ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: หยกตะวัน : บทที่ ๒ คนที่ไม่อยู่

หยกตะวัน : บทที่ ๒ คนที่ไม่อยู่

ฮ่องเต้ทรงหยุดว่าราชการในช่วงเทศกาลรำลึก บรรดาขุนนางน้อยใหญ่จึงได้พักผ่อนกลับไปอยู่กับครอบครัว เสียดายที่สกุลเฉินไม่อาจอยู่พร้อมหน้า เสนาบดีเฉินกับกุ้ยอี้มีงานมากมายต้องสะสาง กุ้ยฮวาก็ยังต้องอยู่ในวังต่ออีกระยะหนึ่ง ฮ่องเต้จึงทรงมีพระกรุณาเรียกให้มาร่วมโต๊ะเสวยในฐานะที่เป็นพระญาติ สามคนพ่อลูกจึงได้พบหน้ากันเกือบทุกวัน

การอยู่พร้อมหน้ากันในเทศกาลรำลึกถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ หากไม่มีเหตุจำเป็นห้ามหลบเลี่ยงเป็นอันขาด ที่ต้องย้ำว่าห้ามหนีเพราะเครื่องเสวยที่ฮ่องเต้มีพระบัญชาให้นำขึ้นโต๊ะมีเพียงสามอย่าง และต้องกินซ้ำกันอย่างนี้ตลอดเจ็ดวัน ทุกคนเอียนผักดองกับเต้าหู้ทอดเต็มทน แต่ก็ต้องฝืนกินให้หมดเพื่อเอาใจพระบิดา แม้แต่น้องเล็กจอมเอาแต่ใจอย่างองค์หญิงสิบสี่ก็กล้าอุทธรณ์เพราะเสด็จพ่อไม่เคยพระทัยอ่อน บ่นมาหนึ่งคำพระองค์ก็จะลงโทษด้วยการสั่งอดอาหารวันหนึ่ง

แว่นรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างมหาศาลก็งานนี้ เนื่องจากกุ้ยฮวามีร่างกายอ่อนแอ กับข้าวมื้ออื่นจึงต้องมีเนื้อปนมาด้วย ทำให้เวลาร่วมโต๊ะเสวยพอทนกินของเดิมๆ ได้แบบไม่ทรมานนัก

“โผล่หน้ามาได้แค่สามวัน ลูกเจ้าก็หายตัวไปแล้วรึ ไม่ไหวเลยจริงๆ” ฮ่องเต้ทรงบ่นกับสนมเฉิน เมื่อรู้ว่าองค์ชายสามอ้างว่าป่วยเลยของดร่วมโต๊ะเสวย

“ตั้งสามวันต่างหากเพคะ” สนมเฉินแก้ให้ “สมัยก่อนไม่ทันพ้นวันเป็นต้องหาเรื่องให้กริ้วทุกที”

แว่นอยากรู้วีรกรรมขององค์ชายสามจึงกระซิบถามพี่ชาย กุ้ยอี้เล่าว่าสมัยก่อนองค์ชายสามโดนลงโทษให้อดอาหารทุกปี แต่ก็เอาตัวรอดได้ตลอดเพราะแอบซุกของกินเอาไว้ในเสื้อ ฮ่องเต้จับได้จึงมีรับสั่งให้ค้นตัวก่อนกักบริเวณ แทนที่จะสำนึกองค์ชายตัวดีกลับหนีไปจับปลาในสระมาย่างกินทำให้ยิ่งกริ้ว

ฮ่องเต้ทรงตำหนิองค์ชายลี่หมิงอีกหลายคำ ทั้งยังบอกว่าห้ามเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ถึงกระนั้นก็ยังมีพี่น้องหลายคนอิจฉา พวกเด็กๆ คิดว่าป่านนี้พี่สามคงกำลังกินของอร่อยอยู่เป็นแน่ ส่วนพวกผู้ใหญ่ริษยาในความใกล้ชิด หากไม่อยู่ในห้วงคำนึงมีหรือจะตรัสถึง

นอกจากองค์ชายสามแล้ว คนที่ไม่อยู่ร่วมโต๊ะคือองค์ชายรอง องค์ชายห้าและองค์ชายแปด องค์ชายห้ารับหน้าที่เชิญราชโองการไปยังหรงซิ่ง กว่าจะกลับก็กลางเดือน เวลามองไปแล้วไม่เห็นองค์ชายหมีแพนด้าก้มหน้าก้มตากินก็รู้สึกเหงาแบบแปลกๆ

ทางด้านองค์ชายแปด เด็กหนุ่มขอพระราชทานอนุญาตไม่ร่วมโต๊ะเสวยเพราะต้องการดูแลมารดาที่ป่วย แว่นมั่นใจว่าที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ข้ออ้าง น่ากลัวว่าเด็กแสบจะหาเรื่องไม่เข้าร่วมเทศกาลรำลึก ไม่ก็ถูกสั่งให้เก็บเนื้อเก็บตัวอีกสักระยะ

แว่นเดาได้ใกล้เคียงกับความจริงพอประมาณ องค์ชายหรู่เผยไม่โผล่หน้ามาเพราะไม่อยากเข้าร่วมเทศกาลส่วนหนึ่ง รวมถึงถูกเสนาบดีเหอขอร้องว่าให้งดก่อเรื่องสักระยะ การมาอยู่ในสถานะที่ที่เต็มไปด้วยคู่แข่งกับศัตรู ย่อมไม่ส่งผลดีต่อเด็กที่ยังขาดความอดทนต่อสิ่งยั่วยุ

แว่นเบื่ออยู่บ้างที่ไม่ได้ลับสมองกับเด็กแสบ แต่ก็ไม่เดือดร้อนมากนักเพราะมีเรื่องให้คิดฆ่าเวลา เขาสังเกตมาหลายวันแล้วว่าไม่มีใครเอ่ยถึงองค์ชายรองเลย จะถามท่านพ่อท่านพี่ก็ไม่กล้า เกิดทั้งคู่เข้าใจผิดว่ากุ้ยฮวาชอบองค์ชายรองมีหวังงานเข้า ครั้นจะถามหน่อมก็ไม่สบโอกาสสักที ต้องคอยจับบรรยากาศ แอบถามคนอื่นอยู่พักใหญ่จึงรู้ว่าองค์ชายรองไม่ได้รับอนุญาตให้งดร่วมโต๊ะเสวย ดูเหมือนว่าจะทำโดยพลการด้วยเหตุบางอย่าง องค์รัชทายาทหลุดปากมาว่า ‘ฮ่องเต้ทรงเป็นห่วงมากกว่ากริ้ว’ เลยทำให้ยิ่งสงสัยมากขึ้น


ความกระหายใคร่รู้กระตุ้นให้แว่นลงมือสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง โดยเริ่มจากคนที่ไว้ใจได้และใจกว้างอย่างองค์ชายหกก่อน เขาขอให้เจ้ทำขนมให้แล้วเอาไปให้องค์ชายลี่หยางถึงที่ตำหนัก

ตำหนักขององค์ชายหกเป็นตำหนักสีน้ำตาลสามชั้นครึ่ง ออกแบบคล้ายป้อมปราการ ตัวอาคารเหนือชั้นสามขึ้นไปเป็นดาดฟ้าโล่งกว้าง แว่นชอบเพราะมันดูแปลกตาดี แต่ซีอิ๋งที่ตามมาด้วยกลับบอกว่าเรียบไปไม่สมฐานะ ที่นี่แทบไม่มีเพชรนิลจินดาหรือของที่มีประกายแวววาวประดับเลย นางกำนัลส่วนใหญ่ก็คิดคล้ายกัน เจียเก๋อยังเคยเอามานินทาให้ฟังว่าถ้าองค์ชายหกรูปไม่งาม คงไม่ค่อยมีคนอยากทำงานที่นี่

วันนี้ตำหนักขององค์ชายหกดูคึกคัก มีมหาดเล็กกับนางกำนัลเดินเข้าออกเป็นระยะ แว่นสงสัยจึงเรียกคนมาสอบถาม เผื่อว่าถ้าองค์ชายหกกำลังยุ่งหรือมีแขกจะได้กลับไปก่อน

“องค์ชายกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ขอรับ” มหาดเล็กที่คุ้นหน้ากันอยู่ตอบ

หลังเทศกาลรำลึกจะมีงานประชุมขุนนางและงานเลี้ยงอีกมาก องค์ชายหกไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเสื้อผ้า ใส่ประจำอยู่แค่ไม่กี่ตัว สนมเหอจึงให้คนตัดเย็บชุดและเครื่องแต่งตัวส่งมาให้เป็นจำนวนมาก องค์ชายลี่หยางถือคติมีมากไปไม่ได้ใช้ก็สูญเปล่า เลยตั้งใจเลือกเอาแต่ที่ชอบใจไว้ ของที่เหลือก็แบ่งให้พี่น้องคนอื่นไปตามความเหมาะสม มหาดเล็กกับนางกำนัลจึงต้องวิ่งเข้าวิ่งออกช่วยจัดการส่งของให้

“อีกนานไหมกว่าจะเสร็จ” โบ้ซึ่งตามมาด้วยถาม

“ไม่แน่ใจขอรับ ข้าน้อยจะไปเรียนองค์ชายให้ เชิญรอที่ห้องรับรองก่อน” มหาดเล็กผายมือไปทางห้องรับรองสำหรับพระญาติ

“ไม่รบกวนเจ้าดีกว่า พวกเราไปถามองค์ชายกันเองได้” โบ้หันมาจูงมือแว่น “ไปกันเถอะ”

มหาดเล็กที่นี่ไม่เคร่งธรรมเนียมนัก จึงปล่อยให้ทำตามใจ แว่นเองก็เห็นว่ากำลังยุ่งกันก็เลยเดินตามเพื่อนไป แต่ก็ไม่กระตือรือร้นนัก โบ้เลยมากระซิบกระตุ้น

“รีบหน่อยค่ะ ไม่อยากดูองค์ชายหกเปลี่ยนชุดเหรอ”

“ไม่ละ เชิญหื่นไปคนเดียวเลย”

แว่นเคยเห็นองค์ชายหกเปลือยท่อนบนมาแล้วตอนป่วย รูปร่างเขาก็ดูดีอยู่หรอกแต่ยังไม่โดนใจเท่าท่านพี่กุ้ยอี้กับอาจารย์ เป็นเหตุให้ไม่รู้สึกตื่นเต้น

“งั้นขอล่วงหน้าไปก่อนนะคะ” โบ้เอ่ยอย่างร่าเริงแล้ววิ่งปรู๊ดขึ้นไปชั้นสอง

แว่นจะตะโกนให้รักษากิริยาก็ไม่ทันแล้ว เลยต้องปล่อยเลยตามเลย

“แม่นางไป๋หลินพูดว่าอะไรหรือเจ้าคะ” ซีอิ๋งถามด้วยสีหน้าใคร่รู้

พวกคุณหนูชอบคุยภาษาต่างถิ่นกัน นางจึงอยากเรียนบ้าง แต่ก็ไม่กล้าบังอาจให้คุณหนูสอน ได้แต่พยายามเก็บเล็กผสมน้อยเผื่อจะได้ฟังเข้าใจ

“ไป๋หลินบอกจะไปถามองค์ชายหกให้ว่าจะเสร็จธุระเมื่อไร”

แว่นแปลแบบไม่ตรงกับความจริง เจตนาคือไม่ต้องการให้คนสนิทเข้าใจ เขาอยากให้ภาษาจากโลกเดิมเป็นภาษาลับที่รู้กันอยู่แค่สี่คนเท่านั้น อีกอย่างถ้าซีอิ๋งรู้ความหมาย มีหวังเป็นลมตายไม่ก็เสื่อมศรัทธากันพอดี

แว่นเดินไปที่ห้องขององค์ชายหกอย่างไม่รีบร้อน มาถึงโบ้ที่บอกว่าจะล่วงหน้าก็ยังเกาะขอบประตูห้องอยู่ ท่าทางคงกำลังแอบส่องหนุ่มอย่างเมามัน ดีหน่อยไม่ส่งเสียงซู้ดซี้ดออกมาให้เสียภาพลักษณ์มากไปกว่านี้

“เช็ดน้ำลายหน่อยย่ะ อย่าทำให้ขายหน้า” แว่นสะกิด

“ไม่ต้องเช็ดหรอกค่ะ ไม่เห็นมีอะไรให้น้ำลายไหลเลย”

“อ้าว! แล้วแกจะเกาะขอบประตูดูอะไรอยู่ตั้งนาน”

“เกาะเล่นเย็นๆ ใจค่ะ หาอะไรทำแก้เบื่อไปงั้น” โบ้ยิ้มหวานแล้วยักไหล่ เขาเห็นว่าเป้าหมายไม่ได้อยู่ในห้องก็เลยแกล้งทำท่าหลอกเพื่อนเล่น

“อิบ้า!” แว่นด่าปนยิ้มขณะเดินเข้าไปในห้องกว้างเต็มไปด้วยกองเสื้อผ้า

ขณะนี้ในห้องไม่มีใครอยู่เลยนอกจากเด็กหนุ่มวัยสิบสี่ องค์ชายแปดกำลังนั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง มือข้างหนึ่งถือตำรา ส่วนอีกข้างกำลังขยุ้มผ้าเล่น เสียงสนทนาก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำให้เขาเสียสมาธิเลย

แว่นอมยิ้มเมื่อเห็นองค์ชายจอมเกเรกลายเป็นหนอนหนังสือ จิตวิญญาณความเป็นครูในตัวกระตุ้นเขาให้เอ็นดูทุกครั้งเวลาเห็นคนตั้งใจใฝ่ศึกษา แว่นนิ่งมองพักหนึ่งก่อนกระแอมดังๆ เพื่อให้รู้ตัว ทว่าองค์ชายแปดก็ยังไม่ได้ยิน แว่นห่วงว่าถ้าทำให้ตกใจเขาจะสะดุ้งจนผลัดตกหน้าต่าง ก็เลยเรียกด้วยเสียงดังพอประมาณแทน

“องค์ชายแปดเพคะ”

เสียงคุ้นหูทำให้องค์ชายหรู่เผยสะดุ้งสุดจนทำหนังสือหล่นจากชั้นสอง แว่นห่วงว่าคนจะร่วงตามลงไป จึงตรงมาคว้าแขนเอาไว้

“ระวังเพคะ รีบลงมาก่อน”

“อย่ามายุ่งกับข้า!” องค์ชายแปดเอ็ดเสียงดัง เขาสะบัดแขนออกแล้วถอยหนีออกไปไกล

องค์ชายหรู่เผยทั้งตกใจทั้งอาย ที่วิตกสุดคือห่วงว่านางจะเห็นผ้าที่รีบร้อนซ่อนเอาด้านหลัง

“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ” แว่นย่อตัวให้ แล้วค่อยชะโงกหน้าไปดูว่าหนังสือตกอยู่ตรงไหน

โชคดีที่มันหล่นไปติดอยู่ตรงชายคา ถ้าใช้อะไรยาวๆ เขี่ยก็น่าจะพอไหว แต่ต้องมีคนคอยรับไม่ให้หนังสือตกลงไปเปรอะดินด้างล่าง

“หม่อมฉันจะเก็บให้นะเพคะ ขอหาไม้ก่อน”

“ไม่ต้อง จะไปไหนก็ไป” องค์ชายไล่พลางขยับไปชิดติดผนัง

ของที่เขาไม่ต้องการให้กุ้ยฮวาเห็นใหญ่เกินกว่าจะซ่อนเอาไว้ใต้สายคาดเอว ถ้านางยังอยู่ต่อไม่นานความต้องแตก

“หม่อมฉันไปแน่เพคะ แต่ขอเก็บของก่อน”

แว่นชินกับการถูกไล่แล้วจึงไม่สะท้านสะเทือน เขาสังเกตว่าเด็กแสบดูลุกลี้ลุกลนชอบกล แต่มัวพะวงอยู่กับการเก็บตำรามาคืนมากกว่าเลยไม่ทันมองหาสาเหตุ

“ซีอิ๋ง...เจ้าไปถามหาไม้หรือบันไดมาให้ข้าที”

“ให้มหาดเล็กปีนลงไปเก็บให้ดีกว่าเจ้าค่ะ” ซีอิ๋งเสนอ

“ข้าเก็บเอง ห้ามใครแตะต้องตำราสำคัญของข้า” องค์ชายแปดขัด

เด็กหนุ่มมั่นใจว่ากุ้ยฮวาไม่มีทางไปง่ายๆ เขาเลยกระโดดออกไปจากทางหน้าต่างอย่างรวดเร็ว อึดใจเดียวจึงไต่หลังคาลงจากชั้นสองหายวับไป แว่นทึ่งความคล่องตัวของเด็กหนุ่ม แต่ในขณะเดียวกันก็งงที่เขาไปโดยไม่เก็บตำราที่ประกาศว่าสำคัญหนักหนา

“พิลึกคน” แว่นพึมพำขณะมองตาม

“ทำอย่างไรดีเจ้าคะคุณหนู” ซีอิ๋งถามความเห็น

องค์ชายแปดบอกว่าห้ามใครแตะต้อง แต่คุณหนูของนางกลับทำท่าว่าอยากเก็บมันขึ้นมา

“ก็ต้องเก็บสิ ทิ้งไว้อย่างนั้นตกเย็นได้ชื้นน้ำค้างกันพอดี”

กระดาษที่โลกนี้ทำจากวัสดุธรรมชาติล้วนๆ จึงไม่คงทน หากไม่ระวังจะเปื่อยยุ่ยราขึ้นได้ง่าย

“รับทราบเจ้าค่ะ ข้าจะไปตามคนมาเดี๋ยวนี้”

“ไม่ต้องไปหรอกซีอิ๋ง ให้ข้าจัดการเอง” โบ้ที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น

จอมยุทธ์หญิงใช้เวลาเพียงอึดใจในการปีนไปเก็บตำรา ท่วงท่าของนางงดงามน่าชม ทั้งที่ใส่กระโปรงแท้ๆ ก็ยังเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วไม่มีติดขัด

โบ้กลับเข้ามาในห้องได้โดยสวัสดิภาพ แต่ตำราที่น่าสงสารกลับต้องหล่นลงบนพื้นอีกครั้ง เมื่อองค์ชายหกเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มสว่างไสว วันนี้เขาดูต่างจากเคย โบ้ที่เริ่มชินกับความหล่อขององค์ชายลี่หยางเลยกลับมาใจเต้นอีกครั้ง แม้แต่ซีอิ๋งก็พลอยเป็นกับเขาไปด้วย

โดยพื้นฐานองค์ชายหกเป็นคนรูปงามอยู่แล้ว จะดูด้อยกว่าพี่น้องก็ตรงผิวคล้ำและไม่ค่อยแต่งเนื้อแต่งตัว มาวันนี้สีผิวที่เคยหมองเพราะกรำแดดขาวขึ้นมาก พอจับมาสวมชุดที่สมฐานะ จึงดูราวกับเป็นคนละคน

“เงียบกันไปหมดเลย พี่ดูพิลึกรึ” องค์ชายลี่หยางถาม เขาก้มลงมองตัวเองอย่างเก้อๆ

ชายหนุ่มถูกบังคับให้เก็บชุดสีน้ำเงินปักลายทั้งตัวเอาไว้ใส่ในงานเลี้ยงส่งเจ้าเมืองและคณะทูต ลี่หยางไม่ค่อยชอบชุดลักษณะนี้นักจึงไม่มั่นใจเวลาสวม

“เปล่าเลยเจ้าค่ะ ท่านพี่สง่างามจนพวกเราตะลึงต่างหาก” แว่นที่อึ้งน้อยกว่าใครตอบ

“ใช่เลยเพคะ ทรงพระหล่อเลิศวิลิศมาหรามาก” โบ้ช่วยเสริม

“จะยอมเชื่อพวกเจ้าสักครั้งก็ได้” องค์ชายหกยิ้มออกมา “ว่าแค่...วิลิศมาหราคืออะไร” องค์ชายเจ้าปัญหาเริ่มสงสัยภาษาไทยอีกแล้ว

หนนี้โบ้แปลได้ตรงตัวอย่างน่าอัศจรรย์ว่า ‘หรูหรา’ ไม่มีศัพท์แปลกๆ โผล่มาให้ปวดหัว แต่ถ้าปล่อยให้คุยกันนานไปอาจเกิดเรื่อง แว่นเลยแล้วหันมาสะกิดเพื่อน

“เก็บของเร็วไป๋หลิน นี่ตำราสำคัญขององค์ชายแปดนะ”

โบ้ก้มลงไปเก็บของอย่างเร็วรี่ เสร็จแล้วก็ยืนตรงตรงโปรยยิ้มให้เจ้าของสถานที่ หนนี้ก็เหมือนกับทุกครั้ง ความสวยของโบ้ไม่เคยมีผลต่อองค์ชายหก ทักทายเสร็จเขาก็หันไปสนใจอย่างอื่น

“น้องแปดไปไหนเสียเล่า” องค์ชายลี่หยางถามพลางกวาดตามองหา

หรู่เผยมาอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว เขากลัวน้องชายเบื่อเลยไหว้วานให้สรุปเนื้อหาในตำรากฎหมายให้ ซึ่งเจ้าตำราที่ว่าก็คือของที่อยู่ในมือโบ้ขณะนี้

“กระโดดหน้าต่างไปแล้วเพคะ” โบ้ตอบ

เพื่อไม่ให้องค์ชายหกงง แว่นจึงอธิบายเพิ่มว่าตัวเองทำให้องค์ชายแปดโมโห อีกฝ่ายเลยหนีไปทางหน้าต่าง

“ท่าทางคงเขินเจ้า”

“ไม่มีทางเจ้าค่ะ น่าจะเป็นรำคาญมากกว่า”

ถ้าให้ถูกต้องเรียกส่อพิรุธ แต่แว่นคร้านอธิบายเลยสรุปอย่างง่ายแทน

“น้องแปดก็แค่โวยวายไปอย่างนั้นเอง เจ้าอย่าถือสาเขาเลย อันที่จริงน้องแปดชอบเจ้ามากนะ” พี่ชายผู้แสนดีว่า

องค์ชายลี่หยางเข้าใจตัวตนขององค์ชายหรู่เผยได้ดีกว่าใคร เสียดายก็แต่รู้ใจแบบไม่หมด เลยเผลอแฉน้องโดยไม่ตั้งใจ พี่ชายคนดีไม่รู้หรอกว่าคนที่องค์ชายหรู่เผยไม่อยากให้ได้ยินว่าตนชอบกุ้ยฮวามาก ก็คือตัวกุ้ยฮวาเอง ถ้าอยู่ด้วยตอนนี้เห็นทีจะหน้าแดงเจียนระเบิด

“เป็นความชอบที่ประหลาดดีนะเพคะ” แว่นแกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง อันที่จริงเขารู้อยู่หรอกว่าองค์ชายแปดเป็นจำพวกปากอย่างใจอย่าง

“เนื้อแท้น้องแปดเป็นคนอ่อนโยน ถ้ามีคนที่อดทนและพยายามเข้าใจจะต้องดีขึ้นแน่ พี่ฝากความหวังไว้ที่เจ้านะ”

แว่นหรี่ตาเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย คุยกันดีๆ ทำไมตอนหลังองค์ชายลี่หยางถึงมายัดเยียดบทพี่เลี้ยงเด็กให้เสียอย่างนั้น

“ข้าเกี่ยวอะไรด้วยเจ้าคะ”

“เกี่ยวสิ ถ้าไม่ได้เจ้าน้องแปดคงไม่ยอมออกมาจากตำหนักมังกรน้ำ ในบรรดาคนใกล้ตัวทั้งหมด เจ้าเป็นสตรีคนเดียวที่น้องแปดยอมรับ”

“ยอมรับในแง่ไหนเจ้าค่ะ ถ้าคู่ปรับเห็นทีจะไม่ไหว” แว่นปั้นหน้าเหนื่อยใจประกอบคำพูด

“ก็พูดยากอยู่นะ แต่เจ้าสำคัญกว่าคนทั่วไปแน่”

“ข้อนี้ข้ารู้ดีเจ้าค่ะ ข้าสำคัญมากองค์ชายเลยขยันตะคอกใส่เป็นพิเศษ”

แว่นจงใจประชดเพราะไม่อยากให้องค์ชายหกคาดหวังมากเกินไป ทุกวันนี้ลำพังเอาตัวเองให้รอดก็เหนื่อยแล้ว ไม่เหลือเรี่ยวแรงไปยุ่งเรื่องคนอื่น

“อย่าถือสาเลย ช่วงที่ผ่านมาน้องแปดมีเรื่องรบกวนอารมณ์เยอะ”

“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

องค์ชายหกถอนใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่าเรื่องของสกุลเหอ องค์ชายลี่หยางลังเลอยู่พอประมาณว่าควรพูดเรื่องนี้หรือไม่ แว่นเห็นแบบนั้นจึงขอให้ซีอิ๋งกับโบ้ออกไปก่อน เพื่อที่จะได้คุยกันได้สะดวกขึ้น ชายหนุ่มเห็นกุ้ยฮวาทำท่าพร้อมรับฟัง จึงสั่งให้คนของตนออกไปบ้าง แล้วเริ่มเล่าสิ่งที่ได้พบเห็นมาให้ฟัง

ตั้งแต่ออกมาจากตำหนักมังกรน้ำ คนสกุลเหอก็ปฏิบัติต่อหรู่เผยประหนึ่งตัวปัญหา หนำซ้ำความสัมพันธ์ของเขากับมารดาที่อุตส่าห์ดีขึ้น ก็กลับย่ำแย่ลงเพราะเรื่องคู่แต่งงานของพี่สาว

ไม่ได้มีแค่สนมเฉินที่อยากได้องค์ชายเหอเสี่ยงมาเป็นเขยขวัญ ทางสกุลเหอเองก็อยากได้ด้วย ทว่าสกุลเหอแทบไม่มีอะไรไปสู้เมื่อต้องแข่งขันกับธิดาองค์โปรดของฮ่องเต้ ถึงกระนั้นองค์หญิงเจินอิ่งหรือองค์หญิงแปดก็ยังเป็นแสงแห่งความหวังของทุกคน หากได้สมรสกับองค์ชายเหอเสี่ยง สกุลเหอก็จะกลับมาเป็นที่เกรงใจอีกครั้ง เพราะถือว่าการสมรสกับองค์ชายที่มีศักดิ์เสมอกัน แสดงถึงความสำคัญในสายพระเนตร

คนสกุลเหอหวังพึ่งองค์หญิงเจินอิ่งกันเต็มที่ จึงขอร้องกึ่งกดดันสนมเหอให้ออกคำสั่งห้ามไม่ให้องค์ชายหรู่เผยไปไหน เพื่อไม่ให้ไปก่อเรื่อง แต่มีหรือเด็กรั้นจะฟัง องค์ชายแปดออกไปเที่ยวขี่ม้าล่าสัตว์ที่ป่านอกกำแพงวังทันที เมื่อกลับมาจึงถูกเสนาบดีเหอลงโทษด้วยการใช้ไม้เรียวตีหวังให้หลาบจำ ทว่าผลกลับเป็นตรงกันข้าม ไม่เพียงแต่ไร้ประโยชน์ ยังสร้างบาดแผลในจิตใจให้เพิ่มมากขึ้น

องค์ชายแปดหมดความศรัทธาในตัวท่านตา เหตุผลเดียวที่ยอมเชื่อฟังคือจะได้ไม่ต้องทนฟังเรื่องเหนื่อยใจ เสนาบดีเหอรู้ว่าหลานชายไม่สำนึก จึงลงโทษให้ทุกคนปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชา หัวใจที่เริ่มตายด้านทนความเจ็บปวดนี้ได้สบายกว่าที่คิด เขาหวังเพียงความสงบ น่าเศร้าที่แม้แต่เรื่องน้อยนิดก็เป็นไปไม่ได้ ทั้งที่สู้อุตส่าห์ข่มใจอย่างมากมาย แต่ก็ยังไม่วายถูกตำหนิจากคนที่มีสายเลือดเดียวกัน

ในช่วงแรกของเทศกาลหนุ่มสาว องค์ชายเหอเสี่ยงไม่ได้ให้ความสนใจองค์หญิงเจินอิ่งเลย แทนที่จะโทษว่าตัวเองไม่มีความสามารถหรือไม่งามพอ องค์หญิงแปดกลับเฝ้าโยนความผิดทุกอย่างมาให้น้องชาย นางเอาแต่ระบายความโกรธเกรี้ยวใส่ คำด่าว่ามากมายพรั่งพรูออกมา แต่หมื่นประโยคล้านวลีไม่ร้ายเท่าประโยคที่ว่า ‘คนอย่างเจ้าไม่สมควรเกิดมา’

องค์ชายลี่หยางบังเอิญอยู่ในเหตุการณ์วันนั้น เจินอิ่งช่างใจร้ายกับน้องนัก แต่ที่ใจดำยิ่งกว่าคือสนมเหอ นางเอาแต่นิ่งเงียบไม่ตำหนิธิดาหรือแก้ต่างให้บุตรชายเลยแม้แต่คำเดียว ขนาดเขาไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องยังสะท้านในอก นับประสาอะไรกับหรู่เผย สีหน้าของเด็กหนุ่มในวันนั้นนิ่งสนิท ดวงตาไร้แววจนเขาห่วงว่าจิตใจอาจพังทลายไปแล้ว

องค์ชายหกตัดสินใจในตอนนั้นว่าต้องพาน้องออกไปจากที่นี่ ก็เลยประกาศกับทุกคนว่าขอรับดูแลหรู่เผยเอง ถ้าเด็กหนุ่มก่อเรื่องหรือสร้างปัญหา เขาจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่าง ทีแรกเสนาบดีเหอไม่ยอม จนกระทั่งมีการประกาศเรื่องการหมั้นหมายของลี่จูกับแม่ทัพต่งจินไท่ออกมา และฮ่องเต้ทรงปรารภว่าอยากให้เจินอิ่งได้แต่งงานกับองค์ชายเหอเสี่ยง ทางนั้นจึงยอมให้หรู่เผยมาอยู่ที่ตำหนักนี้

แว่นพลอยถอนใจตามไปด้วยเมื่อได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด ไม่คิดเลยว่าเบื้องหลังของเด็กที่เหมือนถูกตามใจจนเคยตัวจะเป็นเช่นนี้

“แล้วตอนนี้องค์ชายแปดเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”

แว่นคล้อยตามองค์ชายหก จึงเข้าใจผิดว่าท่าทีแปลกๆ ก่อนหน้าเป็นผลพวงมาจากการถูกทำร้ายจิตใจ

“ขรึมไปมาก ถึงความคิดอ่านจะโตขึ้นแต่ดวงตากลับไร้อารมณ์ พี่ไม่ชอบที่หรู่เผยเป็นแบบนี้เลย ถ้ากลับมาหัวเราะดังๆ เล่นซนได้เต็มที่อย่างเมื่อก่อนคงดีไม่ได้”

”น่าเสียดายจริงๆ เจ้าค่ะ แต่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้” แว่นปลอบ “แม้ว่าความเป็นเด็กจะงดงามแต่ก็อ่อนแอเกินกว่าโลกอันโหดร้าย”

องค์ชายลี่หยางพยักหน้า เขาเห็นพร้องต้องกันกับคำเปรียบเปรยของกุ้ยฮวา แต่ก็ยังเป็นห่วงน้องชายอยู่ดี

“ข้าหวังให้เขาเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งอย่างถูกวิธี อย่าได้เอาความเฉยชามาเป็นเกราะป้องกันจนเผลอทำลายจิตใจตัวเองเลย”

เรื่องนี้สอนกันไม่ได้ มีแต่จะต้องเรียนรู้เองเท่านั้น

“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ องค์ชายแปดมีท่านพี่หกทั้งคน”

ชายหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อได้ฟัง เขาเอ่ยเสียงนุ่มว่า

“ถ้ามีเจ้าอีกคนจะช่วยได้มากทีเดียว”

“วกมาเรื่องนี้อีกแล้วนะเจ้าคะ”

แว่นอดขำความเจ้าเล่ห์อย่างน่ารักขององค์ชายหกไม่ได้

“เอาเถอะเจ้าค่ะ ถ้าองค์ชายแปดไม่ตะคอกหรือร้ายกับข้ามากนัก ข้าก็จะดีกับเขา” แว่นให้คำมั่น




-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายตอนค่ะ
ขอโทษทีเลตนะคะ ช่วงนี้วุ่นวายเล็กน้อย
แล้วก็รื้อเขียนบทแรกๆ ใหม่ค่ะ เลยติดนิดหน่อย
แต่หลังจากลงบทที่สามแล้ว ก็หมดปัญหาแล้วค่ะ
สัญญาเลยหลังจากนี้เค้าจะตรงเวลา
ตอนหน้าเจอกันวันศุกร์นะจ๊ะจุ๊บๆ

หมายเหตุ แก้คำผิดกลับปรับฉากจบนิดหน่อยนะคะ เมื่อคืนรีบลงไม่ได้อ่านทวนเลยคำผิดบาน ขอโทษด้วยค่ะ T^T



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ส.ค. 2558, 03:01:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ส.ค. 2558, 14:40:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 1232





<< หยกตะวัน : บทที่ ๑ สาเหตุที่แท้จริง   หยกตะวัน : บทที่ ๓ จดหมายเบญจมาศ >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 27 ส.ค. 2558, 09:48:30 น.
อ่ออ เพิ่งอ่านชื่อเล่ม เล่มนี้เป็นของน้องแว่นนี่เอง นางเอกตัวจริงงงงง 555


Zephyr 28 ส.ค. 2558, 16:24:08 น.
มีวันที่ชายแปดซึมด้วยอ่ะ
สงสารฮีจุง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account