขารู้แค่ว่าไหล่ของเขามีไว้เพื่อคนๆ นี้ นาทีที่เห็นเธอนั่งรออยู่ข้างรถเขา ม่านหมอกในใจที่บดบังความรู้สึก ความไม่แน่ใจทั้งหลายก็เลือนหายไปหมด เขาอยากโอบกอดปกป้องหัวใจเธอไว้

ถึงความรู้สึกของสัมปันนีจะดูอ่อนแอ เปราะบาง แต่เขารู้ว่าเธอแกร่ง และไม่ได้โง่เกินไป เขาหวังว่าเธอจะไม่ทำให้เขาเชื่อความแข็งแกร่งของเธอผิด...

“อยากไปไหนไหม”

สัมปันนีมองค้อนคนถามให้ทีหนึ่ง แต่ก็ยอมตอบออกไปตามจริง ที่อีกที่ที่เธอคิดถึงยามเหนื่อยล้าก็คือ...

“บ้านค่ะ”

ดรัลพยักหน้าเห็นพ้องอย่างพอใจ อดไม่ได้ที่จะชื่นชมการกระทำหนึ่งของสัมปันนีในวันนี้ “ขอบคุณที่คิดถึงผม และนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน”

“ฉันต้องใช้แฟนระยะสั้นของฉันให้คุ้มสิคะ”

‘แฟนระยะสั้น’ หุบยิ้ม หน้าบึ้งตึงตลอดการขับรถ



มีคนรอการมาของสัมปันนีกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาภายในบ้าน โชคยังดีที่ทุกคนต่างพร้อมใจกันไม่พูดถึงเหตุการณ์อันน่ากระอักกระอ่วนที่ต่างรู้กันเพราะนวีนระเบิดลงกลางบ้านไปเมื่อเช้ามืด และหุนหันออกไปอย่างเร็ว

อาหารโปรดฝีมือแม่หลายเมนูตั้งเรียงรายเต็มโต๊ะ ทั้งกุ้งชุบแป้งทอด พริกแกงไก่ ไข่ตุ๋นหมูสับ และแกงเผ็ดกระท้อน สัมปันนีทำจมูกฟุดฟิดด้วยใบหน้ายิ้มแก้มแทบแตก การได้มองเห็นทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ล้อมโต๊ะอาหารเฉกเช่นทุกวัน บรรยากาศทึมเทาในใจของเธอก็คล้ายจะทุเลาลง ทุกคนเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน ดวงตาของพวกเขาก็แสดงออกมามากมายเท่านั้นจนเธอตื้นตัน ขนาดบุหลันที่ไม่ใคร่จะแสดงอาการห่วงใยใครได้บ่อยยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมาเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง มัศกอดตักข้าว เสิร์ฟน้ำเอาใจเธอเต็มที่ และพ่อกับแม่ที่ขับสู้กับแขกของเธออย่างยินดี พร้อมเรื่องตลกขบขันของเธอสมัยเด็ก

ทุกคนทำเหมือนในชีวิตไม่มี...นวีน แต่มันจะดูจงใจเกินไปหรือเปล่า

“ไม่ต้องทำเหมือนว่าหนูทนฟังชื่อของนวีนไม่ได้หรอกค่ะ หนูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”

เกิดหลุมอากาศกลางโต๊ะอาหาร ทุกคนต่างส่งสายตาให้กันไปมา เกี่ยงกันว่าใครจะเริ่มบทสนทนาที่ขาดหายไปนี้ดี

“เจ็บมากไหมอาลัว” เรไรเป็นคนทำลายความเงียบนี้

อาการเจ็บที่มารดาพูดถึงไม่ได้หมายถึงทางกาย แต่สัมปันนีกลับตีขลุม และยกมือแตะศีรษะที่มีผ้าปิดแผลหัวแตกไว้ทำหน้าเหยเกนิดๆ “เจ็บสิคะ หัวแตกเย็บตั้งสี่เข็ม แต่แปบเดียวเดี๋ยวแผลก็หาย หนูไม่เคยล้มหมอนนอนเสื่อนาน ตากฝนทั้งวันยังไม่มีไข้” ร่างกายเธออึด และแข็งแรงอย่างนั้นจริงๆ

เรไรมองค้อน “เจ็บกายแม่ไม่ห่วง แต่คนเพิ่งอกหักครั้งแรกเนี่ย...แม่ห่วง”

สัมปันนียิ้มละมุน ความรัก ความห่วงใยของทุกคนไม่ต่างจากยาดีที่เธอไม่ต้องไปมองหาไกลให้เหนื่อย เธอโชคดีกว่านวีนตรงที่เธอยังมีบ้านให้กลับ มีหลายมือที่พร้อมดึงเธอออกมาจากความเศร้า ถึงตรงนี้จากความเสียใจของเธอจึงค่อยๆ แปรเป็นความสงสาร เธอคิดว่าเธอเริ่มเข้าใจนวีนทีละนิด ผู้ชายที่ไม่เคยมีครอบครัวสมบูรณ์ ไม่เคยได้รับความรักจริงๆ จากใคร จะเอาความเชื่อ หรือยกความรักให้ใครได้ง่ายๆ อีก

“อย่าโกรธนวีนเลยนะคะ หนูคงไม่โง่รักเขาเหมือนผู้หญิงโลกสวยแอบรักเพื่อนอีก แต่หนูไม่อยากจะเสียเพื่อนดีๆ อย่างนวีนไป...ถึงบางอย่างจะไม่เหมือนเดิม แต่หนูอยากให้ทุกคนมองเขาแบบเดิม ตอนนี้นวีนเขาไม่มีใคร เขามีแค่ตัวเขาเอง” ความเป็นคนจิตใจดี และแววตาที่ยังเหลือเยื่อใยของมิตรภาพทำให้ดรัลไม่ค่อยเห็นด้วย

“ลูกยังแยกแยะได้ แล้วดูนวีนสิ เขาแยกแยะอะไรไม่ออกเลย ความรักดีๆ ก็มองเป็นเห็บปลิงน่ากลัวไปได้” ธวัลย์โกรธแทนลูกสาว กี่ครั้งกันแล้วที่สัมปันนีต้องเสียใจเพราะเพื่อน “พ่อว่าไปรักคนอื่น คนที่เขาเห็นค่าความรักของลูกมันจะง่ายกว่า...จริงไหมคุณ” เบนสายตา ส่งคำถามให้กับดรัลที่ยิ้มรับ แต่ไม่รับคำใดๆ

“หนูขี้เกียจคิดค่ะ เป็นโสดน่าจะสบายใจกว่า”

“อย่าเลย” ดรัลบอกมานิ่งๆ แววตาไม่แสดงความรู้สึก แต่ทำให้สัมปันนีต้องหลบตาและก้มหน้าทานข้าวไปเงียบๆ เธอเผลอนึกถึงบทยืนยันความแมนของเขาเมื่อหัวค่ำแล้วใจยังหวิวๆ หน้าอุ่นวาบพิกล พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเหนือโต๊ะอาหารแห่งนี้

มัศกอดเขยิบตัวมาอยู่ข้างน้องสาว เอียงหน้าชิดริมหูกระซิบกระซาบ “ถ้าเธอไม่คว้าคนนี้” พยักหน้าไปทางผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามน้องสาว หน้าตายิ้มแย้มใส่ซื่อไปให้ “ฉันจะสอยเขามาเองนะ”

“เชิญ!”

เพียะ มือที่วางอยู่บนโต๊ะถูกมือเล็กกว่าซัดเพียะจนขึ้นรอยแดง มัศกอดถลึงตาดุปรามสิ่งที่น้องสาวคิดประเคนให้ พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างหมั่นไส้พอได้ยินกันสองคน “สวยเลือกได้จริงแม่คุณ มีคนไม่เลือกเราไปแล้วหนึ่ง ยังมายักท่า” พอเห็นน้องสาวหน้าเสียไปมัศกอดจึงเพิ่งรู้ตัวว่าพลาดไป

“กินเสร็จ ขึ้นไปคุยกันหน่อยสิ...พี่” เสียงน้องเล็กช่วยห้ามทัพสงครามเย็นชั่วคราวได้สำเร็จ พี่คนโตกับพี่คนรองมองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปมองหน้าบุหลันอีกครั้งราวกับไม่แน่ใจ ร้อยวันพันปีคนที่พอโตรู้ความก็ไม่เคยเรียกพวกเธอสองคนว่าพี่...อยู่ดีๆ จะมาผีเข้าเรียกเสียอย่างนั้น

“อย่าลืมเอาผีออกด้วยนะ” มัศกอดแหย่หน้ายิ้ม แต่พอเจอหน้าตาฉาบน้ำแข็งไม่เล่นด้วยเข้าไปก็ได้แต่ขมุบขมิบปากบ่นกับตัวเอง “ผีออกเร็วชะมัด”



สี่สาวเฮโลกันขึ้นไปประชุมหมู่กันบนห้องด้านบนหลังจากจัดการห้องครัวเสียจนสะอาดเอี่ยม ดรัลเป็นแขกที่แย่งหยิบจับอะไรคนบ้านนี้ไม่ได้สักอย่างจึงได้แต่อัปเปหิตัวเองมานั่งดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนของธวัลย์ด้วยอาการเกร็ง นับตั้งแต่รู้ใจตัวเองว่าเขากำลังเกินเลยกับลูกน้องเข้าทำนองสมภารเตรียมเขมือบไก่วัดอยู่รอมร่อแล้ว ความเกรงใจต่อคนบ้านนี้ก็เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเท่าตัว

“นั่งตามสบายเถอะคุณ เดี๋ยวเมื่อยแย่” ธวัลย์ตบไหล่ข้างหนึ่งของดรัลไปป้าบ

คนถูกตบคลายอาการเกร็ง เอนหลังพิงกับโซฟาอย่างสบายตัวขึ้น “บ้านนี้อบอุ่นดีนะครับ”

“ก็อย่างที่เห็น เรามีกฎว่าถ้าไม่มีงานสำคัญอะไร ทุกคนต้องนอนที่บ้าน กินมื้อเช้ามื้อเย็นด้วยกันอย่างน้อยก็อาทิตย์ละสามวันขึ้นไป” ขนาดตนที่เป็นข้าราชการในกระทรวงใหญ่ยังรักษากฎสำคัญนี้ไว้ สำคัญกว่าคือเขาไม่ใช่พวกชอบเข้าสังคม หรือเล่นพรรคเล่นพวก เขาเป็นคนทำงานสะอาดไม่มีนอกใน เป็นมนุษย์ตงฉิน แบบที่เขาได้ถ่ายทอดลงไปในตัวลูกๆ ทุกคน “เกือบสามปีมานี้ นวีนเองก็ใช้กฎนี้ร่วมกัน มีพักหลังที่เขาไปมีแฟนถึงมาที่นี่น้อยลง”

ธวัลย์รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปมันยิ่งตอกย้ำให้ดรัลรู้สึกว่าตัวเองมาช้าเกินไปหรือเปล่า “ที่ผมพูดเพราะอยากให้คุณเข้าใจอาลัวมากๆ ก่อน นวีนมาอยู่ในชีวิตของอาลัวนานแล้ว และเป็นผู้ชายคนแรกที่อาลัวสนิทมากขนาดนี้”

“ผมเข้าใจครับ”

“อาลัวเขาเรียนโรงเรียนหญิงล้วนมาตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยม ไม่เคยมีแฟน พอเข้ามหาวิทยาลัย นิสัยที่โดนวานง่ายๆ ก็ทำให้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างจากเบ๊ จากตัวตลก ทุกคนที่เข้าหาอาลัวส่วนใหญ่ก็หวังผลจากอาลัวทั้งนั้น มีแค่นวีนที่อาลัวเคยบอกฉันไว้ว่าเขาเป็นเพื่อนที่คบกันอย่างบริสุทธิ์ใจ”

แววตาคนฟังไม่ได้อ่อนแสง หรือหรี่ต่ำ ดรัลเพียงแค่รับฟัง โดยรักษาสีหน้าสงบราบเรียบ ไม่เปิดเผยความรู้สึกออกมา

ธวัลย์เริ่มเล่าต่อ “แต่สิ่งหนึ่งที่ลูกฉันเป็นมานานยิ่งกว่าตอนเจอนวีนก็คือ...” เขาหยุดเล่าทำเสียงกวน “นายรู้ไหม”

“อาลัวเคยเล่าให้ผมฟังถึงชีวิตที่ไม่เคยวางแผนถึงอนาคต มารู้ตัวอีกทีเธอจะยืนอยู่บนทางแยกที่รอให้เธอเลือก” ดรัลยิ้มให้กับคำพูดพวกนั้น “เธอบอกว่าบางทางที่ไม่ได้เลือก แต่กลับออกมาดีอย่างเหลือเชื่อ ในขณะที่ทางที่ตั้งใจเลือกกลับไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แต่เธอจะมีสติเพื่อรับผลลัพธ์ที่ตัวเองได้เลือกไป”

เขาสรุปทุกคำตอบนั้นอย่างมั่นใจ

คนโตกว่าชูนิ้วชี้อีกอย่าง พูดกำกวมเป็นความลับให้ดรัลอยากรู้ “มีอีกอย่างหนึ่งที่นายยังไม่รู้จักลูกสาวฉัน ถ้าอยากรู้ ก็ต้องเอาชนะใจลูกสาวฉันให้ได้ ว่าแต่นายจะกล้าทุ่มพอเพื่อลูกสาวฉันหรือเปล่า”

“ผมจะทำทุกอย่างให้เห็น”

คนเป็นพ่อกลับมาสนใจโทรทัศน์ตรงหน้าอีกครั้ง โล่งใจไปได้เปราะหนึ่ง “ถ้าในอนาคตอาลัวจะเสียใจเพราะนาย สัญญามาสิ ว่าหนึ่งจะไม่เกิดจากการนอกใจ และสองจะไม่เกิดเพราะนายไม่รักลูกสาวฉัน” อาการของสัมปันนีออกมาพักใหญ่ เริ่มตั้งแต่นวีนเริ่มมีแฟน แต่ทั้งที่ครั้งนี้ควรจะเจ็บหนักที่สุดหลังเพิ่งรู้ทุกสิ่งจากปากของนวีนว่า ‘ไม่’ แต่...สัมปันนีกลับมีอาการเป็นปกติที่สุด เมื่อเทียบกับอาการอื่นๆ ก่อนหน้า

“นายคงไม่โกรธที่บ้านนี้มีกฎมากมายไปหมด แต่ฉันเป็นห่วงลูก ไม่อยากเห็นลูกเสียใจอีก ถ้ายังสัญญาไม่ได้ นายยังมีเวลาที่จะเดินออกไปจากชีวิตอาลัว”

เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำสัญญาลมปาก แต่ในเมื่อยังมีคนชื่อ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดว่ายากเกินความสามารถ แน่นอนว่าหัวใจของเขาตอบแทนปากไปด้วยซ้ำ

“ครับ...ผมสัญญา”



ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นถูกเล่าออกมาจากปากของบุหลันอย่างสั้นกระชับ เข้าใจง่ายที่สุด ทุกคนต่างล้วนตกใจและไม่คาดคิดว่านวีนจะมีอาการรับไม่ได้อย่างรุนแรงขนาดนั้น ต่างจากสัมปันนีที่เอาแต่ยิ้มติดหน้า ดวงตาไร้ซึ่งแววขุ่นข้องใจ รอจนทุกคนแยกย้ายกลับห้องนอน สัมปันนีจึงไปรับเสื้อผ้าของนวีนที่มีอยู่ติดตู้ของบิดาออกมาชุดหนึ่ง บริเวณทางลงไปชั้นล่างเปิดไฟสีนวลพอให้มองเห็นทางไว้

เงาของร่างสูงที่ยืนตัวตรงอยู่ตรงบานหน้าต่างทำให้สัมปันนีหยุดมอง หัวใจแอบแปลบปลาบยามหวนนึกถึงคนที่เคยมานอนพักอยู่ที่นี่ราวกับเป็นบ้านของตัวเอง คงไม่มีภาพของนวีนในบ้านหลังนี้อีก...นวีนคงเกลียดเธอไปแล้ว

“คิดถึง ‘เขา’ อีกแล้วใช่ไหม”

สัมปันนีถอนหายใจแผ่วเบา พยักหน้ารับอย่างจำยอม และนั่นทำให้ดรัลรู้สึกเหนือความคาดหมายกับการสารภาพออกมาตามตรง

“ฉันจะดีขึ้นเองค่ะ” เสื้อผ้าในมือถูกส่งต่อให้ดรัล “ของนวีน คุณทนใส่ได้ไหม ตั้งห้าทุ่มแล้ว คุณตั้งใจจะนอนที่นี่จริงๆ ใช่ไหม”

มือของดรัลชะงักไปตอนยื่นออกมารับ แต่เกินจะกล่าวออกมา ถึงความรู้สึกของสัมปันนีจะดูนิ่ง และครองสติไว้ได้ แต่เขายังไม่กล้ากระทบนวีนรุนแรง ในใจของคนตรงหน้าเขาคงยังเจ็บอยู่ไม่น้อย

“ผมอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณ”

คนฟังยิ้ม รู้สึกถึงเสียงหัวใจที่มันเต้นแผ่วเบาตอบรับคำนั้น...ยังมีคนๆ หนึ่งอยากอยู่ข้างเธอ

ร่างสูงเขยิบไปใกล้ร่างที่สูงกว่า และกอดเอวเขา ศีรษะแนบไปบนอก ให้หูของเธอได้ยินเสียงมั่นคงของจังหวะหัวใจ ภาพต่างๆ ของเธอที่เอาแต่คิดถึงนวีนเรื่อยมาวนเวียนกลับมาเธอทำร้ายไม่มีที่สิ้นสุด เธอเหมือนคนบ้ารัก คนโง่งม คนงี่เง่า และคนขี้แย สติของเธอหายไปเพราะใช้อารมณ์เป็นใหญ่ จะมีใครคนหนึ่งคอยเตือนเธอ พยายามเพื่อเธอเสมอ

“ฉันอยากพัก”

ดรัลลูบศีรษะของคนที่มองเขาเป็นที่พักอย่างเบามือ สัมปันนีคนเดิมที่เขารู้จักถูกซุกซ่อนไว้ภายใต้ท่าทางที่เย็นชาขึ้น “คุณกำลังอยู่บนทางแยกสองทาง ทางหนึ่งคือกลับไปทำให้นวีนรักคุณ ผมจะช่วยทุกอย่าง”

“ใจดีจัง แบบฉบับพระรองเกาหลีคงมาจากคุณ”

เสียงห้าวหัวเราะ “หรือถ้าไม่เลือกทางนี้ คุณก็ให้ผมเป็นพระเอกของคุณ เดินไปพร้อมกัน” เขาเผลอลองลุ้นผลหลังจากสัมปันนีเงียบงัน กำลังคิดบอกว่าไม่ได้จริงจังอะไร ผู้หญิงที่กอดเขาก็ค่อยๆ คลายอ้อมแขน และส่งยิ้มมาให้

“คุณเป็นเจ้านายที่ทำให้ฉันสบายใจได้ทุกครั้ง” ดรัลเกือบจะยิ้ม ถ้าไม่ติดตรงประโยคสุดท้าย “เหมือนกับลุงดิเรก”

“สรุปคุณเลือกทางไหน”

สัมปันนีอ้าปากหาว ไม่ตอบคำถาม และเบี่ยงประเด็นด้วยการโบกมือลา “เจอกันพรุ่งนี้เช้านะคะ หมอน ผ้าห่ม ฉันเอามาให้พร้อมแล้ว คุณคงไม่รังเกียจของที่เคยเป็นของนวีนใช่ไหม”

“ไม่หรอก” ดรัลรู้สึกว่าคำถามนั้น ไม่ได้หมายรวมเฉพาะเสื้อผ้า หรือที่นอน คนถามเองก็รีบหลบตา และกลับขึ้นห้องไป


..........................................................

คุณ Kim นวีนน่าโดนสะบัดบ็อบใส่ค่ะ เป็นคนเจ้าปัญหาจริงๆ ความรู้สึกดีๆ ไม่รู้จักถนอมเลย

คุณ konhin ตัวเองก็ดันไปรู้ความลับเขาเอง แล้วก็มาทำรับไม่ได้นะคะ ให้ดรัลมาปลอบขวัญอาลัวด่วนๆ จิตใจอาลัวกำลังเปราะบาง

คุณ kaelek สิ่งที่นวีนทำ นิยามคำเดียวค่ะเลยค่ะ ‘พัง’ ล้มกระดานทุกอย่างหมด เรื่องครอบครัวนี่มีลืมกันทีเดียว

คุณ ใบบัวน่ารัก เสิร์ฟฟขนมหวานจานโต กับน้ำดื่มเย็นๆ กลั้วคอนะคะ กาแฟขมปี๋ผ่านไปแล้วแก้วที่หนึ่ง

คุณ ปอกะเจา นวีนทำตัวเองทุกสิ่งอย่างค่ะ แล้วก็ไม่ฟังคำใครทั้งนั้นด้วย จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสาร แต่อาลัวไม่ได้ผิดร้ายแรงอะไรเลย มารอดูว่าสุดท้ายอาลัวจะเลือกทางแยกไหนกันนะคะ ลังเลใจมาเป็นสิบตอนแล้ว ฮา

คุณ ปิ่นนลิน ตอนตั้งชื่อก็คิดแค่ว่าอยากได้ชื่อสั้นๆ ใหม่ๆ ไปๆ มาๆ ตัวนวีนดันเข้ากับคำว่าวีนเลยนะคะ ฮา รู้เอง วีนเอง

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ จุดของตอนที่แล้วจะเปลี่ยนแปลงทั้งนวีนและอาลัวค่ะ คนที่อ่อนไหวมาตลอดอย่างอาลัวได้นิ่งสงบเป็นกับชาวบ้านเขาบ้างแล้ว

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เข้ามาถูกใจ และทุกความเห็นนะคะ ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ส.ค. 2558, 12:20:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ส.ค. 2558, 12:20:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 1359





<< บทที่ 11 : ความลับไม่มีในโลก   บทที่ 13 : มาดังกัมปนาท >>
yapapaya 16 ส.ค. 2558, 15:19:33 น.
พระเอกตัวจริฃของอาลัว


ปิ่นนลิน 16 ส.ค. 2558, 18:42:32 น.
ชอบดรัลมากขึ้น มากขึ้น
อาลัวไม่เอา เค้าขอพี่เอื้องแทนนะ เชิญไปจับเจ่าเฝ่ารักนวีนต่อไปเถอะ


konhin 16 ส.ค. 2558, 19:41:45 น.
พระเอกตัวจริง อยากได้แบบเนี้ยยยยยยยยยยยย


กาซะลองพลัดถิ่น 16 ส.ค. 2558, 19:53:07 น.
ตอนนี้น่ารักจัง ....คุณพ่อก็น่ารักรักลูก แต่ก็แมน ๆ คุยกันกับว่าที่ลูกเขย รับได้ไหม ถ้ารับได้ก็เข้ามา อรั้ยยยย ....
แหม ...คำตอบเฉลยอยู่ที่ประโยคสุดท้ายหรือปล่าวจ๊ะอาลัว ...


ปอกะเจา 16 ส.ค. 2558, 21:37:49 น.
บอสคะ ลุยโลดดดดดดด ครอบครัวอาลัวเปิดทางแล้ว ขออย่างเดียว ทำให้คนความรู้สึกช้ารู้ตัวว่าถูกจีบละกัน แต่แหม โดนจุ๊บไปละก็น่าจะพอรู้ รึเปล่า? ฮ่าๆๆๆ เอาใจช่วยบอส #ทีมบอส


นักอ่านเหนียวหนึบ 17 ส.ค. 2558, 07:56:05 น.
ต่อไปเราคงได้เห็นนวีนฟูมฟาย โวยวายบ้างละ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account