อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด

ตอน: บทที่ 15 : รอยยิ้มของความเจ็บปวด

บทที่ 15

ชีวิตสงบ น่าเบื่อ หายไปตั้งแต่เธอติดสอยเจ้านายมาเพื่อพักใจ นอกจากจะไม่ได้ใช้เวลาพักใจอย่างจริงจัง เธอยังต้องเสียขวัญ เสียเพื่อน อกหัก และใช้สมองคิดโน่นนี่ ตีความอาการของดรัลอีกสารพัดสิ่ง ไม่รู้ว่าเขาจะหาเรื่องให้เธอตกใจตายไปในวันไหน

“ยังไม่หายโกรธผมอีกเหรอ”

สัมปันนีกอดเข่า กระเถิบหมุนกายหนี หันหน้าออกบันไดบ้าน ไม่พูดไม่จา เธอหงุดหงิดที่ดรัลปิดบังเรื่องที่เขารู้ว่า ‘ยูกิ’ คือฟุมาตลอด

‘ผมรู้ตั้งแต่วันนั้นที่โทรไปหาเลขาฯ ของพ่อฟุแล้ว’

ประเด็นนั้นยังไม่น่าโมโหเท่าที่เขาบอกว่า ‘ผมก็แค่เล่นสนุกกับเด็ก เรื่องดีลงานผมนัดกับพวกเขาเตรียมเดินทางไปคุยเดือนหน้า ฟุเขาชอบกล้วยไม้ พ่อเขาก็เอาใจลูกชาย ให้ลูกได้มาสัมผัสกับกล้วยไม้จริงๆ ถือเป็นการหลบดงกระสุนจากญี่ปุ่น’
‘ดงกระสุน!’

‘พ่อของฟุเขาเป็นมาเฟียทางธุรกิจ มีธุรกิจหลายอย่าง มาถึงที่นี่ก็ยังโดนเพ่งเล็ง’

“เราควรส่งฟุกลับไป” สัมปันนีไม่คิดว่าตัวเธอเป็นฮีโร่สาวที่พร้อมกระโดดช่วยชีวิตคนอื่น กระสุนจะพุ่งเปลี่ยนทิศมายังพวกเขาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“ฟุปิดเทอมอยู่ รอจนกว่าจะเปิดเทอม ค่อยส่งเขากลับ เดือนหน้าผมจะพาเขาไปพร้อมกัน” ดรัลถือโอกาสโอบไหล่สัมปันนี ไม่สนว่าจะได้รับแววตาเขียวปั้ดขนาดไหนกลับมา “ห่วงผมล่ะสิ”

“เปล่าซะหน่อย ห่วงตัวเองต่างหาก” ชีวิตของเธออยู่กับเขา ถ้ามีอันตรายจริง คนที่ไม่น่ารอดก็คือเธอมากกว่า

“ปากแข็ง”

“หลงตัวเอง”

ดรัลหัวเราะหึ เขารู้ว่าสัมปันนีไม่ได้ปากแข็ง แต่เป็นเขาที่หลงตัวเองจริงๆ “ไม่หวั่นไหวบ้างเหรอ”

“ทำไมต้องหวั่นไหวล่ะคะ”

เสียงถอนหายใจดังเฮือกใหญ่ตอบรับคำพาซื่อที่สัมปันนีแสดงออก หญิงสาวหน้าเจื่อนไปหลังจากรู้ว่าได้พูดสิ่งที่พลาดออกไปอีกครั้ง พึงระลึกได้ว่าตอนนี้ทั้งเขาและเธอถือเป็นแฟนกันอยู่ กฎห้าก้าวที่เธอเคยตั้งไว้ใช้หลังจากนี้ก็ยังไม่สาย แต่เธอควรจะเป็นแฟนที่ดีบ้าง

“ฉันไม่เคยมีแฟน”

“ตอนนี้ ตรงนี้ล่ะ” น้ำเสียงบ่นน้อยใจดังขึ้น

สัมปันนียิ้มเอาใจ มือยกขึ้นสัมผัสมือใหญ่ที่แตะไหล่เธออย่างแผ่วเบา ความจริงใจของดรัลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่เธอกลับค่อยๆ ปรับตัวเพื่อที่จะเรียนรู้ “ถึงจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ฉันกลับรู้สึกว่ามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายทุกวัน ฉันไม่เคยเบื่อหน่าย ไม่เคยได้หยุดนิ่ง เวลาเศร้าก็มีคุณคอยอยู่ข้างๆ จะมีพนักงานกิ๊กก๊อกที่ไหนโชคดีเหมือนฉันอีก”

“ไม่มีใครโชคดีเหมือนคุณแล้ว”

คนฟังย่นจมูก พิงศีรษะกับเจ้าของวงแขนที่โอบประคองเธอไว้อย่างสบาย ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้อง เธอก็แค่อยากเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่อยากพักพิงในวงแขนคนที่ใส่ใจกัน ไม่ต้องรัก ไม่ต้องหลง แค่แน่ใจได้ว่าวินาทีนี้เขายังอยู่กับเธอ และยังมีอีกสี่สิบแปดชั่วโมงข้างหน้าที่เธอจะมองเขาด้วยสายตาชื่นชม และขอบคุณเขาได้โดยไม่ตะขิดตะขวงใจ

น่าเสียดายที่กว่าเธอจะทำตัวเป็นแฟนที่ดี เธอก็ใช้เวลาก่อนหน้าไปกับน้ำตา ความเสียใจ และการไม่ลืมเลือนความเจ็บปวด ความรักที่ไม่สมหวัง ซึ่งสุดท้ายไม่มีอะไรที่หลงเหลือ ไม่มีความเกลียด ไม่มีสิ่งเสียใจ เหมือนทุกอย่างเป็นความว่างเปล่า แต่เป็นความว่างเปล่าที่หัวใจยังมีความอบอุ่นโอบล้อมไว้

“ฉันจะเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉา”

“ต่อเวลาได้นะ”

“ไม่ค่ะ เจ็ดวัน...ก็เกินฝันฉันมากพอแล้ว” สัมปันนีบอกเสียงแผ่ว ดวงตาแน่วแน่ “พี่เอื้องต้องพบคนที่เหมาะสมแน่ๆ ค่ะ”

“มั่นใจในตัวเองหน่อยอาลัว” คนฟังโกรธอยู่ในใจกับการรู้ว่าสัมปันนีเห็นคุณค่าในตัวเองต่ำเตี้ยติดดินขนาดไหน

หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ “อย่ามากไปกว่านี้เลยค่ะ”

“อย่าเพิ่งไปนึกถึงเวลาที่ยังมาไม่ถึงเลย” น้ำเสียงของดรัลฉายแววหงุดหงิด พยายามเข้าใจว่าระยะเวลาไม่กี่วันมานี้ได้เกิดเรื่อง และการเปลี่ยนแปลงมากมายต่อสัมปันนี เขาจะไม่เร่งรัด ไม่เอาแต่ใจตัวเองเด็ดขาด แต่จะมายกเขาให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้ามีหรือที่เขาจะยอม

“ไปช่วยคุณช่อกับพี่จุ้นดูงานดีกว่าค่ะ” สัมปันนีผุดลุกได้ทันก่อนที่ริมฝีปากของดรัลจะวางลงมาตรงขมับอย่างฉิวเฉียด คนพลาดเป้าค้างท่านั้น มองคนรู้ทันอดชมเชยแกมเหน็บเล็กมาให้

“ฉลาดขึ้นนะ”

คนลุกหนีหันกลับมายิ้มแกมขำ เอียงคอไหวไหล่รับอย่างหน้าชื่น

“คุณเอื้อง” กัมปนาทโผล่มาตรงชานบันไดบ้าน หน้ายิ้ม แต่แววตาติดบึ้ง มองเลยไปถึงคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของดรัลอย่างไม่พอใจ เขาอุตส่าห์ตามหาดรัลทั่วงานกล้วยไม้ แต่ก็ไม่เจอสักที คนในร้านก็บอกว่าดรัลไปอยู่ตรงโน้นตรงนี้ พอเขาไปหากลับไม่เจอเลย จึงดั้นด้นมาที่นี่

สัมปันนีลอบกลอกตา บอกให้ตัวเองใจร่มสงบ เธอแทบลืมไปแล้วว่าเคยระแวงดรัลเรื่องเขาเป็นเกย์หัวใจสีม่วง กระทั่งมีกัมปนาทมาหลอกหลอนถึงที่นี่อีกครั้งหนึ่ง

“เดินทางมาเหนื่อยไหมครับ” ดรัลลุกขึ้นต้อนรับแขก

หนุ่มหน้าสวยเก๊กขรึม วางมาดเข้ม “ไม่เหนื่อยหรอกคุณเอื้อง” ก็แค่ตามหาตัวเขาทั้งวัน

“กระเป๋านั่นคือ...” สายตาคมมองไปยังกระเป๋าสัมภาระในมือกัมปนาท ในหัวร้องเสียงดังว่านี่คือสัญญาณอันตรายสีแดงเข้ม

“ได้ข่าวว่าจะมีงานแต่งงานของน้องสาว ผมเลยอยากมาช่วยคุณ”

“คนช่วยงานนี้เยอะแล้วนะคะ” สัมปันนีเสนอหน้ามาจากด้านหลังดรัล ใช้เจ้านายเป็นปราการป้องกันการทำร้าย เผื่อหน้ากากมาดหล่อที่กัมปนาทจะปริแตกออกมา

“อีกสักคนจะเป็นไรไป ผมเองก็รู้จักคุณเอื้องมานานหลายปี ‘เพื่อน’ จะช่วย ‘เพื่อน’ ทำไมไม่ได้”

สัมปันนีเกาหัวแกรก เธออยากไล่ผู้ชายตรงหน้าใจแทบขาด แต่ติดที่เขาเป็นบริษัทโลจิสติกส์ที่ต้องทำงานร่วมกันกับดรัล เธอจะทำให้ดรัลเสียประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้

“พี่เอื้องว่ายังไงคะ”

“มาเป็นแขกก็พอครับ ไม่ต้องลำบากช่วยอะไรให้เหนื่อยหรอก” ดรัลบอกด้วยความใจเย็น นึกถึงช่วงเวลาที่สัมปันนีเข้าใจว่าเขาเป็นเกย์แล้วยังรู้สึกโมโหไม่หาย

เขาไม่ได้เกลียด หรือมีอคติกับรสนิยมทางเพศของคนอื่น แต่เขาไม่ชอบถ้ามันจะทำให้เขามีปัญหา หรือเกิดความเข้าใจผิดขึ้นถึงรสนิยมเขา จะชายแท้ชายเทียมก็ไม่ควรมาทำให้เขาเกิดความเข้าใจผิดขึ้น โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่ทั้งซื่อ และไม่เคยเข้าข้างตัวเองอย่างสัมปันนี

“ได้ยังไงกันครับ ผมตั้งใจมา”

“ห้องเต็มค่ะ” สัมปันนีหมั่นไส้กัมปนาทเป็นทุนเดิม จึงปากกล้าขาแข็งได้ตลอดเวลาที่หลบอยู่หลังดรัล หูของเธอได้ยินเสียงห้าวของเจ้านายหัวเราะในคอออกมา

“ห้องคุณเอื้องไง ผมไม่ถือ”

“แต่ฉันถือ เพราะฉันนอนอยู่ในห้องนั้นกับพี่เอื้อง”

กัมปนาทอ้าปากพะงาบๆ โลกสวยงามที่เขาสร้างวิมานในอากาศไว้ถล่มลงมาร่วงกราว รวมถึงหน้ากากมาดแมนของเขาที่ค่อยๆ ปริแตก และเผยใบหน้าอันตราย ยะเยือกออกมา

“อะไรกันคุณเอื้อง”

“อย่างที่อาลัวบอกล่ะครับ” ดรัลส่ายหน้าขัน สัมปันนีเลือกจะบอกแบบกำกวมชวนให้คิด ทั้งที่จริงแล้วเวลาอยู่ในห้องเธอจะกั้นอาณาเขตไว้อย่างชัดเจน ไม่มีการก้าวก่าย และให้เกียรติแก่กัน

หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองกำลังเล่นเกมแย่งผู้ชายอย่างสนุกสนาน และยกนี้เธอก็ทำให้คู่ต่อสู้เมาหมัดกลางอากาศได้สำเร็จ จนเธออยากปรบมือให้กับความห้าวหาญไม่กลัวตายของตัวเอง ร้อยวันพันปีเธอขึ้นเวทีปะทะคารมกับใครเขา ส่วนใหญ่ก็มีแต่แพ้กับแพ้ เคยชนะใครเด็ดขาดที่ไหน

หนุ่มหน้าสวยหายใจแรงจนจมูกบานขยาย ปากเม้มบิดแน่น ส่ายหน้าไม่เชื่อลูกเดียว สัมปันนีรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นมารร้ายที่ทำร้ายผู้ชายบอบบางหัวใจอ่อนแอ และเธอคงเชื่ออย่างนั้น ถ้าวันนี้ไม่ถูกต่อว่า กดหัวไม่รู้ตั้งเท่าไหร่จากปากของกัมปนาท เธอล่ะสงสารไม่ลง และยังคิดว่านี่คือหน้ากากอีกอันที่กัมปนาทหยิบมาสวมใส่

“ผมลืมไปว่ามีธุระด่วน” กัมปนาทยุติความตั้งใจแรกเริ่มลง สายตาเชือดเฉือนสัมปันนีที่บังอาจมาขัดความสุขที่เขาเฝ้ารอคอยมาตลอดทั้งวัน

“ขับรถกลับดีๆ นะครับ” ดรัลผายมือเชิญอย่างมีมารยาท แต่กลับไม่เปิดโอกาสให้กัมปนาทได้กลับคำ

คนถูกไล่กรายๆ หน้าม้าน เดินจากไปไม่คิดหันกลับมา เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีการง้อเกิดขึ้น

คล้อยหลังพายุลูกใหญ่พัดจากไป สัมปันนีจึงปล่อยชายเสื้อของดรัลที่เธอจับไว้แน่นลง ความโล่งอกระบายมาทางการผ่อนลมหายใจ

“เคยนั่งคุกเข่าต่อหน้าเขาอย่างนั้น ไม่น่าปฏิเสธน้ำใจของเขาเลย”

“คุกเข่าต่อหน้า?” ชายหนุ่มเท้าสะเอว นึกย้อนตามถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ก่อนจะถึงบางอ้อขึ้นมาเลาๆ “เดือนก่อนโน้นที่ห้องทำงานตอนค่ำๆ ใช่ไหม”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจดูนะคะ เห็นว่ากำลังทำอะไรฉันก็รีบหลบกลับบ้านเลย เสียงคุณกัมปนาทร้องเรียกแขกเสียงดังจะตาย”

“ตอนนั้นกัมปนาทมาหาพี่จริง แต่ไม่ได้มีเรื่องบัดสีอย่างที่อาลัวคิด เขาก็แค่กลัวเลือด”

“เลือด!”

ดรัลเริ่มยิ้ม “เขาไปล้มเจ็บมา แล้วไม่ยอมทำแผลให้ตัวเอง มาอ้อนให้ผมทำให้”

“อ้อน!” คนฟังตาเหลือก “แล้วพี่เอื้องก็ทำแผลให้เขา ไม่ปฏิเสธสักคำ พ่อพระจริงๆ”

“มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง ถือว่าช่วยๆ กัน”

“แต่เขาไม่ได้บริสุทธิ์ใจ อย่างนี้ไม่เท่ากับไปให้ความหวังเขาเหรอคะ ระวังเถอะจะหนีเขาไม่พ้น”

รอยยิ้มอารมณ์ดีพลันเลือนหายไปจากหน้าของดรัล เหลือเพียงความว่างเปล่ามอบกลับมาให้ “แล้วที่พี่ไม่บริสุทธิ์ใจอยู่อย่างนี้ อาลัวตกหลุม หนีพี่ไม่พ้นหรือไง”

สัมปันนีเสหลบตา แววเจ็บปวดจางๆ ในตาของดรัลทำให้หัวใจของเธอร้าวเล็กๆ อย่างไร้สาเหตุ เธอไม่ชินกับอาการตัดพ้อของดรัล ทุกวัน ทุกการแสดงของเขามีแต่ห่วงใยเธอจากใจ ไม่ใช่เพียงแค่คนแปลกหน้าที่ผ่านมาช่วยเหลือ ถึงเธอจะโง่มากๆ แต่ก็ไมได้โง่ขนาดที่อ่านความรู้สึกของเขาไม่ออก เพียงแต่ความรู้สึกของดรัลอาจไปไม่ถึงฝั่งในท้ายที่สุด ไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนสวยเลือกได้ แต่เรื่องของเธอกับดรัลเริ่มต้นเร็วเกินไป และมันจะจบลงเร็วเช่นกัน

เธอยังไม่ทันเรียนรู้ความรู้สึกของตัวเอง และยังไม่รู้ว่าการพบนวีนในครั้งต่อไป หัวใจเจ้ากรรมของเธอจะดิ้นพล่านอย่างกับถูกน้ำร้อนลวกอยู่ไหม

การให้ความหวัง คือการยื่นมือมาให้ข้างหนึ่ง แต่ก่อนจะสัมผัสผิวเนื้อกัน...ช่วงเวลานั้นยังมีโอกาสที่มือทั้งสองจะคลาดจากกัน คนที่หวัง หรือรอคอยความหวัง มักเป็นคนที่เจ็บปวด...เธอจึงไม่อยากให้ความหวังกับใคร จนกว่าทุกอย่างจะกระจ่างชัดด้วยใจตัวเอง แม้วันนั้นคนที่รอ อาจไม่ได้ยืนรอเธอแล้ว...ก็คงทำได้แค่นึกสมน้ำหน้าตัวเอง

“แต่คนเรา ถ้าไม่ได้รัก ไม่ได้มีใจ ก็ไม่ควรให้ความหวังใครนะคะ การเข้าข้างตัวเอง ก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวที่ทำให้มีความสุข ความจริงกระจ่างตรงหน้าเมื่อไหร่ สิ่งเดียวที่เราจะรับรู้คือความเจ็บปวด”

“พี่ไม่ใช่นวีน”

“ฉันกลัวพี่เอื้อง...กำลังเป็นเหมือนที่ฉันเคยเป็นมากกว่าค่ะ” สัมปันนีหันหลังกลับเข้าห้องพัก บนเตียงมีร่างของฟุนอนเหยียดยาวหลับอยู่ เธอจึงขนหมอนผ้าห่มของตัวเองมาไว้ขอบเตียง ใช้พื้นที่แคบเล็กพอดื้นได้นิดหน่อยเป็นที่หลับนอน ด้านล่างของเตียงตรงที่ว่างคือที่นอนของดรัล วันนี้ที่ตรงนั้นดูใกล้กว่าทุกที

ดรัลเดินเข้ามานอนในตำแหน่งที่ว่าง สายตามองตอบกลับคนที่อยู่ขอบเตียงอย่างไม่ลดละราวกับกำลังเล่นเกมจ้องตากัน แรงดึงดูดทำให้เขาค่อยๆ เคลื่อนศีรษะขึ้นมา แต่ในจังหวะที่จวนจะถึงหน้าผากมน สัมปันนีกลับพลิกกายไปอีกด้าน ปล่อยให้ดรัลทิ้งศีรษะลงหมอนด้วยอาการสิ้นหวัง

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิด แต่ไม่อยากคิด...บางที เงาที่ค้างในใจของสัมปันนีอาจใช้เวลาทั้งชาตินี้ก็ไม่พอที่จะลบออกไป



ความวุ่นวายเกิดขึ้นตั้งแต่มื้อเช้าของวันใหม่ สัมปันนีวนกลับมาสอดส่องในห้องนอนว่างเปล่าของช่อมาลีอย่างกังวล เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าท้ายที่สุดทุกอย่างจะลงเอยอย่างนี้ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นมีสูง แต่เธอก็ยังเป็นห่วงความรู้สึกของจุณวัฒน์อยู่ดี

ความรู้สึกภายในใจของคนเรามีแรงผลักดันสูงมากพอที่จะทำลายวิมานสวยๆ สักหลังให้พังราบลงไปได้จริงๆ

หญิงสาวระลึกถึงกล่องความทรงจำที่ตัวเองซุกซ่อนไว้ใต้เตียงนอนที่บ้าน นึกถึงช่วงเวลาที่นวีนเปิดมันออกมาพบความจริงตลอดสามปีที่ผู้หญิงข้างกายเขาเก็บซ่อนเอาไว้ คนๆ หนึ่งเกิดอาการรับไม่ได้อย่างหนักขึ้นมา และทำให้คนๆ หนึ่งกลัวความรัก ไม่กล้าพอที่จะเดินหน้า และยังไม่แน่ใจว่าตัวเองยังเหลือความรู้สึกใดตกค้างกับความรักครั้งแรกอีกหรือเปล่า

ถ้าจะโทษ เธอจะโทษความรู้สึกเพียงอย่างเดียว ไม่มีรักใดที่มีความสุขถาวร และไม่มีความทุกข์ใดที่จะอยู่กับเราไปจนวันตาย ทุกสิ่งผ่านเข้ามา แต่ไม่รู้วันที่มันจะผ่านออกไป ช่อมาลีก็เป็นหนึ่งในคนที่ปล่อยให้เวลาเก่าๆ อยู่กับตัวเองนาน และมันได้ทำร้ายคนอีกคน

จุณวัฒน์เคร่งเครียดอยู่กับการโทรศัพท์ไปหาช่อมาลีร่วมชั่วโมงจนสุดท้ายก็ถอดใจ และนั่งอยู่เฉยๆ ไมเหลือความขี้เล่นที่เธอรู้จักอีกต่อไป

“พี่จุ้น” สัมปันนีเรียกจุณวัฒน์เสียงเบาอย่างระวัง กลัวจะไปกระทบกระเทือนความรู้สึกเปราะบางของเขาเข้า

“ช่อไปจริงๆ”

“คุณช่อเขาอาจจะกลับมา”

ว่าที่เจ้าบ่าวหัวเราะขมขื่น “ช่อเขาตัดสินใจแล้ว อาลัวไม่เห็นเหรอ”

“เขาต้องกลับมาสิคะ คุณช่อหึงพี่จุ้นบ่อยจะตาย อย่าเพิ่งกังวลเลยค่ะ อาจไปทำธุระเฉยๆ”

“อ่านนี่สิ”

วินาทีหนึ่งสัมปันนีภาวนาให้มันไม่ใช่จดหมายที่ช่อมาลีทิ้งไว้ เหมือนตามละครหลังข่าวที่เธอเคยดูเวลาตัวละครหลักหนีงานแต่งงาน หนีออกจากบ้านไป แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งนั้นยังคงตามมาเกิดขึ้นในชีวิตจริงนี้ด้วย ต่างจากละครตรงที่ข้อความในนี้สั้น กระชับ ได้ใจความ ทุกรอยเส้นปากกาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

‘ขอโทษค่ะ...แต่อย่ารอช่ออีกเลย’

ข้อความทั้งหมดทำให้คนอ่านเกิดอาการพูดไม่ออก เธอได้แต่กำเศษกระดาษในมือแน่น ทำไมโลกนี้จึงต้องมีคนอกหัก ทำไมความรักจึงไม่เกิดขึ้นมาเพื่อคนสองคน ทำไมจึงต้องมีคนที่สามที่สี่ และทำไม ความรักชอบเล่นตลก ให้รักคนที่ไม่รัก ในขณะที่ส่งใครสักคนที่เราไม่รัก มาอยู่ในบุพเพสันนิวาสแทน

“งานแต่งงานจะทำยังไงต่อไปล่ะคะ แขกเหรื่อก็บอกไปหมดแล้ว”

“ยกเลิกสิ อายสักเดือน เดี๋ยวคนก็ลืม คนไทยลืมง่ายจะตาย จะเอาไปพูดอะไรก็ปล่อยเขาไป พี่ไม่สนใจหรอก เอาที่ช่อเขาสบายใจที่สุดก็พอ”

สัมปันนีกัดปากจนเจ็บ เธอไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดช่อมาลีจึงทิ้งคนดีแสนดีที่เกือบสร้างครอบครัวไปในนาทีสุดท้าย เคยคิดว่าตัวเองจะเข้าใจ จะไม่ยุ่งกับการตัดสินใจ แต่เมื่อถึงเวลา เธอกลับเข้าข้างช่อมาลีไม่ได้ และเลือกที่จะมานั่งเศร้ากับจุณวัฒน์ราวกับคนหัวอกเดียวกัน

“คุณช่อโชคดี แต่ตัวเองไม่รู้เลยว่าได้ปล่อยคนที่มีค่าคนหนึ่งให้หลุดมือไป ยังไงพี่เอื้องก็ไม่มีวันรัก ทิ้งพี่จุ้นไป คุณช่อก็เหลือตัวคนเดียว”

“คนที่ดีกับคนที่รักมันไม่เหมือนกันหรอกอาลัว อีกอย่างพี่กลับเห็นว่าช่อเขาทำแบบนี้ เพราะเขาไม่อยากเห็นแก่ตัว ถึงเขาจะรู้สึกหวงพี่ หึงพี่ แต่ก็ไม่ได้มากพอที่จะเรียกความรู้สึกนั้นว่ารัก ช่อเขาคงคิดอย่างนั้น”

คนฟังเกิดอาการเจ็บปวดที่ใจแทน ชะตากรรมอะไรหนอ กำหนดจิตใจคนโน้นคนนี้ให้รักไม่รัก แล้วเธอล่ะ ในสายตานวีนคือคนที่ดี และคนที่เธอรักมาเสมอ เมื่อถึงวันที่ต้องยอมรับว่าไม่มีวันรักกันได้ เธอเองก็มีสภาพกึ่งรับได้ และไม่ได้มาเสมอ หลายหนที่เธอไม่เป็นตัวของตัวเอง เหม่อ และเอาแต่จมอยู่ในช่วงเวลาที่เป็นฝันหวาน แต่ไม่ใช่เรื่องจริง

“ทำได้ยังไงคะพี่จุ้น...ทำไมไม่ร้องไห้”

จุณวัฒน์แหงนหน้ามองฟ้า ดวงตาฉายความเศร้าออกมา แต่ริมฝีปากกลับประดับยิ้มเจือจาง เป็นยิ้มที่รวบรวมขึ้นมาจากความเจ็บปวดทั้งหมด

“ไอ้เอื้องบอกกับพี่มาตลอด ว่าวิธีที่ง่ายที่สุดคืออยู่กับความจริง และปล่อยวาง ถ้ามันเดินมาถึงทางตัน หัวใจของคนเราไปบีบบังคับไม่ได้ แต่ไม่มีอะไรที่เกินความพยายาม ถ้าจะลืมใครสักคน” บางทีดรัลอาจรู้มาตลอดว่าท้ายที่สุดเรื่องงานแต่งงานจะลงเอยอย่างนี้...จุณวัฒน์ไม่โกรธที่หัวใจของช่อมาลีไม่ได้อยู่ที่เขา “สิ่งที่จะอยู่กับเราก็คือช่วงเวลาที่มีความสุข สิ่งดีๆ ที่เคยเกิดขึ้น กับทางเลือกสองทาง จะรัก...หรือเคยรัก”

จะรัก...หรือเคยรัก สัมปันนีเงียบกริบ ภาพนวีนอยู่ในหัวมากมาย ล้วนเป็นเหตุการณ์ดีๆ ที่เคยเกิดขึ้น วันที่เขาผูกเชือกรองเท้า ทานข้าวด้วยกัน หัวเราะไปกับตลกฝืดๆ ของเธอ ทำอาหารให้ ทุกอย่างยังคงชัดเจนในใจเธอ แต่...เธอไม่อยากสร้างความลำบากใจให้กับนวีน เธออาจเป็นแค่เป็ดที่เดินไม่เร็ว บินไม่สูง ว่ายน้ำไม่ชำนาญ แต่เธอยังมีความพยายามที่จะอยู่กับปัจจุบันทุกวันอย่างมีความสุข ถึงนวีนไม่รัก เธอก็ยังมีครอบครัว มีพี่ชายร่วมโลกที่บังเอิญได้มาพบกันในช่วงเวลาแห่งการทำใจ หรือแม้แต่คนที่เธอเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน แต่เขาพยายามที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของเธออย่างไม่ลดละ คนที่เธอไม่เคยมองเห็นเขาให้ชัดเต็มสองตามาก่อน

“งานแต่ง ช่วยรอจนถึงนาทีสุดท้ายได้ไหมคะ เผื่อคุณช่อกลับมา”

“แล้วถ้าเขาไม่กลับมาล่ะ”

“ฉันจะแต่งแทนค่ะ” คนที่เคลื่อนไหวอยู่บนบ้านหันมามองคนพูดเป็นตาเดียว โดยเฉพาะดรัลที่กำลังทำหน้าอยากฆ่าจุณวัฒน์หากไม่ได้ยินอีกประโยคที่สัมปันนีพูด พร้อมกับมองเขาแน่วแน่ “พี่เอื้อง เราลองมาแต่งงานกันไหมคะ”
ดรัลส่งสายตาเขียวปั้ดให้คนขอ “งานแต่งงานที่ไหนเขามีลองแต่งกันด้วยเรอะ”

“ทุกอย่างเตรียมไปหมดแล้ว พี่เอื้องไม่เสียดายเหรอคะ”

“ขอความจริง”

สัมปันนีบีบมือตัวเองแน่น แทบจะได้ยินเสียงหัวใจลึกๆ ของตัวเองที่กำลังโลดเต้น อยากออกมาจากเงามืดเสียที “ฉันอยากเริ่มต้นใหม่ค่ะ” แน่นอนว่าวิธีของเธอเป็นวิธีที่เห็นแก่ตัวที่สุด และเธอไม่เสียใจเลยถ้าดรัลจะปฏิเสธ และต่อว่าเธอด้วยคำแรงๆ อีกสักหน่อย เผื่อเธอจะได้มีวิธีการที่ฉลาดกว่านี้

“ไม่คิดว่าตัวเองกำลังทำร้ายพี่บ้างเหรอ”

“คิดค่ะ”

“คิดแล้วทำไมยังทำ”

“เผื่อมันจะทำให้พี่เอื้องตัดใจจากฉันได้เร็วขึ้น”

“หลงตัวเองให้มันน้อยๆ หน่อยอาลัว” ดรัลเดินมาหยุดตรงหน้าร่างที่กล้าออกปากขอเขาแต่งงาน และขอให้เขาตัดใจในเวลาไล่เลี่ยกัน อย่างกับโยนเขาลงไปบนทัมมาลีน ไม่มีช่วงเวลาไหนได้ยืนมั่นคง เขาสนใจคนตรงหน้าก็จริง แต่กลับไม่เคยคิดไปไกลถึงช่วงเวลาครองคู่ตลอดกาล ส่วนหนึ่งเพราะสัมปันนีเป็นอย่างนี้ ไม่เคยมีความมั่นใจอะไรให้กับชีวิต ไม่เคยเด็ดขาดกับความรู้สึก วันนี้เธอยิ่งมายืนยันว่าไม่จริงจังด้วยคำว่า ‘ลอง’ แต่งงานดู

“รู้ไหมว่าการแต่งงานทำให้คนเราต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง อาจจะเสียเวลา ความรู้สึก หัวใจ...ร่างกาย”

“มันจะทำให้พี่เอื้องตัดใจได้เร็วขึ้นหรือเปล่าคะ”

“ที่ทำนี่เพื่อไล่พี่”

“ส่วนหนึ่งค่ะ อีกส่วนเพื่อไล่นวีน สุดท้ายฉันจะได้อยู่คนเดียว ไม่ต้องเหลือใครค้างในใจ เสียอะไรไปบ้างก็ช่างมัน”

คนฟังกัดฟันกรอด เขาควรตื่นจากความรู้สึกบ้าๆ เหล่านี้ คนๆ หนึ่งไม่เห็นค่าเขาขนาดหยิบยกมาพูดเรื่องสำคัญหน้าตาเฉย คนเราไม่ผูกพันลึกซึ้งกันจะแต่งงานกันได้เหรอ ขนาดช่อมาลีที่รู้สึกดีกับจุณวัฒน์บ้างยังทนความรู้สึกผิดบาปที่ยังเหลือใยกับเขาไม่ได้จนหนีเตลิดไปไกล ตรงข้ามกับสัมปันนีที่กำลังทำตัวเป็นมนุษย์เห็นแก่ตัว ฉกฉวยประโยชน์ช่วงวิกฤตเพื่อตัวเองอย่างเดียว

คนตรงหน้าไม่ได้น่ารักอย่างที่เขาเคยรู้จัก และไม่ได้ใสซื่ออีกต่อไป การตัดสินใจของสัมปันนีสั่นคลอนความรู้สึกด้านดีของเขาจนแทบพังทลาย

“ก็ดี ถ้ามันจะทำให้ฉันเกลียดเธอได้เลยยิ่งดี ถ้าช่อไม่มา เราก็ลองแต่งงานแทนไปเลย” สรรพนามเปลี่ยนเป็นห่างเหิน

สัมปันนีค่อยๆ เหยียดรอยยิ้มออกมา ทั้งที่ฟันกรามกัดแน่น ไม่ให้รสขมปร่าแล่นพล่านไปทั้งใจ การแสดงออกของดรัลเป็นไปตามที่เธอต้องการ จากนี้คงไม่มีผู้ชายอ่อนโยนมาคอยดูแลเธออีก เพราะความเกลียด ความไม่พอใจจะค่อยๆ ทำงานกัดกร่อนความรู้สึกเขา

นี่คือหนึ่งในการเริ่มต้นใหม่...การเริ่มต้นของความ ‘ไม่’ รัก ‘ไม่’ ผูกพัน การเริ่มต้นด้วยความรู้สึกลบ เป็นนิมิตหมายของการเลิกรา ส่วนตัวเธอก็จะพยายามให้มากยิ่งขึ้นในการเรียนรู้ความเจ็บปวดจากการทำร้ายความรู้สึกใครสักคน เมื่อถึงวันที่ดรัลไม่ได้ผูกพัน และอยากลองเสี่ยงกับเธออีก ก็เท่ากับเธอปลดปล่อยเขาไปจากความรู้สึกในใจ เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งเขาได้ช่วยเหลือเธอออกมาจากเงานวีน คนที่กลัวความรักอย่างเธอ ไม่อยากให้ใครมาเสียเวลารอ ไม่อยากให้ใครมาคาดหวังความรู้สึกที่เธอไม่รู้ว่าจะแสดงให้ได้เต็มที่ หรือไม่มีวันเต็มร้อยแล้วเผลอทำร้ายใครเพิ่ม เธอสับสนเกินไป

จุณวัฒน์ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของสัมปันนี เขาเห็นความเจ็บปวด และทรมานใจจากแววตาทั้งสองข้างที่มักจะซื่อใสตลอดได้ชัดเจน ในขณะที่เพื่อนเขาพอพูดจบก็เดินหนีหายไป เขาไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุของคนคู่นี้เริ่มมาจากไหน จะมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนานลึกซึ้งไหม แต่การกระทำประชดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย

“ถ้าไม่อยากให้มันรักทำไมไม่หายไปเฉยๆ”

“เพราะฉันจะรู้สึกค้างคามั้งคะ” สัมปันนีแสร้งยิ้มทั้งที่ยิ้มแทบไม่ออก “อีกอย่างฉันอยากช่วยพี่จุ้น เรื่องของฉันกับพี่เอื้องจะได้กลบข่าวพี่กับคุณช่อได้ ฉันรู้ว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน ถึงพี่จุ้นจะแสดงออกว่าไม่เป็นไร แต่ฉันในฐานะคนนอกที่รู้เรื่องก็ยังอยากช่วย”

“ไม่เห็นต้องลงทุนทำถึงขนาดนี้”

“มันเป็นความผิดของฉันกับพี่เอื้องค่ะ ถ้าเราสองคนไม่มาที่นี่ มากระตุ้นความรู้สึกคุณช่อ งานแต่งงานของพี่จุ้นก็จะยังมี” สัมปันนีไม่มีทางลืม ว่าช่อมาลีมีอาการอย่างไรพอรู้สถานะของเธอกับดรัล ตั้งแต่มันเป็นสถานะปลอมๆ รวมถึงวันที่เธอสารภาพออกไปว่าไม่ได้เป็นอะไรกับดรัล เธอก็ไม่ต่างจากคนที่ไปยื่นความหวังครั้งใหม่ให้กับช่อมาลีเหรอ

“ยังหวังลมๆ แล้งๆ อีกเหรอ พี่ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่กลับมา ทุกอย่างอาจเกิดจากความรู้สึกผิด พี่ก็ไม่ถือ ไม่โกรธ”

“ถ้าคุณช่อกลับมาล่ะคะ”

“กลับมา ช่อก็ไม่ได้รักพี่อยู่ดี พี่มันก็ดื้อไปเอง กว่าจะยอมรับความจริงได้ ก็ตอนที่เรื่องมันเกือบจะสาย ถ้าแต่งกันไปทั้งที่ไม่ได้รักกัน คงแย่กว่านี้” จุณวัฒน์อดไม่ได้ที่จะเตือนสัมปันนี้เป็นครั้งสุดท้าย “การแต่งงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่าเอาความสุขในชีวิตมาบั่นทอน ถ้ายังไม่พร้อมจะมีความสุขเพื่อคนอื่น”

สัมปันนีนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม หัวใจด้านซ้ายค่อยๆ แผ่ความเจ็บชนิดหนึ่งออกมาจนเธอแสบซ่านไปทั้งทรวง สีหน้าผิดหวัง สีหน้าที่มองเธอเป็นคนอื่น และความว่างเปล่าของดรัลกำลังแทรกซึมทุกรอยบาดแผลทางใจของเธอ แทนที่เธอจะไม่รู้สึกเหมือนที่แล้วๆ มา และยังยึดมั่นกับภาพนวีนในหัวเหมือนคนโง่ตาบอดที่ไม่ลืม เธอกลับนึกหน้านวีนไม่ออก

ในใจถามออกมาเสียงแผ่ว หากเปล่งออกมาคงเป็นเสียงแหบแห้งอ่อนระโหย เพราะอะไรเขาจึงไม่ปฏิเสธ งาน (ลอง) แต่ง หรือเขาตั้งใจจะเกลียดเธอจริงๆ ให้ได้ตามเจตนารมณ์ที่เธออยากลืมนวีน และอยากให้ดรัลเก็บความรู้สึกดีๆ กลับไปมอบให้คนที่คู่ควร

....................................................

คุณ konhin อาลัวคงห่างครอบครัวมานานถึงได้ตัดสินใจอะไรแปลกๆ แบบในตอนนี้นะคะ ไม่มีคนให้คำปรึกษาชีทำเองเลย

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ตอนหน้านวีนมาแน่ๆ ค่ะ จะแบ่งบทให้เขาบ้าง มาแบบกั๊กๆ พักใหญ่ ฮา บทนี้ไม่หวานยังแถมรสฝาดลิ้นมาให้อีกนะคะ

คุณ ปิ่นนลิน พี่จุ้นต้องการคนปลอบด่วนค่ะ ตลกมานานเจอกับตัวหัวเราะไม่เป็นเลย

คุณ pkka ตอนนี้ชงเข้มข้นไม่เติมนมเลยนะคะ

เป็นตอนแรกที่เขียนนอกบ้านแล้วดราม่าหนักมาก อารมณ์อาลัวขึ้นลงอย่างกับคนท้อง คนดีๆ อย่างเอื้องโดนไล่ไปกี่รอบแล้วเน้อ อนุญาตให้แทะเล็ม เอ้ย ปลอบใจเอื้องได้ชั่วคราวนะคะ อิอิ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากๆ ค่า ขอบคุณทุกถูกใจ และทุกความคิดเห็นนะคะ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ส.ค. 2558, 00:34:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ส.ค. 2558, 00:41:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1471





<< บทที่ 14 : อย่านึกถึงเขา   บทที่ 16 : ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม >>
konhin 26 ส.ค. 2558, 02:16:35 น.
อย่างงง นางอาลัวทำอะไรเนี่ยยยยยยย สุดโต่งไปมั้ยย่ะ


ปิ่นนลิน 26 ส.ค. 2558, 03:12:49 น.
หงุดหงิดอาลัวแฮะ มองยาวๆๆๆๆๆกว่านี้หน่อยได้ไหม ยิ่งแต่งยิ่งผูกมัดดรัลกว่าเดิม หล่อนดูไม่ออกเหรอว่าดรัลคิดยังไง

กอดพี่จุ้น ขอนะ


กาซะลองพลัดถิ่น 26 ส.ค. 2558, 03:13:29 น.
ทั้งช่อและอาลัว เล่นกับความรู้สึกของคน...
อาลัว ไม่มีสมอง บื้อ ซื่อหรือแกล้งโง่ กันแน่ที่ทำแบบนี้....คิดถึงตอนที่ตัวเองเจ็บบ้างซิ
เอื้องอาจจะเจ็บมากกว่าเธอหลายเท่านัก .....อืมมมม เห็นแก่ตัวทั้ง ช่อและอาลัวเลย


sai 26 ส.ค. 2558, 05:00:26 น.
เรากลับสงสารอาลัวแหะ ไม่รู้สิอธิบายไม่ถูก


pkka 26 ส.ค. 2558, 08:02:46 น.
ความรู้สึกของอาลัวนี้ แน่นๆอึดอัดๆ อธิบายไม่ถูกเลย น่าสงสารแฮะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 26 ส.ค. 2558, 21:25:18 น.
ทั้งเค็ม และขมปร่า
อ่านตอนนี้แล้วเริ่มเข้าใจความรู้สึกของความรักขึ้นมาเลยคะ
ต้องขอบคุณไรท์ กะ อาลัวมากนะ ที่สอนเค้าให้รู้จักความรักได้ถ่องแท้ขึ้น 5555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account