ในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
เรื่องราวการเดินทางเพื่อเยียวยาหัวใจ ของผู้หญิงที่ดื้อรั้นและพยศกว่าม้าป่า รักอิสระกว่าอินทรี และเปราะบาง...กว่าตุ๊กตาแก้ว...
หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ
หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ
หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
หากอัญญาคืออินทรีจากลุ่มเจ้าพระยา ปีกเธอหักแล้วด้วยความรัก หัวใจเธอสลายแล้วด้วยความทรมาน ใครจะเยียวยาได้นอกจากตัวเธอ
หากทาชิคือมังกรสายฟ้าแห่งหิมาลายา ดวงตาเขามั่นคงเพียงภาพเธอ กรงเล็บนั้นมีไว้เพื่อปกป้องเพียงหัวใจเธอ
หลับเถอะคนดี...หลับใหลในอ้อมกอด...มังกรสายฟ้า...
Tags: ภูฏาน มังกรสายฟ้า การเดินทาง ความรัก ศัลยแพทย์
ตอน: Memmorial Choten
รถตู้แล่นกลับสู่ตัวเมืองทิมพู ผ่านหอนาฬิกาศูนย์กลางของตัวเมือง เนมาชี้ให้ดูลานกว้างที่มีหอนาฬิกาทรงสี่เหลี่ยม มุงหลังคาจั่ว บนเสาปูนเขียนลายมังกรสีสันสวยงาม
“เราสร้างหอนาฬิกาขึ้นเป็นแหล่งนัดพบเหมือนจัตุรัสกลางเมือง รอบ ๆ มีถนนเชื่อมไปยังเส้นทางต่าง ๆ มีโรงแรมและห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัย”
อัญญายกกล้องขึ้นมาเก็บภาพอย่างเนือย ๆ เหมือนเรี่ยวแรงบางอย่างหายไป เธอถอนใจเบา ๆ มองเส้นทางรอบตัวไปเรื่องจนรถแล่นมาจอดหน้าโรงแรมแห่งเดิมที่เคยพักเมื่อวันแรกที่พวกเธอมาถึงภูฏาน
“วันแรกพวกคุณไม่ได้รับประทานอาหารไทย มื้อนี้ผมขอแก้ตัวนะครับ” เนมาหันมาบอก
เขาพาทุกคนไปที่ร้านอาหารไทยซึ่งตั้งอยู่บนชั้นล็อบบี้ ตรงข้ามห้องอาหารของโรงแรม ผู้ชายคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขายกมือสวัสดีแล้วเอ่ยภาษาไทยอย่างชัดเจน
“สวัสดีครับ ยินดีต้องรับสู่ทิมพู”
“นี่เชฟของเราครับ...ทำอาหารอร่อยมาก” เนมาผายมือบอก ทุกคนไนคณะต่างเอ่ยทักทายชายหนุ่มอย่างเป็นกันเอง
ทาชิเอ่ยขอแยกตัวออกไปรับประทานอาหารกับเนมาและคนขับรถโดยไม่มีใครกล้าทัดทาน เพราะใบหน้านิ่งเฉยราวใส่หน้ากากของชายหนุ่ม โชคดีที่ความร่าเริงของอรรัมภา และอารมณ์ขันของคุณปรีชาทำให้บรรยากาศบนโต๊ะไม่ตึงเครียดนัก แม้อัญญาจะนั่งเงียบจนเรียกได้ว่าถามคำตอบคำ
“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” อรรัมภากระซิบถามอัญญาที่นั่งข้างกัน
“ไม่นี่คะ”
“ไม่อะไร คุณทาชิดูเหมือนโกรธอะไรสักอย่าง”
อัญญาถอนใจเบา ๆ ก่อนแค่นเสียงตอบ “คงรำคาญที่อัญงี่เง่าล่ะมั้งคะ”
“น้องอัญ...” อรรัมภาแตะมือเธอ “จะโกรธอะไรกันก็ควรคุยกันให้รู้เรื่องนะ เก็บความไม่เข้าใจไว้น่ะ...ไม่มีใครได้ประโยชน์หรือสบายใจหรอก”
“อัญไม่รู้จริง ๆ ค่ะว่าเขาโกรธอะไรหรือเปล่า”
“แค่สงสัยแล้วถามตรง ๆ ก็แสดงว่าเราใส่ใจแล้วนะ” รุ่นพี่สาวคลี่ยิ้มบอก
“เราชินกับฑิฐิ เก็บซ่อนคำถามถึงความรู้สึกหรือความสัมพันธ์ไว้เพราะกลัวว่ามันจะรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวคนอื่น แต่บางครั้ง...ถ้าเราไม่ถาม เขาไม่พูด มันก็จะกลายเป็นความไม่เข้าใจนะ”
“ในฐานะเพื่อน...พี่เองก็ว่าจะเข้าไปถามทาชิอยู่เหมือนกัน แต่คิดดูแล้ว อัญอาจรู้สาเหตุและเข้าใจเขาได้ดีกว่า แต่ถ้าอัญจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปพี่ก็คงพูดอะไรไม่ได้”
อัญญากอดอกนิ่งคิดอยู่ครู่ เรื่องราวในวันเก่าหวนกลับมาในหัวอีกครั้ง เมื่อวันที่ความสัมพันธ์ของเธอและคนรักเก่าเริ่มเลวร้ายลง เธอเพียรถามหลายต่อหลายครั้ง
‘พี่โกรธอะไรอัญหรือคะ’
‘ไม่มีครับ’ คำตอบนั้นเย็นชาแบบที่คนฟังรู้สึกได้ไม่ยากถึงความผิดปกติ
‘อัญทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ ถ้าพี่ไม่บอก...อัญก็ไม่มีวันรู้’
เขาแค่นยิ้มกึ่งหยัน ‘เคยคิดว่าตัวเองผิดด้วยเหรอ ถึงพี่บอกไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก’
สุดท้ายอัญญาจึงได้แต่ถอดใจ เมื่อเขาไม่ต้องการเธออีกแล้ว ผู้หญิงอย่างอัญญาก็ทระนงเกินกว่าจะเอ่ยคำอ้อนวอน เธอเดินออกมาโดยไม่ให้เขาเห็นแม้สักหยดน้ำตา
เดินออกมา...ในวันที่เขามองแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา ‘ผู้หญิงอย่างเธอเคยนึกถึงคนอื่นด้วยเหรอ คนอย่างเธอมันไม่มีน้ำตาหรอก’
อัญญากัดริมฝีปากตัวเอง ห้ามความรู้สึกทรมานในใจไม่ให้น้ำตาไหลริน สูดลมหายใจลึกยาวเรียกสติตนเอง ก่อนคลี่ยิ้มบาง ๆ
“อัญไม่อยากล้ำเส้นเข้าไปในพื้นที่ของเขาค่ะ”
อรรัมภากลอกตา ไหวไหล่เบา ๆ “ถ้าอัญจะไม่เสียใจภายหลัง...ก็แล้วแต่นะ”
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่สนใจ ปล่อยให้ทาชิหมดความอดทนและเดินออกไปเอง แต่เมื่อเขาเดินกลับเข้ามาพร้อมเนมา ดวงตาคมจัดที่มองเธออย่างผิดหวังก็ทำให้หญิงสาวเผลอเม้มริมฝีปากเบา ๆ อย่างไม่ชอบใจนัก
“ตามโปรแกรมวันนี้เราจะใส่ชุดประจำชาติแล้วไปถ่ายภาพกัน แต่หากพวกคุณต้องการเที่ยวรอบเมือง เราจะข้ามขั้นตอนนี้ไปก็ได้ครับ” เนมาเอ่ยเมื่อเดินเข้ามาถึง
ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนที่อรรัมภาจะหัวเราะเบา ๆ เอ่ยถาม “ถ้าเราอยากใส่ชุดประจำชาติออกไปเที่ยวรอบเมืองล่ะคะ” เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ก็ใส่ชุดประจำชาติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว การสวมคีร่าออกไปเดินจึงไม่น่าจะเก้อเขินสักเท่าไร
เนมานิ่งคิดไปครู่ ก่อนบอก “ก็ได้ครับ”
ทุกคนฉีกยิ้มอย่างพอใจ ไกด์หนุ่มนำทุกคนขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 5 ของโรงแรมซึ่งมีห้องประชุมอยู่ด้านซ้ายมือ สุดมุมห้องมีตู้ไม้ตั้งไว้สองหลัง พนักงานสาวในชุดคีร่าสีเขียวทองยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“เธอจะช่วยพวกคุณแต่งตัว”
หญิงสาวเดินนำคณะเดินทางเข้าไปที่หน้าตู้ ให้แต่ละคนได้เลือกชุดที่พอใจ
อัญญามองผ้านุ่งสีชมพูลายขวางอย่างชอบใจ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบมา
“อุ๊ย...สีชมพูสวยนะคะ” คุณนิภาหันมาบอก
อัญญาคลี่ยิ้ม “ค่ะ พี่นิภาเอาด้วยไหมคะ ยังมีอีกผืน”
“ต้องเลือกสีสด ๆ หน่อยนะ เวลาถ่ายภาพจะได้ดูสดใส”
“พี่เอาสีนี้ดีกว่า” อรรัมภาหยิบผ้าผืนหนึ่งออกมา ก่อนหันไปเลือกเสื้อคลุมแขนยาว
หญิงสาวหยิบเสื้อคลุมสีชมพูออกมาทาบกับผ้านุ่งในมืออัญญา “สีนี้สวยนะ เข้ากับผ้าน้องอัญเลย”
“อย่างนั้นอัญขอตัวนี้ล่ะค่ะ” เธอยิ้มให้รุ่นพี่สาว ก่อนเดินออกมาให้พนักงานสาวชาวพื้นเมืองช่วยแต่งตัวให้
คีร่ามีลักษณะคล้ายผ้าถุงของไทย แต่เป็นผ้าชิ้นยาวมีเชือกยาวทั้งสองข้างไว้ผูกเอว เวลาสวมจะต้องคลี่ผ้าออกตลอดความยาวผืน แล้วพับส่วนหนึ่งสวมรวบเอว ดึงชายด้านที่เป็นผ้าทบกันไว้ด้านซ้าย อีกด้านโอบมาพันด้านขวาทำให้สะดวกในการเดิน ส่วนชายที่เหลือพันอ้อมไปผูกเอวจากด้านหลัง จากนั้นจึงสวมเสื้อคลุมทับเสื้อตัวใน ติดเข็มกลัดให้มิดชิดขึ้น
อัญญาหมุนตัวมองภาพตนเองที่สะท้อนในกระจกบานใหญ่ ก่อนหันไปมองเพื่อนร่วมคณะที่ยังง่วนกับการแต่งตัว แล้วสายตาก็มาหยุดที่ดวงตาคู่คมของชายหนุ่มซึ่งยืนพึงหน้าต่างอยู่ตรงมุมห้อง ดูเหมือนเขาจะมองเธออยุ่นานแล้ว
หญิงสาวยืนนิ่ง มองสบตาเขาเพียงอึดใจก็เดินตรงเข้าไปหาอย่างอดไม่ได้
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า...” ด้วยสายตาเรียบเฉยของเขา ทำให้อัญญารู้สึกไม่ดีจนเผลอหลุดคำนี้ออกมา
เขาเลิกคิ้วมอง เหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย ก่อนยื่นมือออกมาตรงหน้า “ส่งกล้องมาสิ...ผมจะถ่ายรูปให้”
อัญญาส่งกล้องในมือให้เขาอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มยกกล้องขึ้น เก็บภาพเธออย่างรวดเร็ว ก่อนยื่นจอภาพบนกล้องให้เธอดู
“คุณชอบใบหน้าแบบนี้ของตัวเองนักหรือ”
ภาพที่อยู่ในจอคือหญิงสาวเจ้าของใบหน้าเรียวได้รูป ไม่ได้สวยจัดแต่ก็ไม่ขี้ริ้วจนน่ารังเกียจ อัญญาไม่เคยชอบภาพถ่ายของตัวเอง เธอจึงชอบจะอยู่หลังกล้องมากกว่าหน้าเลนส์ แต่ภาพที่ทาชิยื่นให้เธอดูมันแย่กว่านั้น เพราะดวงตาคู่โศกที่ฉายแววหวั่นไหวอย่างชัดเจน ดูอ่อนแอราวจะแตกหักลงได้ทุกขณะ
หญิงสาวหลับตาสูดลมหายใจยาว ก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยดวงตาที่มุ่งมั่นกว่าเดิม
“ลบเถอะค่ะ...เรื่องบางอย่างก็ไม่ใช่สาระที่จะต้องคิดถึง” หญิงสาวไหวไหล่เบา ๆ ก่อนจะเดินไปหาอรรัมภา เธอคลี่ยิ้มให้เพื่อนร่วมคณะ แล้วต่างพากันโพสท์ท่าถ่ายภาพอย่างร่าเริง
ทาชิเดินมาช่วยเป็นตากล้องจำเป็น รอยยิ้มจาง ๆ ของชายหนุ่มทำให้อัญญาอุ่นใจมากขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
เมื่อเนมาบอกว่าจะพาทุกคนไปเที่ยวชมเมือง ทาชิก็ส่งกล้องคืนให้อัญญา หญิงสาวคลี่ยิ้มบอก “ขอบคุณนะคะ”
ทาชิมองแล้วคลี่ยิ้มบาง “ผมชอบรอยยิ้มของคุณ”
คนพูดเดินห่างไปแล้ว แต่คนฟังยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อัญญาหลุดหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง เธอไม่แน่ใจว่าทาชิตั้งใจโปรยเสน่ห์ใส่เธอหรือเปล่า แต่ที่รู้แน่ชัดคือการสร้างกำแพงของเธอมีแต่จะย้อนกลับมาททำร้ายตัวเอง หญิงสาวกลอกตาอย่างอ่อนใจ ไหวไหล่เบา ๆ บอกกับตัวเอง
“Whatever will be, will be...”
“But…I’m going to be what I want” เสียงหวานเน้นคำกับนเองราวจะตอกย้ำความตั้งใจ
ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเถอะ โลกจะหมุน ฟ้าจะเปลี่ยนสี ใครจะคิด จะทำอะไรก็ช่าง สิ่งที่เธอควบคุมได้คือสิทธิ์ในการตัดสินใจ ควบคุมหัวใจ และเลือกจะใช้ชีวิต
กลัวอะไรกับถ้อยคำหรือสายตาคน เมื่อหัวใจดวงนี้เจ็บช้ำจนไม่อาจวางใจมอบให้ใครได้อีก
สถานที่แห่งแรกที่เนมาพาทุกคนมา คือมหาสถูปเมโมเรียลโชเต็น หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่รู้จักดีในทิมพู
“เมโมเรียลโชเต็นถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1974 โดยพระมารดาอาชิ โชเด็น วังชุก พระมารดาในกษัตริย์จิกมี ดอร์จิ วังชุก รัชกาลที่ 3เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระโอรสที่สิ้นพระชนม์ในปี 1972”
“ท่านสิ้นตอนอายุเท่าไรหรือคะ” คุณนิภาถามอย่างแปลกใจ
“คุณหมายถึงคิงจิกมี ดอร์จิ วังชุกใช่ไหมครับ เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้ 44 พรรษาครับ”
“โอว...อายุน้อยมาก”
“แต่เป็นรัชสมัยที่รุ่งเรืองมากนะครับ” เนมาบอกอย่างภาคภูมิใจ “ทรงวางผังเมือง สร้างเขื่อน พัฒนาประเทศมากมาย”
“เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่และทรงคุณค่านะคะ” อรรัมภาเอ่ยอย่างชื่นชม
เนมาพยักหน้ารับ ก่อนพาทุกคนเดินเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นลานกว้าง ใจกลางมีมหาสถูปสีขาวสะอาด ยอดประดับทองเป็นเจดีย์แหลมเสียดฟ้า ด้านหน้ามีศาลาสีแดงหลังเล็กตั้งรูปจำลองที่มีผู้คนนั่งถือกงล้อมนตราหมุนสวดมนต์อยู่โดยรอบ ขวามือเป็นศาลาหลังใหญ่ ภายในมีกงล้อมนตราสีทองหลายอันให้นักท่องเที่ยวเข้าไปหมุน
“ที่นี่ถูกสร้างขึ้นใจกลางกรุงทิมพู เป็นสถูปตามแบบอย่างสถาปัตยกรรมของทิเบต รอบด้านของสถูปจะมีภาพสัตว์แทพผู้คุ้มครองที่ผมเคยเล่าให้พวกคุณฟัง คือครุฑ สิงโตหิมะ เสือ และมังกร”
เนมาพาทุกคนเดินเข้าไปด้านใน จนถึงศาลาหลังสีแดงที่อยู่หน้าสถูป ตรงกลางศาลาคือรูปจำลองสีทองของเทพธิดาที่อยู่กลางดอกบัวสีสดใส
“พวกคุณจำพูนาคาซองได้ไหมครับ นี่คือนางเงือกที่นำหินไปถวายเพื่อสร้างพูนาคาซอง”
“นางเงือกทำไมมีขาล่ะคะ” คุณพรรณีถาม
“เราเชื่อว่าท่านเป็นเทพธิดาครับ นางเงือกคือร่างจำแลง”
เนมาพาทุกคุนไปที่อาคารเล็ก ๆ ข้างมหาสถูป เขาหันมาพูดภาษาถิ่นกับทาชิ ชายหนุ่มหัวเราะ แล้วพยักหน้ารับ
“พวกคุณอยากจุดตะเกียงไหมครับ ที่นี่เป็นแห่งผลิตตะเกียงนำมันเนย พวกคุณสามารถจุดตะเกียงบูชาสถูปได้ที่นี่”
ทุกคนต่างตอบรับแทบเป็นเสียงเดียวกัน คุณปรีชากับคุณนิภาเข้าไปจุดตะเกียงด้วยกันก่อนเป็นคู่แรก เพราะสถานที่ค่อนข้างคับแคบและเต็มไปด้วยกลิ่นไปของน้ำมันเนย อัญญากับอรรัมภายืนอยู่หน้าประตู ช่วยถ่ายรูปให้สองสามีภรรยา
เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ไกด์หนุ่มพาสองสามีภรรยาออกมา ทาชิเดินนำอรรัมภาและอัญญาเข้าไปด้านใน
ผู้ดูแลที่นั่งอยู่ เมื่อหันมาเห็นทาชิก็ฉีกยิ้มอย่างยินดี เดินเข้ามาให้ชายหนุ่มสวมกอด แล้วเอ่ยภาษาถิ่นรัวเร็ว
ทาชิหัวเราะ หันไปคุยกับเนมาที่เพิ่งเดินมาสมทบ ก่อนจะผายมือมาทางสองสาวชาวไทยที่ยืนมองตาปริบ ๆ อยู่หน้าตะเกียง
“ใช้กำยานนี่จุดตะเกียงได้เลยครับ เดี๋ยวผมถ่ายภาพให้นะ” เนมาหันมาบอก ก่อนรับสมาร์ทโฟนจากมืออรรัมภาไป
หญิงสาวบรรจงจุดตะเกียง อธิษฐานในใจจนแสงตะเกียงสว่างไสวดี จึงหันมาส่งกำยานติดไฟให้อัญญา
แพทย์สาวรับกำยานมา เดินไปหยุดหน้าตะเกียงทองเหลืองที่วางเรียงราว ก้มลงต่อไฟกับปลายเส้นเชือกที่โผล่มาเหนือน้ำมันเนย
คำอธิษฐานของเธอยังไม่เปลี่ยนแปลง
…ให้จิตข้า สะอาดดั่ง แก้วสกาว
ให้พร่างพราว ด้วยปัญญา อย่าขลาดเขลา
ให้ข้าสิ้น จากกิเลส ไร้มัวเมา
ให้ก้าวเข้า มรรคา นิรวาณ...
อัญญาสูดลมหายใจลึก รับเอาไอกลิ่นเนยจาง ๆ เข้ามา ท่ามกลางบรรยากาศที่ศักดิ์สิทธิ์ราวจะบรรจุทุกถ้อยคำอธิษฐานไว้ ณ ที่นี้ เธอค่อยวางกำยานจุดไฟลงเหนือขอบตะเกียง หลุบตาลงต่ำ พยายามคงความคิดให้จดจ่อกับวินาทีปัจจุบัน เหมือนทุกครั้งที่อธิษฐาน เรี่ยวแรงกำลังและความหวังทำให้หัวใจเธอเบิกบานขึ้น
วินาทีนั้น รอยยิ้มอ่อนหวานถูกบรรจุลงในทั้งริมฝีปากและดวงตา เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นเอ่ยขอบคุณกับผู้ดูแลศาลาซึ่งเป็นชายสูงวัย
“คาดรินเชลา...”
ผู้อาวุโสฉีกยิ้มอย่างพอใจ หันไปพูดกับทาชิเป็นภาษาถิ่นรัวเร็ว วูบหนึ่งใต้แสงตะเกียง คล้ายใบหน้าคมคายของนายทหารแห่งภูฏานจะปรากฏสีเรื่อจางระบายให้เห็น
“คุณลุงว่าอย่างไรหรือคะ” เธอเอ่ยถามเมื่อออกมาจากโรงตะเกียง
ทาชินิ่งไปอึดใจ ก่อนบอก “ท่านว่าพวกคุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก”
เนมาพาทุกคนเดินไปรอบสถูปกลาง เขาเล่าว่าภายในประดิษฐานองค์พระศรีศากยมุนี และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือที่ชายหนุ่มใช้คำว่า God of compassion
ด้านหลังสถูป มีศาลาเล็ก ๆ เป็นที่รวมกลุ่มของผู้สูงวัยที่มานั่งสวดมนต์ร่วมกัน อรรัมภายิ้มหวาน เดินเข้าไปขออนุญาตถ่ายภาพคุณยายโดยใช้ภาษามือบอกกล่าว แม่เฒ่าคลี่ยิ้มเขินอาย หันไปบอกเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ก่อนเงยหน้ายิ้มยิงฟังให้กล้อง
แอร์โฮสเตสสาวเก็บภาพจนพอใจแล้วจึงเปิดภาพในจอกล้อง เดินเข้าไปยื่นให้แม่เฒ่าดูด้วยกัน ท่านหัวเราะชอบใจ ต่างหันไปพูดคุยกันในกลุ่ม ชี้ให้ดูภาพในกล้องหญิงสาว
อัญญามองรุ่นพี่สาวอย่างชื่นชม เธอยกกล้องขึ้นเก็บภาพที่ดูเป็นธรรมชาตินั้นไว้อย่างรวดเร็ว “สวยมากค่ะพี่อร” เธอส่งกล้องให้รุ่นพี่สาวดูเมื่ออรัมภาเดินเข้ามา
เนมาพาเดินไปอีกด้าน มีไม้กระดานยาววางเรียงกันอยู่ด้านหน้า
“นั่นเป็นที่สังสการครับ ปกติเวลาพวกคุณกราบพระ พวกคุณจะทำเบญจางคประดิษฐ์คือวางแขน มือและศรีษะลงใช่ไหมครับ แต่ที่นี่เมื่อเราแสดงการบูชาสูงสุด เราใช้อัษฎางคประดิษฐ์ครับ”
“พวกคุณอยากลองดูไหม” ไกด์หนุ่มหันมาถามด้วยรอยยิ้ม
“ชุดนี้เห็นจะไม่ไหวค่ะ” อรรัมภามองอย่างหวั่นใจ เนมาอมยิ้ม ก้าวไปทำอัษฎางคประดิษฐ์บนไม้กระดาน ก่อนกลับมาบอกลูกทัวร์
“เดี๋ยวเราจะไปดูทาคินกันนะครับ พวคุณยังจำดีวายแมดแมนแห่งชิมิลาคังได้ไหมครับ”
“ค่ะ...ที่วัดปลอดสุนัข” อัญญาเอ่ยกลั้วหัวเราะ เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมคณะ
“ครับ...เดี๋ยวไปถึงผมจะเล่าให้ฟัง ตำนานกล่าวกันว่าท่านเป็นผู้สร้างทาคิน”
ทุกคนต่างเบิกตากว้างอย่างสนใจ เนมายักคิ้วแล้วผายมือไปที่ทางออก “ไปเถอะครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง”
อรรัมภาย่นจมูก หันมาเอ่ยกับรุ่นน้องสาว “อีกแล้ว...เนมาน่ะอุบไว้ทุกทีเลย”
“ไม่อุบไว้ ถึงสวนสัตว์ก็ไม่มีอะไรเล่าสิคะ” หญิงสาวยิ้มบาง ๆ
รถยนต์แล่นมาจอดที่หน้าประตูเหล็กบานใหญ่ทีมีรูปปั้นทาคินอยู่บนรั้วด้านข้าง เนมาพาทุกคนเดินเข้าไปภายใน เป็นเส้นทางไม่แคบนัก ขนาบด้วนต้นสนสูงใหญ่ส่งเสียงหวีดหวิวเมื่อเอนตัวตามสายลม
เดินไปไม่ไกลมีอาคารหลังเล็กให้นั่งพัก ก่อนขึ้นไปยังเนินดินด้านบนที่มีรั้วกรงเหล็กกั้นล้อมสัตว์ที่อยู่ข้างในไว้
หน้ากรงมีช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เป็นช่วง ๆ ทาคินหลายตัวเดินจับกลุ่มกันอยู่ภายใน บ้างนอนเล่นบนพื้น บ้างปีนขึ้นไปบนโขดหินกว้างที่ตัดตอนบนเรียบเป็นที่นอนที่คงจะเย็นไม่น้อย
ทาคินเป็นสัตว์สี่ขาตัวโตคล้ายวัว ขนค่อนข้างหนาสีน้ำตาลอ่อนด้านบนไล่ลงมาเข้มขึ้นจนเกือบดำ ปากหนาตาเฉียง บนศีรษะมีเขาสองข้างคล้ายแพะ
เนมาชี้ให้ดูแล้วเล่าว่า “ผมค้างเรื่องดีวายแมดแมนไว้ พวกคุณจำได้ไหมครับ”
“ท่องจำรอฟังเลยค่ะ”
“ตำนานเล่าว่า ดีวายแมดแมนผ่านมาบริเวณนี้ ชาวบ้านที่ได้ยินเรื่องปาฏิหาริย์ของท่านก็มาห้อมล้อมขอให้ท่านแสดงปาฏิหาริย์ให้ชม ท่านก็ว่าท่านมาเหนื่อย ๆ แทนที่จะเอาของมาเซ่นไหว้บูชา กลับมาให้ท่านแสดงปาฏิหาริย์” อัญญาหัวเราะคิกเมื่อนึกถึงลามะผู้เอาแต่ใจ
“ท่านก็สั่งให้เอาวัว เอาแพะ เอาเหล้ามาบูชา พอคนเอามาถวาย ท่านก็ตัดหัววัว ตัดคอแพะ แล้วเอาหัวแพะมาต่อบนคอวัว เกิดเป็นทาคินครับ”
คนฟังอ้าปากค้าง กระพริบตาปริบ ๆ มองหน้าเนมาที มองทาคินทีอย่างพิจารณา
“ดูไปก็เหมือนอยู่เหมือนกันนะคะ”
“เพราะทาคินเกิดจากดีวายแมดแมน เราจึงเชื่อว่าทาคินเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ทุกส่วนในตัวทาคินคือยารักษาโรค ถ้าคุณไม่สบาย เราจะเอาขนทาคินมาต้มน้ำดื่ม ช่วยให้หายป่วย” เนมาอธิบายพลางอมยิ้ม มองหน้าอัญญา “คุณอยากลองไหม คุณหมอ”
“อัญเป็นหมอค่ะ ไม่ใช่คนป่วย” เธอตอบด้วยรอยยิ้ม
“สมัยเด็กผมโดนหนามตำ เราใช้ขนทาคินบดแล้วโปะแผลไว้ดูดหนามข้างในออกมา”
“ออกไหมคะ”
“พอเอาขนที่โปะออกเราก็บ่งหนามออกครับ”
“อ้าว...เลยไม่รู้ว่าขนทาคินดูดหรือเพราะบ่งเลย” คุณปรีชาบอก
เนมายื่นมือเข้าไปในช่องสี่เหลี่ยม เมื่อทาคินตัวหนึ่งเดินเข้ามากินอาหารในรางที่แขวนติดไว้กับรั้ว เขาลูบหัวทาคินเบา ๆ
“คุณให้กิ่งไม้เขากินได้นะ” ทาชิส่งกิ่งไม้เล็ก ๆที่หยิบมาจากพื้นให้อัญญา “เขากินอะไรนะคะ”
“กิ่งไม้ครับ”
“กิ่ง...ไม่ใช่ใบใช่ไหมคะ”
“หลัก ๆ เป็นกิ่ง ใบคงถือเป็นของแถม” ทาชิเอ่ยแล้วยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นใบหน้างุนงงของอัญญา “คุณลองชิมไหม”
อัญญากลอกตา เบะปาก “เชิญคุณเถอะ อัญไม่ใช่ทาคิน”
นอกจากทาคินแล้ว ในกรงยังมีกวางป่าที่เดินมาขออาหารถึงหน้ากรง
ทาชิบอกว่าที่นี่เชื่อมต่อไป
“เราสร้างหอนาฬิกาขึ้นเป็นแหล่งนัดพบเหมือนจัตุรัสกลางเมือง รอบ ๆ มีถนนเชื่อมไปยังเส้นทางต่าง ๆ มีโรงแรมและห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัย”
อัญญายกกล้องขึ้นมาเก็บภาพอย่างเนือย ๆ เหมือนเรี่ยวแรงบางอย่างหายไป เธอถอนใจเบา ๆ มองเส้นทางรอบตัวไปเรื่องจนรถแล่นมาจอดหน้าโรงแรมแห่งเดิมที่เคยพักเมื่อวันแรกที่พวกเธอมาถึงภูฏาน
“วันแรกพวกคุณไม่ได้รับประทานอาหารไทย มื้อนี้ผมขอแก้ตัวนะครับ” เนมาหันมาบอก
เขาพาทุกคนไปที่ร้านอาหารไทยซึ่งตั้งอยู่บนชั้นล็อบบี้ ตรงข้ามห้องอาหารของโรงแรม ผู้ชายคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้ว เขายกมือสวัสดีแล้วเอ่ยภาษาไทยอย่างชัดเจน
“สวัสดีครับ ยินดีต้องรับสู่ทิมพู”
“นี่เชฟของเราครับ...ทำอาหารอร่อยมาก” เนมาผายมือบอก ทุกคนไนคณะต่างเอ่ยทักทายชายหนุ่มอย่างเป็นกันเอง
ทาชิเอ่ยขอแยกตัวออกไปรับประทานอาหารกับเนมาและคนขับรถโดยไม่มีใครกล้าทัดทาน เพราะใบหน้านิ่งเฉยราวใส่หน้ากากของชายหนุ่ม โชคดีที่ความร่าเริงของอรรัมภา และอารมณ์ขันของคุณปรีชาทำให้บรรยากาศบนโต๊ะไม่ตึงเครียดนัก แม้อัญญาจะนั่งเงียบจนเรียกได้ว่าถามคำตอบคำ
“ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า” อรรัมภากระซิบถามอัญญาที่นั่งข้างกัน
“ไม่นี่คะ”
“ไม่อะไร คุณทาชิดูเหมือนโกรธอะไรสักอย่าง”
อัญญาถอนใจเบา ๆ ก่อนแค่นเสียงตอบ “คงรำคาญที่อัญงี่เง่าล่ะมั้งคะ”
“น้องอัญ...” อรรัมภาแตะมือเธอ “จะโกรธอะไรกันก็ควรคุยกันให้รู้เรื่องนะ เก็บความไม่เข้าใจไว้น่ะ...ไม่มีใครได้ประโยชน์หรือสบายใจหรอก”
“อัญไม่รู้จริง ๆ ค่ะว่าเขาโกรธอะไรหรือเปล่า”
“แค่สงสัยแล้วถามตรง ๆ ก็แสดงว่าเราใส่ใจแล้วนะ” รุ่นพี่สาวคลี่ยิ้มบอก
“เราชินกับฑิฐิ เก็บซ่อนคำถามถึงความรู้สึกหรือความสัมพันธ์ไว้เพราะกลัวว่ามันจะรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวคนอื่น แต่บางครั้ง...ถ้าเราไม่ถาม เขาไม่พูด มันก็จะกลายเป็นความไม่เข้าใจนะ”
“ในฐานะเพื่อน...พี่เองก็ว่าจะเข้าไปถามทาชิอยู่เหมือนกัน แต่คิดดูแล้ว อัญอาจรู้สาเหตุและเข้าใจเขาได้ดีกว่า แต่ถ้าอัญจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปพี่ก็คงพูดอะไรไม่ได้”
อัญญากอดอกนิ่งคิดอยู่ครู่ เรื่องราวในวันเก่าหวนกลับมาในหัวอีกครั้ง เมื่อวันที่ความสัมพันธ์ของเธอและคนรักเก่าเริ่มเลวร้ายลง เธอเพียรถามหลายต่อหลายครั้ง
‘พี่โกรธอะไรอัญหรือคะ’
‘ไม่มีครับ’ คำตอบนั้นเย็นชาแบบที่คนฟังรู้สึกได้ไม่ยากถึงความผิดปกติ
‘อัญทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ ถ้าพี่ไม่บอก...อัญก็ไม่มีวันรู้’
เขาแค่นยิ้มกึ่งหยัน ‘เคยคิดว่าตัวเองผิดด้วยเหรอ ถึงพี่บอกไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก’
สุดท้ายอัญญาจึงได้แต่ถอดใจ เมื่อเขาไม่ต้องการเธออีกแล้ว ผู้หญิงอย่างอัญญาก็ทระนงเกินกว่าจะเอ่ยคำอ้อนวอน เธอเดินออกมาโดยไม่ให้เขาเห็นแม้สักหยดน้ำตา
เดินออกมา...ในวันที่เขามองแล้วเอ่ยอย่างเย็นชา ‘ผู้หญิงอย่างเธอเคยนึกถึงคนอื่นด้วยเหรอ คนอย่างเธอมันไม่มีน้ำตาหรอก’
อัญญากัดริมฝีปากตัวเอง ห้ามความรู้สึกทรมานในใจไม่ให้น้ำตาไหลริน สูดลมหายใจลึกยาวเรียกสติตนเอง ก่อนคลี่ยิ้มบาง ๆ
“อัญไม่อยากล้ำเส้นเข้าไปในพื้นที่ของเขาค่ะ”
อรรัมภากลอกตา ไหวไหล่เบา ๆ “ถ้าอัญจะไม่เสียใจภายหลัง...ก็แล้วแต่นะ”
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่สนใจ ปล่อยให้ทาชิหมดความอดทนและเดินออกไปเอง แต่เมื่อเขาเดินกลับเข้ามาพร้อมเนมา ดวงตาคมจัดที่มองเธออย่างผิดหวังก็ทำให้หญิงสาวเผลอเม้มริมฝีปากเบา ๆ อย่างไม่ชอบใจนัก
“ตามโปรแกรมวันนี้เราจะใส่ชุดประจำชาติแล้วไปถ่ายภาพกัน แต่หากพวกคุณต้องการเที่ยวรอบเมือง เราจะข้ามขั้นตอนนี้ไปก็ได้ครับ” เนมาเอ่ยเมื่อเดินเข้ามาถึง
ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนที่อรรัมภาจะหัวเราะเบา ๆ เอ่ยถาม “ถ้าเราอยากใส่ชุดประจำชาติออกไปเที่ยวรอบเมืองล่ะคะ” เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ก็ใส่ชุดประจำชาติในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว การสวมคีร่าออกไปเดินจึงไม่น่าจะเก้อเขินสักเท่าไร
เนมานิ่งคิดไปครู่ ก่อนบอก “ก็ได้ครับ”
ทุกคนฉีกยิ้มอย่างพอใจ ไกด์หนุ่มนำทุกคนขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 5 ของโรงแรมซึ่งมีห้องประชุมอยู่ด้านซ้ายมือ สุดมุมห้องมีตู้ไม้ตั้งไว้สองหลัง พนักงานสาวในชุดคีร่าสีเขียวทองยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“เธอจะช่วยพวกคุณแต่งตัว”
หญิงสาวเดินนำคณะเดินทางเข้าไปที่หน้าตู้ ให้แต่ละคนได้เลือกชุดที่พอใจ
อัญญามองผ้านุ่งสีชมพูลายขวางอย่างชอบใจ ก่อนเอื้อมมือไปหยิบมา
“อุ๊ย...สีชมพูสวยนะคะ” คุณนิภาหันมาบอก
อัญญาคลี่ยิ้ม “ค่ะ พี่นิภาเอาด้วยไหมคะ ยังมีอีกผืน”
“ต้องเลือกสีสด ๆ หน่อยนะ เวลาถ่ายภาพจะได้ดูสดใส”
“พี่เอาสีนี้ดีกว่า” อรรัมภาหยิบผ้าผืนหนึ่งออกมา ก่อนหันไปเลือกเสื้อคลุมแขนยาว
หญิงสาวหยิบเสื้อคลุมสีชมพูออกมาทาบกับผ้านุ่งในมืออัญญา “สีนี้สวยนะ เข้ากับผ้าน้องอัญเลย”
“อย่างนั้นอัญขอตัวนี้ล่ะค่ะ” เธอยิ้มให้รุ่นพี่สาว ก่อนเดินออกมาให้พนักงานสาวชาวพื้นเมืองช่วยแต่งตัวให้
คีร่ามีลักษณะคล้ายผ้าถุงของไทย แต่เป็นผ้าชิ้นยาวมีเชือกยาวทั้งสองข้างไว้ผูกเอว เวลาสวมจะต้องคลี่ผ้าออกตลอดความยาวผืน แล้วพับส่วนหนึ่งสวมรวบเอว ดึงชายด้านที่เป็นผ้าทบกันไว้ด้านซ้าย อีกด้านโอบมาพันด้านขวาทำให้สะดวกในการเดิน ส่วนชายที่เหลือพันอ้อมไปผูกเอวจากด้านหลัง จากนั้นจึงสวมเสื้อคลุมทับเสื้อตัวใน ติดเข็มกลัดให้มิดชิดขึ้น
อัญญาหมุนตัวมองภาพตนเองที่สะท้อนในกระจกบานใหญ่ ก่อนหันไปมองเพื่อนร่วมคณะที่ยังง่วนกับการแต่งตัว แล้วสายตาก็มาหยุดที่ดวงตาคู่คมของชายหนุ่มซึ่งยืนพึงหน้าต่างอยู่ตรงมุมห้อง ดูเหมือนเขาจะมองเธออยุ่นานแล้ว
หญิงสาวยืนนิ่ง มองสบตาเขาเพียงอึดใจก็เดินตรงเข้าไปหาอย่างอดไม่ได้
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า...” ด้วยสายตาเรียบเฉยของเขา ทำให้อัญญารู้สึกไม่ดีจนเผลอหลุดคำนี้ออกมา
เขาเลิกคิ้วมอง เหยียดริมฝีปากออกเล็กน้อย ก่อนยื่นมือออกมาตรงหน้า “ส่งกล้องมาสิ...ผมจะถ่ายรูปให้”
อัญญาส่งกล้องในมือให้เขาอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มยกกล้องขึ้น เก็บภาพเธออย่างรวดเร็ว ก่อนยื่นจอภาพบนกล้องให้เธอดู
“คุณชอบใบหน้าแบบนี้ของตัวเองนักหรือ”
ภาพที่อยู่ในจอคือหญิงสาวเจ้าของใบหน้าเรียวได้รูป ไม่ได้สวยจัดแต่ก็ไม่ขี้ริ้วจนน่ารังเกียจ อัญญาไม่เคยชอบภาพถ่ายของตัวเอง เธอจึงชอบจะอยู่หลังกล้องมากกว่าหน้าเลนส์ แต่ภาพที่ทาชิยื่นให้เธอดูมันแย่กว่านั้น เพราะดวงตาคู่โศกที่ฉายแววหวั่นไหวอย่างชัดเจน ดูอ่อนแอราวจะแตกหักลงได้ทุกขณะ
หญิงสาวหลับตาสูดลมหายใจยาว ก่อนลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยดวงตาที่มุ่งมั่นกว่าเดิม
“ลบเถอะค่ะ...เรื่องบางอย่างก็ไม่ใช่สาระที่จะต้องคิดถึง” หญิงสาวไหวไหล่เบา ๆ ก่อนจะเดินไปหาอรรัมภา เธอคลี่ยิ้มให้เพื่อนร่วมคณะ แล้วต่างพากันโพสท์ท่าถ่ายภาพอย่างร่าเริง
ทาชิเดินมาช่วยเป็นตากล้องจำเป็น รอยยิ้มจาง ๆ ของชายหนุ่มทำให้อัญญาอุ่นใจมากขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ
เมื่อเนมาบอกว่าจะพาทุกคนไปเที่ยวชมเมือง ทาชิก็ส่งกล้องคืนให้อัญญา หญิงสาวคลี่ยิ้มบอก “ขอบคุณนะคะ”
ทาชิมองแล้วคลี่ยิ้มบาง “ผมชอบรอยยิ้มของคุณ”
คนพูดเดินห่างไปแล้ว แต่คนฟังยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อัญญาหลุดหัวเราะเบา ๆ กับตัวเอง เธอไม่แน่ใจว่าทาชิตั้งใจโปรยเสน่ห์ใส่เธอหรือเปล่า แต่ที่รู้แน่ชัดคือการสร้างกำแพงของเธอมีแต่จะย้อนกลับมาททำร้ายตัวเอง หญิงสาวกลอกตาอย่างอ่อนใจ ไหวไหล่เบา ๆ บอกกับตัวเอง
“Whatever will be, will be...”
“But…I’m going to be what I want” เสียงหวานเน้นคำกับนเองราวจะตอกย้ำความตั้งใจ
ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปเถอะ โลกจะหมุน ฟ้าจะเปลี่ยนสี ใครจะคิด จะทำอะไรก็ช่าง สิ่งที่เธอควบคุมได้คือสิทธิ์ในการตัดสินใจ ควบคุมหัวใจ และเลือกจะใช้ชีวิต
กลัวอะไรกับถ้อยคำหรือสายตาคน เมื่อหัวใจดวงนี้เจ็บช้ำจนไม่อาจวางใจมอบให้ใครได้อีก
สถานที่แห่งแรกที่เนมาพาทุกคนมา คือมหาสถูปเมโมเรียลโชเต็น หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่รู้จักดีในทิมพู
“เมโมเรียลโชเต็นถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1974 โดยพระมารดาอาชิ โชเด็น วังชุก พระมารดาในกษัตริย์จิกมี ดอร์จิ วังชุก รัชกาลที่ 3เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระโอรสที่สิ้นพระชนม์ในปี 1972”
“ท่านสิ้นตอนอายุเท่าไรหรือคะ” คุณนิภาถามอย่างแปลกใจ
“คุณหมายถึงคิงจิกมี ดอร์จิ วังชุกใช่ไหมครับ เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้ 44 พรรษาครับ”
“โอว...อายุน้อยมาก”
“แต่เป็นรัชสมัยที่รุ่งเรืองมากนะครับ” เนมาบอกอย่างภาคภูมิใจ “ทรงวางผังเมือง สร้างเขื่อน พัฒนาประเทศมากมาย”
“เป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่และทรงคุณค่านะคะ” อรรัมภาเอ่ยอย่างชื่นชม
เนมาพยักหน้ารับ ก่อนพาทุกคนเดินเข้าไปด้านใน ซึ่งเป็นลานกว้าง ใจกลางมีมหาสถูปสีขาวสะอาด ยอดประดับทองเป็นเจดีย์แหลมเสียดฟ้า ด้านหน้ามีศาลาสีแดงหลังเล็กตั้งรูปจำลองที่มีผู้คนนั่งถือกงล้อมนตราหมุนสวดมนต์อยู่โดยรอบ ขวามือเป็นศาลาหลังใหญ่ ภายในมีกงล้อมนตราสีทองหลายอันให้นักท่องเที่ยวเข้าไปหมุน
“ที่นี่ถูกสร้างขึ้นใจกลางกรุงทิมพู เป็นสถูปตามแบบอย่างสถาปัตยกรรมของทิเบต รอบด้านของสถูปจะมีภาพสัตว์แทพผู้คุ้มครองที่ผมเคยเล่าให้พวกคุณฟัง คือครุฑ สิงโตหิมะ เสือ และมังกร”
เนมาพาทุกคนเดินเข้าไปด้านใน จนถึงศาลาหลังสีแดงที่อยู่หน้าสถูป ตรงกลางศาลาคือรูปจำลองสีทองของเทพธิดาที่อยู่กลางดอกบัวสีสดใส
“พวกคุณจำพูนาคาซองได้ไหมครับ นี่คือนางเงือกที่นำหินไปถวายเพื่อสร้างพูนาคาซอง”
“นางเงือกทำไมมีขาล่ะคะ” คุณพรรณีถาม
“เราเชื่อว่าท่านเป็นเทพธิดาครับ นางเงือกคือร่างจำแลง”
เนมาพาทุกคุนไปที่อาคารเล็ก ๆ ข้างมหาสถูป เขาหันมาพูดภาษาถิ่นกับทาชิ ชายหนุ่มหัวเราะ แล้วพยักหน้ารับ
“พวกคุณอยากจุดตะเกียงไหมครับ ที่นี่เป็นแห่งผลิตตะเกียงนำมันเนย พวกคุณสามารถจุดตะเกียงบูชาสถูปได้ที่นี่”
ทุกคนต่างตอบรับแทบเป็นเสียงเดียวกัน คุณปรีชากับคุณนิภาเข้าไปจุดตะเกียงด้วยกันก่อนเป็นคู่แรก เพราะสถานที่ค่อนข้างคับแคบและเต็มไปด้วยกลิ่นไปของน้ำมันเนย อัญญากับอรรัมภายืนอยู่หน้าประตู ช่วยถ่ายรูปให้สองสามีภรรยา
เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ไกด์หนุ่มพาสองสามีภรรยาออกมา ทาชิเดินนำอรรัมภาและอัญญาเข้าไปด้านใน
ผู้ดูแลที่นั่งอยู่ เมื่อหันมาเห็นทาชิก็ฉีกยิ้มอย่างยินดี เดินเข้ามาให้ชายหนุ่มสวมกอด แล้วเอ่ยภาษาถิ่นรัวเร็ว
ทาชิหัวเราะ หันไปคุยกับเนมาที่เพิ่งเดินมาสมทบ ก่อนจะผายมือมาทางสองสาวชาวไทยที่ยืนมองตาปริบ ๆ อยู่หน้าตะเกียง
“ใช้กำยานนี่จุดตะเกียงได้เลยครับ เดี๋ยวผมถ่ายภาพให้นะ” เนมาหันมาบอก ก่อนรับสมาร์ทโฟนจากมืออรรัมภาไป
หญิงสาวบรรจงจุดตะเกียง อธิษฐานในใจจนแสงตะเกียงสว่างไสวดี จึงหันมาส่งกำยานติดไฟให้อัญญา
แพทย์สาวรับกำยานมา เดินไปหยุดหน้าตะเกียงทองเหลืองที่วางเรียงราว ก้มลงต่อไฟกับปลายเส้นเชือกที่โผล่มาเหนือน้ำมันเนย
คำอธิษฐานของเธอยังไม่เปลี่ยนแปลง
…ให้จิตข้า สะอาดดั่ง แก้วสกาว
ให้พร่างพราว ด้วยปัญญา อย่าขลาดเขลา
ให้ข้าสิ้น จากกิเลส ไร้มัวเมา
ให้ก้าวเข้า มรรคา นิรวาณ...
อัญญาสูดลมหายใจลึก รับเอาไอกลิ่นเนยจาง ๆ เข้ามา ท่ามกลางบรรยากาศที่ศักดิ์สิทธิ์ราวจะบรรจุทุกถ้อยคำอธิษฐานไว้ ณ ที่นี้ เธอค่อยวางกำยานจุดไฟลงเหนือขอบตะเกียง หลุบตาลงต่ำ พยายามคงความคิดให้จดจ่อกับวินาทีปัจจุบัน เหมือนทุกครั้งที่อธิษฐาน เรี่ยวแรงกำลังและความหวังทำให้หัวใจเธอเบิกบานขึ้น
วินาทีนั้น รอยยิ้มอ่อนหวานถูกบรรจุลงในทั้งริมฝีปากและดวงตา เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นเอ่ยขอบคุณกับผู้ดูแลศาลาซึ่งเป็นชายสูงวัย
“คาดรินเชลา...”
ผู้อาวุโสฉีกยิ้มอย่างพอใจ หันไปพูดกับทาชิเป็นภาษาถิ่นรัวเร็ว วูบหนึ่งใต้แสงตะเกียง คล้ายใบหน้าคมคายของนายทหารแห่งภูฏานจะปรากฏสีเรื่อจางระบายให้เห็น
“คุณลุงว่าอย่างไรหรือคะ” เธอเอ่ยถามเมื่อออกมาจากโรงตะเกียง
ทาชินิ่งไปอึดใจ ก่อนบอก “ท่านว่าพวกคุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก”
เนมาพาทุกคนเดินไปรอบสถูปกลาง เขาเล่าว่าภายในประดิษฐานองค์พระศรีศากยมุนี และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หรือที่ชายหนุ่มใช้คำว่า God of compassion
ด้านหลังสถูป มีศาลาเล็ก ๆ เป็นที่รวมกลุ่มของผู้สูงวัยที่มานั่งสวดมนต์ร่วมกัน อรรัมภายิ้มหวาน เดินเข้าไปขออนุญาตถ่ายภาพคุณยายโดยใช้ภาษามือบอกกล่าว แม่เฒ่าคลี่ยิ้มเขินอาย หันไปบอกเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ ก่อนเงยหน้ายิ้มยิงฟังให้กล้อง
แอร์โฮสเตสสาวเก็บภาพจนพอใจแล้วจึงเปิดภาพในจอกล้อง เดินเข้าไปยื่นให้แม่เฒ่าดูด้วยกัน ท่านหัวเราะชอบใจ ต่างหันไปพูดคุยกันในกลุ่ม ชี้ให้ดูภาพในกล้องหญิงสาว
อัญญามองรุ่นพี่สาวอย่างชื่นชม เธอยกกล้องขึ้นเก็บภาพที่ดูเป็นธรรมชาตินั้นไว้อย่างรวดเร็ว “สวยมากค่ะพี่อร” เธอส่งกล้องให้รุ่นพี่สาวดูเมื่ออรัมภาเดินเข้ามา
เนมาพาเดินไปอีกด้าน มีไม้กระดานยาววางเรียงกันอยู่ด้านหน้า
“นั่นเป็นที่สังสการครับ ปกติเวลาพวกคุณกราบพระ พวกคุณจะทำเบญจางคประดิษฐ์คือวางแขน มือและศรีษะลงใช่ไหมครับ แต่ที่นี่เมื่อเราแสดงการบูชาสูงสุด เราใช้อัษฎางคประดิษฐ์ครับ”
“พวกคุณอยากลองดูไหม” ไกด์หนุ่มหันมาถามด้วยรอยยิ้ม
“ชุดนี้เห็นจะไม่ไหวค่ะ” อรรัมภามองอย่างหวั่นใจ เนมาอมยิ้ม ก้าวไปทำอัษฎางคประดิษฐ์บนไม้กระดาน ก่อนกลับมาบอกลูกทัวร์
“เดี๋ยวเราจะไปดูทาคินกันนะครับ พวคุณยังจำดีวายแมดแมนแห่งชิมิลาคังได้ไหมครับ”
“ค่ะ...ที่วัดปลอดสุนัข” อัญญาเอ่ยกลั้วหัวเราะ เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนร่วมคณะ
“ครับ...เดี๋ยวไปถึงผมจะเล่าให้ฟัง ตำนานกล่าวกันว่าท่านเป็นผู้สร้างทาคิน”
ทุกคนต่างเบิกตากว้างอย่างสนใจ เนมายักคิ้วแล้วผายมือไปที่ทางออก “ไปเถอะครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง”
อรรัมภาย่นจมูก หันมาเอ่ยกับรุ่นน้องสาว “อีกแล้ว...เนมาน่ะอุบไว้ทุกทีเลย”
“ไม่อุบไว้ ถึงสวนสัตว์ก็ไม่มีอะไรเล่าสิคะ” หญิงสาวยิ้มบาง ๆ
รถยนต์แล่นมาจอดที่หน้าประตูเหล็กบานใหญ่ทีมีรูปปั้นทาคินอยู่บนรั้วด้านข้าง เนมาพาทุกคนเดินเข้าไปภายใน เป็นเส้นทางไม่แคบนัก ขนาบด้วนต้นสนสูงใหญ่ส่งเสียงหวีดหวิวเมื่อเอนตัวตามสายลม
เดินไปไม่ไกลมีอาคารหลังเล็กให้นั่งพัก ก่อนขึ้นไปยังเนินดินด้านบนที่มีรั้วกรงเหล็กกั้นล้อมสัตว์ที่อยู่ข้างในไว้
หน้ากรงมีช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เป็นช่วง ๆ ทาคินหลายตัวเดินจับกลุ่มกันอยู่ภายใน บ้างนอนเล่นบนพื้น บ้างปีนขึ้นไปบนโขดหินกว้างที่ตัดตอนบนเรียบเป็นที่นอนที่คงจะเย็นไม่น้อย
ทาคินเป็นสัตว์สี่ขาตัวโตคล้ายวัว ขนค่อนข้างหนาสีน้ำตาลอ่อนด้านบนไล่ลงมาเข้มขึ้นจนเกือบดำ ปากหนาตาเฉียง บนศีรษะมีเขาสองข้างคล้ายแพะ
เนมาชี้ให้ดูแล้วเล่าว่า “ผมค้างเรื่องดีวายแมดแมนไว้ พวกคุณจำได้ไหมครับ”
“ท่องจำรอฟังเลยค่ะ”
“ตำนานเล่าว่า ดีวายแมดแมนผ่านมาบริเวณนี้ ชาวบ้านที่ได้ยินเรื่องปาฏิหาริย์ของท่านก็มาห้อมล้อมขอให้ท่านแสดงปาฏิหาริย์ให้ชม ท่านก็ว่าท่านมาเหนื่อย ๆ แทนที่จะเอาของมาเซ่นไหว้บูชา กลับมาให้ท่านแสดงปาฏิหาริย์” อัญญาหัวเราะคิกเมื่อนึกถึงลามะผู้เอาแต่ใจ
“ท่านก็สั่งให้เอาวัว เอาแพะ เอาเหล้ามาบูชา พอคนเอามาถวาย ท่านก็ตัดหัววัว ตัดคอแพะ แล้วเอาหัวแพะมาต่อบนคอวัว เกิดเป็นทาคินครับ”
คนฟังอ้าปากค้าง กระพริบตาปริบ ๆ มองหน้าเนมาที มองทาคินทีอย่างพิจารณา
“ดูไปก็เหมือนอยู่เหมือนกันนะคะ”
“เพราะทาคินเกิดจากดีวายแมดแมน เราจึงเชื่อว่าทาคินเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ทุกส่วนในตัวทาคินคือยารักษาโรค ถ้าคุณไม่สบาย เราจะเอาขนทาคินมาต้มน้ำดื่ม ช่วยให้หายป่วย” เนมาอธิบายพลางอมยิ้ม มองหน้าอัญญา “คุณอยากลองไหม คุณหมอ”
“อัญเป็นหมอค่ะ ไม่ใช่คนป่วย” เธอตอบด้วยรอยยิ้ม
“สมัยเด็กผมโดนหนามตำ เราใช้ขนทาคินบดแล้วโปะแผลไว้ดูดหนามข้างในออกมา”
“ออกไหมคะ”
“พอเอาขนที่โปะออกเราก็บ่งหนามออกครับ”
“อ้าว...เลยไม่รู้ว่าขนทาคินดูดหรือเพราะบ่งเลย” คุณปรีชาบอก
เนมายื่นมือเข้าไปในช่องสี่เหลี่ยม เมื่อทาคินตัวหนึ่งเดินเข้ามากินอาหารในรางที่แขวนติดไว้กับรั้ว เขาลูบหัวทาคินเบา ๆ
“คุณให้กิ่งไม้เขากินได้นะ” ทาชิส่งกิ่งไม้เล็ก ๆที่หยิบมาจากพื้นให้อัญญา “เขากินอะไรนะคะ”
“กิ่งไม้ครับ”
“กิ่ง...ไม่ใช่ใบใช่ไหมคะ”
“หลัก ๆ เป็นกิ่ง ใบคงถือเป็นของแถม” ทาชิเอ่ยแล้วยิ้มบาง ๆ เมื่อเห็นใบหน้างุนงงของอัญญา “คุณลองชิมไหม”
อัญญากลอกตา เบะปาก “เชิญคุณเถอะ อัญไม่ใช่ทาคิน”
นอกจากทาคินแล้ว ในกรงยังมีกวางป่าที่เดินมาขออาหารถึงหน้ากรง
ทาชิบอกว่าที่นี่เชื่อมต่อไป
ลิขิตรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ส.ค. 2558, 17:30:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ส.ค. 2558, 18:59:23 น.
จำนวนการเข้าชม : 1191
<< I like you! | Iron Bridge >> |
pkka 25 ส.ค. 2558, 18:25:32 น.
มีเค้าหวานๆลอยมาล่ะ
มีเค้าหวานๆลอยมาล่ะ
ลิขิตรา 25 ส.ค. 2558, 19:01:19 น.
มีปัญหากับระบบ ทำไมลงต่อไม่ได้ก็ไม่ทราบค่ะ ขออนุญาตต่อในนี้นะคะ
---
นอกจากทาคินแล้ว ในกรงยังมีกวางป่าที่เดินมาขออาหารถึงหน้ากรง
ทาชิบอกว่าที่นี่เชื่อมต่อไปยังป่าด้านหลัง จึงมีสัตว์หลากหลายชนิด สวนสัตว์แห่งนี้ไม่ได้กักขัง เพียงกันพื้นที่บางส่วนให้เขาได้อยู่อย่างปลอดภัย
นักท่องเที่ยวชาวไทยยื่นมือไปลูบขนหยาบ ๆ ของทาคินและลูกกวางอย่างชอบใจ แต่เมื่อดึงมือกลับมาก็ต้องร้องเบา ๆ “ว้าย...ดำหมดเลย”
“เขาคงไม่ได้อาบน้ำนานน่ะค่ะ” อรรัมภายิ้มขัน ยื่นกิ่งไม้ในมือเข้าไปให้ลูกกวาง
ทาคินตัวโตที่อยู่ใกล้ ๆ เห็นลูกกวางกำลังจะงับกิ่งไม้ก็ขยับมาเบียดกวางออกไปแล้วอ้าปากงับกิ่งไม้ในมืออรรัมภาแทน
“อ้าว...แย่งกันซะอย่างนั้น”
“ทาคินเป็นสัตว์สังคมครับ เขาอยู่รวมกันก็จริงแต่ก็นิยมการต่อสู้ ใครชนะเป็นเจ้า ใครตัวใหญ่มักได้เปรียบ” เนมาอธิบาย
“อย่างนี้มีจ่าฝูงไหมครับ”
“ผมเดาว่าคงเป็นตัวใหญ่สุดที่นอนอยู่นั่น” เนมาชี้เข้าไปด้านใน ทาคินตัวโตนอนอยู่บนแท่นหินใหญ่ ท่าทางเกียจคร้าน “บนแท่นหินนั่น”
“แค่ที่นอนก็บรรดาศักดิ์แล้วค่ะ”
เมื่อทักทายทาคินเรียบร้อยแล้ว เนมาก็พาทุกคนกลับเข้ามาใจกลางเมือง แวะเที่ยวชมที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของภูฏาน
เพียงก้าวเข้าไปในที่ทำการ เจ้าหน้าที่สาวในชุดประจำชาติเงยหน้ามาเอ่ยทักเนมาอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเบิกตาโตเมื่อเห็นทาชิที่เดินตามเข้ามา เขาเอ่ยทักายทุกคนอย่างคุ้นเคยก่อนเดินมายืนข้าง ๆ อัญญาที่นั่งรออยู่ตรงโซฟาด้านหน้า
“คุณดูป๊อปปูล่ามาก”
“ภูฏานเป็นประเทศเล็ก ๆ เราค่อนข้างรู้จักกันทั่ว” เขาบอก “สมัยผมยังเด็ก เรามีโรงเรียนไม่กี่แห่ง ลูกหลานที่ได้รับการศักษาแล้วก้าวขึ้นมาทำงานหลัก ๆ ในช่วงนี้จึงค่อนข้างรู้จักกันดี บางคนเป็นเพื่อนร่วมชั้น หรือรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน”
“แล้วการศึกษาในตอนนี้ล่ะคะ”
“กษัตริย์ของเราทรงวางรากฐานการศึกษาให้กระจายไปทั่วทุกเมือง ทรงเห็นความสำคัญของการพัฒนาคนมาก เด็กรุ่นใหม่มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จึงได้เข้าเรียนในโรงเรียน”
อัญญาคลี่ยิ้ม พอดีกับที่เจ้าหน้าที่สาวถือกล้องเข้ามาบอกคนในคณะเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับค่าธรรมเนียมในการถ่ายภาพทำเป็นตราแสตมป์
“แสตมป์ชุดละสองร้อยนูทรัลค่ะ พวกคุณสามารถนำไปใช้ได้จริง เราจะพิมพ์เป็นแสตมป์สิบสองใบ มูลค่าตามจริงรวมสองร้อยนูทรัล”
“อรถ่ายกับแม่ชุดหนึ่งแล้วกันนะคะ” แอร์โฮสเตสสาวบอกก่อนหันไปถาม “พี่นิภาถ่ายกับพี่ปรีชาไหมคะ”
“ขอภาพเดี่ยวคนละชุดก่อนแล้วกันค่ะ”
“ของอัญชุดหนึ่งค่ะ เก็บไปให้แม่ดู”
“รวมเป็นสามชุดนะคะ” อรรัมภาหันไปบอกเจ้าหน้าที่สาว เมื่อได้ข้อสรุปแล้วแต่ละคนจึงผลัดกันออกไปถ่ายภาพทำแสตมป์ โดยมีฉากหลังเป็นภาพพูนาคาซองบนผืนผ้าใบ
แสตมป์ถูกพิมพ์ออกมาส่งเพียงไม่นานหลังจากถ่ายภาพเสร็จ อัญญาและอรรัมภัาเข้าไปเลือกโพสการ์ดด้านในมาเขียนส่งถึงตนเอง แล้วซื้อแสตมป์เพิ่มแยกต่างหาก เพราะเนมาบอกว่าแสตมป์ภาพที่ถ่ายเองควรเก็บเป็นชุดที่ระลึกไว้จะดีกว่า
เมื่อเขียนโปสการ์ดเรียบร้อยแล้ว อัญญาออกมาด้านหน้า พบว่าคุณปรีชาและคุณนิภาขอถ่ายภาพคู่ทำแสตมป์อีกชุด หญิงสาวนั่งมองอยู่กับอรรัมภา
“ใกล้อีกนิดนะคะ ใกล้อีกนิด” งานยุต้องมา
“โอบด้วยค่ะ” อรรัมภาช่วยเชียร์
“พี่นิภาซบไปเลยค่ะ”
“หอมแก้มเลยดีไหม” คุณปรีชาเอ่ยถามกลั้วหัวเราะจนคุณนิภาเขิน ยกมือตีแขนสามีเบา ๆ
หลังถ่ายภาพแล้ว เจ้าหน้าที่เปิดให้ดูทีละภาพเพื่อเลือกภาพที่จะใช้ทำแสตมป์
“ถ่ายกับผมสักชุดสิ” อยู่ดี ๆ ทาชิก็โน้มตัวมาบอกอัญญา หญิงสาวนิ่งไปอย่างไม่มั่นใจว่าควรตอบอย่างไรดี
“จะส่งไปแกล้งพี่โมซา” เมื่อเอางานแกล้งคนมาล่อ อัญญาก็สะดวกใจที่จะตอบรับได้ง่ายขึ้น
“ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นไปยืนข้างทาชิที่หันไปบอกเจ้าหน้าที่ด้วยภาษาท้องถิ่น
เจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเงยหน้ามองอัญญาแทบพร้อมกัน ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง ดันตัวหญิงสาวไปยืนหน้าฉากผ้าใบข้าง ๆ ทาชิ
“ใกล้อีกนิดค่ะ” เธอบอก
ทาชิขยับเข้ามาใกล้อัญญา
“ไม่ ๆ ทาชิคุณต้องยืนที่เดิม มิสคุณขยับไปหาทาชิหน่อยนะคะไม่อย่างนั้นจะบังภาพซองข้างหลัง”
อัญญาขยับตัวเข้าไปใกล้ทาชิ เธอเงยหน้ามองดูปฏิกิริยาของชายหนุ่มจึงพบว่าเขากำลังก้มมองเธออยู่เช่นกัน หญิงสาวหันหน้ากลับมามองกล้อง เจ้าหน้าที่สาวนับเลขเป็นภาษาท้องถิ่น
“อิ...นิท...ซาน” แล้วเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้น
เพียงไม่นานแสตมป์ก็ถูกนำใส่ซองส่งให้ทาชิ ชายหนุ่มพูดคุยบางอย่างกับเจ้าหน้าที่สาว เธอหัวเราะแล้วหันมามองอัญญา ยิ้มแล้วโคลงศีรษะให้เบา ๆ
ทาชิส่งซองแสตมป์ให้เธอเปิดดูเมื่อเดินออกจากที่ทำการไปรษณีย์ อัญญารับมาดูภาพที่ปรากฏบนแสตมป์ดวงเล็ก
นั่นเป็นภาพที่เธอเงยหน้ามองสบตากับทาชิปรากฏด้วยหมึกสีสันสดใสทำให้อารมณ์ของภาพถูกทอนลง ความละเอียดไม่มากพอจะมองเห็นแววตา แต่เพียงท่าทางนั้นมองเผิน ๆ แล้วดูเป็นธรรมชาติราวคู่รักที่แสนหวาน
อัญญาเผลอรู้สึกถึงความร้อนเรื่อบนแก้มขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เธอเก็บภาพใส่ซอง ส่งคืนให้ทาชิโดยไม่เอ่ยวิจารณ์แม้คำเดียว
เนมาพาทุกคนข้ามถนนมาที่ร้านขายของที่ระลึกด้านหน้า อัญญาเลือกหามานิลาคอหรือกลงล้อมนตราแบบมือหมุนให้มารดา กับกงล้อทองเหลืองตั้งโต๊ะอันเล็ก ขณะที่คุณนิภาและคุณปรีชาเลือกเสื้อยืดพิมพ์ลายกลับไปฝากลูกชายหลายตัว
อรรัมภาเลือกหาเพลงบรรเลงพื้นเมืองไปเปิดฟังเล่น ก่อนจะเดินกลับมาที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล
เนมาพาทุกคนกลับไปที่โรงแรมแห่งเดิมเพื่อคืนชุด ก่อนออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าสู่พาโรอีกครั้ง
มีปัญหากับระบบ ทำไมลงต่อไม่ได้ก็ไม่ทราบค่ะ ขออนุญาตต่อในนี้นะคะ
---
นอกจากทาคินแล้ว ในกรงยังมีกวางป่าที่เดินมาขออาหารถึงหน้ากรง
ทาชิบอกว่าที่นี่เชื่อมต่อไปยังป่าด้านหลัง จึงมีสัตว์หลากหลายชนิด สวนสัตว์แห่งนี้ไม่ได้กักขัง เพียงกันพื้นที่บางส่วนให้เขาได้อยู่อย่างปลอดภัย
นักท่องเที่ยวชาวไทยยื่นมือไปลูบขนหยาบ ๆ ของทาคินและลูกกวางอย่างชอบใจ แต่เมื่อดึงมือกลับมาก็ต้องร้องเบา ๆ “ว้าย...ดำหมดเลย”
“เขาคงไม่ได้อาบน้ำนานน่ะค่ะ” อรรัมภายิ้มขัน ยื่นกิ่งไม้ในมือเข้าไปให้ลูกกวาง
ทาคินตัวโตที่อยู่ใกล้ ๆ เห็นลูกกวางกำลังจะงับกิ่งไม้ก็ขยับมาเบียดกวางออกไปแล้วอ้าปากงับกิ่งไม้ในมืออรรัมภาแทน
“อ้าว...แย่งกันซะอย่างนั้น”
“ทาคินเป็นสัตว์สังคมครับ เขาอยู่รวมกันก็จริงแต่ก็นิยมการต่อสู้ ใครชนะเป็นเจ้า ใครตัวใหญ่มักได้เปรียบ” เนมาอธิบาย
“อย่างนี้มีจ่าฝูงไหมครับ”
“ผมเดาว่าคงเป็นตัวใหญ่สุดที่นอนอยู่นั่น” เนมาชี้เข้าไปด้านใน ทาคินตัวโตนอนอยู่บนแท่นหินใหญ่ ท่าทางเกียจคร้าน “บนแท่นหินนั่น”
“แค่ที่นอนก็บรรดาศักดิ์แล้วค่ะ”
เมื่อทักทายทาคินเรียบร้อยแล้ว เนมาก็พาทุกคนกลับเข้ามาใจกลางเมือง แวะเที่ยวชมที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของภูฏาน
เพียงก้าวเข้าไปในที่ทำการ เจ้าหน้าที่สาวในชุดประจำชาติเงยหน้ามาเอ่ยทักเนมาอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะเบิกตาโตเมื่อเห็นทาชิที่เดินตามเข้ามา เขาเอ่ยทักายทุกคนอย่างคุ้นเคยก่อนเดินมายืนข้าง ๆ อัญญาที่นั่งรออยู่ตรงโซฟาด้านหน้า
“คุณดูป๊อปปูล่ามาก”
“ภูฏานเป็นประเทศเล็ก ๆ เราค่อนข้างรู้จักกันทั่ว” เขาบอก “สมัยผมยังเด็ก เรามีโรงเรียนไม่กี่แห่ง ลูกหลานที่ได้รับการศักษาแล้วก้าวขึ้นมาทำงานหลัก ๆ ในช่วงนี้จึงค่อนข้างรู้จักกันดี บางคนเป็นเพื่อนร่วมชั้น หรือรุ่นพี่รุ่นน้องในโรงเรียน”
“แล้วการศึกษาในตอนนี้ล่ะคะ”
“กษัตริย์ของเราทรงวางรากฐานการศึกษาให้กระจายไปทั่วทุกเมือง ทรงเห็นความสำคัญของการพัฒนาคนมาก เด็กรุ่นใหม่มากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จึงได้เข้าเรียนในโรงเรียน”
อัญญาคลี่ยิ้ม พอดีกับที่เจ้าหน้าที่สาวถือกล้องเข้ามาบอกคนในคณะเป็นภาษาอังกฤษ สำหรับค่าธรรมเนียมในการถ่ายภาพทำเป็นตราแสตมป์
“แสตมป์ชุดละสองร้อยนูทรัลค่ะ พวกคุณสามารถนำไปใช้ได้จริง เราจะพิมพ์เป็นแสตมป์สิบสองใบ มูลค่าตามจริงรวมสองร้อยนูทรัล”
“อรถ่ายกับแม่ชุดหนึ่งแล้วกันนะคะ” แอร์โฮสเตสสาวบอกก่อนหันไปถาม “พี่นิภาถ่ายกับพี่ปรีชาไหมคะ”
“ขอภาพเดี่ยวคนละชุดก่อนแล้วกันค่ะ”
“ของอัญชุดหนึ่งค่ะ เก็บไปให้แม่ดู”
“รวมเป็นสามชุดนะคะ” อรรัมภาหันไปบอกเจ้าหน้าที่สาว เมื่อได้ข้อสรุปแล้วแต่ละคนจึงผลัดกันออกไปถ่ายภาพทำแสตมป์ โดยมีฉากหลังเป็นภาพพูนาคาซองบนผืนผ้าใบ
แสตมป์ถูกพิมพ์ออกมาส่งเพียงไม่นานหลังจากถ่ายภาพเสร็จ อัญญาและอรรัมภัาเข้าไปเลือกโพสการ์ดด้านในมาเขียนส่งถึงตนเอง แล้วซื้อแสตมป์เพิ่มแยกต่างหาก เพราะเนมาบอกว่าแสตมป์ภาพที่ถ่ายเองควรเก็บเป็นชุดที่ระลึกไว้จะดีกว่า
เมื่อเขียนโปสการ์ดเรียบร้อยแล้ว อัญญาออกมาด้านหน้า พบว่าคุณปรีชาและคุณนิภาขอถ่ายภาพคู่ทำแสตมป์อีกชุด หญิงสาวนั่งมองอยู่กับอรรัมภา
“ใกล้อีกนิดนะคะ ใกล้อีกนิด” งานยุต้องมา
“โอบด้วยค่ะ” อรรัมภาช่วยเชียร์
“พี่นิภาซบไปเลยค่ะ”
“หอมแก้มเลยดีไหม” คุณปรีชาเอ่ยถามกลั้วหัวเราะจนคุณนิภาเขิน ยกมือตีแขนสามีเบา ๆ
หลังถ่ายภาพแล้ว เจ้าหน้าที่เปิดให้ดูทีละภาพเพื่อเลือกภาพที่จะใช้ทำแสตมป์
“ถ่ายกับผมสักชุดสิ” อยู่ดี ๆ ทาชิก็โน้มตัวมาบอกอัญญา หญิงสาวนิ่งไปอย่างไม่มั่นใจว่าควรตอบอย่างไรดี
“จะส่งไปแกล้งพี่โมซา” เมื่อเอางานแกล้งคนมาล่อ อัญญาก็สะดวกใจที่จะตอบรับได้ง่ายขึ้น
“ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นไปยืนข้างทาชิที่หันไปบอกเจ้าหน้าที่ด้วยภาษาท้องถิ่น
เจ้าหน้าที่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเงยหน้ามองอัญญาแทบพร้อมกัน ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง ดันตัวหญิงสาวไปยืนหน้าฉากผ้าใบข้าง ๆ ทาชิ
“ใกล้อีกนิดค่ะ” เธอบอก
ทาชิขยับเข้ามาใกล้อัญญา
“ไม่ ๆ ทาชิคุณต้องยืนที่เดิม มิสคุณขยับไปหาทาชิหน่อยนะคะไม่อย่างนั้นจะบังภาพซองข้างหลัง”
อัญญาขยับตัวเข้าไปใกล้ทาชิ เธอเงยหน้ามองดูปฏิกิริยาของชายหนุ่มจึงพบว่าเขากำลังก้มมองเธออยู่เช่นกัน หญิงสาวหันหน้ากลับมามองกล้อง เจ้าหน้าที่สาวนับเลขเป็นภาษาท้องถิ่น
“อิ...นิท...ซาน” แล้วเสียงชัตเตอร์ก็ดังขึ้น
เพียงไม่นานแสตมป์ก็ถูกนำใส่ซองส่งให้ทาชิ ชายหนุ่มพูดคุยบางอย่างกับเจ้าหน้าที่สาว เธอหัวเราะแล้วหันมามองอัญญา ยิ้มแล้วโคลงศีรษะให้เบา ๆ
ทาชิส่งซองแสตมป์ให้เธอเปิดดูเมื่อเดินออกจากที่ทำการไปรษณีย์ อัญญารับมาดูภาพที่ปรากฏบนแสตมป์ดวงเล็ก
นั่นเป็นภาพที่เธอเงยหน้ามองสบตากับทาชิปรากฏด้วยหมึกสีสันสดใสทำให้อารมณ์ของภาพถูกทอนลง ความละเอียดไม่มากพอจะมองเห็นแววตา แต่เพียงท่าทางนั้นมองเผิน ๆ แล้วดูเป็นธรรมชาติราวคู่รักที่แสนหวาน
อัญญาเผลอรู้สึกถึงความร้อนเรื่อบนแก้มขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ เธอเก็บภาพใส่ซอง ส่งคืนให้ทาชิโดยไม่เอ่ยวิจารณ์แม้คำเดียว
เนมาพาทุกคนข้ามถนนมาที่ร้านขายของที่ระลึกด้านหน้า อัญญาเลือกหามานิลาคอหรือกลงล้อมนตราแบบมือหมุนให้มารดา กับกงล้อทองเหลืองตั้งโต๊ะอันเล็ก ขณะที่คุณนิภาและคุณปรีชาเลือกเสื้อยืดพิมพ์ลายกลับไปฝากลูกชายหลายตัว
อรรัมภาเลือกหาเพลงบรรเลงพื้นเมืองไปเปิดฟังเล่น ก่อนจะเดินกลับมาที่รถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกล
เนมาพาทุกคนกลับไปที่โรงแรมแห่งเดิมเพื่อคืนชุด ก่อนออกเดินทางต่อ มุ่งหน้าสู่พาโรอีกครั้ง
ลิขิตรา 25 ส.ค. 2558, 19:02:20 น.
----
คิดถึงทุกท่านค่ะ
คุณ pkka : ^^
คุณคิมหันตุ์ : คราวนี้หวานแล้วค่าา
คุณ กาซะลองพลัดถิ่น : ทาชิกำลังดึงอัญญาออกมาล่ะค่ะ
----
คิดถึงทุกท่านค่ะ
คุณ pkka : ^^
คุณคิมหันตุ์ : คราวนี้หวานแล้วค่าา
คุณ กาซะลองพลัดถิ่น : ทาชิกำลังดึงอัญญาออกมาล่ะค่ะ
หนูมะลิ 25 ส.ค. 2558, 20:15:57 น.
อ่าน 2 ตอนรวดเลยค่ะ งานเยอะมากกก พอได้อ่านแล้วหายเหนื่อย เหมือนได้เติมพลัง ขอบคุณนะคะคุณไอซ์
เหมือนทาชิ เริ่มรุกแล้วเนอะ สู้! สู้! ลุยเลยพ่อหนุ่ม :D
"สิ่งที่เธอควบคุมได้คือสิทธิ์ในการตัดสินใจ ควบคุมหัวใจ และเลือกจะใช้ชีวิต" แล้วทำไมหนูอัญถึงเลือกจะใช้ชีวิตที่ยึดติดกับความเจ็บช้ำซะล่ะ ปลดปล่อยตัวเองให้ได้ไวๆ นะคะ ทาชิมาช่วยแล้ววว
>> ได้ไปที่ทำการไปรษณีย์เหมือนกันค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปทำแสตมป์เลย เพราะคนเยอะมากก มีทัวร์ไทยไปลงอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มของเราไม่มีใครได้ถ่ายเลยค่ะ เพราะรอคิวไม่ไหวเวลาไม่พอ เสียดายเหมือนกัน ขนาดจะเลือกซื้อแสตมป์ภูฎานยังค่อนข้างโกลาหลเพราะคนเยอะมากๆ คุณไกด์คงสงสาร ก่อนกลับเลยบอกให้ไปยืนตรงรูปที่เค้าติดไว้ที่กำแพง แล้วเอากล้องพวกเราเองนี่แหละถ่ายให้คนละรูป แล้วบอกให้ไปพิมพ์รูปกันเอง คิดแล้วก้อขำค่ะ สงสัยตอนนั้นคงทำหน้าแบบว่าเสียดายกันมาก 555
อ่าน 2 ตอนรวดเลยค่ะ งานเยอะมากกก พอได้อ่านแล้วหายเหนื่อย เหมือนได้เติมพลัง ขอบคุณนะคะคุณไอซ์
เหมือนทาชิ เริ่มรุกแล้วเนอะ สู้! สู้! ลุยเลยพ่อหนุ่ม :D
"สิ่งที่เธอควบคุมได้คือสิทธิ์ในการตัดสินใจ ควบคุมหัวใจ และเลือกจะใช้ชีวิต" แล้วทำไมหนูอัญถึงเลือกจะใช้ชีวิตที่ยึดติดกับความเจ็บช้ำซะล่ะ ปลดปล่อยตัวเองให้ได้ไวๆ นะคะ ทาชิมาช่วยแล้ววว
>> ได้ไปที่ทำการไปรษณีย์เหมือนกันค่ะ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปทำแสตมป์เลย เพราะคนเยอะมากก มีทัวร์ไทยไปลงอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มของเราไม่มีใครได้ถ่ายเลยค่ะ เพราะรอคิวไม่ไหวเวลาไม่พอ เสียดายเหมือนกัน ขนาดจะเลือกซื้อแสตมป์ภูฎานยังค่อนข้างโกลาหลเพราะคนเยอะมากๆ คุณไกด์คงสงสาร ก่อนกลับเลยบอกให้ไปยืนตรงรูปที่เค้าติดไว้ที่กำแพง แล้วเอากล้องพวกเราเองนี่แหละถ่ายให้คนละรูป แล้วบอกให้ไปพิมพ์รูปกันเอง คิดแล้วก้อขำค่ะ สงสัยตอนนั้นคงทำหน้าแบบว่าเสียดายกันมาก 555
sai 25 ส.ค. 2558, 20:53:41 น.
เริ่มหวานแล้ววว
เริ่มหวานแล้ววว
คิมหันตุ์ 25 ส.ค. 2558, 23:16:52 น.
รุกหนักเลยนะคะคุณทหารหาญ อิอิ
รุกหนักเลยนะคะคุณทหารหาญ อิอิ
sunflower 30 ส.ค. 2558, 00:00:33 น.
ทาชิน่ารัก
ทาชิน่ารัก
sunflower 30 ส.ค. 2558, 00:00:58 น.
ทาชิน่ารัก
ทาชิน่ารัก