อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด

ตอน: บทที่ 16 : ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม

บทที่ 16

“อาลัว”

เสียงเรียกของผู้ใหญ่ที่ยืนดูเหตุการณ์มาทั้งหมดเดินเข้ามาหาหญิงสาวที่นั่งหน้าซีดตัวคนเดียวอย่างเห็นใจ เขารู้ว่าหลายสิ่งที่สัมปันนีรู้สึกคือความสับสนปนเป และการลงโทษตัวเอง

“อย่าโทษตัวเองสิ”

“เปล่านะคะลุง”

“ไม่จริงหรอก ตาของเราทรมานจะตายอยู่แล้ว” ดิเรกแทงใจดำคนฟัง จนประกายในตาวูบไหว และหลบลี้ไปทางอื่น คนแก่ที่เห็นปฏิกิริยาเปราะบางหัวเราะหึ “ไม่เห็นใจเจ้าเอื้องมันบ้างเหรอ”

“ขอโทษค่ะลุง หนูไม่มีอะไรที่เหมาะกับลูกของลุงเลย”

“ก็รู้นี่”

สัมปันนีไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเพิ่มเติมจากเดิม นอกจากยิ้มหยันให้ตัวเองอย่างสมเพช นอกจากไม่คู่ควรยังสะเออะคิดสร้างเรื่องราวให้ดรัลต้องเจ็บปวดหัวใจมากขึ้น หลายครั้งที่ตัวเธอสงสัยว่าคนอย่างเธอมีอะไรที่ไปทำให้ดรัลสนใจ คนที่ไม่โดดเด่น รักเพื่อนตัวเอง แล้วยังเจ้าน้ำตา ขาดสติอยู่ก็บ่อยครั้ง และทำไมเธอต้องเจ็บปวด...กับการทำตัวเป็นคนใจร้าย ไม่เห็นหัวใจใครด้วย

ถ้าจะแกร่งกว่านี้ เลือดเย็นกว่านี้ เธอคงไม่เสียเวลาอกหัก ไม่เสียเวลารักคนที่เขาไม่รัก และไม่เสียเวลามาใส่ใจความรู้สึกของคนที่แคร์เธอ...เพียงเพราะไม่อยากให้เขาเสียเวลา

ความเกลียด คือสิ่งที่คนโง่ๆ อย่างเธอนึกออกว่าจะทำให้ความรู้สึกในใจคนเราแยกขาดจากกันง่ายขึ้น แต่...ไปๆ มาๆ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกลับไม่ใช่สิ่งที่เธออยากให้เกิดขึ้นเลยสักนิด

“หนูไม่ควรพูดออกไปอย่างนั้น”

“ใช่”

“และไม่ควรให้มีงานบ้าๆ นั่นเกิดขึ้นด้วย”

ดิเรกตีสีหน้าขรึม ไม่บ่งบอกว่าในเวลานี้กำลังสนับสนุนความคิดของคนพูดมากน้อยเพียงใด และไม่ได้โกรธเกรี้ยวโมโหปึงปังแทนลูกชายที่ถูกหยามน้ำใจ

“หนูคิดว่าการกระทำของช่อถูกหรือไม่ถูก”

ช่อมาลี...ผู้หญิงมั่น เก่ง และดูปราดเปรียวไปซะทุกเรื่อง ตัวเปรียบเทียบของช่อมาลีหากเปรียบกับคนธรรมดาเดินดิน ไม่มีความโดดเด่น ทุกอย่างย่อมชัดเจน สัมปันนีรู้สึกว่าความภูมิใจในตัวเองลดน้อยถอยลงจนน่าใจหาย เธอไม่มีสิ่งใดสู้ช่อมาลีได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เธอจะไม่ทำก็คือการทำร้ายความรู้สึกของจุณวัฒน์ในนาทีสุดท้าย

ถึงตรงนี้สัมปันนีรู้สึกหน้าชาไปทั้งแถบ เธอไม่อยากทำร้ายจุณวัฒน์ แต่กลับเลือกลงมีดอย่างเลือดเย็นใส่ดรัลแทน ถ้าจะพูดกันตามจริง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ถือเป็นผลดีต่อจุณวัฒน์มากกว่าปล่อยให้งานแต่งงานของช่อมาลีดำเนินไปจนสุดทาง...หัวใจของช่อมาลี ยึดมั่นอยู่อีกคนแทนที่จะเป็นเจ้าบ่าว

“คุณช่อเลือกซื่อตรงกับหัวใจตัวเอง ผิดเวลาค่ะ...แต่อาจจะเป็นผลดีในระยะยาว” หญิงสาวตอบออกมาอย่างระวัง ไม่อยากทำอะไรโดยให้เหตุผลนำหน้าเหนือทุกสิ่งอีก

“แล้วอยากจะทำเหมือนช่อเขาไหม”

สัมปันนีส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “พี่จุ้นเป็นคนดีมากนะคะ”

“ลูกลุงดีกับหนูไม่มากพอเหรอ”

“...”

“อย่าไปทำอย่างนี้กับใครอีก หนูไม่มีสิทธิ์ไปบังคับให้ใครรัก หรือเกลียด ทีกับนวีน หนูยอมรับทุกอย่างได้ ไม่คิดทำร้ายให้นวีนเจ็บปวด ขนาดจุ้นยังได้รับความหวังดีจากเรามากกว่าลูกชายลุง ลุงไม่ได้ขอโอกาสให้ลูกชายลุง แต่ลุงขอแค่ความเมตตา ถ้าหนูไม่รัก ไม่รู้สึกดีๆ กับมัน ก็อย่าทำร้ายความรู้สึกของมันนักเลย หนูไม่เคยรู้หรอก ว่าเอื้องเคยเจ็บปวดจากการตัดใจจากช่อขนาดไหน การที่คนเราไม่แสดงความอ่อนแอออกมา ไม่ได้หมายความว่าน้ำตามันจะตกในใจไม่เป็น”

รสขมปร่าขมอยู่ในคอ และหัวใจที่เคยคิดว่าบีบอัด เจ็บลึกไม่ได้กำลังถูกกรีดเชือดนิ่มๆ สัมปันนีนั่งฟัง ดวงตาแห้งผาก น้ำตาไม่ยอมไหล แต่ในใจกำลังหลั่งน้ำตา เธอเข้าใจทุกอย่างที่ดิเรกว่ามา

“เอื้อง มันไม่ได้ยอมรับง่ายๆ แต่มันเคยมาคุยกับลุงเรื่องที่ชอบช่อ ตอนนั้นลุงไม่คิดว่าความรู้สึกของสองคนนี้จะหยั่งลึก ลุงเลยยื่นคำขาดว่าถ้ามันจะเลือกช่อ ก็ไม่ต้องมีพ่ออย่างลุง ช่อเองก็ไม่ได้ตีโพยตีพาย หรือประท้วงงานแต่ง เอื้องมันก็ทุ่มเทให้กับการเรียน กับงาน ตอนพิธีแต่งงานของลุงมันยังอ้างว่าติดงานมาไม่ได้ กว่าจะมาปั้นหน้ายิ้มรับแขกก็ตอนงานเลี้ยง” ดิเรกหัวเราะขำ

“ที่จริงมันคงรับไม่ได้มากกว่า แต่ทุกอย่างก็ใช้เวลาไม่กี่เดือน เอื้องเป็นผู้ใหญ่พอที่จะจัดการความรู้สึกตัวเอง ลุงเลยอยากบอกให้หนูรู้ว่าไม่ต้องหาวิธีพิสดารมาทำร้ายจิตใจลูกลุงนักหรอก ถ้าหนูไม่รู้สึกอะไรกับมันจริง สักวันเอื้องมันก็จะทำใจไปได้เอง”

“คุณเอื้องเก่งจังเลยนะคะ การลืมใครสักคนให้เด็ดขาด มันไม่ง่ายเลย”

“ถ้าวันนี้นวีนกลับมาแล้วบอกว่าเขาเองก็รักหนูล่ะ หนูจะกลับไปหาเขาไหม”

สัมปันนีนิ่งงัน ไม่เคยแน่ใจว่าลึกๆ ความรู้สึกของตัวเองต้องการอะไร และไม่ต้องการอะไร ไม่รู้ว่าความเจ็บปวดในตอนนี้เกิดจากอาการอกหักจากนวีน หรือการลงมือทำร้ายจิตใจของดรัล ไม่รู้ว่าสิ่งใดสร้างความเจ็บปวดแก่เธอมากกว่ากัน

“ถ้าเขาใช้เวลาไม่กี่วันในการคิดทบทวนความรู้สึก หนูก็ต้องขอเวลาคิดมากกว่านั้นหลายเท่า หนูไม่ใช่คนฉลาดหรอกค่ะลุง ยิ่งพูดถึงเรื่องความรู้สึกชอบหรือรัก มาถึงตอนนี้หนูกลับคิดว่าหนูแทบไม่รู้จักมันเลย”

ครั้งหนึ่งสายตาเธอ สมองของเธอ รอยยิ้มของเธอ อยากจะมอบให้นวีนเพียงคนเดียว อยากได้รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ของเขามาครอบครอง นวีนคือผู้ชายคนแรกที่เข้ามาในชีวิตส่วนตัวของเธอได้มากที่สุด คนที่เธอเคยจินตนาการว่าหากได้อยู่กับเขาไปจนวาระสุดท้ายของชีวิตจะดีมากแค่ไหน แต่เธอกลับถูกปลุกให้ตื่นด้วยความจริง และทำให้เธอได้คิดว่าที่ผ่านมา เธอปักใจไปกับสิ่งที่ตัวเองละเมอขนาดไหน

เคยถึงขนาดเรียกความรู้สึกเหล่านั้นว่าความรัก...ทั้งที่เธอยังไม่แน่ใจ ในนาทีที่นวีนปฏิเสธ เธอไม่มีความโกรธ ความไม่พอใจต่อคำตอบนั้นเลยสักวินาทีเดียว ตรงกันข้ามเธอยังอยากเป็นเพื่อนกับเขา ยังอยากให้ครอบครัวของเธอรับเขาเป็นส่วนหนึ่งเหมือนเดิม ยังเอื้ออาทรต่อเขาอย่างที่เธอเคยทำได้

แล้วทำไมจิตใจของเธอกลับใจร้ายต่อดรัล พยายามขับไล่เขาไปสุดกำลัง ยิ่งเขาพยายามเข้าใกล้เธอมากเท่าไหร่ เท้าของเธอก็จะก้าวถอยห่างเขาไปอัตโนมัติ กลัวสารพัด และคิดล่วงหน้าว่าเธอไม่มีอะไรที่เหมาะกับเขาสักอย่าง แต่พอถึงคราวคับขัน แทนที่จะเป็นนวีนที่เธอนึกถึง กลับนึกถึงเขาแทน...ความรู้สึกหลายๆ อย่างมันขัดแย้ง จนเธอลงมือขั้นสุดท้ายด้วยการทำตัวแย่ๆ เพื่อให้เขาเกลียดกันไปเลย

“หนูยังถอยทันใช่ไหมคะลุง หายไปจากชีวิตคุณเอื้องเงียบๆ”

ดิเรกเหยียดยิ้ม “ลุงคิดว่าหนูจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากกว่านี้อีกสักหน่อย พูดอะไรแล้วทำตามที่พูด แต่ลุงคงคิดผิด”

“ลุงคะ” หญิงสาวเริ่มไม่เข้าใจความคิดของผู้ใหญ่ตรงหน้า คล้ายว่าจะสอนให้เธอจมอยู่กับความผิด แต่ก็ไม่ชี้แนะวิธีแก้ไขที่ดีขึ้นมา กลับพูดทำนองให้เธอกระโจนลงไปในบ่อแห่งปัญหา แทนที่จะแก้ปัญหา “หนูจะไปคุยกับคุณเอื้องให้เข้าใจ อย่างนั้นไม่ดีกว่าเหรอคะ”

“แล้วไอ้ที่ลูกลุงเสียความรู้สึกไปแล้วอีกล่ะ อาลัวจะรับผิดชอบยังไง”

สัมปันนีเกิดอาการใบ้รับประทาน ไปต่อไม่ถูก เธอคิดว่าเรื่องความรู้สึกสิ่งหนึ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดคือการทำใจ อย่างเธอเองก็ยังต้องทำใจในเรื่องของนวีน ดรัลยังเคยทำใจเรื่องช่อมาลีมาก่อน ยังไงระยะเวลาที่ผ่านมาก็เทียบกับที่เขาเคยรู้จักช่อมาลีมาตลอดชีวิตไม่ได้เลย

“หนูจะทำดีกับคุณเอื้องให้มากๆ ค่ะ”

“แต่งงานกับเอื้อง อย่าหนีงานเหมือนช่อ รักษาคำพูดที่พูดไว้ให้ได้ก่อน ลุงขอแค่นี้ทำได้ไหม”

แค่นี้...สัมปันนีนึกทวนคำขอร้องของดิเรกอย่างเสียขวัญ เธอกำลังถอยออกมา แต่ทำไมเท้าของเธอกลับกำลังถูกมือที่มองไม่เห็นจับตรึงไว้แน่น เธอจะไม่พยายามทำให้ดรัลต้องเสียความรู้สึกอีก ความเจ็บปวด ไม่มีใครอยากรู้สึก หรือพบเจอหรอก ตอนนั้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเธอทำลงไปด้วยอารมณ์ ถึงคราวต้องก้มหน้ารับมันตามปากที่พ่นทุกอย่างออกไป

เธอจะทำได้จริงเหรอ...ยิ่งนึกยิ่งไม่มั่นใจ



ข่าวการเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวแพร่สะพัดไปทั่วตั้งแต่เวลาเย็นก่อนวันงาน สัมปันนีไม่รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวออกไป แต่ข่าวนั้นก็ทำให้กระไดบ้านสวนดิเรกวุ่นวายพอตัว ทุกคนจะมีรอยยิ้มประดับหน้า ทำเหมือนว่าการหายตัวไปของช่อมาลีคือการติดธุระด่วน ยกเว้นรำเพยที่ยังเสียใจไม่หายกับการตัดสินใจของลูกสาว เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง

หลายครั้งที่สัมปันนีต้องคอยเหลือบมองดรัลที่แม้จะยิ้มแย้มให้แขกเหรื่อ แต่เขาไม่ได้ยิ้ม หรือเหลือบแลมาทางเธอเลย น้อยครั้งที่เผลอสบตากัน แต่เธอจะพบแค่ความว่างเปล่า แม้ปากเขาจะยังยิ้มเยื้อนไม่ให้ใครผิดสังเกต

สัมปันนีลอบถอนหายใจเบาๆ รู้สึกได้ว่าชีวิตจากนี้คงจะอีรุงตุงนังกว่าที่เธอคิดไว้ และคงไม่จบลงง่ายๆ

“ช่อเขาติดธุระด่วน ต้องไปต่างประเทศครับ” จุณวัฒน์บอกกับใครอย่างนี้ซ้ำๆ ถึงจะไม่มีใครเชื่อสักคนก็ตาม

แขกส่วนใหญ่ค่อยๆ จากไป บ้างก็เริ่มลงมือช่วยกันคนละไม้ละมือให้งานแต่งงานในวันพรุ่งนี้พร้อมที่สุด ไม่รู้ทำไมจนถึงตอนนี้หญิงสาวกลับไม่รู้สึกตื่นเต้น ไม่รู้สึกกระตือรือร้น ในใจของเธอมีแต่ความผิด และความทุกข์

เธอคิดถึงครอบครัว

“อาลัว” เสียงของคนห้าคนกล่าวเรียกออกมาพร้อมกันทันทีที่ขึ้นบันไดบ้านเข้ามา สัมปันนีเงยขึ้นอย่างฉงน กะพริบตาปริบๆ เพื่อเรียกสติว่าบุคคลทั้งห้าที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเธอไม่ใช่จินตนาการ หรืออาการฝันเฟื่องเพราะอยากเจอพวกเขา นอกจากพ่อแม่ พี่และน้อง ยังมีนวีนมาด้วย

หากไม่มีคนหลังสุดเธอก็ยังพอเชื่อได้ว่านี่คือความจริง

แรงกระตุก และกำไว้แน่นตรงมือเรียกสติของสัมปันนีให้กลับ หญิงสาวละสายตาจากครอบครัวมายังเจ้าของมือใหญ่ที่กุมมือเธอ และบีบไว้จนเธอเจ็บ หน้าตาของเขาถึงจะไม่ได้ดุจัด ถมึงทึง แต่ความนิ่งเรียบของดรัลกลับแผ่ไอน่ากลัวออกมา จนเธอได้แต่เบือนกลับไปยังครอบครัว ไม่รู้ว่าเธอกลัวสิ่งใดกว่ากัน ระหว่างความจริงที่ครอบครัวจะต้องรับรู้ในไม่กี่นาทีข้างหน้า กลัวการเผชิญหน้ากับนวีน หรือกลัวการรับมือกับความรู้สึกที่อ่านไม่ออกของดรัล

ดรัลลุกขึ้นยืน และฉุดให้สัมปันนีจำต้องลุกตาม ทั้งที่ใบหน้าซีดเผือด ดรัลยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างนอบน้อม สีหน้าอ่อนโยนขึ้น “ขอโทษที่ผมไปรับมาปุบปับโดยไม่ได้บอกเหตุผลอะไรนะครับ เพราะไม่อยากให้ตกใจกันก่อนจะมา”

“เรื่องอะไรล่ะคุณ เกี่ยวกับอาลัวใช่ไหม” มัศกอดเป็นกระบอกเสียงแทนทุกคน เธอเองก็ไม่ใคร่จะพอใจนักตอนที่มีนวีนมาร่วมรถไปด้วยทันทีที่รู้ว่าเกิดเรื่องกับสัมปันนีตามที่คนขับรถบอกมา

สายตาทั้งห้าคู่มองตรงไปยังคนที่ถูกพูดถึง และฝ่ามือที่จับกุมกันไว้แน่นระหว่างสัมปันนีและดรัล ถึงจะมีบรรยากาศแปลกๆ แผ่ออกมาเป็นระยะให้รู้สึกอึดอัด

“พวกเราจะแต่งงานกันพรุ่งนี้ครับ”

“อะไรนะ!” ห้าเสียงร้องออกมากันเสียงหลง ขนาดบุหลันยังสนอกสนใจมากกว่าปกติ ทุกสายตาต่างเพ่งเล็งมายังหนึ่งเสียงเดียวที่จะยืนยันได้ว่าทุกสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องตลกพกลม

สัมปันนีรับรู้ถึงสายตาผิดหวัง สายตาคำถาม และความไม่พอใจจากทุกคู่ แต่เมื่อสบเข้ากับดรัล เธอกลับพบแววตาที่น่ากลัวกว่าทุกคู่ที่เธอพบเจอ จะเป็นอย่างไรถ้าเธอตลกร้าย แล้วลุกขึ้นมาบอกว่าวันนี้เป็นวันโกหก เธอแค่เล่นตลกให้ขำขันเท่านั้น และจะเป็นอย่างไรหากเธอจะแกล้งตกบันได ทำเป็นความจำเสื่อมหนีความรับผิดชอบ หรือจะ...ฝ่ามือที่บีบมาคล้ายส่งสัญญาณเตือนทำให้ในหัวสมองอันวุ่นวายหยุดลง สัมปันนีลอบผ่อนลมหายใจ เตือนให้สองขาที่สั่นพั่บๆ เพราะกลัวปฏิกิริยาของทุกคนมั่นคงกับที่ที่สุด

“ค่ะ...หนูจะแต่งงาน”

ร่างของมารดาล้มหมดสติไปต่อหน้าต่อตาลูกสาวทั้งสามทันที



ผู้หญิงที่เขาคิดว่าลึกซึ้งกับเขา กำลังแต่งงานกับคนอื่น ทั้งที่เพิ่งอกหักจากเขาไปไม่ถึงสัปดาห์ นวีนรู้สึกรับไม่ได้อย่างแรงที่ตนเองด้อยค่าที่ถูกลืมเลือนได้อย่างง่ายดาย อาการของสัมปันนีที่ผ่านมา ของที่เจ้าตัวเก็บไว้มองเป็นสิ่งมีค่าทั้งที่เขาลืมเลือนไป อาการวิงวอนถึงความเป็นเพื่อนก็ยังดีทำให้เขารู้สึกถูกหลอกลวง

และคล้ายว่าถูกแย่งของที่เป็นของเขาไป

นวีนรู้ว่าเสียงของเขาไร้ค่า ไม่มีราคาค่างวดมากพอที่จะไปเสนอความคิดเห็นในงานใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในตอนเช้า และอดดีใจไม่ได้ที่ทุกคนในบ้านฝั่งสัมปันนีเกือบทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องราวปุบปับและยอมรับความสัมพันธ์ของดรัลและสัมปันนี ยกเว้นมัศกอดและบุหลันที่เลือกยืนคนละข้างกับพ่อแม่ พร้อมสนับสนุนให้มีงานแต่งงานนี้ทุกกรณี

“ก็แค่งานกลบข่าวเจ้าสาวหนีงาน อาลัว ลูกยอมให้เกิดงานอย่างนี้จริงเหรอ ไม่ต้องทุ่มเทขนาดนี้ หรือลูกอกหักจนสมองเพี้ยนไปแล้ว กลับไปอยู่บ้านเราเถอะลูก” ไม่วายที่คุณเรไรที่เคยมองนวีนอย่างมีเมตตามาตลอดจะส่งประกายไม่พอใจ และโทษว่าเรื่องที่เกิดในครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการถูกปฏิเสธความรักไปเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า

“หนูอาจจะเบลอ อารมณ์เกิดความผิดปกติบ้างเป็นระยะ แต่หนูยังสติดีครบถ้วนนะคะ” ว่าที่เจ้าสาวบอกอย่างใจเย็น

“แล้วงานการของอาลัวล่ะ เขาเป็นเจ้านาย ลูกเป็นลูกน้อง ลูกจะไม่แคร์สายตาใครเหรอลูก”

สัมปันนียิ้มอ่อนแรง ดวงตาฉายแสงโรยรา ไหล่ห่อลู่ไม่สง่าดังเดิม เธอรู้สึกโดดเดี่ยวแม้แต่ดรัลก็ยังมาทำท่าทางโยนภาระที่เธอพลั้งปากเสนอให้เต็มที่ไป “ไม่บอกให้คนในบริษัทรู้เด็ดขาดค่ะ จะมีแค่คนในงานที่รู้เรื่อง”

“คุณว่าไงนะ” ดรัลแสดงอารมณ์ไม่พอใจออกมาทางแววตา ริ้วโกรธขึ้นริ้วๆ หวังให้คนพูดแก้ตัวใหม่

“ค่ะ ทุกอย่างจะเป็นความลับ”

ว่าที่เจ้าบ่าวมองว่าที่เจ้าสาวอย่างเอือมระอา แต่ไม่คิดคัดค้านใดๆ สีหน้าจริงจังหันไปหาพ่อแม่ของฝ่ายหญิง พนมมือก้มลงไหว้อย่างขอขมา “ผมขอโทษที่ทำอะไรลงไปปุบปับ แต่ถึงจะปุบปับผมก็สัญญาว่าจะไม่ทำให้อาลัวเขาเสียใจเด็ดขาด จะใจเย็นกับเขาให้มาก เขาอยากจะไปจากผมเมื่อไหร่” แววตาว่างเปล่าของดรัลเสียดแทงใจสัมปันนีจนเจ็บลึก “ผมจะไม่รั้งเขาไว้เลย”

“ไม่สู้ไม่แต่งเลยไม่ดีกว่าเหรอ ไม่รัก ไม่ผูกพัน จะแต่งงานกันไปทำไม คุณมีอะไรอยากพูดหน่อยไหม ให้ผมสบายใจสักนิดว่าลูกสาวผมจะไม่เสียหาย ไม่เสียใจ กับการอยู่กับคุณ” ธวัลย์ยังไม่อยากปล่อยลูกสาวที่อ่อนหัดในสนามรักออกไปออกรบกับสนามใหม่ เขาคิดว่านอกจากสัมปันนีจะยังไม่พร้อม ยังทำให้เกิดความสับสนทางใจยิ่งขึ้น

“ผมจะไม่ทำให้อาลัวสับสนเพิ่มครับ”

หรือคือการอยู่ให้ห่างจากเธอ...สัมปันนีตีความไปด้านนั้นอย่างเจ็บปวด ดาบเล่มแล้วเล่มเล่าจากทั้งสายตา และคำพูดของดรัลทิ่มแทงเธอจนพรุน เจ็บจนไม่รู้ว่าเทียบเท่ากับที่เคยเจ็บกับเรื่องของนวีนไหม เวลานี้ที่นวีนมาอยู่ตรงหน้า ใช้แววตาคู่เดิมมองเธอ เธอกลับยิ้มจืดจางตอบคืนไปให้ได้ แต่กลับไม่กล้าหันไปมองสบกับผู้ชายร่างใหญ่ข้างกาย ที่อยู่ห่างเพียงแค่ขนแขนกั้น

“ด้วยการทำยังไง”

“ทำอย่างที่เขากำลังทำนี่ล่ะค่ะ” คำถามนี้สัมปันนีเลือกตอบแทน กล้ำกลืนความเจ็บปวดไว้ในใจ ไม่ให้แสดงออกทางสีหน้า หรือแววตาจนใครต่อใครอ่านออก “ไม่เร่งรัด ไม่ร้องขอ ไม่เรียกร้อง การแต่งงานคราวนี้ที่เกิดขึ้น ที่จริงเป็นหนูที่ร้องขอเอง”

ก่อนที่คุณเรไรจะเป็นลมไปอีกรอบ มัศกอดที่ยืนคุม ถือยาดมอยู่ก็รีบเปิดฝาเตรียมพร้อม มือโอบพยุงมารดา และให้บุหลันคอยถือพัดคอยโบกไปมาให้

สัมปันนีมองบุพการีอย่างขอโทษที่ตัดสินใจทำอะไรลงไปอย่างคนโง่ๆ รวมถึงนวีนที่คงคิดว่าเธออ่อนแอจากการอกหักจนสมองกระทบกระเทือนทำอะไรไปไม่คิด...นวีนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอกลัวความรัก แต่ปัญหาหลักคือตัวเธอเอง ที่ไม่รู้จักควบคุมให้ความรู้สึกให้ดี จนเผลอไปดึงดรัลมาทำร้าย

“เพราะเราใช่ไหม” แววตาที่เคยสาดแสงแรงจ้ารับไม่ได้ของนวีนอ่อนแสงลง เขารู้สึกผิด และโทษตัวเอง

“ไม่เลย เป็นเราเองต่างหากที่อยากเสี่ยงดวงว่าชีวิตคู่จะเป็นยังไง” สัมปันนีโยนปัญหาออกไปจากความจริง เธอพยายามยิ้มแย้ม เกี่ยวมือกับฝ่ามือที่เย็นเฉียบไม่อบอุ่นเหมือนทุกครั้ง รู้สึกขอบคุณดรัลที่ไม่แสดงความรังเกียจเธอออกมาด้วยการสะบัดมือออกต่อหน้าครอบครัวเธอ “ไม่เร็วไปใช่ไหมคะ”

“อาลัวตัดสินใจแล้ว...แสดงว่ามันไม่ได้ ‘เร็ว’ เกินไป” ดรัลตอบออกมาด้วยรอยยิ้มนุ่มนวล แต่คนที่มีชื่ออยู่ในประโยคกลับรู้สึกถูกกระทบกระเทียบพิกล

เฮ้อ...ดรัลที่เธอรู้จักถูกมือของเธอจับมีดจ้วงแทงให้ตายไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วจริงๆ สมน้ำหน้าไหมล่ะ ดวงตาของสัมปันนีฉายรอยเศร้าจัดออกมาขณะก้มหน้าหลบสายตาของทุกคน



ดาวบนฟ้าวันนี้ดูไม่สวยงามเหมือนวันแรกที่เธอมาถึงบ้านหลังนี้ สัมปันนีหนีออกมาจากบ้านแต่เช้ามืด มองทางที่พอเห็นแสงรำไรของพระจันทร์เสี้ยวมานั่งเหม่อมองความมืดมิดบริเวณศาลาริมคลองของบ้าน ตลอดคืนเธอนอนไม่หลับ หูต้องฟังเสียงเทศนาของพ่อและแม่ที่ว่าว่าเธอทำอะไรลงไปไม่คิด และยังทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าลงไปอีกเมื่อพ่อแม่บอกว่างานแต่งงานคราวนี้พวกท่านไม่เรียกร้องสินสอดอะไรเลยสักแดงเดียว

‘ดีเท่าไหร่แล้วที่ยังอุตส่าห์เชิญมาร่วมงาน’ นั่นคือสิ่งที่มารดาเธอค่อนแคะทิ้งท้ายเข้าให้

ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ข้างเธอเลยสักคนเดียว ไม่ว่าจะครอบครัว หรือดรัล นวีนเองก็ไม่รู้ว่ามาที่นี่ในฐานะเพื่อน หรือแค่คนผ่านเข้ามาอยู่ในเหตุการณ์อีกคน

ช่อมาลีรู้สึกอย่างไรในช่วงก่อนตัดสินใจที่จะหนีออกไปจากงานแต่งงานของตัวเอง...คงทรมาน และหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้

แทนที่จะโกรธช่อมาลี เธอกลับเพียงแค่ยิ้มให้กับความโง่ของตัวเอง หญิงสาวถอนหายใจแผ่วเบาอีกเฮือก กลัดกลุ้มไม่รู้จะหาทางออกให้ตัวเองอย่างไร เดินหน้าต่อไปก็พบว่ามีแต่ความเจ็บปวด หรือจะเลือกอย่างช่อมาลี...เธอกลับคิดว่านั่นมีแต่จะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายมากขึ้น สมองของหญิงสาววนเวียนอยู่กับพรุ่งนี้ด้วยความฟุ้งซ่านอย่างถึงที่สุด

“อาลัว...คิดอยู่แล้วว่าต้องนอนไม่หลับ” นวีนหยุดอยู่หน้าศาลา ในความมืดทำให้สัมปันนีไม่รู้สีหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย เธอกลับคิดว่าเขาจะสมน้ำหน้า และสังเวชชีวิตของเธอขนาดไหน ที่พอพลาดจากเขาก็ตุปัดตุเป๋ไม่เป็นท่าอย่างนี้

คนจะแต่งงานแทนที่จะมีความสุข...กลับมานั่งทำหน้าระทมทุกข์

“อืม จะแต่งงานก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา” พยายามทำให้น้ำเสียงมีชีวิตชีวา

“โกหก เวลาอาลัวตื่นเต้นจะชอบทำอะไรเปิ่นๆ ผิดๆ มากกว่ามาทำหน้าจริงจัง”

สัมปันนีหัวเราะขื่น “ยังรู้จักเราเหมือนเดิม” ร่องรอยจากวันถูกปฏิเสธไม่รู้เลือนหายไปไหน เธอแทบไม่คิดถึงวันเวลาเหล่านั้น ใช้ชีวิตได้ปกติเมื่อนวีนมาอยู่ต่อหน้าจริงๆ

“ไปกับเราเถอะ ไปจากที่นี่ อิสระรออาลัวอยู่นอกรั้วนี้”

“...”

“เดี๋ยวคนที่นี่ก็ลืมว่าเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

คนฟังนิ่งงัน ดวงตาตระหนกกับข้อเสนอของนวีนชั่วขณะหนึ่งเพราะความแปลกใจที่ได้ยินเรื่องแบบนี้จากปากเขา ก่อนที่มันจะเลือนหายเหลือเพียงรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา อาศัยความมืดอำพรางความรู้สึกบนสีหน้า เหมือนที่นวีนไม่ล่วงล้ำเข้ามาภายในอาเขตของศาลาจนเธออ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ หากเป็นไม่กี่วันก่อนหน้านี้เธอจะถามไถ่ไล่บี้เอาเหตุผลที่แท้จริงของเขาว่าเพราะอะไรจึงมาพูดเช่นนี้ ลุ้นว่าเขาจะตอบอะไรออกมาได้ตรงหัวใจเธอไหม อาการกระตือรือร้นกว่านี้...รอคอยกว่านี้

“นวีน เดินเล่นกันไหม”

“ตอนนี้”

“อืม...ทำให้เรากลับไปพร้อมนายให้ได้ นายทำได้ไหมล่ะ” สัมปันนีพูดทีเล่นทีจริง

นวีนแบมือออกมารอ แต่สัมปันนีกลับลุกขึ้นมองอย่างเงียบงัน ไม่ยอมยื่นมือออกมาวางจนเขาต้องเอ่ยกระตุ้น “จับมือได้ไหม แต่ก่อนเราก็เคยจับมือกันออกบ่อย”

สัมปันนีวางมือลงไปเงียบๆ ซึมซับความอบอุ่นที่เธอเคยปรารถนามาตลอด ปล่อยให้นวีนพาเดินออกไปในความมืดมิดที่พระอาทิตย์ยังไม่ยอมโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา เสียงหรีดหริ่งเรไรยังร้องระงมให้ได้ยิน แว่วหูไกลๆ ยังมีเสียงไก่ขัน บรรยากาศสงบอย่างที่ในเมืองไม่มีให้ได้เห็น

“อาลัวดูไม่มีความสุข”

“ไม่เชิงหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อย”

“ไปจากที่นี่ ไม่ต้องคิดอะไร เราจะอยู่เป็นเพื่อนอาลัวเอง หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ ถ้าอาลัวต้องการ”

สัมปันนีลดสายตาลงมองฝ่ามือของนวีนที่จับจูงเธอราวกลับกลัวเธอหลุดหาย รอยยิ้มขมขื่นเกิดขึ้นบนหน้า ในวันที่เธอต้องการเขาสุดหัวใจ กลับเป็นวันที่นวีนผลักไสเธออย่างไม่ใยดี มาตอนนี้เขากลับอ้าแขนพร้อมข้อเสนอมากมายมายั่วยวน

“หายโกรธเราแล้วเหรอ ถึงได้มาทำดีอย่างนี้”

“ขอโทษ คือว่าเรา...” นวีนหยุดพูดไป ไม่รู้จะเรียบเรียงความรู้สึกต่อจากนั้นอย่างไรดี

“ขอโทษทำไม เรื่องนี้ใครสักคนจะผิด ขอให้เป็นเราคนเดียวพอ” สัมปันนีแหงนหน้าขึ้นฟ้าอีกครั้งเมื่อกระบอกตาเริ่มร้อนผ่าว ความผิดหลายๆ ครั้งมันเริ่มตั้งแต่เธอคิดไม่ซื่อกับนวีน ไม่รู้จักจัดการหัวใจตัวเองให้ดี ยังหวังยืมมือของดรัล รวมถึงการคิดหวังดีเผื่อเขา ตัดสินหัวใจเขาว่าไม่ควรจะมารักคนอย่างเธอจนเผลอทำร้ายเขาไป

แทนที่จะมีความสุขหน้าระรื่นหลังหวังดี เธอกลับอยากร้องไห้ตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนที่ดรัลทำท่าเย็นชาคล้ายคนไม่รู้จักกันใส่

“อย่าโทษตัวเองเลยอาลัว ความรู้สึกของคนไม่ใช่ความผิด อาลัวไม่ได้ไปฆ่าใคร”

“เลิกพูดเรื่องพวกนี้เถอะนะ” สัมปันนีกลั้วหัวเราะไม่เป็นธรรมชาติ “นวีนสบายดีใช่ไหม แปลกเนอะ ไม่เจอกันกี่วัน เหมือนพวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

นวีนหัวเราะไม่ออก ใบหน้าเริ่มซีดลงทีละนิด เขารู้สึกว่าเจ้าของฝ่ามือที่เขากำลังจับจูงอยู่ไกลจากเขาไปเรื่อยๆ “เราก็อยู่ที่เดิมตลอด มีแต่อาลัวนั่นแหละที่ไม่ได้อยู่ที่เดิม”

“เดี๋ยวเราก็กลับไปทำงาน ไปนั่งกินข้าวเที่ยง ไปดื่มกาแฟด้วยกัน...เหมือนเดิมแล้ว” หญิงสาวเลือกที่จะโง่ไม่รู้ความนัยของนวีนที่แฝงมาในประโยค เธออยากแข็งแกร่ง และเลิกคิดว่าการกลับไปเหมือนเดิมอย่างที่เขาว่ามาคือการกลับไปรักเขาอย่างโง่งมอีก เธออยากจะเป็นเพื่อนเขาให้ได้จริงๆ โดยไม่ทำร้ายความรู้สึกของตัวเองอย่างที่แล้วมา

“อาลัวก็รู้ว่ามันไม่มีอะไรเหมือนเดิม ถ้าอาลัวยังอยู่ที่นี่ ร่วมงานพรุ่งนี้”

“เพื่อนกัน...ทำไมจะไม่เหมือนเดิม”

“...”

“เราเริ่มทำใจมาสักระยะแล้วว่าสุดท้ายนวีนก็จะไม่รักเรา เราเองก็ไม่เคยรักใครมาก่อน เลยไม่รู้ว่าอกหักมันเจ็บขนาดไหน แต่มันก็ดีนะที่เป็นอย่างนั้น เราคิดว่าเรากับนวีนคงเกิดมาได้เป็นเพื่อนกันเท่านั้น เป็นคนที่หวังดีต่อกันไปจนตาย ไม่ต้องมาหึงหวงกัน ตอนนี้เราไม่รู้หรอกว่ามีอะไรเหลืออยู่ในความรู้สึกบ้าง แต่...เราดีใจมาก ที่ได้คุยกับนวีนอีก”

มือของนวีนกำมือเธอไว้แน่นจนเจ็บ แต่เจ้าของมือเล็กกว่ากลับเฉยชา ไม่ประท้วง “นวีน เราอาจเป็นเพื่อนคนเดิมของนวีนไม่ได้ แต่เราจะเป็นเพื่อนคนใหม่ ที่เป็นเพื่อนจริงๆ ของนวีนให้ได้”

“เราต้องการคนเดิม” นวีนหยุดเดิน และหันกลับมา เสาไฟสูงส่องแสงกระทบร่างที่ทำหน้าอ้อนวอนปนเจ็บปวด “ยังทันนะอาลัว”

“ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม...นายก็รู้” สัมปันนีลอกคำตอบที่เคยได้รับมาโยนใส่หน้านวีน

“ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยเหรออาลัว”

น้ำเสียงเจ็บปวดของนวีนทำให้คนฟังลำคอตีบตัน ได้แต่เบือนหน้าไปทางอื่น ไม่อยากเห็นแววตาอ่อนล้า และคนที่กำลังไขว่คว้าสิ่งที่เธอไม่รู้ว่ามีอะไรเหลืออยู่กลับไปให้ เธอยังเข็ดขยาดกับความผิดหวัง ไม่ใช่แค่เธอที่ไม่รู้ใจตัวเอง นวีนก็เช่นกัน...เขาแค่ไม่เหลือใคร จึงกลัวเสียเธอไปเท่านั้น

“อย่าให้มันเหลือเลยนวีน มันทรมานทั้งเราแล้วก็นาย”

“เราไม่ทรมานแล้ว” นวีนบอกเสียงแหบแห้ง กุมมือเย็นเฉียบของสัมปันนีไว้แน่น

“แต่เรากำลังทรมาน...นวีนอย่ารั้งเราไว้อีก เราเหนื่อย”

ฝ่ามือของนวีนหลุดลงข้างลำตัว สีหน้าหมดแรง และดวงตาที่กำลังผิดหวังฉายชัด เขายังหวังว่าสัมปันนีจะเลือกตนเอง “ที่เรามาง้อ ไม่ได้หมายความว่าเราชอบอาลัว แต่เราห่วง ไม่อยากเห็นอาลัวทุกข์ใจ และเราก็รับได้ถ้าอาลัวจะชอบเราอยู่ เราไม่ได้รังเกียจ”

“ขอบคุณ”

“ไปกับเรานะ”

เสียงความวุ่นวายจากบนบ้านที่อยู่ห่างออกไปทำให้รู้ว่ามีบางส่วนเริ่มตื่น พวกเขาคงตกใจน่าดูตอนที่เข้าไปเคาะประตูห้องแล้วไม่เจอเจ้าสาวอยู่ภายใน เขาคงคิดว่าประวัติศาสตร์กำลังซ้ำรอยเดิม และดรัลคงเกลียดเธอไปตลอดชีพ

และเพียงแค่เธอไป เธอจะเป็นอิสระจากทุกสิ่ง ไปในที่ที่มีนวีน เธอเคยต้องการอย่างนั้นนี่ เสียงในหัวเธอร้องบอก และคล้อยตามข้อเสนอทุกสิ่งที่นวีนหยิบยื่นให้ แต่ทุกครั้งที่คิดว่าการจากไปจะทำร้ายใครที่อยู่เบื้องหลังบ้าง หัวใจของเธอกลับบีบรัดแน่นเหมือนหายใจไม่ออก และคล้ายว่าเธอเจียนจะตายหากเธอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

แค่จะก้าวไปข้างหน้ายังไม่ไหว แล้วเธอยังกล้าฝันถึงช่วงเวลาที่ในหัวหลอกล่อว่ามันจะแสนสุขได้อย่างไร

“เราอยากเริ่มต้นใหม่ ถึงมันจะมีแต่ความทุกข์ ถึงมันจะเจ็บปวด แต่เราก็อยากรับผิดชอบการกระทำของตัวเองให้ถึงที่สุด เราจะไม่ไปไหนทั้งนั้น...นวีนเองก็อย่าลืมอยู่ร่วมงานของเรากับคุณเอื้องด้วยล่ะ เรายังไม่ได้เชิญอย่างเป็นทางการเลยใช่ไหม”

“รู้ว่ามันเป็นบ่อหนาม ทำไมอาลัวยังโง่กระโดดลงไปอีก”

“อย่าพูดเหมือนนวีนไม่เคยทำเราร้องไห้สิ” สัมปันนียิ้มเหยียด ค่อยๆ เดินถอยออกมา และกลับไปทางเดิมที่เธอทิ้งไว้เบื้องหลัง คำพูดโหดร้ายของเธออาจะทำให้นวีนจุก แต่คงไม่ถึงขนาดเสียน้ำตา และเธอยังขอบคุณในใจที่อย่างน้อยนวีนก็ยังเป็นห่วงเธอจากใจจริง

เลี้ยวหัวมุมมา สัมปันนีก็ชนอย่างจังเข้ากับแผ่นอกหนา แต่เพราะรู้ว่าเป็นใครหญิงสาวจึงไม่ได้เดินถอยออก กลับโอบร่างที่ยืนนิ่งปล่อยให้เธอกอดไว้เฉยๆ โดยไม่มีการกอดตอบ ดรัลคงได้ยินทุกบทสนทนาของเธอ รู้ว่าที่เธออยู่จะเข้าใจว่าทำไปเพราะความรับผิดชอบ หรือเข้าใจว่าเธอเลือกเขาเพราะไม่อยากเจ็บปวดจากนวีนอีก...ขอแค่เขารู้ ว่าเธอยังเลือกเขาก็พอ

“หนีไปตอนนี้ก็ยังทันนะ”

สัมปันนีกอดร่างที่กำลังออกปากไล่ไว้แน่นขึ้นแทนคำตอบ “ไม่ไป”

“จะทำให้เกลียดกันให้ได้ใช่ไหม”

“ขอโทษค่ะ”

“ไม่ช้าไปเหรอ มาขอโทษเอาป่านนี้ ผมก็แค่บ่อหนามที่พร้อมทิ่มตำคุณ”

“ฉันสุขเพราะคุณมามาก คุณจะเอาความสุขไปบ้าง ก็จะได้เสมอกัน”

“ถ้าไม่ไปตั้งแต่ตอนนี้...จะไม่มีโอกาสได้คิดหนีไปไหนอีก แน่ใจแล้วแน่นะ” ดรัลถามซ้ำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

สัมปันนีไม่คิดปล่อยอ้อมกอดที่เธอรัดไว้แน่น หัวใจที่ร้าวลึกจากความเย็นเยียบของดรัลค่อยๆ อุ่นขึ้นเมื่อเขาไม่ออกปากไล่อีกครั้ง พร้อมคำเตือนที่ไม่ต่างจากพันธนาการที่จะรัดเธอไว้กับเขานับจากนี้

“อย่ามาเสียใจทีหลังที่เลือกผม”

ดรัลดึงร่างที่กอดเขาไว้แน่นออก สีหน้าของหญิงสาวเก้อค้าง นึกว่าถูกลอยแพทิ้งขว้าง ก่อนจะยืนเบิกตากว้างเมื่อคางถูกตรึง และว่าที่เจ้าบ่าวของเธอก้มลงบดริมฝีปากกับริมฝีปากของเธออย่างรุนแรง ระบายความคับข้อง ขุ่นใจทั้งหมด ถึงเธอจะรู้สึกเจ็บปากจนสัมผัสได้ถึงรสเลือดปร่าก็ช่าง เธอกระโดดลงสู่บ่อหนามนี้เอง จะด้วยความรู้สึกจำยอม หรือในใจเธอรู้สึกผิด เธอก็ไม่ถอยหนีไปไหนอีกแล้ว

และสิ่งสำคัญคือ เธอคิดถึงเขา ดรัลคนที่อ่อนโยน คนที่เธอเผลอลงมือทำร้ายความรู้สึกดีๆ ของเขาลงไปด้วยตัวเอง

“เจ็บไหม” ปลายนิ้วลูบไล้ลงบนกลีบปากบางที่เขาเองสัมผัสรสเลือดได้เช่นกัน

สัมปันนีมองหน้าคนถามอย่างค้นคว้า ก่อนจะส่ายหน้า ไม่รู้ว่าควรยิ้มรับความอ่อนโยนชั่วครั้งชั่วคราวของเขา หรือจะหัวเราะที่เธอคิดว่าตัวเองตาฝาด เพราะพอกะพริบตาอีกทีก็พบเพียงผู้ชายหน้านิ่งจ้องตอบกลับแววตาของเธอมา

“ลืมนวีนได้แล้วเหรอ”

“ไม่รู้ค่ะ”

ร่างที่รอคำตอบจู่ๆ ก็รู้สึกฉุนกึก สัมปันนีตอบกลับมาแทบไม่เสียเวลาไตร่ตรอง พอรู้ว่าปากทำงานเร็วกว่าสมองอีกครั้งก็ตอนถูกจับมือถูกลู่ถูกังกลับเข้าไปในบ้าน จะว่าถูลู่ถูกังก็ว่าได้ไม่เต็มปาก เพราะสัมปันนียอมให้ถูกลากตามมาแต่โดยดี ไม่มีอาการขัดขืนอย่างใด เขาไม่รู้ว่าสัมปันนีทำไปเพราะอยากให้เขาตายใจ ก่อนจะลงมือทำให้เขาเกลียดอย่างที่ว่าไว้ หรือกำลังรู้สึกผิด อยากรับผิดชอบเหมือนที่บอกนวีนไว้จริงๆ

แค่ความรู้สึกของคนที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ผูกพัน ทำไมต้องมาใส่ใจ แล้วเสียสละชีวิตขนาดนี้ ดรัลนึกสงสัย อยากถามใจแทบขาด แต่เขาก็กลัวคำตอบ กลัวว่าก่อนวันงานที่จะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง จะเป็นเขาที่ลุกขึ้นมายกเลิก เพราะทนเห็นสัมปันนีทุกข์ใจไม่ไหว

ส่วนเขากลับเห็นว่าการแต่งงานครั้งนี้ที่แรกเริ่มไม่พอใจ...แต่เขากลับรู้สึกถึงชัยชนะที่อยู่ไม่ไกลในตอนหลัง เขาไม่ปฏิเสธงานที่เขาจะผูกมัด และมีสิทธิ์ได้กำมือคู่นี้เพียงคนเดียวไปตลอดชีวิตเด็ดขาด

เขาโกรธสัมปันนีไม่ลง กลับเข้าใจว่าอีกฝ่ายสับสนมากแค่ไหน ระยะเวลาไม่กี่วันเกิดเรื่องมากมาย และคนที่จัดการความรู้สึกไม่เก่งอย่างสัมปันนีก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการให้ได้เอง ส่วนที่เขาลงโทษไปรุนแรงแบบนั้นก็เพราะ...หงุดหงิดที่เห็นนวีนกลับมาหาสัมปันนีจนได้

............................................

ตอนนี้มาให้แบบยาวๆ หลังจากหายไปหลายวันค่ะ บทที่แล้วอาลัวโดนไปมิใช่น้อย ฮา

คุณ konhin อาลัวสุดโต่งสุดๆ ค่ะ พอได้สติขึ้นมาถอยไม่ได้แล้วด้วย พี่เอื้องจับขัง ฮา

คุณ ปิ่นนลิน สายตาของอาลัวสั้นมากกกกค่ะ มองไกลๆ ไม่เป็น มองใกล้ๆ ยังไม่ค่อยชัดเลย เหมือนคนตาบอดเนอะ ต้องให้คนโน้นคนนี้มาจูงอยู่เรื่อย ป.ล. พี่จุ้นโสดแล้ว เป็นผู้ชายส่วนกลางค่ะ ฮ่าๆๆๆ

คุณ กาซะลองพลัดถิ่น ตอนนี้เป็นตอนแสดงอารมณ์ของอาลัวเลยค่ะ คนไม่รู้ใจตัวเองก็ยังไม่รู้ แต่อาลัวเริ่มเลือกได้แล้วว่าจะอยู่กับอะไรหรือใครบ้างแล้วนะคะ

คุณ sai เป็นคนที่ยืนข้างอาลัวคนแรกเลยค่ะ ฮา บทนี้เป็นอีกบทที่อาลัวเลือก และโดนคนเล่นงานไปพอควร

คุณ pkka ความรู้สึกอาลัวหม่นๆ สับสน บอกว่ารักก็ไม่ได้นะคะ ทิ้งก็ทิ้งไม่ลง เหมือนผูกพัน แล้วก็รู้สึกผิดกับดรัลน่ะค่ะ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ เข้าใจจริงหรือเหน็บไรท์ ฮ่าๆๆๆ อาลัวเป็นสายแปลกอีกสายหนึ่งที่ไม่เคยเขียนค่ะ ซื่อๆ งงๆ มึนๆ และมีบางช่วงที่ธาตุไฟเข้าแทรกได้เป็นพักๆ เป็นมนุษย์ที่ยอมคนมาตลอด ไม่ค่อยตัดสินอะไร เค็มและขมปร่าไปอีกบทนะคะ อิอิ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ ขอบคุณทุกการถูกใจ และทุกความคิดเห็น ขอให้อ่านให้สนุกค่า



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ส.ค. 2558, 20:05:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ส.ค. 2558, 20:05:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1495





<< บทที่ 15 : รอยยิ้มของความเจ็บปวด   บทที่ 17 : ความลับในที่ทำงาน >>
kaelek 30 ส.ค. 2558, 23:07:43 น.
อาลัวถ้าเธอยังสับสน และคิดไม่ตก ฉันจะแอบขโมยพี่เอื้องนะ..พี่เอื้องทำกรงไว้ใหญ่พอขังอาลัวป่าวววว


ปิ่นนลิน 30 ส.ค. 2558, 23:17:42 น.
ยังไงดี

เข้าใจอาลัวนะ
แต่สงสารดรัล

อาลัวยังสับสน แต่ก็ป่ายเปะหาหลักยึดเหนี่ยว
ดรัลคือหลักที่อยู่นิ่ง ยอมให้อาลัวเกาะ แล้วก็ผละไป พอสับสนก็กลับามาใหม่

เหมือนอาลัวคือนวีน แล้วดรัลคืออาลัว
คนหนึ่งยืนรอ อีกคนสับสน
อาลัวควรเข้าใจดรัลให้มาก เพราะดรัลกำลังทำตัวเหมือนตัวเองอยู่
และดรัลอาจจะโชคดีที่ไม่มีหลักอื่นดึงเขาไปแบบที่ ดรัลดึงอาลัวจากนวีน

อาลัวยังสับสน
นวีนก็ไม่ยอมปล่อย ไม่รู้เลยว่าที่ทำไปเพราะเสียดาย หรือรักเข้าแล้ว
ความรักที่เกิดจากเพื่อนสนิท มันสับสนน่ะ
ส่วนพี่เอื้องก็ต้องมองอย่างช้ำๆต่อไป แต่เราเชื่อว่าพี่เอื้องเป็นคนเก่ง ต้องเข้าใจอะนะ
แต่พอนึกถึงคำว่า ลองเสี่ยง ของอาลัว เราก็จุกแทนพี่เอื้องอะ มันแบบ ชีวิตคู่ ความรัก ความผูกพัน เสี่ยงไปก็เหมือนติดกาวตาช้างรุ่นพิเศษ ที่พอแยกออก ต้องมีเนื้อหนังหลุดให้เจ็บกันบ้างล่ะ



ปล. คิดถึงพี่จุ้นค่า


กาซะลองพลัดถิ่น 30 ส.ค. 2558, 23:47:16 น.
สงสารเอื้องนะ ....อาลัวทำแบบนี้ไม่แฟร์กับเอื้องเลย แต่ก็รอรับผลจากกระทำของตัวเองได้เลย นะ
น่าจะมีทั้งรัก เจ็บ แค้น โมโห ในโหมดเดียวกัน คิดอะไรที่มันทำร้ายจิตใจคนอื่นได้เจ๋งมากนะ อาลัว
นวีน นายยังกล้ามาชวนให้อาลัวหนีไปกับนายอีกเหรอ ...คิดได้เนาะ บื้อ


sai 31 ส.ค. 2558, 06:50:22 น.
ยังคงเกลียดนวีน
เห็นใจอาลัว
และแอบหมั่นไส้พี่เอื้อง
เหมือนคิดต่างแต่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆแหะ555


konhin 31 ส.ค. 2558, 09:03:07 น.
ทำไมเราคิดต่างหว่า เราว่าอาลัวรักเอื้องนะ แต่ไม่รู้ว่ารักคืออะไรมากกว่า เลยกลัวไปซะหมด พยายามจะหนี
ส่วนนวีนต้องบอกว่า หมาหวงก้างจริงๆ สมกับที่อาลัวกล้าที่จะโยนคำเด็ดๆใส่หน้า สะใจดี

อ้อ คุณลุงคะ ตั้งใจใช่ป่ะ แหมมมมม ทำให้อาลัวสำนึกผิด แต่ก็ยังรั้งไว้ให้แต่งกับลูกชายเพราะสุดท้าย ลุงได้ประโยชน์ที่สุดเลย ลูกชายได้แต่งกับคนรักครั้งใหม่ ส่วนตัวเองได้ลูกสะใภ้ที่ถูกใจ แล้วปล่อยให้ไปเรียนรู้กันหลังแต่ง

พี่เอื้องก็อย่าลืมจับยัยอาลัวจดทะเบียนเป็น"เมียตีตรา"ด้วยนะ จะได้ไม่มีใครกล้ามาแย่ง อ้อ อย่าดุมากเดี๋ยวอาลัวจะหงอมากกว่านี้


นักอ่านเหนียวหนึบ 31 ส.ค. 2558, 14:59:56 น.
เค้าไม่ได้เหน็บน้าาา ชีวิตเค้าเองก็ไม่ต่างจากยัยช่อนัก อยากจะหนีความจริงไปให้แสนไกล แต่บางทีเราก็ควรนึกย้อนกลับมาตั้งสติก่อนทำอะไรลงไปดูบ้างงงง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account