อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด

ตอน: บทที่ 14 : อย่านึกถึงเขา

บทที่ 14

ยูกิ...ชื่อของคนๆ นี้คล้ายคลื่นที่กระพือใส่ฝูงชนชาวกล้วยไม้ในงานได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเขาถือเป็นเจ้าธุรกิจนำเข้ากล้วยไม้ ที่ไม่ใช่แค่นำเข้าจากญี่ปุ่น ยังมีสายงานประสานกับบรรดาคู่ค้ากล้วยไม้รายอื่นทั่วโลก ขนาดสัมปันนีเพิ่งมาได้ยินชื่อของยูกิในวันงานวันนี้ยังรู้สึกว่าถ้าจับยูกิมาสมัครเป็นเพื่อนได้ ชีวิตของการค้ากล้วยไม้อาจจะสบายขึ้น ไม่ว่าจะฮาวาย อิตาลี หรือแถบโซนอเมริกา ก็ดูจะไปถึง กระจายสินค้าได้ง่าย แต่ถ้างานนี้ทุกคนพลาดจากยูกิ มีข่าวล่าคาดมาว่าเขาจะเปลี่ยนจากไทยไปยังประเทศญี่ปุ่นแทน คู่แข่งกล้วยไม้อันดับต้นๆ ของไทยที่ไม่ต้องเสียแรงปลูกเอง แต่สามารถดึงตลาดกล้วยไม้ไว้ที่ตัวเองได้ และยังสร้างพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้หลากหลาย

ตรงข้ามกับไทย ที่แหล่งปลูกกล้วยไม้ต้องจญกับวิกฤตน้ำท่วมอย่างหนักเมื่อหลายปีก่อนมา ชาวกล้วยไม้จำนวนมากก็เลิกราไปไม่น้อย ผลกระทบคราวนั้นจึงพิสูจน์ว่าใครที่แกร่งพอจะกลับมายืนหยัดอีกครั้ง บางรายถึงกับต้องเริ่มปลูกใหม่ทั้งหมด การมีคู่ค้ารายใหญ่มาสอดส่องงานในคราวนี้จึงถือเป็นลมหายใจเฮือกใหญ่ที่จะมาต่อยอดพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น
คนหลายชีวิตที่ผ่านหน้าสัมปันนีไป นอกจากลูกค้าที่มาเดินงาน ต่างก็เป็นคนของสวนกล้วยไม้กันทั้งนั้น สวมผ้ากันเปื้อน เดินเพ่นพ่าน หน้าตาคอยหมุนกวาดมองคนที่ผ่านไปมา และยังใช้สายตาหวาดระแวงกับคนที่มาจากสวนกล้วยไม้ด้วยกัน สายตาไร้มิตรนี้ทำให้หญิงสาวรู้ว่าเกมทางธุรกิจเบื้องหน้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

“น่ากลัวใช่ไหม” ชายหนุ่มมองเจ้าของมือที่ตนกุมไว้ ถามด้วยสีหน้าประดับยิ้ม ยกเว้นดวงตาที่เยือกเย็น

“ไม่น่ากลัวเลยมั้งคะ สายตาแต่ละคนแทบฆ่ากันตายอย่างนี้ ไม่ถือดาบก็เหมือนถือ”

ดรัลหัวเราะ คลอนศีรษะ “มนุษย์ทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่ฉัน ถึงจะอยากได้อยากมี ฉันก็จะไม่โง่เปิดเปลือยสายตาออกมาให้ใครต่อใครอ่านความคิดออกทะลุปรุโปร่งหรอก” สัมปันนีลอกคำตอบที่เธอพอจำได้ว่ามัศกอดเคยสอนมา พี่สาวของเธอเป็นคนฉลาด และมักแสดงออกทางสีหน้าอย่างมีลับลมคมในเสมอ ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองอยู่ในช่วงเวลาวิกฤต หรือเป็นรองใคร หลายครั้งที่หญิงสาวสงสัยว่าความยุติธรรมของโลกนี้ทำงานได้ไม่ดีเสียเลย ถึงได้แบ่งความฉลาด เก่งกาจ มั่นใจไปให้กับมัศกอด แบ่งความสวยน่ารักไปทดแทนนิสัยประหลาดเกินเยียวยาแก่บุหลัน ในขณะที่เธอเทียบเคียงกับทั้งพี่และน้องไม่ได้ คนที่ไม่โดดเด่น ไม่เตะตาใคร และถูกลืมเสมอจึงเป็นเธอ

สิ่งเดียวที่สัมปันนีมั่นใจว่ามีเต็มเปี่ยมก็คือความจริงใจ เธอกลิ้งกลอก ตลบตะแลงไม่ได้ คิดอะไรก็แสดงออกอย่างนั้น มัศกอดจึงชอบต่อว่าเธอเสมอ

‘เวลาอื่นคนเราจะรู้ว่าควรดี หรือแกล้งโง่เมื่อไหร่ แต่ต้องยกเว้นเธอไว้คน ที่ดีและโง่ได้ในทุกเวลา ไม่เลือกสถานที่ เวลาที่ใครว่าว่าซื่อ ขอให้รู้เลยนะ ว่าเขาด่าว่าโง่ อย่าได้ซื่อไม่รู้เชียว’

เธอเองก็ชินชากับความดีของตัวเองจนไม่รู้ว่าการร้ายใส่ใครนั้นทำอย่างไร และเก่งนักเรื่องรับมือกับความร้ายกาจของแต่ละคนที่เข้ามา...ด้วยการปล่อยวาง

“อาลัวเก็บความรู้สึกเก่งใช่ไหม”

“ใช่สิ...ไม่อย่างนั้นนวีนจะไม่มาเพิ่งรู้เอาตอนนี้หรอก ว่า...” สัมปันนีหยุดกึก หลังจากปากพล่ามเรื่องที่ไม่ควรออกมา หน้าที่เคยสดใสค่อยๆ เจื่อนลง เหลือร่องรอยเจ็บปวดอยู่ ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความราบเรียบ ไม่มีความรู้สึกใดๆ ไม่เปิดเปลือยออกมาอย่างที่พูดไว้ได้สำเร็จ

“อย่านึกถึงเขา”

“คะ?” สัมปันนีกะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ ฝ่ามือของเธอก็ถูกกุมไว้แน่นขึ้น

“จะพูดถึงก็ไม่ได้”

“แต่ว่า...”

“อาลัวเป็นแฟนของผมอยู่ ถึงจะเหลืออีกไม่กี่วัน ก็ห้ามเสียเวลานึกถึงคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด” ดรัลหยุดเดิน เพื่อสบตากัน แววตาคล้ายมหาสมุทรหยั่งลึกที่หญิงสาวเดาความคิดไม่ออก เธอรู้แค่ว่ามหาสมุทรผืนนี้ดูลึกลับ แต่ก็มีแรงดึงดูดบางอย่างที่พยายามดูดกลืนเธอให้จมลึกไปในก้นบึ้งมหาสมุทรไร้ขอบเขต เกมจ้องตาผ่านไปครึ่งนาทีสุดท้ายสัมปันนีจึงยอมแพ้ ก้มหน้า ทั้งที่ไม่มั่นใจนักว่าทุกอย่างเป็นความผิดของเธอไหม แต่เธอก็ยังรู้สึกผิดต่อตนเอง อย่างน้อยเธอก็ปฏิญาณตนว่าจะเลิกคิดถึงนวีนในทำนองนั้นอย่างเด็ดขาดแล้ว...สมอง และหัวใจก็ต้องทำตามสิ่งที่ปฏิญาณไว้ให้ได้เช่นกัน

ถึงมันจะดูน่ารังเกียจ และเป็นวิธีอ่อนแอที่ใช้คนอื่นเพื่อให้ลืมใครอีกคน แต่ถ้าเขาเต็มใจยื่นมือมาช่วยเหลือ เธอก็ไม่ควรโง่ไม่รับ

“รู้แล้วค่ะ”

“คุณควรจะเคร่งครัดกับตัวเองให้มาก” คนอาสาตัวเป็นแฟน และผู้เข้มงวดในเรื่องดูแลคนอกหักทำหน้าเครียด ขนาดธุรกิจที่กำลังน่าปวดหัว ยังไม่วุ่นวายสมองเขาได้เท่ากับคนตรงหน้าที่กำราบยากกว่าอะไร

“รู้แล้วค่ะ”

“เจ็บปวดนักก็ให้มาซบอกผม”

“รู้แล้วค่ะ...เอ๊ะ” คนที่เอาแต่ก้มหน้ารับคำเงยหน้าพรวดอย่างตกตะลึง มองมือของตัวเองที่เป็นอิสระ เพราะคนจับไว้ในตอนแรกปล่อย และเดินลิ่วหนีห่างไปไกลหลายก้าว สัมปันนีได้แต่วิ่งตาม ขมุบขมิบบ่นอุบที่สติของเธอชอบเหาะหายไปอยู่ที่อื่นเวลาอยู่กับดรัล

ไปรับปากสั่วๆ อย่างนั้น เขาเกิดคิดจริงจัง คิดว่าเธอปีนเกลียวไม่แย่หรอกเรอะ ใครล่ะจะไปกล้าซบอกเอาเวลาเจ็บปวดบ่อยๆ...แต่ไม่ใช่เขาเหรอที่เธอนึกถึงคนแรกตอนเจ็บปวด ขาของสัมปันนีหยุดลงกับที่ ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน อย่างนี้ไม่ดีเลยจริงๆ เธอเพิ่งอกหักย่อยยับมา แต่กลับมาสับสนอลหม่านกับผู้ชายอีกคนที่เป็นถึงเจ้านาย!

“อาลัว”

สัมปันนีไม่ทันหันไปมองว่าใครเรียก ร่างสูงของจุณวัฒน์ก็มาถึงตัว ท่าทางลับๆ ล่อๆ พิกล ขณะกระซิบบอกแก่เธอ “เจอฟุแล้ว”

“คะ” สัมปันนีรีบตะครุบปากตัวเองที่เผลอขานรับเสียงดัง รอยยิ้มเบิกบานทันตา

“ไปแอบงีบในรถพี่อีกแล้ว”

“ตอนนี้ยังอยู่ใช่ไหมคะ”

จุณวัฒน์แลซ้ายแลขวาจนสัมปันนีอยากเตือนเขาเหลือเกินว่าไอ้ท่าทางอย่างนี้น่ะเป็นที่น่าสังเกตยิ่งกว่าป่าวประกาศว่าเจอฟุแล้วเสียอีก

“อยู่สิ พี่ให้ลูกน้องเฝ้าไว้อย่างดี ให้หลุดมือไม่ได้เด็ดขาด”

“จะบอกพี่เอื้องไหมคะ”

คนโตกว่ามองค้อนหญิงสาวที่เขามองเหมือนน้องสาวตัวน้อยที่ต้องคอยดูแล หัวเราะออกมาขณะวางแขนพาดบ่าพาเดินไปยังที่กักขังฟุชั่วคราว “ไม่บอกมันก็แปลกสิ เพราะพี่ก็ใช้มันเป็นตัวกลางรับกล้วยไม้ไปส่งอีกที พี่มันก็แค่เกษตรกรจนๆ คนเดินดิน”

น่าอิจฉา...คนถูกลากให้เปลี่ยนทางเดินมองสายสัมพันธ์จริงใจของจุณวัฒน์ด้วยรอยยิ้ม นึกสะท้อนใจเล็กๆ ที่เธอเป็นคนทำลายสายมิตรภาพนี้ลงด้วยความรู้สึกไม่ซื่อ ไม่จริงใจของตัวเองลงไป ไม่อย่างนั้นเวลานี้เธอก็คงกอดคอของนวีนได้อย่างสนิทใจ

‘อย่านึกถึงเขา’

เสียงลึกลับในหัวดังขึ้น สัมปันนีนึกสะดุ้งในใจ ก่อนจะยิ้มขันกับตัวเองที่ในที่สุดก็มีเสียงของดรัลมาห้ามปรามได้ถึงในความคิด

รับทราบค่ะเจ้านาย



“เจอแล้วก็เฝ้าไปก่อน อย่าเพิ่งพาไปยืนยันตัว รอให้เขาวิ่งพล่าน”

“เขาเนี่ยคือใครวะครับ” เสียงปลายสายย้อนถามมาอย่างกวนประสาท

ดรัลหยุดเดินหน้าลานประกวดกล้วยไม้ เขาเลิกตามหาเป้าหมายตั้งแต่สัมปันนีหายไป แค่เขาปล่อยมือ คนอย่างสัมปันนีก็เลือกที่จะเป็นอิสระไม่ติดตามเขาแล้ว ประเด็นตรงนี้ไม่ต่างจากฟืนร้อนๆ ที่จุดลวกใจเขาให้มอดไหม้ เขารู้ว่าตัวเองกำลังแสดงความเห็นแก่ตัว แสดงความเป็นเจ้าของออกมาจนน่าเกลียด แต่ในเมื่อสิทธิ์สามวันที่เหลือยังเป็นของเขาอยู่ อีกฝ่ายก็ควรหัดใช้อภิสิทธิ์เหนือใครนี้ให้คุ้มค่า

ไม่ใช่เขาไม่มีใครมาสนใจ เป็นคนตัวเปล่าๆ ปลี้ๆ แต่ทำไมเขาจึงรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าพิกลเวลาอยู่ต่อหน้าสัมปันนี คนที่ไม่เคยมองเห็นค่า แรกเริ่มเขาก็คิดว่าน่าสนใจ และน่าเสี่ยงที่จะเรียนรู้ความรู้สึกเปราะบาง ความรักสวยงามที่อีกฝ่ายพูดถึงอยู่บ่อยครั้งว่ามันจีรังขนาดไหน จนถึงวันที่วิมานสวยล่มสลาย เขาจึงได้รู้ว่าฐานก่อสร้างวิมานเรือนในใจสัมปันนีมันแข็งแรง และทนทานขนาดไหน

คล้ายว่าหลายครั้งที่เขาเห็นร่องรอยสับสนในตาของสัมปันนี แต่แค่กะพริบตาทุกอย่างก็จะกลับไปสู่จุดเริ่มต้น

“ยูกิ” หัวคิดไปเรื่อง แต่ปากก็ยังตอบบทสนทนาปลายสายได้ไม่มีขาด

“เฮ่ย! ยูกิเลยเหรอวะ ไม่ใช่ว่าเราต้องง้อเขาเหรอ เรามันผู้ผลิต แต่เขาตลาดนะเว้ย”

“ทำตามฉันบอกก็พอ” ดรัลบอกเสียงเรียบ

“อยากเจอยูกิใช่ไหม”

“เออ!”

“เอาเถอะ ข้าจะโง่ๆ แล้วช่วยแกแล้วกัน” จุณวัฒน์ทำเสียงกลั้วหัวเราะ “อีกอย่างที่ข้าทำได้คือช่วยดูแลอาลัวให้ชั่วคราว...ไม่ต้องขอบใจข้าหรอก”

“ไอ้จุ้น!” ดรัลฟังเสียงสัญญาณที่หายอย่างหงุดหงิด ไม่ใช่หงุดหงิดที่ถูกเซ้าซี้ยาว แต่เป็นประโยคสุดท้ายที่ทำให้เขาอยากวิ่งโร่ไปเอาเรื่องเพื่อนรักถึงที่ เขาไม่ได้ขอ ก็ยังทำเกินคำขอ

ครั้งหนึ่งหัวใจของเขาเคยผูกพันกับคนๆ หนึ่ง และเมื่อถึงเวลาที่ความจริงที่ต้องเลือกมากางแอยู่ตรงหน้า ทั้งเขาและช่อมาลีต่างเลือกบุพการี ในวันนั้นเขาไม่ทุรนทุราย ไม่รู้สึกอึดอัด แน่นอนว่าเขาจำเป็นต้องเก็บทุกอย่างลงไป และตั้งหน้าตั้งตาเรียน ตั้งใจทำงาน ไม่คิดถึงความรู้สึกที่ควรลบ เขาทำได้สำเร็จ หลังจากวันหนึ่งได้รู้ว่าช่อมาลีกำลังคบหากับจุณวัฒน์ ตัวเขาไร้ความรู้สึกริษยา ยังยินดีกับทั้งคู่ รวมถึงความรู้สึกโล่งอกที่เกิดขึ้นในใจ ไม่มีอะไรตกค้าง หลงเหลืออีก

“ช่อได้ยินเรื่อง...” ช่อมาลีวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าเปื้อนยิ้มปนหอบ “ให้ตามหาเด็กฟุ”

“จุ้นเขาเจอแล้ว”

“เหรอคะ” สีหน้าช่อมาลีเก้อ รู้สึกกระดากที่วิ่งมาเริ่ดเข้ามา

“เดินดูกล้วยไม้กันเถอะ ปีนี้มีแต่สวยๆ” ดรัลพยักหน้าไปโซนแสดงกล้วยไม้ที่มีแขวนเป็นแถวยาวบนราว หลายต้นมีการติดป้ายรางวัลอันดับเรียบร้อยแล้ว

ช่อมาลีเดินตามอย่างว่าง่าย สายตาจดจ้องแผ่นหลังของดรัล ก่อนที่ความรู้สึกเก่าๆ จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาทุกๆ ก้าวที่ตามหลังเขา เขาคนนี้เธอรู้จักมานานเกือบตลอดชีวิต พี่ชายแสนดีที่เติบโตขึ้น ความรู้สึกในใจของเธอและเขาก็พัฒนาตาม เธอยังนึกถึงช่วงเวลาที่ดรัลคอยดูแลยามป่วย หรือคอยปกป้องเธอเวลาที่ถูกเด็กทโมนร่วมรุ่นกลั่นแกล้ง ดรัลสอนให้เธอเข้มแข็ง ให้เธอปกป้องตัวเองให้เป็น แตกต่างกับจุณวัฒน์หน่อยตรงที่รายนั้นไม่เคยปล่อยให้เธอได้มีเวลาปกป้องตัวเองก็จะถลามาถึงตัวเธอก่อน

ถึงอย่างนั้นหัวใจของเธอก็ยัง...ลังเล

“ช้างแดงจากสวนเราชนะเลิศ เพราะช่อดูแลอย่างดีใช่ไหม” ดรัลหยุดอยู่หน้าดอกกล้วยไม้กลีบสีแดงอมชมพู ดอกหนึ่งมีขนาดเกือบเท่าเหรียญสิบ ตัวช่อยาวเท่าช่วงแขนของคน ชายหนุ่มมองอย่างภาคภูมิใจ และจำได้ว่าช่อมาลีมีมือที่เย็น และดูแลกล้วยไม้ประกวดสร้างชื่อให้กับสวนดิเรกมานานเพียงใด

“เพราะมีพันธุ์แข็งแรงที่พี่เอื้องเพาะขึ้นมามากกว่าค่ะ”

“เพราะทุกคนแข็งแกร่ง อดทน ขยันพัฒนา สวนดิเรกถึงก้าวผ่านวิกฤตมาได้หลายครั้ง ไม่ใช่เพราะพี่คนเดียวหรอก” ดรัลไม่มีวันรับความดีความชอบเพียงคนเดียว

“พี่เอื้องชอบอาลัวจริงๆ เหรอคะ” เปิดเรื่องขึ้นมาอย่างยั้งปากไม่อยู่

“...”

“ไม่เหมือนสมัยที่เราทั้งคู่ยังเด็กกว่านี้” ช่อมาลีนึกถึงช่วงระยะที่หัวใจตัวเองเต้นแรงเป็นครั้งแรกให้ดรัลสมัยสวมคอซองตอนมัธยมต้น วันนั้นเขาก็แค่มารอเธอหน้าประตูเพื่อกลับบ้านพร้อมกัน เขายืนอยู่ข้างกันกับจุณวัฒน์ แต่เธอกลับหน้าแดง และไม่กล้าสบตาดรัล

ดรัลหยุดอยู่ตรงหน้ากล้วยไม้ช้างแดงที่เขาชื่นชม มองความสวยงามผ่านแววตา โดยไม่ขยับมือเอื้อมจับ “ความรู้สึกก็เหมือนต้นไม้ ทุกอย่างต้องเติบโตขึ้น วันหนึ่งป็อบปี้เลิฟอาจจะกลายเป็นแค่ความรู้สึกจางๆ ในความทรงจำของเรา”

“ถ้าวันนั้นเราทั้งคู่ดื้อ คัดค้านพ่อกับแม่ เรื่องมันคงไม่ลงเอยแบบนี้ใช่ไหมคะ” เธอไม่ดื้อในวันนั้น แต่ยังอยากดื้อในนาทีสุดท้าย และแม้จะเป็นการทรยศความรู้สึกของจุณวัฒน์ตามที

“วันนั้นเราจบไปโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ต่างคนต่างเก็บความรู้สึกของตัวเอง และเลือกพ่อแม่เรา ช่อแน่ใจเหรอ ว่าวันนี้มีทางเลือกแบบใหม่ ยิ่งเห็นพ่อกับแม่เรามีความสุขมากขนาดนี้”

ช่อมาลีพูดไม่ออก เพราะสุดท้ายต่างก็รู้ว่าสิ่งที่จะเลือกก็คือ การยอมเห็นแม่มีความสุขมากกว่าอะไรทั้งหมด ถึงหัวใจของเธอจะต้องรวดร้าว และทรมานขนาดไหน นั่นคือสิ่งที่เธอเลือกมาในตอนนั้น แต่พอมาถึงตอนนี้ เธอกลับ...เสียดายดรัล

“ทำไมถึงเป็นผู้หญิงคนนั้นคะ อาลัวไม่มีอะไรที่เหมาะกับพี่สักอย่าง ก็แค่ผู้หญิงเพ้อรักขาดสติ ไม่มีทีท่าว่าเขาจะสนใจคนอย่างพี่เอื้องเลย คนที่เขาไม่เห็นค่าพี่ มีดีอะไรที่พี่จะไปสนใจ”

ดรัลถอนหายใจแผ่วเบา เขาเองก็ไร้ความมั่นใจ แต่ลึกๆ ก็ยังเปี่ยมไปด้วยความเชื่อ “อาลัวเขาก็แค่กล้วยไม้ที่ขาดการดูแล ขาดปุ๋ยขาดน้ำ ต้นก็เลยยังไม่ยอมออกดอก” เริ่มมีรอยยิ้มเหนื่อยฉายขึ้น “แรกเริ่มเพราะพี่สนใจว่าดอกกล้วยไม้ที่ชื่อว่าความรักที่อาลัวโฆษณามันน่าสนใจ พี่ก็เลยอยากศึกษาดู”

“ช่อมันก็แค่กล้วยไม้ต้นเก่าที่พี่เอื้องไม่เห็นค่าแล้ว”

“ช่อคือพวกนี้” ชายหนุ่มผายมือไปยังกล้วยไม้ประกวดเลี้ยงยาก “ช่อจะเติบโตอย่างสวยงามได้ ถ้ามีใครสักคนที่พร้อมจะดูแล และรักช่อจริง สำหรับพี่ พี่จะมองกล้วยไม้พวกนี้อย่างชื่นชม”

“สำหรับอาลัวล่ะคะ คืออะไร” รอยยิ้มแรกเริ่มของช่อมาลีเลือนหาย แววตามีแต่ความเจ็บปวด เธอไม่อยากเป็นกล้วยไม้สูงค่านี้เลย

“กล้วยไม้ตระกูล หวาย เอื้องทั่วไป หาไม่ยาก ออกดอกก็ง่าย แต่ตอนนี้กล้วยไม้ต้นนั้นกำลังป่วย เพราะเจ้าของเดิมเขาเพิ่งลิดดอกออกไป”

“ถ้าไม่มีวันที่เขาจะออกดอกให้พี่เอื้องได้เห็นอีกเลยล่ะคะ”

“พี่ก็จะเอาตัวเองเป็นดอก ไปประดับบนต้นของเขาให้เอง”

ช่อมาลีร้องไห้ออกมาเงียบๆ ไร้เสียงฟูมฟาย รู้สึกว่าคำเปรียบเปรยที่ยกเธอสูงเทียมฟ้า และให้สัมปันนีเป็นแค่ดอกกล้วยไม้ดาษดื่น ตรงข้ามกับความจริง ดรัลให้ค่าเธอ แต่ให้หัวใจกับสัมปันนี เธอรับรู้ได้โดยไม่ต้องถามว่าเขารู้สึกลึกซึ้งขนาดไหน

“กับจุ้น...ช่อ จะปล่อยให้ตัวเองทำร้ายเขาไปจนถึงงานแต่งงานเลยหรือไง”

คนจวนจะเป็นเจ้าสาวแต่กลับมาร้องไห้ให้กับผู้ชายอีกคนหันหลังเดินหนีไปทางอื่น ปล่อยให้ดรัลมองตามด้วยความเป็นห่วง แต่เขาจะไม่ก้าวก่ายความรู้สึกของใคร



ผีห่าซาตานรวมกันขึ้นมาจากนรกเพื่อเตรียมฉุดกระชากเธอและจุณวัฒน์ไปอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า สัมปันนียืนกระสับกระส่าย กางแขนออกป้องกันรถ ปราการสุดท้ายที่เธอจะไม่ให้ฟุไปถึงมือบรรดาคนญี่ปุ่นที่แต่งตัวเป็นนักท่องเที่ยวแฝงกายเข้ามาในงานนี้เด็ดขาด นักท่องเที่ยวหกคนพวกนี้พกปืน เหน็บมีดกันครบคนทีเดียว

“พี่จุ้น” สัมปันนีเรียกคนที่หันหลังชนกันเสียงสั่น ไม่รู้ว่ามือโทรศัพท์ที่ชอบโทรรายงานทำไมตอนนี้จึงเอาแต่พนมมือ และสวดมนต์อย่างเดียว “พระจะมาช่วยพี่ได้ไหมคะ”

“พี่ต่อยเตะพอเป็น แต่ก็ไม่เคยสู้กับลูกปืนนะอาลัว”

“สนทนาสิคะ”

“รอไอ้ตัวต้นคิดโน่น มันบอกว่าอยากเจอยูกิ”

“แล้วคนไหนล่ะคะ” ครั้งนี้สัมปันนีแทบจะด่าถึงพ่อคนต้นเรื่องที่ทำให้เธอมาตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย แต่พอนึกได้ว่าพ่อของเขาเป็นคุณลุงใจดีที่เธอเคารพรัก จึงได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน และระแวงกับคมมีด และกระบอกปืนต่อไป ยังดีที่คนพวกนี้เอาแต่มายืนล้อมรอบ ยังไม่มีใครชักปืน มีแต่ยกสาบเสื้อขึ้น อวดอาวุธปืนให้เห็นกันเหงื่อซิกๆ

“คุณฟุอยู่ไหนครับ” ชายที่เธอจำได้ว่าเคยพบกันที่โรงพยาบาล คนที่ตามหาฟุ และทิ้งเบอร์ให้ติดต่อกลับเดินฝ่าวงล้อมคนของตัวเองขึ้นมา ยกมือปาดเหงื่อที่ไหลเป็นเม็ดผ่านไรผมไป สำเนียงไทยไม่ชัดแต่ทำให้สัมปันนีพอฟังรู้เรื่อง และพอจะเจรจาได้

“อยู่ในนี้ค่ะ”

“คุณพ่อคุณฟุเป็นห่วงคุณฟุมากครับ”

สัมปันนีตีต้นแขนจุณวัฒน์รัวอย่างตื่นเต้น คิดว่านี่ล่ะที่เธอเจอแล้ว “คุณยูกิใช่ไหมคะ”

“ฟุจิวะ ยูกิ” ผู้ชายผิวขาวราวกับหิมะ คิ้วสีดำเข้มเฉียงพาดอยู่เหนือดวงตาคมสีน้ำตาล จมูกโด่งเป็นสัน เยื้องย่างของเขาได้รับการค้อมคำนับจากบรรดาลิ่วล้อที่หลีกทางให้อย่างนอบน้อมบ่งบอกฐานะที่ไม่ธรรมดา หน้าตามีรอยยิ้มของเขาเผยเจือจาง และแผ่ความเป็นอันตรายออกมาล้อมรอบตัวแทบจะตลอดเวลา

สัมปันนีถอยเท้าไปชิดรถ กลืนน้ำลายอึกโตอย่างหวาดหวั่น เขาเองก็สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ดูไร้พิษสง แต่ไม่ใช่เลย เขาดูน่ากลัวกว่าลูกน้องหน้าบึ้งของเขารวมกันเสียอีก...ประหลาดก็ยังอุตส่าห์อวดอ้างชื่อตัวเองให้รู้จักตอนเดินเข้ามา

“ยูกิ”

ยังเรียกไม่หยุด สัมปันนีนึกอย่างสยอง ในใจร่ำร้องว่ารู้จักเขาแล้ว

“ฟุ! ยูกิ”

ชักแปลก สัมปันนีหยุดครวญในใจ เรียกหาสติให้มั่น จากท่าทางเรียกหาคน ไม่ได้อวดอ้างตน พอจะบอกบางอย่างได้เลาๆ เขายังคงพ่นภาษาญี่ปุ่นออกมายาวเหยียด ยังดีที่มีล่ามส่วนตัวที่พูดไทยไม่ค่อยชัดเป็นสื่อกลางให้

“เปิดประตูให้คุณยูกิลงมาเถอะครับ”

“ยูกิ อยู่ในความดูแลของพวกเรานะคะ คุณควรรอหัวหน้าของฉันมาก่อน”

หลังจากล่ามเฉพาะกิจแปลให้คนเป็นนายเสร็จ เธอก็รับรู้รังสีพิฆาตเพิ่มขึ้นจากรอยยิ้มเยือกเย็น ตายแน่อาลัวเอ๋ย

ไม่ใช่แค่ฟุจะเป็นกุญแจของกล้วยไม้ส่งออก เขายังคือตัวใหญ่ที่ทุกคนกล่าวขาน ถึงว่าสิการละเล่นตามหาตัวไม่ต่างจากเด็กวางแผนซ่อนหา

“ผมเปิดแน่ ถ้าคุณจะเจรจาธุรกิจทุกอย่างร่วมกัน”

ในที่สุด...เขาก็มา สัมปันนียิ้ม อกสั่นขวัญหายเมื่อครู่ถูกเติมเต็มจนแสดงผ่านน้ำตา หญิงสาวละจากการกระตุกแขนจุณวัฒน์และมายืนข้างๆ ดรัล พร้อมคอยจับตามองคนญี่ปุ่นที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือร้าย

อีกหลายประโยคที่พวกเขาเจรจาเป็นภาษาญี่ปุ่น สัมปันนีและคนอื่นๆ ที่เหลือต่างยืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่มีใครกล้าเขยื้อนตัว หรือหายใจเสียงดัง

และตลอดการสนทนาที่เธอไม่รู้ว่าพวกเขาคุยกันด้วยเรื่องอะไร มือของสัมปันนีก็ถูกเพิ่มความอบอุ่นด้วยมือที่เธอเอาแต่มองด้วยแววตาสับสน และอีกครั้งที่ปล่อยให้ตัวเองวางมืออย่างสงบใจ และลืมกฎห้าก้าวไปอีกครั้งหนึ่ง



บรรยากาศอบอุ่นภายในบ้านพลันเงียบกริบทันทีที่มีร่างสูงของนวีนเข้ามา ทุกสายตาเพ่งเล็งไปยังคนที่ไม่น่าจะมาเยือนในเวลาไม่ถึงสามวัน บุหลันนึกเสียดายแทนมัศกอดซึ่งติดงานไม่ได้อยู่บ้านในเวลานี้ จึงไม่มีโอกาสมาร่วมสังคายนาผู้ชายคนหนึ่งให้รู้ซึ้งถึงสิ่งที่ทำลงไป

“มาสมน้ำหน้า หรือว่าคิดถึง” บุหลันพูดเสียงยานคาง มือละจากคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์พกพาที่ขนลงมาทำงานในห้องกลางบ้าน พับจอคอมปิด นานทีเธอจะใส่ใจเรื่องอะไรสักอย่างจริงจัง

“ดั้น!” เรไรดุมาจากในครัว อย่างไรนางก็ยังเมตตานวีนอยู่มาก ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้รักสัมปันนี “เข้ามาก่อนนวีน วันนี้บ้านเราทานข้าวเย็นกันไปแล้ว ไม่รู้ว่านวีนจะมา พวกเราเลยไม่ได้รอ” มีรอยยิ้มตลอดคำพูด

นวีนสะอึก เขาก้าวเข้ามาในบ้านที่ตนเองอยากรักษาไว้ด้วยหัวใจร้าวราน ในเวลาที่ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนรัก ไม่มีครอบครัว เหลือแค่ตัวคนเดียว ทุกคืนกว่าจะข่มตาหลับได้ลงมันทรมานยากเย็น จนเขาต้องพึ่งแอลกอฮอล์และยานอนหลับ เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำพลาดไปตรงไหน ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นแก้ไขมันอย่างไร เมื่อเช้านี้ที่ดรัลลจี้ใจดำทำให้เขารู้สึกขึ้นมาได้อย่าง

‘ไม่มีใครที่พร้อมจะเข้าใจคุณ หรือรอคุณไปได้ตลอดหรอก ต่อให้คนๆ นั้นจะรักคุณมาก เข้าใจคุณมากขนาดไหน ถ้าคุณไม่เคยเปิดใจรับรู้ก็สูญเปล่า...วันที่คุณกลับมาอยู่ในจุดเดิม อาลัวอาจเดินมาไกลจากจุดนั้นหลายก้าวแล้วก็ได้’

ไม่มีใครรอเขาไปตลอด และไม่มีใครรักเขาไปได้ตลอด แม้แต่พ่อแม่ก็ยังทอดทิ้งเขาไป นวีนเชื่อว่าตนแกร่งพอ แต่แค่สองวันเท่านั้นเขาก็รู้ ชายหนุ่มค่อยๆ เยื้องย่างมาอย่างแช่มช้า สายตาของบุหลันที่มองมาอย่างเย็นชา หรือจะธวัลย์ที่เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่เอ่ยปากไล่ออกมา แต่การกระทำไม่เรียกว่าต้อนรับ

ขนาดคนที่เขาเรียกว่าครอบครัว ยังถอยห่างจากเขาขนาดนี้ แล้วคนที่เขาเหยียบหัวใจทั้งดวงไปอย่างสัมปันนี จะไม่เกลียดเขาไปตลอดชีวิตเหรอ นวีนก้มหน้า หลับตารับรู้ความสึกปฏิปักษ์ที่คนในบ้านนี้แผ่ออกมา ถึงเรไรจะยิ้มรับเขา แต่เขาก็รู้ว่าลึกๆ แล้วก็ต้องมีความผิดหวัง

เขาไม่ต้องการให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องการรับรู้ทุกอย่างเพียงคนเดียวอีกต่อไป

“ผมขอโทษ”

“...”

“ผมขอโทษครับ...ขอโทษที่ทำตัวแย่ๆ ลงไป”

“ไม่มีที่ไป ถึงมานึกถึงพวกเราอย่างนั้นเหรอ” บุหลันยกมุมปากยิ้ม หน้าตากวนประสาทท้าทาย ซึ่งน้อยครั้งจะแสดงอารมณ์ออกมา “แต่เราจะไม่โกรธนาย เพราะอาลัวขอเอาไว้”

“อาลัวขอไว้?” นวีนทวนอย่างเหลือเชื่อ

“อาลัวขอให้พวกเราให้อภัยนาย เพราะทุกอย่างไม่ใช่ความผิดของนาย”

นวีนไม่รู้ว่ามีมีดที่ไหนค่อยๆ เชือดเนื้อในหัวใจเขาให้ปริแตกเป็นแผลยักษ์ ปล่อยโลหิตออกมาท่วมจนล้นในกาย เขาแทบกระอักเลือดออกมาตายอยู่รอมร่อ อยากถ่มความโง่ไร้สมองของตัวเองที่ทำลายมิตรภาพดีๆ ของสัมปันนีไป

“แต่มีข้อแม้นะ” บุหลันยิ้มอย่างมีเมตตาจิต “ขอแค่นายอย่าก้าวล้ำเส้นความเป็นเพื่อนของอาลัวเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกเรา...เอานายตายแน่” ดวงตาโค้งเป็นรอยยิ้มสวย

“นายเป็นเหมือนลูกบ้านนี้อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ในตำแหน่งลูกเขย” ธวัลย์บอกอธิบายด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เขาประกาศชัดว่าไอ้ลูกชายคนนี้สอบตกในการเป็นว่าที่ลูกเขยโดยสมบูรณ์ เขา มัศกอด รวมถึงบุหลัน ไม่มีใครต้องการให้มีการสอบซ่อมอีกครั้ง

“ผมเป็นเพื่อนกับอาลัวนะครับ” นวีนพยายามจ้องตาตอบทุกคนแสดงความจริงใจ แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้คำว่าเพื่อนจึงเริ่มทำให้เขา...เจ็บแสบที่ใจ มากกว่าตอนที่รู้ว่าสัมปันนีคิดกับเขาเกินเพื่อนเสียอีก

.............................................................

คุณ konhin ฟุมาพร้อมเปิดตัวตัวละครอีกตัวด้วยนะคะ อิอิ แต่อุบไว้ก่อน ฮา ส่วนนวีน กำลังมีรีเทิร์นค่ะ

คุณ sai เดาแม่นมากเลยค่ะ ^^

คุณ Kim นวีนจะไม่ยอมลงโรงง่ายๆ แน่นอนค่ะ และทำท่าว่าอยากกลับมาเต็มแก่

คุณ กาซะลองพลัดถิ่น ช่อมาลีตอนนี้โดนบังคับให้รับรู้ความรู้สึกของดรัลตรงๆ เลยนะคะ รับได้หรือเปล่าเน้อ แอบมีฉากหวานมานิดๆ ไม่รู้ว่าหวานไหมนะคะ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ส่งวุ้นแปลภาษาให้ลังนึงนะคะ เรื่องของฟุยังต้องงงไปถึงตอนหน้า ฮา คนเขียนตอนเขียนตอนก่อนหน้าสมงสมองก็ค่อนข้างมึนพอควรค่ะ มาตอนนี้ค่อยโล่งหน่อย กลับมาเขียนต่อที่บ้านแล้ว ฮา

คุณ ปิ่นนลิน ดรัลเนื้อหอม มีหนุ่มสวย สาวเก่งมาติดพันไปหมดค่ะ ยกเว้นสาวหน้ามึน ไม่รู้จะมึนไปอีกนานเท่าไหร่ อิอิ

คุณ yapapaya ดรัลเขาเสน่ห์แรงค่ะ ฮา

ช่วงนี้สปีตจะช้าๆ หน่อย แต่จะไม่หายไปแน่นอนค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกจำนวนถูกใจ และขอบคุณทุกความคิดเห็นเลยนะคะ





ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ส.ค. 2558, 00:41:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ส.ค. 2558, 01:06:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1459





<< บทที่ 13 : มาดังกัมปนาท   บทที่ 15 : รอยยิ้มของความเจ็บปวด >>
konhin 23 ส.ค. 2558, 03:53:45 น.
กรี๊ดดดดดดด ชอบครอบครัวนี้จังเลยยยยยยยยยยยยยยย ในเมื่อเปิดโอกาสให้ตั้งนานแล้ว นอกจากจะไม่ใยดียังเอาไปขยี้ด้วยส้นเท้า ก็อย่าหวังโอกาสครั้งที่สอง กรี๊ดดดดดดดดดดดดด


นักอ่านเหนียวหนึบ 23 ส.ค. 2558, 18:18:48 น.
อยากจะสมน้ำหน้านายขาวีนจิงๆ แต่ลึกๆ ก็สงสารอะ เอาเถอะนะ เพื่อก้าวต่อไปในการเริ่มรักใครสักคน ที่ไม่ใช่อาลัว !!!!!! เพราะคนนี้เค้ามีเจ้าของแล้วววว กรี้ดดดดด อยากเป็นกล้วยไม้ป่าที่ดาษดื่น แต่ได้เป็นเจ้าของหัวใจใครซักคน อร๊ายยย


ปิ่นนลิน 23 ส.ค. 2558, 22:19:09 น.
ไม่ค่อยสนนวีนเท่าไหร่ละ

สนแค่พี่เอื้องกับไอ้คุณพี่จุ้นมากกว่า อิอิ

พี่จุ้นนี่ทำให้หัวเราะได้ทุกที โถ พ่อคุณ 5555


pkka 23 ส.ค. 2558, 23:08:53 น.
เข้มข้นๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account