ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: หยกตะวัน : บทที่ ๑ สาเหตุที่แท้จริง

ตอนที่ ๔ หยกตะวัน

บทที่ ๑ สาเหตุที่แท้จริง

ราชวงศ์จ้าวรัชสมัยที่ ๑๐ ปีโหย่งซินที่ ๒๔ วันที่ ๒๔ เดือน ๑๑ ในบันทึกของกรมฝ่ายในมีข้อความเขียนเอาไว้ว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันประสูติขององค์หญิงลี่จู องค์หญิงต้องเคราะห์หนักถูกมารร้ายรังควาน จึงมีการเชิญนักพรตจากเขาลู่ซานมาสวดไล่สิ่งอัปมงคล

ยามรุ่งของวันนั้นได้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เหล่านักพรตและทหารยามต้องฤทธิ์มารจนหลับใหล องค์หญิงลี่จูเกือบถูกทำร้าย เคราะห์ดีที่แม่ทัพต่งจินไท่มาช่วยไว้ได้ทัน ท่านแม่ทัพขับไล่มารร้ายออกไปจากเขตพระราชวัง ทำให้ทุกคนได้สติกลับคืนมา ทว่าเมื่อตรวจสอบบันทึกวันเดียวกันของกรมวัง เหตุการณ์ในวันนี้กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในบันทึกเขียนเอาไว้ว่ามีคนร้ายบุกเข้ามายังตำหนักผลึก ใช้ผงสลบทำให้ผู้คนหมดสติหวังลักพาตัวองค์หญิงลี่จู แต่แม่ทัพต่งจินไท่ได้เข้ามาช่วยเหลือ องค์หญิงจึงไม่ได้รับอันตราย

บันทึกสองฉบับนี้สร้างความปวดหัวให้อาลักษณ์หลวงผู้ทำหน้าที่สรุปความเป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้ว่าควรเขียนเหตุการณ์ใดลงไปในบันทึกราชวงศ์ดี กรมฝ่ายในและกรมวังล้วนมีอำนาจ หากเลือกแบบส่งๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานย่อมกลายเป็นการหักหน้าอีกฝั่งหนึ่ง อาลักษณ์หลวงจึงส่งเรื่องไปยังเจ้ากรมเพื่อขอให้มีการตรวจสอบ ทว่ากลับไม่ได้รับอนุญาต บันทึกที่ได้รับมาจากกรมฝ่ายในและกรมวังถูกเผาทำลาย ข้อความในบันทึกราชวงศ์ก็ถูกสั่งให้เขียนอย่างห้วนสั้นว่าวันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดปีที่สิบแปดขององค์หญิงสิบเท่านั้น

เรื่องการทำลายบันทึกเกิดขึ้นบ่อยๆ ในวัง อาลักษณ์หลวงเข้าใจดีว่าสมควรทำลายบันทึกที่เป็นต้นต่อของข่าวลือไร้สาระให้หมดสิ้น ไม่ว่าเรื่องภูตผีหรือเรื่องที่มีคนบุกเข้ามาล้วนเกี่ยวพันกับความมั่นคงและขวัญกำลังใจของเหล่าข้าราชบริพาร อาลักษณ์หลวงจึงปิดปากเงียบ รวมถึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยไม่ตั้งข้อสงสัยใดๆ

แม้ว่าบันทึกจะถูกทำลายและผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ถูกสั่งห้ามไม่ให้เอ่ยถึงเหตุการณ์นี้ เรื่องราวของแม่ทัพต่งก็ยังเป็นที่กล่าวขวัญ คนส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าแม่ทัพหนุ่มได้ช่วยองค์หญิงลี่จูเอาไว้จริง มิเช่นนั้นแล้วไทเฮาคงไม่เรียกตัวไปเฝ้าและประทานรางวัลให้ แทนการรับโทษที่บุกรุกเขตหวงห้าม ต่อจากนั้นฮ่องเต้ก็มีราชโองการให้แม่ทัพต่งอยู่ในสถานะคู่หมายขององค์หญิงสิบ กำหนดให้จัดพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการในเดือนสามปีหน้า ส่วนพิธีแต่งงานยังมิได้ระบุเวลาแน่ชัด เนื่องจากต้องหาสถานที่สำหรับสร้างเรือนหอก่อน

หลังจากประกาศข่าวนี้ออกไป รุ่งอรุณวันถัดมาก็มีหิมะสีขาวพิสุทธิ์โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ประหนึ่งร่วมแสดงความยินดีกับสองหนุ่มสาว แม้หิมะจะตกลงมาอย่างเบาบางก็ถือว่าหาได้ยากยิ่งสำหรับช่วงต้นเดือนสิบสอง ที่แปลกไปกว่านั้นคือท้องฟ้ายังสว่างสดใส มีแสงตะวันทะลุผ่านปุยเมฆขาว ทอดลงมากระทบกับเกล็ดหิมะเป็นประกายระยับจับตา ต่อให้มีสายลมแรงพัดเอาไอเย็นเข้ามาในห้อง ก็ยากนักที่จะหักใจปิดบานหน้าต่าง

เหล่าผู้คนที่ตื่นมาในเช้านี้ล้วนพากันเพลิดเพลินกันทัศนียภาพอันงดงาม ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน

“เช้านี้เหมือนกับวันที่ลี่จูเกิดไม่มีผิด” ฮ่องเต้ทรงชี้ชวนให้สนมรักที่อยู่ข้างพระวรกายดู

สนมเฉินมองไปข้างนอกทั้งที่ยังมึนตึง วันที่ลี่จูเกิดสภาพอากาศเป็นเช่นไรนางไม่ทันสังเกต คนเป็นแม่กังวลก็แต่ว่าลูกน้อยจะหนาวเหน็บป่วยไข้จึงสั่งให้ปิดหน้าต่างบานประตูอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้ไอเย็นทำร้ายผิวกายลูก

สนมเฉินทำทุกวิถีทางให้ทารกน้อยมีชีวิตรอดผ่านหน้าหนาวไปได้ แต่แม้จะระวังปานใดก็ยังมีคนมุ่งร้ายหมายชีวิต วันหนึ่งในขณะที่นางกำนัลพี่เลี้ยงพลั้งเผลอ คนร้ายก็ลอบเข้ามาเทน้ำเย็นจัดลงไปในเปลขององค์หญิงลี่จู ทารกน้อยนอนอยู่บนที่นอนเปียกชุ่มเป็นเวลานาน กระนั้นก็ยังหลับสนิท ตื่นมาก็หัวเราะอย่างร่าเริง ไม่มีอาการเจ็บป่วย สร้างความอัศจรรย์ใจให้ทุกคน

“เด็กคนนี้เกิดมามีบุญ แต่เห็นทีจะไร้วาสนา”

“ยังไม่หายเคืองอีกรึ” ฮ่องเต้ทรงโอบตัวสนมเฉินเข้ามาหาแทนการง้อ นางกลับแกะหัตถ์ออกแล้วขยับหนี

“ฝ่าบาทเตรียมใจเอาไว้ได้เลยเพคะ หม่อมฉันสาบานว่าจะชวนทะเลาะด้วยเรื่องนี้ไปจนแก่”

หากเป็นสนมคนอื่นแสดงกิริยาเช่นนี้พระองค์คงกริ้วมาก แต่พอเป็นคนที่รักแล้วฮ่องเต้โหย่งซินกลับทำได้แค่ถอนพระทัย

“ไม่ยุติธรรมเลย ไยเจ้าจึงเคืองข้าทั้งที่ลูกเป็นคนเลือกคู่ครองด้วยตัวเอง”

ฮ่องเต้ทรงสอบถามความสมัครใจของพระธิดาต่อหน้าสนมเฉินและไทเฮา ลี่จูที่หัวอ่อนว่าง่ายกลับตอบเสียงดังฟังชัดว่าในบรรดาบุรุษทั้งสามนางถูกอัธยาศัยกับแม่ทัพต่งจินไท่มากที่สุด ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ตรงข้ามกับสนมเฉิน นางถามย้ำหลายครั้งว่ามั่นใจแล้วแน่หรือ ลี่จูรับคำอย่างแน่วแน่ไม่ลังเล ดังจะประกาศว่า ‘หากผิดจากท่านแม่ทัพแล้วลูกก็ไม่ต้องการใคร’

ความชัดเจนของลี่จูทำให้ไทเฮาทรงตัดใจเรื่ององค์ชายเทียนฉีได้โดยง่าย ตรงข้ามกับสนมเฉินที่ยังไม่เลิกเกลี่ยกล่อม นางหวังให้พระธิดาเปลี่ยนใจเมื่อได้ใกล้ชิดองค์ชายเหอเสี่ยงอีกระยะ ทว่าฮ่องเต้กลับทรงด่วนประกาศเรื่องการหมั้นหมาย ดับแสงแห่งความหวังของนางจนสิ้น

“ลี่จูอายุยังน้อย ฝ่าบาทควรให้เวลาลูกไตร่ตรองมากกว่านี้” สนมเฉินตำหนิ

“อย่าหาเหตุผลมาหว่านล้อมข้าอีกเลย เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ หากลี่จูเลือกองค์ชายเหอเสี่ยง เจ้าคงเร่งเช้าเร่งเย็นให้มีการประกาศหมั้น”

สนมเฉินหยุดโต้เถียง ไม่ใช่ว่ายอมแพ้ เพียงแต่กำลังใช้ความเงียบกดดันคู่สนทนา ใจจริงนางเคารพการตัดสินใจของธิดาประมาณหนึ่ง ทั้งยังปฏิเสธไม่ได้ว่าแม่ทัพต่งมีคุณสมบัติหลายด้านดีพร้อม ที่หงุดหงิดเพียงเพราะเสียดายองค์ชายเหอเสี่ยง สองแคว้นตั้งใจผูกสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานตั้งแต่แรก ฮ่องเต้จึงต้องพระราชทานพระธิดาองค์ใดองค์หนึ่งให้ไป เมื่อลี่จูกลายเป็นคู่หมายของแม่ทัพต่งไปแล้ว องค์หญิงที่มีคุณสมบัติครบถ้วนจึงเหลือเพียงองค์หญิงแปด

‘เจ็บใจนักที่ต้องยกองค์ชายให้สกุลเหอ’

ถ้ามีการประกาศเรื่องการแต่งงานออกไปเมื่อใด สกุลเหอคงกลับมามีหน้ามีตาดังเก่า ที่ชวนให้หงุดหงิดใจยิ่งไปกว่านั้นคือคำกระทบกระเทียบแดกดันของสนมเหอ สบโอกาสเมื่อใดคงค่อนเรื่องลี่จูได้สมรสกับคนต่ำชั้นกว่า

ฮ่องเต้ทรงรู้ดีว่าแท้ที่จริงภายในใจสนมเหอหงุดหงิดด้วยเรื่องอันใด จึงสวมกอดนางเอาไว้จากทางด้านหลัง ตรัสกึ่งปลอบกึ่งสอนไปพร้อมกัน

“ยึดติดกับยศฐามากไปก็รังแต่จะทุกข์ ปล่อยวางบ้างเถิด จะอย่างไรข้าก็ไม่ทอดทิ้งเจ้ากับสกุลเฉินแน่นอน”

ประโยคสุดท้ายเสมือนคำมั่น พระองค์รู้สึกผิดมาตลอดที่ไม่อาจให้นางขึ้นเป็นฮองเฮาได้ จึงพยายามชดเชยให้ได้มากที่สุด

“ถ้าหม่อมฉันไม่ยึดติดจะได้อยู่เคียงข้างฝ่าบาทดังเช่นทุกวันนี้หรือเพคะ” สนมเฉินหมุนตัวกลับมาประสานสายตาด้วย

แม้จะเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว แต่ดวงตาคู่งามก็ยังดูสุกใสฉาบเอาไว้ด้วยความขี้เล่นระคนเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยน นางแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาแสดงว่าคงอารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้ว ฮ่องเต้จึงตรัสเอาใจ

“เห็นแก่ที่เจ้ายอมอดทนอยู่กับข้ามาจนปูนนี้ ข้าจะให้รางวัลสักอย่าง”

“อะไรหรือเพคะ”

“ลองขอมาสิ ถ้าให้ได้ข้าจะให้”

สนมเฉินย่อตัวรับพระกรุณาอย่างงดงาม นางแสร้งทำเป็นครุ่นคิดถึงสิ่งที่ปรารถนา ทั้งที่เตรียมการมาตั้งแต่ต้น

“หม่อมฉันอยากขอเป็นธุระจัดหาคู่ครองที่เหมาะสมให้องค์ชายจงเต๋อเพคะ องค์ชายอายุยี่สิบห้าแล้ว หากไม่ประทานชายาให้ มิเท่ากับว่าทรงละเลยหรือเพคะ”

“ข้าอนุญาต แต่ถามสักหน่อยก็ดีว่าต้องใจใครอยู่หรือไม่ ถ้าเป็นชายาเอกก็อย่าให้ชาติกำเนิดต่ำไปนัก อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นลูกหลานขุนนางขั้นหนึ่ง”

ชาวเจียงเฉียงเชื่อว่าเด็กหนุ่มจะกลายเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์ได้ด้วยการแต่งงาน องค์ชายส่วนใหญ่จึงมักได้แต่งชายารองเมื่ออายุประมาณสิบเก้ายี่สิบ ตอนจงเต๋อถึงวัยนั้นพระองค์ก็เคยคิดพระราชทานสตรีให้ ทว่าจงเต๋อกลับยืนกรานว่าอยากมีชายาเอกเพียงคนเดียว ตอนยังเป็นหนุ่มพระองค์ก็คิดเช่นนั้นจึงปล่อยให้ทำตามใจ จนเวลาล่วงเลยมาป่านนี้

“ตรัสเช่นนี้หม่อมฉันน้อยใจนะเพคะ ตั้งแต่สนมจางป่วยหม่อมฉันก็เลี้ยงดูจงเต๋อเรื่อยมา มีหรือจะเลือกคู่ให้สุ่มสี่สุ่มห้า”

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย เพียงแต่...”

“เพียงแต่เป็นห่วงจงเต๋อเรื่องกุ้ยฮวา” สนมเฉินช่วยต่อให้

ฮ่องเต้ไม่ทรงปฏิเสธ พระองค์มองเห็นความห่วงใยที่จงเต๋อมีต่อกุ้ยฮวา ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่าเหวินหรงก็ปักใจในตัวนางเช่นกัน พี่น้องไม่ควรบาดหมางเพราะสตรีนางเดียว พระองค์จึงปล่อยข่าวเรื่องคู่หมายของกุ้ยฮวาออกไป เพื่อให้จงเต๋อตัดใจเสียตั้งแต่เนิ่นๆ

หากมองจากมุมของฝ่ายที่ต้องเสียสละ ฮ่องเต้โหย่งซินคงเป็นบิดาที่แสนลำเอียง แต่เมื่อมองจากมุมของคนเป็นพ่อ การตัดสินใจในครั้งนี้กลับเป็นเครื่องแสดงออกถึงความรักที่มีต่อบุตร พระองค์สนับสนุนกุ้ยฮวากับองค์ชายห้าเพราะไม่ต้องการให้จงเต๋อเจ็บปวด สนมจางชิงชังหงจิงยิ่งนัก ตราบใดที่นางยังมีลมหายใจ ย่อมไม่มีวันยอมรับการแต่งงาน สนมจางมีทิฐิอันน่ากลัว หากรู้เรื่องนี้เข้าอาจถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อขัดขวาง สุดท้ายคนที่ช้ำใจที่สุดคงไม่พ้นลูกกตัญญูอย่างจงเต๋อ

ฮ่องเต้โหย่งซินไม่คาดหวังให้โอรสเข้าใจ ขอเพียงจงเต๋อยอมหลีกหนีจากเส้นทางที่ไม่สมควรก้าวเดิน พระองค์ก็พร้อมถูกตราหน้าว่าเป็นบิดาที่แย่


สัปดาห์แรกของเดือนสิบสองคือช่วงเวลาของงานเทศกาลรำลึก ตลอดเจ็ดวันนี้ทุกคนจะต้องถือศีล งดเว้นการฆ่าสัตว์และบริโภคแต่อาหารที่ปรุงจากพืชผักเท่านั้น ปีนี้ต่างจากปีอื่นตรงที่เทศกาลเริ่มขึ้นเร็วกว่าปกติ เพราะฮ่องเต้กับไทเฮามีพระประสงค์จะถือศีลเพื่อองค์หญิงลี่จู ข้าราชบริพารและประชาชนทั่วไปจึงละเว้นการกินเนื้อสัตว์ก่อนเทศกาลเริ่มตามไปด้วย

ชาวเจียงเฉียงมีความเชื่อว่าในเทศกาลนี้ยิ่งเคร่งมากก็ได้บุญมากจึงไม่มีใครต่อต้าน อีกทั้งในสมัยโบราณเนื้อสัตว์เป็นของราคาแพงกว่าพืชผัก ประชาชนส่วนใหญ่จึงไม่เดือดร้อนกับประกาศของราชสำนัก ที่โอดครวญเห็นจะเป็นชนชั้นสูงซึ่งไม่เคยขาดอาหารจานเนื้อ พวกเด็กๆ หรือหนุ่มสาวที่ไม่เคร่งนักมักแอบพกเนื้อตากแห้งเอาไว้เคี้ยวเล่นแก้อยาก ในวังหลวงก็มีคนที่ทำเช่นนี้อยู่พอสมควร แต่ส่วนใหญ่มักแอบกินกันในที่ลับหรือห้องนอนเพื่อไม่ให้ถูกจับได้

วังหลวงมีกฎอยู่ว่าหากรับประทานเนื้อสัตว์ในช่วงเทศกาลรำลึกต้องถูกโบย ถึงกระนั้นก็ยังมีสตรีสี่นางแหกกฎวังกันอย่างอุอาจ เพิ่งจะเข้าเทศกาลรำลึกมาได้สามวันก็จัดปาร์ตี้หมูกระทะกันแบบไม่แคร์สื่อ ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือตัวตั้งตัวตีให้จัดงานคือองค์หญิงสิบผู้แสนจะเรียบร้อย

เขาอยากเลี้ยงขอโทษทุกคนอย่างเป็นทางการ เพราะตั้งแต่จบเรื่องไป่เหอหน่อมกับเพื่อนๆ ก็ไม่มีโอกาสได้คุยกันเลย องค์หญิงลี่จูถูกไทเฮาพาตัวไปที่อารามหลวง กว่าจะสะเดาะเคราะห์ตรวจดวงชะตาใหม่จนเป็นที่พอพระทัยของไทเฮาก็กินเวลาหลายวัน ส่วนที่ยอมผิดกฎนำเนื้อเข้าวังมาเพราะคิดว่าช่วงนี้ทุกคนคงเบื่อผักดองกันแล้ว แว่นที่สุขภาพไม่ดีจะได้กินอาหารที่บำรุงร่างกายด้วย

“เราขอโทษทุกคนจริงๆ นะที่ทำให้เดือดร้อน” หน่อมบอกทันทีเมื่อเพื่อนมารวมตัวกันพร้อมหน้า

“คนสวยไม่ถือค่ะ ขอกินเลยนะคะ” โบ้พุ่งไปที่เตาย่างแต่เจ้ดึงตัวไว้

“แกนี่ตะกละจริง รู้ไหมว่าอิหน่อมมันขอโทษเรื่องอะไร”

“ขอโทษเรื่องอาเจ๊ดอกลิลีที่มาอาละวาดใช่ไหมคะ”

ที่รู้นี่เพราะแว่นกับเจ้ช่วยสรุปความให้ฟัง ทั้งสองคนโมโหมากที่โบ้หลับไม่รู้เรื่อง เลยบ่นเรื่องนี้ตลอดจนจำฝังหัว เล่าได้เป็นฉากๆ เหมือนมีสติดีตอนเกิดเหตุ

“นั่นก็ส่วนหนึ่ง ที่เราอยากขอโทษคือ...” หน่อมสูดหายใจก่อนยกมือไหว้ท่วมหัว “ขอโทษนะที่ทำให้พวกเธอหลงมาอยู่มิตินี้”

โบ้ทำหน้างง ในขณะที่เจ้ยกโทษให้อย่างง่ายดาย หน่อมขอบคุณเจ้แต่ยังไม่อธิบายให้โบ้ฟัง ตอนนี้ที่เขากังวลมากที่สุดคือท่าทีของแว่น แว่นเป็นคนที่ไม่อยากมาโลกนี้มากที่สุดเพราะยังมีคนที่รักเขาอีกมากมายรออยู่ แว่นทำหน้าเครียด ก่อนขอให้หน่อมอธิบายให้ละเอียดกว่านี้

“พวกเธอรู้แล้วใช่ไหมว่าชาติก่อนเราเป็นจ้าวสนธยา เรารับทัณฑ์สวรรค์แทนไป่เหอวิญญาณบางส่วนก็เลยหลงไปอีกมิติ แล้วเวียนว่ายตายเกิดในอีกโลก เพื่อให้เรากลับมาที่นี่ได้ สหายเรา...จ้าวรัตติกาลเลยมารับกลับ”

การเดินทางข้ามมิติไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งจ้าวรัตติกาลก็ไม่สามารถทิ้งป่ารัตติกาลได้ เพื่อช่วยเหลือเขาก็เลยลงจากตำแหน่งชั่วคราว ใช้คำทำนายช่วยแกะรอยตามหาจนพบ แล้วส่งมอบเข็มทิศมหาลาภให้โบ้ เพื่อใช้เป็นเครื่องนำทางให้มายังโลกนี้

“ในเมื่อจ้าวรัตติกาลต้องการแค่ตัวแก ทำไมถึงให้เข็มทิศอิโบ้มัน” เจ้ถาม

“ที่จริงพวกเราสี่คนต้องรถคว่ำตาย แต่จ้าวรัตติกาลกลัวมาไม่ทันดึงวิญญาณเราก่อนกลับเข้าสู่วัฏสงสาร ก็เลยทำบางอย่างเพื่อเลื่อนเวลาตายออกไป รายละเอียดส่วนนี้เราไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าสายฟ้านั่นถูกส่งมาทำให้ทุกคนตายตามลิขิต”

หลังจากไป่เหอกลับป่าสนธยาไป จ้าวรัตติกาลได้มาหาหน่อมครั้งหนึ่งเพื่อบอกให้รู้ว่าได้ตอบแทนบุญคุณที่ติดค้างในอดีตเรียบร้อยแล้ว ทำให้ทราบรายละเอียดหลายอย่างที่ไม่ทันได้สอบถามไป่เหอ

“ในเมื่อทุกคนต้องตายอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ” โบ้ว่า “เห็นหนูตอนนี้ไหม เกิดไหมไฉไลกว่าเดิม เอาไดโนเสาร์สิบตัวมาลากก็ไม่กลับค่ะ”

“ฉันก็อยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่เป็นปัญหาหรอก” เจ้เสริม

“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ คือ...ตามปกติวิญญาณที่ตายแล้วต้องกลับสู่วัฏสงสาร เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ แต่เพราะเข็มทิศมหาลาภ พวกเธอก็เลยยังมีความทรงจำอยู่ แล้วความทรงจำนั่นมันก็ทำให้...เจ็บปวด” หน่อมก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด

แว่นรู้ว่าควรจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่ปากกลับถามเรื่องอื่นออกไปแทน เขาสังเกตเห็นความกังวลแฝงอยู่ในแววตาของหน่อม แสดงว่ามีเรื่องรบกวนจิตใจหลายอย่าง

“การที่พวกเรามาอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องดีใช่ไหม”

“เราก็ไม่รู้หรอก แน่ใจแค่มันไม่ปรกติ” หน่อมยอมตอบตามตรง “ที่พวกเรามาอยู่ในร่างใหม่นี่ไม่ใช่ฝีมือของจ้าวรัตติกาล แต่เป็นใครบางคนที่ไม่ต้องการให้องค์หญิงลี่จู กุ้ยฮวา ฟางเซียนและไป๋หลินตาย”

จ้าวรัตติกาลสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฝีมือของพวกเทพ พวกนี้ไม่เคยอินังขังขอบมนุษย์ หากจะยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะเหตุผลเดียวคือการมีชีวิตอยู่ของสตรีทั้งสี่นางส่งผลกระทบต่อมวลมนุษย์ มนุษย์ที่ล้มตายด้วยความเจ็บแค้นจะมอบพลังให้กับมาร ยิ่งมีสงครามพวกมันก็จะยิ่งเข้มแข็งทำให้เป็นภัยต่อสวรรค์ ทุกครั้งที่มนุษย์รบรากันจึงมีการส่งเทพมาจุติเพื่อให้สงครามสงบโดยเร็ว จ้าวรัตติกาลใช้พลังไปมากจึงไม่สามารถทำนายอนาคตที่ชัดเจนได้ ทราบแต่สตรีทั้งสี่นางมีชะตาที่ต้องเกี่ยวพันกับสงครามและการต่อสู้

“อ๊าย! เก๋กู้ดมากค่ะ มิชชั่นอิมพอสซิเบิลจากสวรรค์ แลดูเลิศหรูอลังการมาก” โบ้ดีดดิ้นแบบไม่คิดจะเครียด เลยโดนเจ้ด่าอีกชุดใหญ่

แม้จะบ่นโบ้ว่าไม่รู้จักดูสถานการณ์แต่เจ้ก็ไม่แสดงท่าทีโกรธเคือง เธอพูดง่ายๆ ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด หน่อมจึงหันไปขอโทษแว่นที่เอาแต่เงียบอีกครั้ง

แว่นถอนหายใจยาว ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสนเศร้า

“กลับไปไม่ได้แล้วสินะ”

แว่นไม่โกรธหน่อมเพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของเพื่อน ทุกคนในที่นี่ต่างก็ถึงฆาต อันที่จริงการอยู่ในร่างนี้ก็ไม่ต่างจากการเกิดใหม่นัก เพียงแต่มันเจ็บปวดกว่าตรงที่ความผูกพันต่อครอบครัวไม่ได้ลบเลือนไป แว่นยังคิดถึงพ่อกับแม่ ยังคงมีความหวังว่าอาจได้กลับโลกใบเดิมอยู่ลึกๆ ในหัวใจ ทว่าตอนนี้ความหวังอันริบหรี่กลับมอดดับ

หน่อมพูดไม่ออกว่ายังมีหนทาง จึงได้แต่วางมือบนไหล่เพื่อน ส่วนเจ้พูดปลอบมาว่าให้คิดในแง่ดี รู้ความจริงแล้วจะได้เริ่มชีวิตใหม่แบบไม่มีอะไรค้างคาใจอีก

ในที่สุดแว่นก็สามารถพูดออกมาได้ว่าไม่โทษหน่อม แม้ว่าสีหน้าจะยังหม่นหมอง ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าต้องใช้เวลาจึงเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการชักชวนให้มาล้อมวงกันกินหมูกระทะแทน

ขณะนี้สี่สาวอยู่ในห้องโถงของตำหนักผลึก หน่อมไม่เพียงทำความสะอาดสถานที่เป็นอย่างดี ยังมีกระทะรูปแบบเหมือนที่ใช้ในโลกเดิมเอาไว้ปิ้งย่างด้วย พวกหมูก็หั่นเป็นชิ้นแล้วหมักจนนุ่ม ที่น่าประหลาดใจที่สุดคือมีผักสดๆ นอกฤดูกาลเต็มตะกร้า ปกติแว่นต้องถามแล้วว่าหน่อมเอามาจากไหน แต่เนื่องจากยังเศร้าเลยเงียบไป

“เดี๋ยวหนูช่วยปลอบใจเองค่ะ” โบ้อาสาอย่างขันแข็ง “อาหารดีๆ ช่วยให้ชีวีร่าเริง”

วิธีปลอบของโบ้คือการปิ้งหมูสามชั้นมีมันแบบพอประมาณให้ แล้วบรรจงป้อนถึงปากให้เพื่อน ดูตอนแรกก็เหมือนจะดี แต่ระดับโบ้แล้วความป่วนต้องมาก่อน โบ้ไม่เพียงแต่ปิ้งหมูยังเอามาห่อผัดกาดใส่เครื่องเคียงราดน้ำจิ้มจนขนาดเกินพอดีคำไปมากโข

“อ้าปากเร็ว คนสวยทำให้กินแบบเกาหลีเลยนะคะ”

ไม่ทันตั้งตัววัตถุสังหารก็พุ่งใส่ปากแว่น ปากของกุ้ยฮวาเล็กนิดเดียวแต่โบ้ก็ยังอุตส่าห์ยัดเข้า หนนี้รสชาติไม่เป็นปัญหา แต่ชิ้นมันใหญ่เกินไปเลยเคี้ยวไม่ได้คายไม่ออก ส่งผลให้เป้าหมายตกอยู่ในสภาวะเหมือนกำลังถูกฆาตกรรม

“หยุดนะยะ! เดี๋ยวอิแว่นมันก็ตายหรอก” เจ้ถลามาช่วยเพื่อนก่อนมีคนชักตาตั้งเพราะหมูกระทะติดคอ

โบ้หันไปขอโทษเจ้ แว่นเลยสบโอกาสล้วงของที่อยู่ในปากออกมา

“เล่นอะไรของแก ฉันเกือบตายแล้วนะรู้ไหม” แว่นด่าไปไอไปด้วยความโมโห

“ซอรี่ค่ะ คนสวยลืมไปว่าเล็กไปทุกอย่าง คราวหลังจะท่องให้ขึ้นใจเลยว่า ตัวเล็ก ปากเล็ก นมเล็ก”

หนนี้ไม่ได้ตั้งใจเหน็บแค่พยายามอธิบายก็เท่านั้น แว่นรู้เจตนาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะยอมยกโทษให้

“เจ้ ช่วยจัดการมันที” แว่นบุ้ยใบ้ไปที่กระทะ

ใจจริงอยากจะเอาเตายัดปากคืน แต่เนื่องจากไม่มีแรงยก เลยห่อหมูสไตล์เกาหลีคำโตกว่าเดิมไปยัดปากแก้แค้น แต่กลายเป็นเข้าทางคนกำลังหิวเสียอย่างนั้น อึดใจเดียวของที่เตรียมมาแกล้งเลยหายเกลี้ยง

“อิหลุมดำ!” แว่นด่าแบบเซ็งๆ ที่เอาคืนไม่ได้

แม้จะโมโหวิธีการปลอบใจของโบ้ แต่อีกใจก็นึกขอบคุณที่ช่วยให้มีสติขึ้น แว่นเพิ่งรู้ตัวว่าทำตัวแย่ ทุกคนต่างก็มีเรื่องกลุ้มใจและมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็เลือกที่จะไม่แสดงออกเพื่อให้เพื่อนที่เหลือสบายใจ

แว่นยืดตัวตรง สูดลมหายใจ แล้วเริ่มปิ้งหมูกินอย่างแข็งขัน เขาทำตัวร่าเริงทันทีไม่ไหว แต่ตราบใดที่ยังมีเพื่อนๆ อยู่เขาจะไม่ทำตัวน่าสมเพชเด็ดขาด

เมื่อแว่นเริ่มปรับอารมณ์ได้ ปาร์ตี้หมูกระทะก็ดำเนินไปอย่างสนุกสนานเฮฮา ผ่านไปครึ่งชั่วยามนิสัยช่างสังเกตของแว่นก็กลับมา เขาเปรยขึ้นมาว่าทำไมไม่มีควันจากการย่างเลย เหมือนควันถูกดูดขึ้นไปด้านบนแล้วหายไปดื้อๆ

“มีภูตช่วยดูดควันอยู่ตรงนั้น แต่พวกเธอคงมองไม่เห็น”

แว่นกับเจ้เงยหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน แล้วคิดจินตนาการถึงลักษณะของภูตที่หน่อมเอ่ยถึง

“เจ้าตัวกลมๆ นี่เป็นภูตหรอกเหรอคะ” โบ้พูดบ้าง ทุกคนเลยหันขวับมามอง

“เห็นด้วยเหรอ” หน่อมทำท่าประหลาดใจ

ไม่มีทางที่มนุษย์ปกติจะมองเห็นภูต โดยเฉพาะภูตที่ถือกำเนิดใหม่พลังยังอ่อน ต่อให้มันสมัครใจก็ปรากฏกายให้เห็นไม่ได้อยู่ดี

“ไม่รู้สิคะ เห็นก็คือเห็น”

“แล้วไม่ตกใจเหรอ”

“ไม่ค่ะ ออกจะน่ารัก ถ้าหน่อมไม่บอกคงคิดว่าเป็นเครื่องดูดควันรูปโปเกมอน” อธิบายแล้วก็กินหมูย่างต่อแบบไม่ทุกข์ร้อน

โบ้ไม่สนใจหรอกว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นคืออะไร ตราบใดที่มันไม่ทำอันตรายและช่วยดูดควันให้ เขาก็จะปล่อยให้มันลอยตัวอยู่เหนือโต๊ะอาหารต่อไป

“สงสัยโบ้จะมีเซนส์ ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินเสียงเพลงของภูตไปทีหนึ่งแล้ว”

หน่อมรู้ว่าแว่นกับเจ้ยังมีเรื่องสงสัยจึงเล่าความเป็นมาของภูตที่ทั้งสองมองไม่เห็นให้ฟัง ภูตตนนี้เป็นภูตพฤกษา ร่างกายเป็นสีเขียว รูปร่างกลม ขนาดเท่าลูกฟุตบอล ที่หัวมีใบอ่อนขนาดเท่าฝ่ามืองอกออกมาสองใบ มองดูก็คล้ายโปเกมอนอย่างที่โบ้ว่า มันถือกำเนิดจากใบของต้นสัตยา ตอนแรกที่ลงมือปลูกมันเติบโตอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่อยู่ๆ ก็หยุดโตแล้วใบร่วง หน่อมเป็นกังวลเลยอธิษฐานให้ต้นไม้แข็งแรง แต่กลับกลายเป็นว่าได้สร้างภูตรับใช้ขึ้นมา

ภูตพฤกษาตนนี้ชอบกินควันไฟ ความสามารถพิเศษของมันคือทำให้เมล็ดพันธุ์งอกและออกดอกผลได้ในคืนเดียว ผักที่กินกันในวันนี้ก็ได้มาจากภูตพฤกษา นอกจากเร่งการเจริญเติบโตของต้นไม้แล้วมันยังช่วยรักษาโรคให้กับต้นไม้ได้ หน่อมเลยมอบหน้าที่ดูแลต้นสัตยาให้

“เอ่อดี อีกหน่อยจะได้สร้างกองทัพโปเกมอน” เจ้ว่า

“ก็อยากอยู่นะ แต่ทำไม่ได้หรอก ร่างมนุษย์มีพลังจำกัด แล้วเราก็จำมนตราต่างๆ ไม่ได้เลย”

ภูตมีอำนาจวิเศษมาตั้งแต่ถือกำเนิด ถึงกระนั้นก็ยังต้องร่ำเรียน อาจารย์ของจ้าวสนธยาก็คือจิตวิญญาณแห่งป่า ที่ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ต่างๆ ให้ ขณะนี้ความรู้เหล่านั้นยังคงถูกปิดผนึกเพื่อป้องกันไม่ให้ฝืนใช้พลังเกินตัว จนร่างกายแหลกสลายและดวงจิตได้รับอันตรายอีก

แว่นฟังคำอธิบายไปพลางมองความว่างเปล่าตรงหน้าไปพลาง เขานึกภาพภูตพฤกษาตัวกลมกำลังดิ้นดุ๊กดิ๊กพลางครุ่นคิดถึงอนาคต ไม่ว่าคนที่พาพวกเขามาอยู่ในร่างนี้ต้องการอะไร แว่นก็มั่นใจว่าชีวิตต่อจากนี้ต้องมีปัญหารออยู่อีกเป็นพะเรอเกวียน


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

ขอโทษที่มาช้ากว่ากำหนดนะคะ
พอดีตีสแตก โละต้นฉบับกระจุย T^T
ปรับฉากเปิดใหม่หมดค่ะเลยมาช้าดังที่เห็น
งานนี้ถ้าหลุดจากสามบทแรกได้ ก็สบายแล้วค่ะ
ตอนต่อไปจะพยายามให้ทันวันจันทร์นะคะ
ถ้าไม่ทันเจอกันวันอังคารนะคนดี ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ส.ค. 2558, 18:47:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ส.ค. 2558, 20:23:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 1243





<< เจ้าสาวภูต : บทที่ ๑๕ หากคู่ควร (พบกันในเล่ม2นะคะ)   หยกตะวัน : บทที่ ๒ คนที่ไม่อยู่ >>
pkka 23 ส.ค. 2558, 19:55:10 น.
รอที่จะบอก...i like you too


linky 23 ส.ค. 2558, 20:39:05 น.
เป็นกำลังใจให้น้าาา


mottanoy 23 ส.ค. 2558, 22:27:49 น.
ตามอยู่ค่ะ


Zephyr 24 ส.ค. 2558, 01:56:06 น.
Wowwwww ตอนใหม่มาแล้นนนน
มีท้าวความเล็กๆ แต่ลุยต่อไปจ้า


นักอ่านเหนียวหนึบ 24 ส.ค. 2558, 08:47:48 น.
โอ๋ๆๆๆ ไม่เป็นไรน้าาา เค้ารออ่านได้เสมอเลยยย ^^ ชุ๊ฟๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account