ในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
เรื่องราวการเดินทางเพื่อเยียวยาหัวใจ ของผู้หญิงที่ดื้อรั้นและพยศกว่าม้าป่า รักอิสระกว่าอินทรี และเปราะบาง...กว่าตุ๊กตาแก้ว...

หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ

หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ

หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
Tags: ภูฏาน มังกรสายฟ้า การเดินทาง ความรัก ศัลยแพทย์

ตอน: I like you!

เช้านี้อัญญาตื่นสาย เธอเชื่ออย่างนั้น เพราะเมื่อพลิกตัวตะแคงมามองหน้าต่างก็พบกับแสงสว่างที่ลอดผ่านม่านโปร่งเข้ามาภายใน ร่างบางสปริงตัวขึ้นจากเตียง กระโดดไปหยิบโทรศัพท์ที่วางชาร์ทแบตเตอรี่ไว้บนโต๊ะวางโทรทัศน์ขึ้นมาดู เธอตั้งเวลาปลุกไว้ใกล้หกโมงเช้า ตั้งใจจะออกไปถ่ายภายพระอาทิตย์ขึ้น แต่แสงตะวันในภูฏานทำงานเร็วกว่าที่เธอคาดไว้มาก หญิงสาวได้แต่ถอนใจ คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปอาบน้ำ

สายน้ำเย็นจัดเหมือนใส่น้ำแข็งออกมาจากตู้ เพราะอัญญาไม่เปิดเครื่องทำน้ำอุ่น หญิงสาวชอบความเย็นจัดเช่นนี้ ทำให้เธอตื่นตาสว่างโดยไม่ทันได้รู้สึกหนาว เพราะทั้งร่างชาไปหมดแล้ว

อัญญาเลือกเสื้อคอปกแขนสั้น เผื่อสำหรับการเดินทางไปวัดหรือสถานที่ที่เป็นทางการ เนมาบอกว่าวันนี้จะพากลับไปที่ทิมพู

หญิงสาวสะพายกล้อง เดินลงจากห้องมาที่ลานหญ้าหน้าโรงแรม กางแขนรับลมหมุนตัวไปมา ออกกายบริหารยามเช้าต้อนรับแสงแดดอ่อน ๆ ที่ส่องมาทักทาย

อากาศยามเช้าค่อนข้างเย็น ไอน้ำค้างชื้นแต่ไม่เหนอะหนะด้วยสายลมที่พัดมาตลอด พาให้แขกชาวไทยทยอยกันลงมานั่งเล่นรับลมที่ซุ้มเก้าอี้ด้านหน้า

อัญญาเดินมานั่งข้าง ๆ อรรัมภา นั่งฟังแอร์โฮสเตสสาวเล่าถึงเรื่องราวการเดินทางกับผู้โดยสารหลากหลายรูปแบบ

“ฟังน่าสนุกดีนะคะ”

“ฟังน่ะสนุก แต่เจอจริง ๆ บางทีพี่ก็ปวดหัว” อรรัมภายกมือกุมขมับ ขณะที่อัญญาหัวเราะคิก

“พี่อรเก่งจัง...หนูว่าแมเนจกับคนน่ะยากที่สุดแล้วค่ะ”

“ก็ต้องแมเนจให้ได้ล่ะ บางทีก็สนุก บางทีก็เหนื่อยเนอะ”

บทสนทนาสะดุดลง เมื่อคุณปรีชาชะโงกหน้ามาทักทายจากระเบียงห้องชั้นบน สองสาวโบกมือตอบอย่างร่าเริง

“อากาศดีนะคะ อัญล่ะอยากมีบ้านอยู่ที่นี่เลย”

“นั่นสิ...ชีวิตดีเนอะ” อรรัมภากวาดตามองไปยังภูผาเบื้องหน้า “เดี๋ยวพี่ไปถามเนมาว่ามีงานอะไรน่าทำที่นี่ดีไหม พวกเอเจนซี่น่าจะดี”

“เอาสิคะ แต่พี่อรจะอยู่ติดที่นาน ๆ ได้หรือคะ”

“จริง ๆ พี่ชอบนะ ถ้ามีงานน่าสนใจให้ทำมันก็อยู่ได้ล่ะ” สาวรุ่นพี่บอก “พี่ชอบนะ ชีวิตเงียบ ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องคน เรื่องงาน”

อัญญาอมยิ้ม “หนูชักอยากงอแง เรียนจบแล้วหนีอาจารย์มาอยู่ที่นี่เสียเลย”
“ก็ดีนะ”

“ยากค่ะ...คงถูกพี่โมซาดุคนแรก ขอทุนรัฐมาเรียน เราก็ต้องตอบแทนแผ่นดินของเรา” อัญญาหัวเราะคิก ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงทุ้มจากด้านหลัง

“นินทากาเล”

อัญญาหันไปมอง รุ่นพี่หนุ่มและทาชิกำลังเดินขึ้นมาจากบันไดหน้าลานที่ทอดลงสู่ลานจอดรถ

“อ้าว...ไหนว่าจะกลับแต่เช้า หรือเปลี่ยนใจมาเที่ยวกับอัญคะ”

“พี่มาส่งทาชิก่อน เดี๋ยวจะไปแล้ว” เขายื่นถุงผ้าใบหนึ่งให้อัญญา “พี่ฝากของไปให้อาจารย์ด้วยสิ”

“ได้ค่ะ แล้วนี่พี่โมซา...ทานอะไรมาหรือยังคะ”

“เรียบร้อยตั้งแต่ที่บ้านแล้ว” ชายหนุ่มตอบ “เดี๋ยวพี่ไปล่ะ เที่ยวให้สนุกนะ”

อัญญาพยักหน้ารับ ยกมือไหว้รุ่นพี่หนุ่ม “ค่ะ...เดินทางปลอดภัยนะคะ”


สถานที่แห่งสุดท้ายในพูนาคาที่เนมาพาไปเที่ยวชม เป็นสถานที่แห่งแรกที่คณะเดินทางไปถึงในเช้าวันนี้ คือซิมนาคาซอง วัดและป้อมปราการแห่งแรกในภูฏานที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1692 โดยชับดรุงงาวังนำเกล

เนมาพาทุกคนเข้าไปด้านใน ซึ่งแบ่งเป็นห้องเล็ก ๆ ขนาบทั้งสองด้าน มีภาพพุทธประวัติอยู่โดยรอบ ไกด์หนุ่มเดินเข้าไปพูดคุยกับพระผู้ดูแลเพียงครู่ ท่านก็เดินมา นำทุกคนเข้าไปในห้องเล็กด้านซ้ายมือ กดเปิดสวิตช์ไฟให้

“God of compassion” เนมาผายมือไปยังรูปจำลองพระโพธิสัตว์เบื้องหน้า “ข้างหลังคือทาร่า...ภูตขาว และภูตเขียว ในรูปปั้นทองเหลืองเราไม่ได้เขียนสี คุณจะแยกโดยดูจากดวงตา”

เนมาผายมือให้ดูรูปจำลองคล้ายเทพนาจาที่อัญญาเคยเห็น “นั่นภูตเขียวครับ คุณลองดูจะเห็นว่าท่านมีดวงตา 7 ดวง ตาปกติสองข้าง ที่อุณาโลมหนึ่ง ที่สองหัตถ์ และสองบาทรวมเป็นเจ็ด”

อัญญายกมือไหว้ แล้ววางเงินนูทรัลลงบนถาดเงินกลางโต๊ะเพื่อการบริจาค ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นธนบัตรอีกบางวางลงใกล้ ๆ ในเวลาเดียวกับที่เธอวางลง

ร่างสูงของทาชิยืนอยู่ใกล้เธอจนชายเสื้อคลุมแตะซ้อนกัน หญิงสาวเอียงคอมองหน้าเขาเพียงครู่ ก่อนจะถอยห่างไปโดยไร้คำพูด
ตั้งแต่ออกจากโรงแรมเช้านี้ ทาชินั่งเงียบมาตลอดทาง ขณะที่คณะเดินทางพูดคุยกันอย่างร่าเริง อัญญาอาจชินกับความเงียบ แต่ท่าทางที่เขานั่งนิ่งมองออกไปนอกหน้าต่างราวรูปสลักที่ไร้ชีิวิตทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด

เมื่อออกมาจากซิมนาคาซอง เนมาผายมือให้ดูเณรที่นั่งเป่าเครื่องดนตรีเป็นกลุ่มอยู่ด้านหน้า “ที่นี่เป็นที่เรียนของพระเณรด้วยครับ ท่านจะหัดเป่าเครื่องดนตรี สวดมนต์ที่นี่”

คุณปรีชา อรรัมภา และอัญญาเดินเข้าไปนั่งข้าง ๆ ยกมือไหว้เป็นเชิงขออนุญาต ก่อนถ่ายภาพเณรกลุ่มหนึ่ง

อัญญาเดินกลับมาที่ลานจอดรถ ข้างลานหญ้าที่เณรนั่งฝึกมีร่องเล็ก ๆ เป็นทางน้ำไหลที่หญิงสาวไม่ทันได้มอง ร่างบอบบางเซวูบ เท้าไถวไปตามร่อง วินาทีที่ร่างกำลังจะกระแทกพื้น มือคู่ใหญ่ก็คว้าเอวเธอไว้ ดึงให้ยืนขึ้น

“เจ็บไหม” ทาชิเอ่ยถาม เสียงเข้าใกล้แทบชิดติดหูเธอ

อัญญารู้สึกถึงเสียงหัวใจเต้นรัวเร็วอยู่ในอก ไหววูบราวจะโลดออกมา อาจเพราะเธอตกใจที่เกือบล้ม แต่อีกเสี้ยวหนึ่งร้องเตือนให้เธอรีบถอยห่างจากผู้ชายตรงหน้า

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ” เธอบอกเบา ๆ แล้วหมุนตัวเดินไปขึ้นรถ

จากพูนาคา คณะจะเดินทางกลับไปที่ทิมพูอีกครั้ง ทาชินั่งกอดอกนิ่ง ขณะที่อัญญานั่งฟังอรรัมภาเล่าถึงประสพการณ์การเดินทางและชีวิตของแอร์โฮสเตสอย่างสนุกสนาน

“คือมีเคสหนึ่ง ไม่ใช่เนทีฟอิงลิชนะคะ อรก็ถามเขาว่าจะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” หญิงสาวเล่า “เขาก็บอกเอาวิสกี้ ทีนี้ผู้โดยสารหลายคนจะกินวิสกี้แบบ...ใส่น้ำแข็งอย่างเดียวน่ะค่ะ ที่เขาเรียก on the rock ใช่ไหมคะ”

“อา...ใช่ ๆ ” คุณปรีชาหันมาร่วมวงเป็นช่วง ๆ สลับกับนั่งหลับตาพอให้หายเมารถ

“อรก็ถามเขาว่าเอาแบบ on the rock ไหม” หญิงสาวหัวเราะ “เขาก็บอก...No, I want to drink on my table”

ทั้งคณะหัวเราะลั่นรถจนเนมาหันมามอง อัญญาหัวเราะจนตัวโยน พอดีกับที่รถหักเลี้ยวเลียบภูผา เหวี่ยงร่างบางให้เซไปด้านข้าง กระแทกกับไหล่กว้างของคนที่นั่งข้าง ๆ ทาชิหันมาตวัดแขนโอบตัวเธอไว้ไม่ให้เซถลาไปมากกว่าเดิม แต่กลับคล้ายเขาอ้าแขนกอดเธอไว้

บทสนทนาจากเบาะด้านหน้ายังดำเนินต่อไป “ตายจริง...น้องอรนี่ ถามอะไรเข้าป่าเข้าพง ใครเขาจะไปกินออนเดอะร็อคล่ะคะ เขาต้องกินออนเดอะเทเบิล” คุณนิภาเอ่ยกลั้วหัวเราะ

“อรล่ะทั้งขำทั้งฉุน คือหน้าเขาโกรธมากนะคะ เหมือนแบบ...อะไร เธอไม่เข้าใจเหรออะไรประมาณนี้เลย”

อัญญาค่อย ๆ ดึงตัวออกห่างจากชายหนุ่ม เขานิ่งไปครู่ จนเธอนั่งตั้งหลักเองได้ หญิงสาวจึงเอ่ยขอบคุณเบา ๆ
ทาชินิ่งไปครู่ เขาสูดลมหายใจยาวราวตัดสินใจบางอย่าง ก่อนถามเสียงเบา “คุณ...ชอบพี่โมซาเหรอ”

อัญญานิ่งงันไป กระพริบตาปริบ ๆ เรียบเรียงคำถามที่ได้ยิน แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจ จึงหลุดปากถามด้วยสีหน้างุนงง “อะไรนะคะ”

“ผมถามว่า คุณชอบพี่โมซาเหรอ”

อัญญานึกขอบคุณอรรัมภาที่เล่าเรื่องราวเคล้าเสียงหัวเราะอยู่ข้างหน้า คำถามของทาชิจึงไม่ดังเกินที่ใครนอกจากเธอจะได้ยิน
หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ กลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิดว่าอะไรทำให้เขาคิดเช่นนั้นได้

“ถ้า like ก็ใช่ค่ะ...แต่ไม่ใช่ love” เธอตอบชัดเจน ก่อนจะนึกได้ถึงการกระทำเมื่อคืน

“ถ้าคุณหมายถึงเรื่องเมื่อคืน อัญว่าพี่โมซาเข้าใจอัญนะคะ สมัยนี้การแสดงความชอบพอด้วยการสัมผัส หรือกระทั่งแทนการทักทายทั่วไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรไม่ใช่หรือคะ” เธอบอกอย่างผู้หญิงที่เกิดมาในโลกเสรี

ทาชิมองหน้าหญิงสาว ก่อนที่เขาจะก้มลงมาปัดริมฝีปากแตะผ่านหน้าผากเนียน แล้วบอกหน้าตาเฉย
“I like you…”

อัญญาอ้าปากค้าง ลมหายใจสะดุดห้วงไปเฮือกใหญ่ ม่านตาเบิกโตมองคนตรงหน้า
เธอกระพริบตาถี่ ๆ เรียกสติให้ตัวเอง สูดลมหายใจลึกยาว ก่อนบอก “ขอบคุณนะคะ แต่คุณไม่ควรทำแบบนี้กับคนที่เพิ่งรู้จัก”

“คุณบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลก”

“สำหรับธรรมเนียมตะวันตกค่ะ แต่ในไทย...หรือความจริงประเทศทางฝั่งตะวันออกหลายแห่งก็ยังถือสาเรื่องนี้”

“แต่คุณไม่...” เขาเหยียดยิ้ม หรี่ตามองกึ่งหยัน “หรือไม่...เฉพาะกับบางคน”

อัญญาหรี่ตามองชายหนุ่มอย่างไม่ชอบใจนัก “คุณจะพูดอะไรกันแน่”

ทาชินิ่งไปหลายอึดใจ มองหน้าเธอด้วยแววตาหลากอารมณ์ ก่อนที่เขาจะยกมือลูบใบหน้าตัวเองเบา แล้วบอก “ผมขอโทษ”

“อัญต้องการคำอธิบายมากกว่าคำขอโทษค่ะ” อัญญาใจเย็นลง แต่ยังคงมองเขากึ่งคาดคั้น “คุณโกรธเพราะคิดว่าอัญรักพี่โมซาหรือคะ”

ทาชิถอนใจหนัก ๆ มองหน้าเธอ “ผมแค่อยากมั่นใจ...ผมไม่มีวันแตะต้องผู้หญิงของพี่โมซา”

อัญญาถอนใจเบา ๆ “อย่างนั้น...อัญเป็นน้องสาวของพี่โมซา ถือว่าเป็นผู้หญิงของเขาด้วยก็ได้ค่ะ” หญิงสาวแค่นหัวเราะในคอเบา ๆ แล้วหันไปมองอีกด้าน นอกหน้าต่างที่มีเพียงภูผาหินแข็งแกร่ง เผื่อว่าความแข็งแรงนั้นจะช่วยเติมเต็มหัวใจเธอให้มั่นคงขึ้นได้ไหม

ทาชิไม่ได้วุ่นวายกับเธออีก เขานั่งเงียบ ๆ ปล่อยให้อัญญาจมกับความคิดจนหลับไป

อัญญาตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อรถแล่นมาจอดที่โดชูลาเพื่อแวะพักอีกครั้ง เนมาพาทุกคนไปนั่งดื่มกาแฟที่ร้านเดิม

แม้เป็นเวลาสายจนใกล้เที่ยง แต่ละอองหมอกยังโอบล้อมยอดโดชูลาไว้เป็นภาพที่ศักดิ์สิทธิ์ราวอยู่ในห้วงฝัน อัญญายืนถือถ้วยกาแฟ ทอดตามองผ่านกระจกในร้านออกไปด้านนอก ก่อนจะหมุนตัวกลับมานั่งที่โต๊ะ

ทาชิถือจานใส่บิสกิตมาวางกลางโต๊ะ “บิสกิตที่นี่อร่อยมาก คุณน่าจะลองสักหน่อย”

หญิงสาวเอ่ยปฏิเสธ ขอบคุณเบา ๆ แล้วเดินหนีออกมาเงียบ ๆ เหตุการณ์ในรถทำให้เธอสับสนอยู่ไม่น้อย ส่วนหนึ่งของหัวใจร้องเตือนว่าความสัมพันธ์เช่นนี้อันตรายนัก อีกส่วนที่ยังเจ็บปวดกับใครบางคนบอกว่าเธอควรจะอยู่ให้ห่างเขาที่สุด

‘ถ้าไม่ใช่พี่...อัญก็คงไม่รักใครอีก’ คำนั้นราวคำสัญญาที่ผูกมัดหัวใจของอัญญาไว้อย่างมั่นคง

คำสัญญาที่แม้แต่คนฟังเองยังเลิกคิ้ว หันมาดุ ‘อัญยังเด็กมาก อย่าพูดอย่างนั้น’

‘อัญเชื่ออย่างนั้นค่ะ เหมือนที่อัญบอกมาตลอด...ถ้าไม่ใช่ศัลยแพทย์ อัญก็ไม่มีสาขาไหนให้รักอีก’

อัญญาเชื่อมั่น ตั้งมั่นในคำพูดของตนยิ่ง เมื่อเธอยืนยันไปแล้ว หัวใจเธอจะไม่มีวันเป็นอื่น ชีวิตเธอเดินมาด้วยความมุ่งมั่นเช่นนี้จนกลายเป็นความคุ้นเคยที่ยากจะเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว

แม้ในวันที่เขาเปลี่ยนไปเป็นผู้ชายที่เธอไม่เคยรู้จักและรัก อัญญาก็เชื่อว่าเธอคงไม่มีวันจะมอบหัวใจให้ใครอีก ความรักของเธอมีไว้เพื่อเขาคนนั้นที่ตายไปกับวันเวลาแล้ว

หลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าไม่มีใครแวะเวียนมาเคาะประตูหัวใจ แต่ไม่เคยมีใครทำให้หัวใจเธอสั่นไหวได้อย่างทาชิ นั่นเหมือนสัญญาณอันตราย ที่ทำให้เธอต้องเพิ่มกำแพงน้ำแข็งมาปิดกั้นหัวใจ

“เนมาคะ เราจะนั่งเล่นตรงนี้อีกสักสิบนาทีได้ไหม อัญอยากขึ้นไปเดินเล่นที่โดชูลาอีกรอบน่ะค่ะ” หญิงสาวเดินมาวางถ้วยกาแฟบนโต๊ะ เอ่ยถามไกด์หนุ่มเสียงเบา

“ได้ครับ...ผมไปเป็นเพื่อนไหม”

“ไม่ค่ะ...คุณดูแลคนอื่นเถอะ แต่ถ้าจะออกก่อน รบกวนขึ้นไปตามอัญข้างบนนะคะ” หญิงสาวฉีกยิ้ม “อย่าทิ้งอัญไว้ที่นี่แล้วหนีไปทิมพูเชียวนะ”

“โอ...ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่ เชิญตามสบายครับ”

อัญญาเดินออกไปที่ลานด้านหน้า เด็ก ๆ วิ่งเล่นอยู่ที่เนินหญ้าข้างวัดติดกับคาเฟ่ ก้มหน้าก้มตามองหาโคลเวอร์ 4 แฉกอย่างตั้งอกตั้งใจ

เนมาเล่าว่าที่นี่มีความเชื่อเรื่องโคลเวอร์ 4 แฉกเหมือนในญี่ปุ่น หากใครหาพบจะถือว่าโชคดี

อัญญาอมยิ้มมอง อดไม่ได้ที่จะก้มลงตามหาโคลเวอร์ไปตามทางเดินออกมาที่ลานจอดรถด้านหน้า หญิงสาวเดินตรงไปยังสถูปที่ถูกสร้างเรียงเป็นวงกลมอยู่บนเนินสู่ยอดเขา ละไอหมอกเริ่มจางลงด้วยความอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ที่เริ่มแรงขึ้น เธอลดแว่นกันแดดลงขณะเดินขึ้นบันไดสถูปไปช้า ๆ

ความจริงโดชูลาไม่ได้ดึงดูดใจหญิงสาวมากนัก เธอแค่อยากหาที่พักใจเงียบ ๆ หญิงสาวจึงเลือกจะหนีมาที่นี่ และยอดโดชูลาก็เงียบสงบอย่างที่เธอคาดไว้จริง ๆ

อัญญาทรุดตัวลงนั่งบนลานที่ปูด้วยอิฐชั้นบนสุดของโดชูลา สถูปกลางประดิษฐานรูปประติมากรรมนูนต่ำเป็นภาพองค์พระศรีศากยมุนี ประทับนั่ง

หญิงสาวหลับตาลงนิ่ง เปิดหูรับฟังเสียงกระซิบของสายลม ปิดหัวใจให้พักอยู่กับร่างกายของตัวเอง

กล่าวกันว่ามนุษย์อินโทรเวอร์ส หรือพวกที่ชอบอยู่กับตัวเองจะมีแรงมากขึ้นเมื่อได้อยู่เงียบ ๆ คนเดียว อัญญาเองก็เป็นเช่นนั้น เมื่อไรที่เธอเหนื่อยล้า เพียงได้นั่งเงียบ ๆ หายใจยาวลึก อยู่กับตัวเองเพียงชั่วขณะ เธอก็เหมือนจะมีพลังกลับมาใช้ชีวิตต่อได้ไม่ยากนัก แต่ไม่นานมานี้ ใครบางคนกลับมีพลังประหลาดที่ทำให้หัวใจเธอสงบลงได้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ ๆ

‘อัญไม่รู้ว่ามันคือความรักหรือเปล่า แต่อัญสบายใจที่อยู่ข้างเขา เหมือน...โลกมันสงบลง เวลาเรานั่งอยู่ด้วยกัน แค่นั่งอยู่ด้วยกันก็มีความสุขมากแล้ว’ นั่นคือคำที่อัญญาเคยบอกกับเพื่อนรัก เพื่อบรรยายถึงความรู้สึกที่เธอมีกับผู้ชายคนหนึ่ง

คนที่ทำให้จิตใจเธอสงบเมื่ออยู่เคียงข้าง แต่ก็ทำให้ใจสั่นเมื่อเขาหันมากระซิบคำหวานหู ก่อนจะจบลงด้วยความเจ็บปวด เมื่อทุกอย่างจางหายราวภาพฝัน

ในขณะที่หลายคนบอกว่าเธอควรโกรธเกลียดผู้ชายที่ไม่เห็นค่าความรัก แต่อัญญาไม่เคยคิดเช่นนั้น ‘เขาเป็นผู้ชายที่แสนดี เอาใจใส่ และเคย...มั่นคงในความรัก อัญเชื่อว่าความรักที่เขาเคยมีเป็นของจริงนะ เพียงแต่ความต่าง ปัญหาหลายอย่าง และ
การเติบโตมาในครอบครัวที่มีปัญหา ทำให้เขาต้องการความรัก ความใส่ใจ...มากเกินกว่าที่อัญจะให้ได้’ เธอรู้ดี เมื่อเธอเองก็รักความฝันของตัวเองมากกว่าเขา หากความรักจะจบลงก็ถือเป็นความรับผิดชอบของคนสองคนร่วมกัน

อัญญาลืมตา หยัดตัวขึ้นยืนเงยหน้าไล่หยดน้ำตาไม่ให้รินไหล หลุดคำกระซิบเบา ๆ ไปกับสายลม

“อัญคิดถึงพี่นะคะ...”

คงเพราะคำนั้นทำให้หัวใจเธอมั่นคงขึ้น เมื่อหันมาเผชิญหน้ากับผู้ชายที่เดินขึ้นมาตาม

“ทุกคนเรียบร้อยกันหมดแล้ว...เนมาบอกผมว่าคุณอยู่บนนี้”

“ขอบคุณค่ะ...” เธอโคลงศีรษะเอ่ยเบา ๆ

“สบายใจขึ้นบ้างไหม” เขาถามเมื่อเดินตามหญิงสาวลงไปไม่ห่างนัก

อัญญาถอนใจเบา ๆ “ก็...ค่ะ...”

“คุณลืมกล้องไว้ที่โต๊ะ ผมเลยหยิบมาให้” เขาส่งกล้องในมือให้หญิงสาว เมื่อเดินลงมาที่รถ

“ขอบคุณค่ะ”

“ลองเปิดดูสิ”

อัญญามองอย่างแปลกใจ ก่อนกดเปิดกล้อง เลือกดูรูปภาพที่ถูกบันทึกไว้ ภาพล่าสุดที่ปรากฏขึ้นมาคือภาพตัวเธอบนยอดโดชูลา ภาพที่เธอกำลังเงยหน้ามองฟ้า ด้วยดวงตาที่วาววามด้วยหยดน้ำตา

ภาพนั้นถ่ายทอดอารมณ์ได้ชัดเจนจนเธอสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของตัวเองอีกครั้ง

“มันไม่แปลกหรอกที่เราจะเจ็บ...แต่มันมีประโยชน์อะไรหรือที่คุณจะกอดความเจ็บปวดนั้นไว้แล้วปิดกั้นตัวเองจากความสุขในปัจจุบัน” เสียงทุ้มบอกเบา ๆ แต่กลับดังชัดเข้าไปถึงหัวใจคนฟัง

ที่เบาะด้านหน้ามีเสียงพูดคุยครื้นเครง แต่ที่นั่งด้านหลังสุดมีเพียงความเงียบงัน อัญญาปิดกล้อง เหลือบมองทาชิที่นั่งนิ่ง บรรยากาศรอบตัวชายหนุ่มชวนให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างประหลาด คล้ายเขากำลังโกรธ เป็นความโกรธที่อึมครึมจนเธอรู้สึกไม่สบายใจ

คำขอโทษเกือบหลุดจากปากอัญญา แต่เธอกัดลิ้นไว้เพราะไม่รู้ว่าควรขอโทษต่อสิ่งใด หากคำพูดของเขายังดังก้องอยู่ในหัว
‘...มันมีประโยชน์อะไรหรือที่คุณจะกอดความเจ็บปวดไว้แล้วปิดกั้นตัวเองจากความสุขในปัจจุบัน’

---
คุณปรางขวัญ : ขอบคุณค่ะ ติดตามทาชิกับอัญญาต่อนะคะ

คุณคิมหันตุ์ : ทาชิว่าอย่างนี้ล่ะค่ะ....I like you!

คุณกาซะลองพลัดถิ่น ​: ดีใจที่ชอบค่ะ มาเที่ยวด้วยกันนะคะ

คุณหนูมะลิ : ไอซ์เองก็ชอบที่นี่มากจนคิดจะกลับไปอีกเลยค่ะ เป็นที่ที่น่าอยู่มากนะคะ

ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาเป็นกำลังใจให้กันนะคะ แวะไปติดตามภาพท่องเที่ยวด้วยกันได้ที่ http://pantip.com/topic/34092448



ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ส.ค. 2558, 19:18:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ส.ค. 2558, 19:36:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1105





<< Bhutanese Archery   Memmorial Choten >>
pkka 23 ส.ค. 2558, 23:04:43 น.
I like You tooo!


คิมหันตุ์ 23 ส.ค. 2558, 23:36:47 น.
จบแบบยังเจ็บหน่วงๆ อยู่เลย มาอัพต่อไวไวนะคะ


กาซะลองพลัดถิ่น 24 ส.ค. 2558, 01:47:13 น.
ทาชิ พูดถูก...มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกักเก็บความเจ็บปวดไว้ แล้วปิดกั้นตัวเองจากความสุขในปัจจุบัน...
คนเคยรักแล้วต้องมีอันที่ต้องจากกันไป นั้นคือหมดวาสนาต่อกัน ดึงไว้ก็เท่านั้น ...เก็บไว้ตัวเองก็ทุกข์เอง
ถ้าเป็นอิฉันขอเลือก หนุ่มในเครื่องแบบก่อนดีกว่า ความสุข ณ ปัจจุบัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account