อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด
ตอน: บทที่ 17 : ความลับในที่ทำงาน
บทที่ 17
งานแต่งงานผ่านไป รอยยิ้มบนหน้าของเจ้าสาวก็แห้งเหือดหายไปทันตา แขกทุกคนที่มาในงานต่างยินดี มีบ้างที่ถามถึงช่อมาลี แต่เรื่องนั้นไม่ได้กระทบจิตใจเธอได้เท่าใบหน้าของบุพการีทั้งสองที่เอาแต่ส่ายหน้า ถอนหายใจ และแสดงความหนักใจออกมาทุกทางไม่เว้นแม้แต่ตอนรดน้ำสังข์
‘ร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่าเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมกลับมาร้องไห้ที่บ้านล่ะ อย่าไปซบอกใครสุ่มสี่สุ่มห้า รู้จักไม่ทันไรก็ปุบปับแต่งงานอีก’ มารดาสัมปันนีรดน้ำสังข์ลงบนมือของลูกสาวอย่างนั้น แต่พอหันไปทางดรัล รอยขึ้งโกรธหนักอกหนักใจเหลือเพียงคำที่ผู้ใหญ่พูดกัน
‘ดูแลลูกสาวแม่ด้วยนะคุณเอื้อง อาลัวยังมีนิสัยเด็กๆ เยอะ หัวอ่อน โดนหลอกง่าย แม่หวังว่าคุณจะไม่ใช่คนที่มาหลอกลูกแม่ และถึงแม่จะบ่นไปเรื่อย แต่แม่ก็ยังอยากเห็นพวกลูกๆ อยู่ด้วยกันไปนานๆ ไม่ใช่วันสองวันก็เลิกกันไป’ ไม่วายส่งค้อนโตๆ มาให้ลูกสาวก่อนหลีกให้สามีมาถือหอยสังข์ทำพิธีอีกคน
สัมปันนีเหลือบตามองบิดาอย่างขอโทษ ก้มหน้ารอรับคำเทศนาจากบิดาอีกคน ‘อยากยกเลิกตอนนี้พ่อก็จะไม่โกรธ’ น้ำในหอยสังข์หยดลงบนมือ แต่คนฟัง และอีกหนึ่งที่รอรดน้ำสังข์กลับเงยหน้ามองธวัลย์ด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน คนหนึ่งประหลาดใจ และอีกคนกำลังต่อว่าคนยื่นข้อเสนอนี้มาให้ ‘แต่ถ้าไม่ ก็อยู่กันไปยาวๆ ให้พ่อดู จนกว่าลูกสองคนจะรักกันจริง พ่อกับแม่ถึงจะยอมรับงานแต่งงานครั้งนี้’
ธวัลย์หัวเราะก่อนจะเดินมายังลูกเขยคนแรกของบ้าน ‘รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ด้วยนะคุณ ถึงงานนี้จะเล็ก จะเป็นความลับกับใครหลายคน แต่อาลัวเป็นลูกสาวของผม และผมก็ไม่ใช่คนตัวเปล่า ใช้เวลานี้เรียนรู้กันให้มาก ถ้าผ่านทุกอย่างไปได้ ค่อยกลับมาหาผมอีกครั้ง’
สถานะระหว่างเธอกับดรัลในตอนนี้คลุมเครือไปหมดทุกอย่าง แฟนก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิง สามีภรรยายิ่งเรียกได้ไม่เต็มปาก แต่ถ้าฐานะเจ้านายกับลูกน้อง ถึงตอนนี้หญิงสาวกลับเรียกมันได้ชัดถ้อยชัดคำสุด
มือที่กำลังเช็ดล้างเครื่องสำอางหนาเตอะออกจากใบหน้ากำขยี้สำลีก่อนจะเช็ดป้ายบนหน้าอย่างแรง หน้าตายู่ยี่ เธอไม่ทันคิดว่าหลังจากแต่งงานชีวิตจะต่างจากเดิมขนาดไหน และต้องทำความตกลงกับดรัลอีกเท่าไหร่
“อยากหน้าพังเหรอ” คนพูดออกมาจากห้องน้ำ สวมชุดคลุมอาบน้ำออกมา ใบหน้ามีหยดน้ำเกาะพราว สัมปันนีตาเหลือกมองเขา พอได้สติก็รีบก้มหลบ ผิวแก้มร้อนผ่าว มือที่กำสำลีแทบจะแหลกเศษสำลีคามือ สะดุ้งโหยงอีกทีก็ตอนมีมือมาดึงมือของเธอออก และดึงเศษสำลีออกจากมือโยนลงไปในถังขยะ
อาการตระหนกลนลานเกินเหตุ แค่เขาสัมผัสก็เริ่มตีรัวๆ ให้ปล่อยกลายเป็นภาพตลกน่าขันสำหรับดรัลไป ชายหนุ่มจงใจยั่วด้วยการยื่นหน้าเข้าไปใกล้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนไม่ฉุนจมูกที่สัมปันนีเลือกใช้ทำให้เขาต้องแสร้งทำจมูกฟุดฟิดจนเกือบชิดไหล่ลาด
“พอนะคะ” หน้าของดรัลหงายขึ้นเพราะถูกดันออกไปด้านหลัง สัมปันนีถูมือไปมา ตีหน้ายุ่ง ย่นคอห่อไหล่ รู้สึกจั๊กจี้ผิวเนื้อที่โดนลมหายใจร้อนๆ เป่าใส่ ก่อนจะรวบรวมสมาธิเพื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เธอต้องพูด มากกว่าเรือนร่างชายแท้ เนื้อหนังมังสาของผู้ชายที่ปกปิดแค่ชุดคลุมหนึ่งตัว หญิงสาวเกือบยกมือตบหน้าตัวเองโทษฐานคิดอะไรที่ลามก ยังดีที่ยั้งไว้ทัน
“ทะเลาะกับตัวเองเสร็จหรือยัง” ดรัลวางแขนเท้ากับโต๊ะ ยัดเยียดตัวเองให้อยู่ในสายตาของคู่สนทนา “จะได้มาเริ่มธุระของพวกเราสักที”
“ธุระ! มีด้วยเหรอคะ”
“มีสิ คืนนี้เราจะนอนด้วยกันยังไง ท่าไหน”
สัมปันนีคิดว่าการหุบปากของดรัลจะลำบากกว่าการอุดหูตัวเอง จึงเลือกอย่างหลัง และทำสีหน้าปุเลี่ยน เธอคิดว่าดรัลเองก็เปลี่ยนอารมณ์ช่ำชองไม่แพ้เธอ เมื่อวานนี้เขายังหงุดหงิดใส่เธออยู่ แต่พอเสร็จสิ้นงาน เขากลับกลายเป็นดรัลอีกคนที่ดูเจ้าเล่ห์ และทำแววตาอย่างกับเสือหิว
“ฉันไม่นอนกับคุณ” สัมปันนีเน้นชัด สองมือกอดอก ปกป้องร่างกายที่ตัวเองคิดว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอจะปกป้องไว้
“ไหนบอกจะไม่เสียใจ ไม่ว่าจะเสียอะไรไปบ้างยังไง ทำตามสัญญาหน่อย”
“ก็...”
“เป็นผู้หญิงไม่รักษาคำพูดตั้งแต่เมื่อไหร่”
คนนิสัยเสียหุบปากฉับลง ความผิดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะดรัลเป็นคนต้นคิด แต่เธอเองต่างหากที่ทำอะไรลงไปโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี มาถึงตอนนี้สิ่งที่เธอตั้งใจจะรับผิดชอบคือความรู้สึกของเขา...แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องลงทุนทั้งตัวไปกับการแต่งงานครั้งนี้
“คุณกัมปนาทแทบจะกินหัวฉันนะคะ” หญิงสาวรีบเสเปลี่ยนเรื่อง ในหัวนึกถึงใบหน้าของกัมปนาทที่เม้มปากตลอดงาน และจ้องเธอตาวาววับ สังหรณ์เธอล่ะกลัวว่าจะเกิดคดีนองเลือดหึงโหด ไม่ใช่เธอแต่เป็นกัมปนาทมาเล่นงานเธอ
ดรัลยืนขึ้นตรง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คนอื่น จะไปสนใจทำไม”
“อยู่คนเดียวบนโลกนี้ที่ไหน” หญิงสาวบ่นอุบ ไม่อยากให้เสียงดังเกินแมลงวันบิน
ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม สัมปันนีไม่รู้หรอกว่าเขาข่มความหวาดหวั่นกลัวจะถูกเจ้าหล่อนกระโดดหนีออกไปจากงาน แล้วปล่อยให้เขารับผิดชอบทุกอย่างเพียงผู้เดียว เหมือนที่ช่อมาลีทำกับจุณวัฒน์ขนาดไหน ถึงหลายครั้งที่สัมปันนีจะเหลือบมามองหน้าเขาด้วยแววตาครุ่นคิด พอรู้ตัวว่าเขามองอยู่ก็จะหลบเลี่ยงไม่มองกัน
ที่แท้ก็กลัวว่าเขา...
“เรายังไม่เคยคบกันจริงๆ จังๆ ตอนนี้ก็ถือว่าคบกันได้แล้วใช่ไหม”
“คบ?” สีหน้าทวนถามไม่เข้าใจ ตอนนี้เธอกับดรัลขาดก็แค่ทะเบียนสมรส ใครในละแวกบ้านเขาล้วนรู้ว่ามีงานแต่งงานเกิดขึ้น เขายังจะมาพูดให้งงกันทำไม
ดรัลเดินถอยห่างออกมา หน้าตาจริงจัง ไม่มีวี่แววว่าล้อเล่น เขาเองก็รู้สึกว่าทุกอย่างปุบปับ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายถึงขนาดไม่ได้ขอให้เกิดเรื่องในวันนี้ “พวกเราจะไม่จดทะเบียนกัน วันไหนที่เราไปกันไม่ได้ ก็ต่างคนต่างแยกย้ายไป ไม่ต้องไปเซ็นอะไรให้ยุ่งยาก”
“แล้วคนที่ทำงาน?”
“คุณไม่อยากให้พวกเขารู้ใช่ไหม”
น้ำเสียงว่างเปล่าสวนกลับมา สัมปันนีสะอึกในใจ ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด เธอตั้งตัวไม่ติดกับเรื่องที่เกิดขึ้น รู้สึกว่ามันข้ามไปหลายขั้นเกินไป ไม่กี่วันเธอเพิ่งอกหัก ไม่กี่ชั่วโมงคนที่หักอกเธอเพิ่งกลับเข้ามาแล้วชวนหนี และไม่กี่นาทีก่อนหน้า เธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยการแต่งงานกับผู้ชายที่มีฐานะเป็นเจ้านาย และเพิ่งได้ใกล้ชิดจริงจังสิริรวมไม่เกินเจ็ดวันนี้ดี
มันเร็วเกินไป สัมปันนีนึกอย่างหวาดหวั่น เผลอคาดเดาว่าอนาคตอันใกล้ที่เรียกว่าต่างคนต่างอยู่จะมาเยือน
“ค่ะ”
ดรัลนึกชื่นชมปนหมั่นไส้ในใจผู้หญิงใจกล้ากับคำตอบที่ได้ยิน “เราจะแยกห้องนอนกันไม่ต้องกลัวหรอก”
“ขอบคุณนะคะ”
“แต่ไม่ใช่คืนนี้” ดรัลเหล่มองเตียงนอนหลังเดียวในห้องก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างจนปัญญา “วันนี้ผมก็ปวดหลังมากด้วย คงนอนพื้นไม้แข็งๆ ไม่ไหว”
“เดี๋ยวฉันนอนแทนเอง”
“ตามใจ” ชายหนุ่มตามใจอย่างขอไปที ไม่คิดง้อ ล้มตัวลงนอนกางแขนขายาวเหยียดบนที่นอนเชิงประชด สายตาเบิกโพลงมองเพดานห้อง “เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่บริษัทก็แทนตัวเองว่าอาลัว เรียกผมว่าพี่ เหมือนที่เคยทำเถอะ จะทำอะไรก็ให้มันเนียนหน่อย ถึงจะอยู่แค่ในขั้นเรียนรู้กัน ก็ต้องฝึก พยายามให้มาก”
“ขั้นเรียนรู้” ใครเรียนรู้...สัมปันนีกัดปากถาม ไม่ให้พ่นออกไปอย่างใจคิด ถึงมันจะเป็นสถานการณ์จับพลัดจับผลู แต่เธอก็ไม่ได้ถูกใครขู่เอามีดจ่อคอบังคับให้แต่ง เธอเลือกของเธอเอง สิ่งที่จะทำต่อไปนี้ คือทำทุกอย่างให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการถนอมน้ำใจของดรัล
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ” มือกลับมาสาละวนกับกิ๊ฟติดผม หน้าตายับยู่เพราะบนศีรษะมีกิ๊ฟอยู่หลายตัวจนเธอนึกท้อว่าตลอดคืนนี้ด้วยตัวคนเดียวก็คงแกะมันออกไม่ได้ครบทุกตัว
และก่อนที่เธอจะจัดการกิ๊ฟอีกตัวได้สำเร็จ มือใหญ่ก็มาวุ่นวายกับหัวของเธอ ดึงกิ๊ฟออกให้เงียบๆ ไม่มีแก่ใจจะนอนอย่างที่แสดงออกก่อนหน้า สัมปันนีลดมือลง มองเงาของใบหน้าคมผ่านกระจกเงาตรงหน้า สีหน้าจริงจัง ดวงตาที่สอดส่องไปทั่วศีรษะเธอ มือของเขาก็เบาแสนเบา ถึงจะมีบางจังหวะที่เผลอดึงผมของเธอติดมือไปบ้าง แต่น่าแปลกที่เธอกลับไม่สะดุ้ง หน้าตาเครียดขรึมของเขาดูอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ
ริมฝีปากของเธอเหยียดออกเป็นรอยยิ้มบางเบา แต่พอมีดวงตาเข้มจ้องมา รอยยิ้มของเธอก็เลือนไปอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าทำไมเกิดอาการขัดเขินทำตัวไม่ถูกยามอยู่ต่อหน้าเขาได้
“ชอบไปเที่ยวที่ไหนไหม”
สัมปันนีเผลอหยิกเนื้อที่มือให้ตัวเองได้สติ และตอบคำถามเขาไป ไม่เผลอไผลกับภาพงดงามในกระจก เธอรู้สึกว่าตาพร่าไปกับประกายตาหวานของดรัลที่เหมือนภาพความฝัน หากเธอหมุนตัวไปดูของจริง ประกายตานี้จะหายไปไหม...ได้แต่คิดและนั่งอยู่กับที่ในท่าเดิม เพราะเธอไม่อยากพลาดแววตานี้สักวินาที
“ชอบอยู่บ้านสงบๆ มากกว่าค่ะ”
“เหมือนพี่”
“พี่เอื้องชอบกินข้าวในบ้าน หรือนอกบ้านคะ” อดถามกลับไปบ้างไม่ได้
“ในบ้าน”
“แต่ฉันทำไม่เก่ง ฝีมือเทียบกับแม่ไม่ได้เลย”
ดรัลถอดกิ๊ฟตัวสุดท้ายออกไปวางบนกระปุกเล็กที่เปิดฝาอ้าอยู่ ก่อนจะวางมือทาบไหล่บอบบาง บีบไว้ รู้สึกถึงความพยายามที่สัมปันนีเริ่มแสดงออกมาว่าพร้อมจะใช้ชีวิตอยู่กับเขา
“ถ้าทอดไม่ดี ก็เอาของไหม้มาให้พี่กินก็ได้”
“ไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ” ครั้งนั้นเธอยังจำได้ว่าดรัลแย่งอาหารไหม้ฝีมือของเธอไปใส่กล่องข้าว แล้วนำไปทาน ก่อนจะทอดใหม่ให้เธอที่อร่อยกว่า หอมกว่าให้ทาน
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพัฒนาฝีมือ”
“ยากจัง”
“ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แค่ไม่พยายามก้าวถอยหลังหนีก็พอ”
“เอ๊ะ?” หญิงสาวทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามผ่านกระจก เอะใจว่าสิ่งที่ดรัลพูดมาจะไม่ได้เกี่ยวแค่ฝีมือการทำอาหาร แต่จะรวมถึงชีวิตคู่ของทั้งเธอและเขา
และอีกครั้งที่ดรัลไม่ปล่อยให้สัมปันนีหลุดปากถาม เพราะเขาฉวยโอกาสปิดปากนุ่มส่งท้ายวัน มอบความหวานละมุนของจุมพิตแรกในชีวิตคู่ และจบลงแค่นั้นในเวลาไม่กี่วินาที นิ้วสากลูบแก้มที่ขึ้นสีชมพูของสัมปันนีอย่างเอ็นดู
“จากวันนี้ไปเรามาพยายามด้วยกันเถอะนะ”
สัมปันนีไม่รู้ตัวเลยว่าเหตุใดเธอจึงพยักหน้ารับไปอย่างง่ายดาย และหัวใจของเธอก็ทำท่าว่าจะกระโจนออกมาโลดเต้นนอกอกอยู่รอมร่อ
งานเลี้ยงด้านนอกจะว่าครึกครื้นก็พอได้อยู่ แต่จะพูดว่าหวาดระแวงก็ไม่ต่างกัน สายตาหลายคู่คอยแต่จะเหลือบมองบานประตูที่ปิดสนิทกันอยู่หลายหน ถึงอาหารที่เลี้ยงยามดึกบริเวณตัวบ้านจะแน่นเอี๊ยดมีไม่ขาด นอกจากการแสดงออกว่าทานอร่อย และหัวเราะร่วมไปกับเรื่องตลกที่มีคนใครสักคนเล่า ทุกคนที่เป็นคนในครอบครัวของทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างอัดแน่นไปด้วยความกังวลใจ
ไม่มีใครคิดว่างานแต่งงานครั้งนี้ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันจะไปกันได้รอดตลอดฝั่ง...และก็ไม่มีใครที่อยากให้เรือลำน้อยไม่สมประกอบลำนั้นล่มไปต่อหน้าต่อตา
หลายสีหน้าจึงยังเต็มไปด้วยความงงงัน ยังไม่เข้าใจว่าสุดท้ายเรื่องมาลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร
“ลูกของผมเป็นคนดีมากนะครับ เอาจริงเอาจัง ขยัน ฉลาด” ดิเรกไม่เคยเอ่ยชมดรัลต่อหน้าใคร ที่ผ่านมาเขาเพียงแต่เก็บคำเหล่านี้ไว้ในใจเพราะไม่อยากให้ลูกชายเหลิง ตั้งแต่เขาตัดสินใจแต่งงานใหม่กับรำเพย เขากับลูกก็มีกำแพงบางๆ มากั้นไว้ ไม่เหมือนสมัยก่อนตอนที่อยู่กันสองคนพ่อลูก
“ลูกของผมถึงจะชอบทำผิดพลาด ไม่มีความมั่นใจในการตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง แต่คุณเชื่อได้ว่าลูกของผมไม่เคยมีความคิดอยากทำให้ใครเสียใจ” ธวัลย์อดไม่ได้ที่จะปกป้องลูกสาว
“ผมเองก็รู้จักอาลัวเขาดี” ดิเรกยิ้มได้ไม่เต็มปาก มือพยายามตักข้าวทาน กับหมูย่างด้วยสีหน้าว่าอิ่มเอิบเหลือเกิน
“จากนี้ก็ได้แต่อวยพรให้พวกเขาทั้งคู่นะคะ” เรไรพยายามทำให้บรรยากาศในวันนี้เต็มไปด้วยความมงคล ลูกสาวอีกสองคนก็คอยแต่มองอาการของนวีนที่นั่งทานอาหารอยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่จากับใคร
โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่าลึกๆ ของในใจนวีนจะเกิดอาการขัดแย้งภายในกันอย่างหนัก เขาอยากเข้าไปกระชากประตูและต่อว่าสัมปันนีแรงๆ ให้อีกฝ่ายได้ตื่นขึ้นมาเสียที เขามั่นใจว่าสิ่งที่สัมปันนีทำไปทั้งหมดก็แค่อยากช่วยเหลืองานแต่งงานที่ล่มไปแล้ว อยากรักษาชื่อเสียงให้พวกเขา ไม่มีความรู้สึกอื่นมาเกี่ยวข้อง จะเป็นไปได้ยังไงที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่หลงรักเขามานานถึงสามปี จะใช้เวลาตัดใจจากเขาแค่สามวัน...เป็นไปไม่ได้เลย
ผู้ชายขี้โกหก...
สัมปันนีนอนตัวเกร็งอยู่ในอ้อมกอดของดรัล ไม่กล้ากระดิกตัวเลยสักนิด กลัวว่าจะไปกระตุ้นให้สิ่งที่ไม่ควรโดนตื่นขึ้น พอเธอออกมาจากห้องน้ำ แทนที่ดรัลจะปล่อยให้เธอนอนบนพื้นอย่างที่ว่ามา เขากลับกระตุกมือเธอให้ล้มลงบนที่นอนขนาดใหญ่ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้กอดเธอ กั้นกันไว้ด้วยหมอนข้าง แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งดึกดรัลก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น มือปัดป่ายหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะเจอตัวเธอ แล้วดึงไปกอดไว้
ตลอดคืนนี้แทนที่เธอจะนอนหลับสบายกลับต้องมานอนตาค้าง แล้วฟังเสียงหัวใจของดรัลอยู่ข้างหู เธอรู้สึกอบอุ่นก็จริง แต่ไม่ชินสักนิด
“ถ้ายังไม่นอน คืนนี้ก็ไม่ต้องนอน ทำอย่างอื่นแทนนะ”
ตายล่ะหว่า...ในใจกู่ร้องภาษาอีกหลายภาษาหยาบๆ ออกมา ปิดตาแน่น อยากจะน็อคตัวเองสักหมัดให้หลับเสียเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ไปทำอย่างอื่นได้อีก
“นึกว่าอยากใช้แรงก่อนนอน” ดรัลกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเกี่ยวเอวไม่บางไม่หนามากระชับตัว ใช้มืออีกข้างลูบศีรษะเป็นเชิงปลอบ ท่าทางกลัวเขาจนตัวเกร็งไม่ได้ทำให้เขาเกิดอารมณ์อื่นนอกจากอยากหัวเราะให้ท้องแข็งเสียมากกว่า เวลานี้เขาอยากจะเข้าใจผู้หญิงเข้าใจยากคนนี้ให้มากที่สุด เปรียบโจทย์เลข วิจัยยากๆ ที่เขาเคยพบ ถ้ามาเจอกับสมการยากๆ ที่ชื่อสัมปันนีเข้าไป เห็นทีว่าจะพ่ายให้กับเจ้าสาวหมาดๆ ของเขาหมด
คนๆ นี้อ่านยาก เข้าใจก็ยาก เวลาตัดสินใจอะไรขึ้นมาทีหนึ่งทำคนตะลึงมานักต่อนัก ตรงกันข้ามกับเวลาปกติที่มักจะเชื่องช้ากว่าคนอื่นก้าวหนึ่งเสมอ
เสน่ห์ของผู้หญิงคนนี้อยู่ที่ตรงไหนกันล่ะ ชายหนุ่มเคยสงสัยมาตลอดกระทั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่สัมปันนีบอกปัดที่จะหนีไปพร้อมนวีน มันทำให้เขารู้สึกมีชัยชนะ อีกทั้งยังพยายามแก้ไขสิ่งต่างๆ มันจะดีแค่ไหนถ้าผู้หญิงจอมทึ่มคนนี้หันมาใช้ความพยายามเพื่อทำให้เขารัก แสงนัยน์ตาของดรัลอ่อนลง เขารู้ว่าสัมปันนีจะไม่มีวันทำอย่างนั้น
แต่จะแปลกอะไร ถ้าเขาจะพยายามทำสิ่งนั้นขึ้นมาเอง...
ไม่ลางานเด็ดขาด ความดื้อแพ่งของสัมปันนีเป็นบทสรุปที่ทำให้เธอต้องมีสภาพคล้ายคนวิตกจริต กลัวคนในบริษัทจะล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไปเมื่อวานนี้ ยังดีที่ทุกคนไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังบอกว่าเธอดูผอมลงไปเล็กน้อย
“ฉันก็กินปกตินะคะพี่กุหลาบ” สัมปันนีไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาตอบกุหลาบ บนโต๊ะทำงานของเธอมีกองงานที่รอการสะสางสูงท่วมหัว งานด่วนที่ชมนาดจัดการไปก็ไม่ได้ลดทอนงานระยะยาวที่เธอต้องรับผิดชอบต่อ
คนท้องแก่มองค้อนสัมปันนี “ยังไงก็ไม่หิ้วลูกบอลติดตัวเหมือนฉันล่ะน่า” ว่าจบพร้อมกับส่งแฟ้มงานมาเพิ่มให้อีกกองย่อมๆ
สัมปันนีไหวไหล่ให้ตัวเอง รู้ชะตากรรมว่าจะต้องอยู่จนดึกดื่นเพื่อสะสางงานทั้งหมดนี้ และจะดีมากที่เธอจะไม่ไปอึดอัดกับดรัลต่อในบ้านหลังใหม่ที่ยังไม่ได้ย้ายของเข้าไป
“ทุกคนครับวันนี้คุณดรัลสั่งพิซซ่า ไก่ทอด มาเลี้ยง” เสียงของจุณวัฒน์ดังขึ้นตรงกรอบประตู มือสองข้างถือถุงใส่พิซซ่าร้านดัง และไก่ทอดในเครือเดียวกันมาเต็มที่ มีแวบหนึ่งที่จุณวัฒน์แอบหลิ่วตาใส่เธอในช่วงที่ทุกคนครื้นเครงกับอาหารฟรี
ปากกาหัวแหลมในมือสัมปันนีถูกกำเข้าหากันแน่น หน้าตาค่อยๆ ซีดลง เธอไม่อยากเป็นที่สังเกต หรือโดนเพ่งเล็ง เธอไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดในบริษัทได้หลังจากแร้งฝูงใหญ่ในนี้รู้ความจริง พวกเขาจะต้องมาเค้นถามหาว่าเธอไปใช้ลูกไม้อะไรคว้าหัวใจของดรัล ต้องมีบอกว่าเธอเล่นของใส่เจ้านายบ้างล่ะ
“คุณคือ...”
“ผมชื่อจุ้น จุณวัฒน์ เป็นเพื่อนของเจ้านายพวกคุณ” จุณวัฒน์ตอบคำถามชัดเจน ก่อนจะส่งของในมือให้กับพนักงานคนหนึ่งไปถือไว้ ส่วนตัวเองมาหยุดยังโต๊ะของสัมปันนี ยิ้มกวนใส่ “เป็นไงบ้าง สบายดีนะ”
“คุณจุณวัฒน์คะ” สัมปันนีกัดฟันเรียกชื่ออีกฝ่ายไป ใช้สายตาปรามให้เขารู้ว่าไม่ควรแสดงออกว่ารู้จักกับเธอออกมา
“ปกติก็เรียกพี่จุ้นนี่นา ยัยน้องอาลัว” ไม่พูดเปล่ายังจับศีรษะของสัมปันนีโยกไปมา ไม่สนว่าจะทำให้แว่นบนดั้งเกือบร่วงหล่นพื้น
หญิงสาวบังคับสีหน้าไม่ให้หงุดหงิด และยกมือขึ้นมาทำท่าดันแว่นให้เข้าที่ ทั้งที่จริงกำลังซ่อนหน้าแยกเขี้ยวไว้
“เธอรู้จักเพื่อนคุณดรัลด้วยเหรอ” กุหลาบถามขึ้นอย่างฉงน เธอเป็นเลขาฯ เจ้านายมาได้ร่วมเดือนยังไม่เคยเจอจุณวัฒน์มาก่อนเลย
“ฉันไปทำงานมาน่ะคะ” สัมปันนีรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาทุกคู่ที่เพ่งเล็งมา “แล้วก็คุยกันถูกคอ นอกเวลางานฉันถึงจะเรียกคุณจุณวัฒน์ว่าพี่จุ้น”
“ใช่พี่คนเดียวเสียเมื่อไหร่” จุณวัฒน์ก้มลงมาใกล้ กระซิบรู้ทัน
อดไม่ได้ที่คนถูกพูดถึงจะทำให้เธอหน้าหงิก “อารมณ์ดีเร็วจังเลยนะคะ”
รอยยิ้มของคนเพิ่งถูกทิ้งหายวับ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมะเหงกเขกไม่เบาไม่แรงไปทีหนึ่ง สัมปันนีคิดว่าหัวเธอเป็นหมวกกันน็อคแข็งจึงไม่รู้สึกเจ็บ และยังอยากก้มหน้าปล่อยให้เขาเขกอีกหลายๆ ทีเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับคนที่กำลังเดินออกมาจากห้องทำงาน เรื่องเมื่อเช้านี้เธอก็แอบหนีเขากลับมาพร้อมที่บ้าน ยังไม่รู้ว่าจะมองหน้าดรัลอย่างไรดี คล้ายเงามรณะกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้พิกล
นวีนเดินมาถึงตัวสัมปันนีก่อนดรัลก้าวหนึ่ง “สวัสดีครับคุณจุณวัฒน์”
“ครับ” จุณวัฒน์เหลือบสายตามองเพื่อนที่กำลังใช้ดวงตานิ่งมองมาจากเบื้องหลังเขา ไม่รู้ว่าการอยากมาเยี่ยมครอบครัวใหม่ของเพื่อน จะกลายเป็นการทำให้ครอบครัวชาวบ้านเขาแตกแยกตั้งแต่วันแรกเลยหรือเปล่า
“ใครมีงานมีการก็ไปทำซะ ยังไม่ใช่เวลากิน” ดรัลบอกเสียงขรึม ไม่วายส่งสายตาตำหนิมาให้สัมปันนีแวบหนึ่ง และตาขวางใส่นวีนที่ทำไม่รู้เรื่องกับคำไล่ของเขา
“งานเยอะขนาดนี้เดี๋ยววันนี้เราอยู่ช่วยนะ” นวีนเห็นใจกองพะเนินตรงหน้าที่รวมอยู่บนโต๊ะของสัมปันนี
ชมนาดเบะปาก นึกหมั่นไส้สัมปันนีในใจที่กลายเป็นจุดศูนย์กลางของคนอื่นไปได้ “ไม่ทราบว่าสรุปรายงานงานกล้วยไม้ล่าสุดเสร็จหรือยังคะ ได้ข่าวว่าออกนอกพื้นที่ไปเก็บข้อมูลด้วยตัวเองด้วย” น้ำเสียงพยายามสุภาพ แต่แววตาของชมนาดกลับคมกริบแทบจิ้มนวีนให้ตาย
“ใครมีงานอะไรก็ไปทำ ถ้างานมันน้อยนัก เดี๋ยวผมจะเพิ่มภาระงานให้” สุดคำของดรัลจึงตีวงผึ้งที่ไม่จบง่ายๆ ให้กระเจิง สัมปันนีลอบผ่อนลมหายใจอย่างอึดอัด กลัวว่าเขาจะมาเล่นงานเธอต่อหน้าธารกำนัล แต่นอกจากแววตาคมดุ เธอก็ยังมีชีวิตรอดปลอดภัยดี
“ตั้งใจไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของนวีนเพื่อล่อให้ไอ้เอื้องมันหึงหรือไง” จุณวัฒน์กระซิบถามสนุก เขาพยายามทำใจเรื่องช่อมาลี แล้วใช้ชีวิตอย่างปกติสุด
สัมปันนีมองค้อน ก้มหน้าทำงานต่อ “จะมาหึงทำไมคะ ยังไงก็หนีคุณเอื้องไปไหนไม่รอดแล้ว”
“ขังได้แต่ตัว แล้วหัวใจล่ะ”
คนฟังอ้าปากค้าง น้ำเสียงเศร้าระคนทุกข์ที่ได้ยินจากปากของจุณวัฒน์ทำให้เธอระลึกได้ว่าคนตรงหน้าเธอกักขังหัวใจของใครไม่ได้ แม้แต่ตัวยังรั้งไว้ข้างกายไม่ได้เลย
“ทำไมเราจะต้องขังใครไว้ด้วยล่ะค่ะ แค่อยู่ร่วมกัน โดยไม่ต้องรู้สึกว่าขังใครอยู่ ให้อิสระ...ไม่ดีกว่าเหรอ”
“มันไม่ใช่การกักขังหรอกอาลัว เพราะความรัก ถ้ามันรักแล้ว...เราก็พร้อมที่จะอยู่ตรงนั้นจุดเดิมไม่ไปไหน” จุณวัฒน์เงยหน้าขึ้น ยิ้มเศร้า เขายังไม่เคยระบายความรู้สึกนับจากเกิดเรื่องให้ใครฟังมาก่อน เพราะต่างก็วุ่นวายกับงานแต่งงานอีกงานที่สับเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวกัน “คนบางคนก็ไม่เคยเดินออกมาจากจุดเดิมหรอก ไม่ใช่เขาขี้ขลาด หรืออ่อนแอ ก็แค่คนใหม่ยังไม่ใช้สำหรับเขา”
“พี่จุ้น”
“อิสระมันก็ดี แต่การรู้ว่าหัวใจเราต้องการอะไรมากที่สุดมันดีกว่า”
“ตอนนี้พี่จุ้นต้องการอะไรคะ” สัมปันนีเงยขึ้นมาถามด้วยความเห็นใจ ความเจ็บปวดของจุณวัฒน์มากกว่าเธอที่ไม่เคยได้คบกับนวีนในฐานะแฟน และยังต้องมารับรู้ว่าหัวใจของคนรักกลับมีเพื่อนรักฝังแน่นอยู่ในนั้นอีก
“เห็นคนที่พี่รักมีความสุข ไม่ว่าจะช่อ ไอ้เอื้อง หรือเรา เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ”
ทำไมคนดีๆ คนนี้จึงถูกทอดทิ้ง...สัมปันนีก้มหน้าก้มตากลับมาทำงาน รู้สึกขอบตารื้นด้วยความสงสาร ก่อนจะหยดเผาะลงมาหยดหนึ่งเลอะกระดาษเอกสารเมื่อจุณวัฒน์ตบศีรษะเธอสองที ไม่รู้ว่าเอ็นดูหรือจะแกล้งกัน แต่ทำให้เธอปฏิญาณตนอยู่ในใจว่าจะไม่ทำให้จุณวัฒน์ผิดหวัง ไม่ทรยศดรัล ไม่อยากเป็นเหมือนช่อมาลี แม้ว่าเธอในตอนนี้จะรู้จักความรู้สึกของตัวเองน้อยเหลือเกิน
งานของสัมปันนีเดินไปได้ไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ดีไฟในออฟฟิศก็ปิดเกือบหมด นวีนที่อยู่ช่วยข้างๆ เงยหน้าจากกองเอกสาร ขมวดคิ้วมองหลอดไฟเหนือหัวที่พร้อมใจกันดับอย่างไม่วางใจ เขาแทบจะตัดเหตุผลว่ามันเสียไปเป็นอันดับแรก มันไม่มากะพริบเสียเลยสักครั้ง
เว้นแต่ว่าจะมีคนปิด...เขาคิดว่ารู้
นวีนมองช่วงเวลาสงบสุขที่ได้อยู่กับสัมปันนีอย่างหวงแหน ถึงจะนั่งทำงาน นานๆ จะเงยหน้าขึ้นมาคุยเล่น โดยที่เขาไม่พูดถึงงานแต่งงานเมื่อวานนี้ บรรยากาศทุกอย่างราบรื่น ไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ กระทั่ง...
“ขนกลับไปทำที่บ้านก็ได้”
“ไม่เป็นไร ทำที่นี่แหละ ขนทำไมให้ยุ่งยาก” สัมปันนีเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะที่เธอใช้มาหลายปีให้สว่าง ไม่ทันฟังให้ดีว่าน้ำเสียงที่ถามไม่ใช่นวีน
“ไม่ใช่ว่าอยากอยู่กับผู้ชายอื่นสองต่อสองหรอกนะ” นิ้วที่กำลังใช้เม้าส์กดโปรแกรมคิดเลขตรวจทานบัญชีชะงักกึก เมื่อเที่ยงตอนที่จัดการพิซซ่ากับไก่ทอดดรัลยังไม่ออกมาป่วนให้เธอวิตกจริตเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ในตอนนี้ที่เหลือแค่นวีน เธอ และเขาจึงไม่ใช่เวลาที่จะมาใส่หน้ากากอีกต่อไป
“นวีนไม่ใช่คนอื่นนะคะ”
“งั้นพี่ก็คนอื่นงั้นสิ”
เอ๊...เหมือนจะงอน สัมปันนีอยากจะตีความไปอย่างนั้นถ้าน้ำเสียงของเขาจะไม่เฉยชาจนอ่านไม่ออก จึงได้แต่หันมาหานวีน “พรุ่งนี้เรามาจัดการต่อเอง ขอบคุณนวีนมากนะ”
“จะกลับไปทานข้าวที่บ้านต่อไหม”
สัมปันนีส่ายหน้า หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่จัดเก็บสัมภาระสำคัญหลายสิ่งอย่างตั้งแต่เมื่อเช้าขึ้นมา เธอตัดสินใจแล้วว่าถึงความสัมพันธ์ในครั้งนี้จะไม่มีคำว่ารัก แต่อย่างน้อยก็มีคำว่ารับผิดชอบที่เธอต้องดูแล
“เรากลับบ้าน แต่ไม่ใช่บ้านแม่”
นวีนมองกระเป๋าเสื้อผ้าของสัมปันนี อยากไปกระชากกลับมาถือไว้เสียเอง “ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ งานแต่งงานเมื่อวานก็แค่ละคร” เขาไม่สนใจว่ามันจะทำให้เขากับดรัลบาดหมาง และเสี่ยงต่อการไล่ออก
“มันคือการแต่งงาน ที่เกิดจากความเต็มใจของเราและพี่เอื้อง” สัมปันนีแก้ให้ใหม่ “นายก็แค่ยังไม่ชิน เราบอกแล้วไงว่าพวกเราจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไม่มีใครแทนเพื่อนอย่างนายได้อีก”
ดรัลกระแอมเรียกความสนใจ เอื้อมมือมาปิดไฟโคมให้ มือหิ้วกระเป๋า โชคดีที่ความมืดในออฟฟิศพออำพรางรอยยิ้มพอใจจากสายตาภรรยาหมาดๆ ของเขาได้
“กลับกันเถอะ” ดรัลเอื้อมมาจับมือเย็นเฉียบของคนที่นั่งทำงานในห้องแอร์ตลอดวันพาเดินออกไป เขาเห็นว่าสัมปันนียังมองนวีนเหลียวหลัง จึงได้แต่กระตุก และเร่งฝีเท้าตัวเองให้เร็วขึ้น หงุดหงิดขึ้นมาเล็กๆ “อาลัยอาวรณ์กันเหลือเกิน” จนกระทั่งปิดความไม่พอใจทางน้ำเสียงไม่ไหว
สัมปันนียืนตัวลีบภายในลิฟต์ ยิ้มอย่างอ่อนใจ “นวีนน่าสงสารนะคะ เขาไม่มีใคร”
“เลยต้องมีอาลัวเหรอ”
“แค่เพื่อนก็ไม่ได้เหรอคะ”
“จะให้พี่เชื่อในตอนนี้ไม่ได้หรอก พี่ยังจำภาพที่อาลัวเสียน้ำตาให้ผู้ชายคนนั้นได้ติดตา มันมากกว่าตอนที่ร้องไห้ให้กับพี่เสียอีก ที่จริงอาจจะไม่เคยเสียน้ำตาให้พี่สักหยด”
มือเล็กกว่าสะบัดออกอย่างสุดทน ความไร้เหตุผล พาลพาโลของดรัลคือสิ่งแปลกใหม่ที่เธอพานพบ เขาไม่ฟังอะไร และตัดสินเธอไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ไม่ต้องเชื่ออะไรฉันหรอกค่ะ ถ้าไม่คิดจะเชื่อกัน”
“อาลัว”
“พี่เอื้องควรภูมิใจที่เป็นคนที่ไม่เคยทำให้ฉันเสียใจนะคะ” สัมปันนีเบือนหน้าหนี และขี้เกียจสะบัดมือหนีอีก แม้ว่าจะถูกนำไปจับจูงด้วยมือใหญ่อีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่มีบทสนทนาระหว่างกันอีก นอกจากฝ่ามือที่กุมกระชับแน่นขึ้นราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไปไหนเด็ดขาด
................................................................................
คุณ kaelek กรงพี่เอื้องอาจไม่ใหญ่มากแต่ต้องรัดกุมพอนะคะ ไม่อย่างนั้นมีหนี ฮา
คุณ ปิ่นนลิน ถึงเอื้องจะพยายามเข้าใจ ก็อาจเข้าใจไม่ได้ทั้งหมดค่ะ อาลัวเหมือนสมการยากๆ สมการหนึ่งที่ขนาดเจ้าตัวเองยังแก้ไม่ตก นวีนก็เริ่มไม่มีที่ให้ยืน ที่ว่ามาก็ค่อนข้างตรงเลยค่ะ อาลัวคือนวีน ดรัลคืออาลัว คนหนึ่งรอ คนหนึ่งรัก ต่างกับความสัมพันธ์ของนวีนกับอาลัวหน่อยตรงที่มันได้เริ่มต้นค่ะ ป.ล. บทนี้พี่จุ้นน่ารักนะคะ ^^
คุณ กาซะลองพลัดถิ่น เห็นด้วยค่ะที่อาลัวไม่แฟร์กับเอื้องเลย แต่...เอื้องยังอยู่ในจุดที่รับได้ ง่อว ส่วนนวีน จากนี้เตรียมรับสภาพคนไม่มีใครเอาได้เลย
คุณ sai หมั่นไส้พี่เอื้องหนึ่งเสียงมาแล้วค่า ฮา นึกว่าเรื่องนี้เอื้องจะหล่อในสายตาทุกคนไปโม้ด อิอิ
คุณ konhin ค่ะพ่อเขาหวงลูกสะใภ้ไว้ให้ลูกชาย ฮา อาลัวไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ค่ะ ทุกอย่างปุบปับ (ตัวเองเป็นคนสร้างเรื่องแต่งงานขึ้นมาแท้ๆ) แต่ในความอ่อนแอที่จริงก็มีความมั่นคงซ่อนอยู่นะคะ
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ เป็นกำลังใจให้นะคะ ความรัก ความรู้สึก บางทีก็ชอบเล่นตลกกับเราอยู่หลายครั้ง ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีเนอะ สู้ๆ ค่ะ
งานแต่งงานผ่านไป รอยยิ้มบนหน้าของเจ้าสาวก็แห้งเหือดหายไปทันตา แขกทุกคนที่มาในงานต่างยินดี มีบ้างที่ถามถึงช่อมาลี แต่เรื่องนั้นไม่ได้กระทบจิตใจเธอได้เท่าใบหน้าของบุพการีทั้งสองที่เอาแต่ส่ายหน้า ถอนหายใจ และแสดงความหนักใจออกมาทุกทางไม่เว้นแม้แต่ตอนรดน้ำสังข์
‘ร้องไห้น้ำตาเช็ดหัวเข่าเมื่อไหร่ ก็อย่าลืมกลับมาร้องไห้ที่บ้านล่ะ อย่าไปซบอกใครสุ่มสี่สุ่มห้า รู้จักไม่ทันไรก็ปุบปับแต่งงานอีก’ มารดาสัมปันนีรดน้ำสังข์ลงบนมือของลูกสาวอย่างนั้น แต่พอหันไปทางดรัล รอยขึ้งโกรธหนักอกหนักใจเหลือเพียงคำที่ผู้ใหญ่พูดกัน
‘ดูแลลูกสาวแม่ด้วยนะคุณเอื้อง อาลัวยังมีนิสัยเด็กๆ เยอะ หัวอ่อน โดนหลอกง่าย แม่หวังว่าคุณจะไม่ใช่คนที่มาหลอกลูกแม่ และถึงแม่จะบ่นไปเรื่อย แต่แม่ก็ยังอยากเห็นพวกลูกๆ อยู่ด้วยกันไปนานๆ ไม่ใช่วันสองวันก็เลิกกันไป’ ไม่วายส่งค้อนโตๆ มาให้ลูกสาวก่อนหลีกให้สามีมาถือหอยสังข์ทำพิธีอีกคน
สัมปันนีเหลือบตามองบิดาอย่างขอโทษ ก้มหน้ารอรับคำเทศนาจากบิดาอีกคน ‘อยากยกเลิกตอนนี้พ่อก็จะไม่โกรธ’ น้ำในหอยสังข์หยดลงบนมือ แต่คนฟัง และอีกหนึ่งที่รอรดน้ำสังข์กลับเงยหน้ามองธวัลย์ด้วยอารมณ์ที่ต่างกัน คนหนึ่งประหลาดใจ และอีกคนกำลังต่อว่าคนยื่นข้อเสนอนี้มาให้ ‘แต่ถ้าไม่ ก็อยู่กันไปยาวๆ ให้พ่อดู จนกว่าลูกสองคนจะรักกันจริง พ่อกับแม่ถึงจะยอมรับงานแต่งงานครั้งนี้’
ธวัลย์หัวเราะก่อนจะเดินมายังลูกเขยคนแรกของบ้าน ‘รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ด้วยนะคุณ ถึงงานนี้จะเล็ก จะเป็นความลับกับใครหลายคน แต่อาลัวเป็นลูกสาวของผม และผมก็ไม่ใช่คนตัวเปล่า ใช้เวลานี้เรียนรู้กันให้มาก ถ้าผ่านทุกอย่างไปได้ ค่อยกลับมาหาผมอีกครั้ง’
สถานะระหว่างเธอกับดรัลในตอนนี้คลุมเครือไปหมดทุกอย่าง แฟนก็ไม่ใช่ เพื่อนก็ไม่เชิง สามีภรรยายิ่งเรียกได้ไม่เต็มปาก แต่ถ้าฐานะเจ้านายกับลูกน้อง ถึงตอนนี้หญิงสาวกลับเรียกมันได้ชัดถ้อยชัดคำสุด
มือที่กำลังเช็ดล้างเครื่องสำอางหนาเตอะออกจากใบหน้ากำขยี้สำลีก่อนจะเช็ดป้ายบนหน้าอย่างแรง หน้าตายู่ยี่ เธอไม่ทันคิดว่าหลังจากแต่งงานชีวิตจะต่างจากเดิมขนาดไหน และต้องทำความตกลงกับดรัลอีกเท่าไหร่
“อยากหน้าพังเหรอ” คนพูดออกมาจากห้องน้ำ สวมชุดคลุมอาบน้ำออกมา ใบหน้ามีหยดน้ำเกาะพราว สัมปันนีตาเหลือกมองเขา พอได้สติก็รีบก้มหลบ ผิวแก้มร้อนผ่าว มือที่กำสำลีแทบจะแหลกเศษสำลีคามือ สะดุ้งโหยงอีกทีก็ตอนมีมือมาดึงมือของเธอออก และดึงเศษสำลีออกจากมือโยนลงไปในถังขยะ
อาการตระหนกลนลานเกินเหตุ แค่เขาสัมผัสก็เริ่มตีรัวๆ ให้ปล่อยกลายเป็นภาพตลกน่าขันสำหรับดรัลไป ชายหนุ่มจงใจยั่วด้วยการยื่นหน้าเข้าไปใกล้ กลิ่นน้ำหอมอ่อนไม่ฉุนจมูกที่สัมปันนีเลือกใช้ทำให้เขาต้องแสร้งทำจมูกฟุดฟิดจนเกือบชิดไหล่ลาด
“พอนะคะ” หน้าของดรัลหงายขึ้นเพราะถูกดันออกไปด้านหลัง สัมปันนีถูมือไปมา ตีหน้ายุ่ง ย่นคอห่อไหล่ รู้สึกจั๊กจี้ผิวเนื้อที่โดนลมหายใจร้อนๆ เป่าใส่ ก่อนจะรวบรวมสมาธิเพื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เธอต้องพูด มากกว่าเรือนร่างชายแท้ เนื้อหนังมังสาของผู้ชายที่ปกปิดแค่ชุดคลุมหนึ่งตัว หญิงสาวเกือบยกมือตบหน้าตัวเองโทษฐานคิดอะไรที่ลามก ยังดีที่ยั้งไว้ทัน
“ทะเลาะกับตัวเองเสร็จหรือยัง” ดรัลวางแขนเท้ากับโต๊ะ ยัดเยียดตัวเองให้อยู่ในสายตาของคู่สนทนา “จะได้มาเริ่มธุระของพวกเราสักที”
“ธุระ! มีด้วยเหรอคะ”
“มีสิ คืนนี้เราจะนอนด้วยกันยังไง ท่าไหน”
สัมปันนีคิดว่าการหุบปากของดรัลจะลำบากกว่าการอุดหูตัวเอง จึงเลือกอย่างหลัง และทำสีหน้าปุเลี่ยน เธอคิดว่าดรัลเองก็เปลี่ยนอารมณ์ช่ำชองไม่แพ้เธอ เมื่อวานนี้เขายังหงุดหงิดใส่เธออยู่ แต่พอเสร็จสิ้นงาน เขากลับกลายเป็นดรัลอีกคนที่ดูเจ้าเล่ห์ และทำแววตาอย่างกับเสือหิว
“ฉันไม่นอนกับคุณ” สัมปันนีเน้นชัด สองมือกอดอก ปกป้องร่างกายที่ตัวเองคิดว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอจะปกป้องไว้
“ไหนบอกจะไม่เสียใจ ไม่ว่าจะเสียอะไรไปบ้างยังไง ทำตามสัญญาหน่อย”
“ก็...”
“เป็นผู้หญิงไม่รักษาคำพูดตั้งแต่เมื่อไหร่”
คนนิสัยเสียหุบปากฉับลง ความผิดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะดรัลเป็นคนต้นคิด แต่เธอเองต่างหากที่ทำอะไรลงไปโดยไม่ไตร่ตรองให้ดี มาถึงตอนนี้สิ่งที่เธอตั้งใจจะรับผิดชอบคือความรู้สึกของเขา...แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องลงทุนทั้งตัวไปกับการแต่งงานครั้งนี้
“คุณกัมปนาทแทบจะกินหัวฉันนะคะ” หญิงสาวรีบเสเปลี่ยนเรื่อง ในหัวนึกถึงใบหน้าของกัมปนาทที่เม้มปากตลอดงาน และจ้องเธอตาวาววับ สังหรณ์เธอล่ะกลัวว่าจะเกิดคดีนองเลือดหึงโหด ไม่ใช่เธอแต่เป็นกัมปนาทมาเล่นงานเธอ
ดรัลยืนขึ้นตรง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “คนอื่น จะไปสนใจทำไม”
“อยู่คนเดียวบนโลกนี้ที่ไหน” หญิงสาวบ่นอุบ ไม่อยากให้เสียงดังเกินแมลงวันบิน
ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม สัมปันนีไม่รู้หรอกว่าเขาข่มความหวาดหวั่นกลัวจะถูกเจ้าหล่อนกระโดดหนีออกไปจากงาน แล้วปล่อยให้เขารับผิดชอบทุกอย่างเพียงผู้เดียว เหมือนที่ช่อมาลีทำกับจุณวัฒน์ขนาดไหน ถึงหลายครั้งที่สัมปันนีจะเหลือบมามองหน้าเขาด้วยแววตาครุ่นคิด พอรู้ตัวว่าเขามองอยู่ก็จะหลบเลี่ยงไม่มองกัน
ที่แท้ก็กลัวว่าเขา...
“เรายังไม่เคยคบกันจริงๆ จังๆ ตอนนี้ก็ถือว่าคบกันได้แล้วใช่ไหม”
“คบ?” สีหน้าทวนถามไม่เข้าใจ ตอนนี้เธอกับดรัลขาดก็แค่ทะเบียนสมรส ใครในละแวกบ้านเขาล้วนรู้ว่ามีงานแต่งงานเกิดขึ้น เขายังจะมาพูดให้งงกันทำไม
ดรัลเดินถอยห่างออกมา หน้าตาจริงจัง ไม่มีวี่แววว่าล้อเล่น เขาเองก็รู้สึกว่าทุกอย่างปุบปับ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายถึงขนาดไม่ได้ขอให้เกิดเรื่องในวันนี้ “พวกเราจะไม่จดทะเบียนกัน วันไหนที่เราไปกันไม่ได้ ก็ต่างคนต่างแยกย้ายไป ไม่ต้องไปเซ็นอะไรให้ยุ่งยาก”
“แล้วคนที่ทำงาน?”
“คุณไม่อยากให้พวกเขารู้ใช่ไหม”
น้ำเสียงว่างเปล่าสวนกลับมา สัมปันนีสะอึกในใจ ก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด เธอตั้งตัวไม่ติดกับเรื่องที่เกิดขึ้น รู้สึกว่ามันข้ามไปหลายขั้นเกินไป ไม่กี่วันเธอเพิ่งอกหัก ไม่กี่ชั่วโมงคนที่หักอกเธอเพิ่งกลับเข้ามาแล้วชวนหนี และไม่กี่นาทีก่อนหน้า เธอตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยการแต่งงานกับผู้ชายที่มีฐานะเป็นเจ้านาย และเพิ่งได้ใกล้ชิดจริงจังสิริรวมไม่เกินเจ็ดวันนี้ดี
มันเร็วเกินไป สัมปันนีนึกอย่างหวาดหวั่น เผลอคาดเดาว่าอนาคตอันใกล้ที่เรียกว่าต่างคนต่างอยู่จะมาเยือน
“ค่ะ”
ดรัลนึกชื่นชมปนหมั่นไส้ในใจผู้หญิงใจกล้ากับคำตอบที่ได้ยิน “เราจะแยกห้องนอนกันไม่ต้องกลัวหรอก”
“ขอบคุณนะคะ”
“แต่ไม่ใช่คืนนี้” ดรัลเหล่มองเตียงนอนหลังเดียวในห้องก่อนจะยกมุมปากขึ้นอย่างจนปัญญา “วันนี้ผมก็ปวดหลังมากด้วย คงนอนพื้นไม้แข็งๆ ไม่ไหว”
“เดี๋ยวฉันนอนแทนเอง”
“ตามใจ” ชายหนุ่มตามใจอย่างขอไปที ไม่คิดง้อ ล้มตัวลงนอนกางแขนขายาวเหยียดบนที่นอนเชิงประชด สายตาเบิกโพลงมองเพดานห้อง “เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นที่ไม่ใช่คนที่บริษัทก็แทนตัวเองว่าอาลัว เรียกผมว่าพี่ เหมือนที่เคยทำเถอะ จะทำอะไรก็ให้มันเนียนหน่อย ถึงจะอยู่แค่ในขั้นเรียนรู้กัน ก็ต้องฝึก พยายามให้มาก”
“ขั้นเรียนรู้” ใครเรียนรู้...สัมปันนีกัดปากถาม ไม่ให้พ่นออกไปอย่างใจคิด ถึงมันจะเป็นสถานการณ์จับพลัดจับผลู แต่เธอก็ไม่ได้ถูกใครขู่เอามีดจ่อคอบังคับให้แต่ง เธอเลือกของเธอเอง สิ่งที่จะทำต่อไปนี้ คือทำทุกอย่างให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการถนอมน้ำใจของดรัล
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ” มือกลับมาสาละวนกับกิ๊ฟติดผม หน้าตายับยู่เพราะบนศีรษะมีกิ๊ฟอยู่หลายตัวจนเธอนึกท้อว่าตลอดคืนนี้ด้วยตัวคนเดียวก็คงแกะมันออกไม่ได้ครบทุกตัว
และก่อนที่เธอจะจัดการกิ๊ฟอีกตัวได้สำเร็จ มือใหญ่ก็มาวุ่นวายกับหัวของเธอ ดึงกิ๊ฟออกให้เงียบๆ ไม่มีแก่ใจจะนอนอย่างที่แสดงออกก่อนหน้า สัมปันนีลดมือลง มองเงาของใบหน้าคมผ่านกระจกเงาตรงหน้า สีหน้าจริงจัง ดวงตาที่สอดส่องไปทั่วศีรษะเธอ มือของเขาก็เบาแสนเบา ถึงจะมีบางจังหวะที่เผลอดึงผมของเธอติดมือไปบ้าง แต่น่าแปลกที่เธอกลับไม่สะดุ้ง หน้าตาเครียดขรึมของเขาดูอ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆ
ริมฝีปากของเธอเหยียดออกเป็นรอยยิ้มบางเบา แต่พอมีดวงตาเข้มจ้องมา รอยยิ้มของเธอก็เลือนไปอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าทำไมเกิดอาการขัดเขินทำตัวไม่ถูกยามอยู่ต่อหน้าเขาได้
“ชอบไปเที่ยวที่ไหนไหม”
สัมปันนีเผลอหยิกเนื้อที่มือให้ตัวเองได้สติ และตอบคำถามเขาไป ไม่เผลอไผลกับภาพงดงามในกระจก เธอรู้สึกว่าตาพร่าไปกับประกายตาหวานของดรัลที่เหมือนภาพความฝัน หากเธอหมุนตัวไปดูของจริง ประกายตานี้จะหายไปไหม...ได้แต่คิดและนั่งอยู่กับที่ในท่าเดิม เพราะเธอไม่อยากพลาดแววตานี้สักวินาที
“ชอบอยู่บ้านสงบๆ มากกว่าค่ะ”
“เหมือนพี่”
“พี่เอื้องชอบกินข้าวในบ้าน หรือนอกบ้านคะ” อดถามกลับไปบ้างไม่ได้
“ในบ้าน”
“แต่ฉันทำไม่เก่ง ฝีมือเทียบกับแม่ไม่ได้เลย”
ดรัลถอดกิ๊ฟตัวสุดท้ายออกไปวางบนกระปุกเล็กที่เปิดฝาอ้าอยู่ ก่อนจะวางมือทาบไหล่บอบบาง บีบไว้ รู้สึกถึงความพยายามที่สัมปันนีเริ่มแสดงออกมาว่าพร้อมจะใช้ชีวิตอยู่กับเขา
“ถ้าทอดไม่ดี ก็เอาของไหม้มาให้พี่กินก็ได้”
“ไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ” ครั้งนั้นเธอยังจำได้ว่าดรัลแย่งอาหารไหม้ฝีมือของเธอไปใส่กล่องข้าว แล้วนำไปทาน ก่อนจะทอดใหม่ให้เธอที่อร่อยกว่า หอมกว่าให้ทาน
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องพัฒนาฝีมือ”
“ยากจัง”
“ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แค่ไม่พยายามก้าวถอยหลังหนีก็พอ”
“เอ๊ะ?” หญิงสาวทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถามผ่านกระจก เอะใจว่าสิ่งที่ดรัลพูดมาจะไม่ได้เกี่ยวแค่ฝีมือการทำอาหาร แต่จะรวมถึงชีวิตคู่ของทั้งเธอและเขา
และอีกครั้งที่ดรัลไม่ปล่อยให้สัมปันนีหลุดปากถาม เพราะเขาฉวยโอกาสปิดปากนุ่มส่งท้ายวัน มอบความหวานละมุนของจุมพิตแรกในชีวิตคู่ และจบลงแค่นั้นในเวลาไม่กี่วินาที นิ้วสากลูบแก้มที่ขึ้นสีชมพูของสัมปันนีอย่างเอ็นดู
“จากวันนี้ไปเรามาพยายามด้วยกันเถอะนะ”
สัมปันนีไม่รู้ตัวเลยว่าเหตุใดเธอจึงพยักหน้ารับไปอย่างง่ายดาย และหัวใจของเธอก็ทำท่าว่าจะกระโจนออกมาโลดเต้นนอกอกอยู่รอมร่อ
งานเลี้ยงด้านนอกจะว่าครึกครื้นก็พอได้อยู่ แต่จะพูดว่าหวาดระแวงก็ไม่ต่างกัน สายตาหลายคู่คอยแต่จะเหลือบมองบานประตูที่ปิดสนิทกันอยู่หลายหน ถึงอาหารที่เลี้ยงยามดึกบริเวณตัวบ้านจะแน่นเอี๊ยดมีไม่ขาด นอกจากการแสดงออกว่าทานอร่อย และหัวเราะร่วมไปกับเรื่องตลกที่มีคนใครสักคนเล่า ทุกคนที่เป็นคนในครอบครัวของทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างอัดแน่นไปด้วยความกังวลใจ
ไม่มีใครคิดว่างานแต่งงานครั้งนี้ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันจะไปกันได้รอดตลอดฝั่ง...และก็ไม่มีใครที่อยากให้เรือลำน้อยไม่สมประกอบลำนั้นล่มไปต่อหน้าต่อตา
หลายสีหน้าจึงยังเต็มไปด้วยความงงงัน ยังไม่เข้าใจว่าสุดท้ายเรื่องมาลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไร
“ลูกของผมเป็นคนดีมากนะครับ เอาจริงเอาจัง ขยัน ฉลาด” ดิเรกไม่เคยเอ่ยชมดรัลต่อหน้าใคร ที่ผ่านมาเขาเพียงแต่เก็บคำเหล่านี้ไว้ในใจเพราะไม่อยากให้ลูกชายเหลิง ตั้งแต่เขาตัดสินใจแต่งงานใหม่กับรำเพย เขากับลูกก็มีกำแพงบางๆ มากั้นไว้ ไม่เหมือนสมัยก่อนตอนที่อยู่กันสองคนพ่อลูก
“ลูกของผมถึงจะชอบทำผิดพลาด ไม่มีความมั่นใจในการตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง แต่คุณเชื่อได้ว่าลูกของผมไม่เคยมีความคิดอยากทำให้ใครเสียใจ” ธวัลย์อดไม่ได้ที่จะปกป้องลูกสาว
“ผมเองก็รู้จักอาลัวเขาดี” ดิเรกยิ้มได้ไม่เต็มปาก มือพยายามตักข้าวทาน กับหมูย่างด้วยสีหน้าว่าอิ่มเอิบเหลือเกิน
“จากนี้ก็ได้แต่อวยพรให้พวกเขาทั้งคู่นะคะ” เรไรพยายามทำให้บรรยากาศในวันนี้เต็มไปด้วยความมงคล ลูกสาวอีกสองคนก็คอยแต่มองอาการของนวีนที่นั่งทานอาหารอยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่จากับใคร
โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่าลึกๆ ของในใจนวีนจะเกิดอาการขัดแย้งภายในกันอย่างหนัก เขาอยากเข้าไปกระชากประตูและต่อว่าสัมปันนีแรงๆ ให้อีกฝ่ายได้ตื่นขึ้นมาเสียที เขามั่นใจว่าสิ่งที่สัมปันนีทำไปทั้งหมดก็แค่อยากช่วยเหลืองานแต่งงานที่ล่มไปแล้ว อยากรักษาชื่อเสียงให้พวกเขา ไม่มีความรู้สึกอื่นมาเกี่ยวข้อง จะเป็นไปได้ยังไงที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่หลงรักเขามานานถึงสามปี จะใช้เวลาตัดใจจากเขาแค่สามวัน...เป็นไปไม่ได้เลย
ผู้ชายขี้โกหก...
สัมปันนีนอนตัวเกร็งอยู่ในอ้อมกอดของดรัล ไม่กล้ากระดิกตัวเลยสักนิด กลัวว่าจะไปกระตุ้นให้สิ่งที่ไม่ควรโดนตื่นขึ้น พอเธอออกมาจากห้องน้ำ แทนที่ดรัลจะปล่อยให้เธอนอนบนพื้นอย่างที่ว่ามา เขากลับกระตุกมือเธอให้ล้มลงบนที่นอนขนาดใหญ่ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้กอดเธอ กั้นกันไว้ด้วยหมอนข้าง แต่ไม่รู้ทำไมยิ่งดึกดรัลก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น มือปัดป่ายหาอะไรสักอย่าง ก่อนจะเจอตัวเธอ แล้วดึงไปกอดไว้
ตลอดคืนนี้แทนที่เธอจะนอนหลับสบายกลับต้องมานอนตาค้าง แล้วฟังเสียงหัวใจของดรัลอยู่ข้างหู เธอรู้สึกอบอุ่นก็จริง แต่ไม่ชินสักนิด
“ถ้ายังไม่นอน คืนนี้ก็ไม่ต้องนอน ทำอย่างอื่นแทนนะ”
ตายล่ะหว่า...ในใจกู่ร้องภาษาอีกหลายภาษาหยาบๆ ออกมา ปิดตาแน่น อยากจะน็อคตัวเองสักหมัดให้หลับเสียเดี๋ยวนี้ จะได้ไม่ไปทำอย่างอื่นได้อีก
“นึกว่าอยากใช้แรงก่อนนอน” ดรัลกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเกี่ยวเอวไม่บางไม่หนามากระชับตัว ใช้มืออีกข้างลูบศีรษะเป็นเชิงปลอบ ท่าทางกลัวเขาจนตัวเกร็งไม่ได้ทำให้เขาเกิดอารมณ์อื่นนอกจากอยากหัวเราะให้ท้องแข็งเสียมากกว่า เวลานี้เขาอยากจะเข้าใจผู้หญิงเข้าใจยากคนนี้ให้มากที่สุด เปรียบโจทย์เลข วิจัยยากๆ ที่เขาเคยพบ ถ้ามาเจอกับสมการยากๆ ที่ชื่อสัมปันนีเข้าไป เห็นทีว่าจะพ่ายให้กับเจ้าสาวหมาดๆ ของเขาหมด
คนๆ นี้อ่านยาก เข้าใจก็ยาก เวลาตัดสินใจอะไรขึ้นมาทีหนึ่งทำคนตะลึงมานักต่อนัก ตรงกันข้ามกับเวลาปกติที่มักจะเชื่องช้ากว่าคนอื่นก้าวหนึ่งเสมอ
เสน่ห์ของผู้หญิงคนนี้อยู่ที่ตรงไหนกันล่ะ ชายหนุ่มเคยสงสัยมาตลอดกระทั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่สัมปันนีบอกปัดที่จะหนีไปพร้อมนวีน มันทำให้เขารู้สึกมีชัยชนะ อีกทั้งยังพยายามแก้ไขสิ่งต่างๆ มันจะดีแค่ไหนถ้าผู้หญิงจอมทึ่มคนนี้หันมาใช้ความพยายามเพื่อทำให้เขารัก แสงนัยน์ตาของดรัลอ่อนลง เขารู้ว่าสัมปันนีจะไม่มีวันทำอย่างนั้น
แต่จะแปลกอะไร ถ้าเขาจะพยายามทำสิ่งนั้นขึ้นมาเอง...
ไม่ลางานเด็ดขาด ความดื้อแพ่งของสัมปันนีเป็นบทสรุปที่ทำให้เธอต้องมีสภาพคล้ายคนวิตกจริต กลัวคนในบริษัทจะล่วงรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไปเมื่อวานนี้ ยังดีที่ทุกคนไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังบอกว่าเธอดูผอมลงไปเล็กน้อย
“ฉันก็กินปกตินะคะพี่กุหลาบ” สัมปันนีไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาตอบกุหลาบ บนโต๊ะทำงานของเธอมีกองงานที่รอการสะสางสูงท่วมหัว งานด่วนที่ชมนาดจัดการไปก็ไม่ได้ลดทอนงานระยะยาวที่เธอต้องรับผิดชอบต่อ
คนท้องแก่มองค้อนสัมปันนี “ยังไงก็ไม่หิ้วลูกบอลติดตัวเหมือนฉันล่ะน่า” ว่าจบพร้อมกับส่งแฟ้มงานมาเพิ่มให้อีกกองย่อมๆ
สัมปันนีไหวไหล่ให้ตัวเอง รู้ชะตากรรมว่าจะต้องอยู่จนดึกดื่นเพื่อสะสางงานทั้งหมดนี้ และจะดีมากที่เธอจะไม่ไปอึดอัดกับดรัลต่อในบ้านหลังใหม่ที่ยังไม่ได้ย้ายของเข้าไป
“ทุกคนครับวันนี้คุณดรัลสั่งพิซซ่า ไก่ทอด มาเลี้ยง” เสียงของจุณวัฒน์ดังขึ้นตรงกรอบประตู มือสองข้างถือถุงใส่พิซซ่าร้านดัง และไก่ทอดในเครือเดียวกันมาเต็มที่ มีแวบหนึ่งที่จุณวัฒน์แอบหลิ่วตาใส่เธอในช่วงที่ทุกคนครื้นเครงกับอาหารฟรี
ปากกาหัวแหลมในมือสัมปันนีถูกกำเข้าหากันแน่น หน้าตาค่อยๆ ซีดลง เธอไม่อยากเป็นที่สังเกต หรือโดนเพ่งเล็ง เธอไม่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดในบริษัทได้หลังจากแร้งฝูงใหญ่ในนี้รู้ความจริง พวกเขาจะต้องมาเค้นถามหาว่าเธอไปใช้ลูกไม้อะไรคว้าหัวใจของดรัล ต้องมีบอกว่าเธอเล่นของใส่เจ้านายบ้างล่ะ
“คุณคือ...”
“ผมชื่อจุ้น จุณวัฒน์ เป็นเพื่อนของเจ้านายพวกคุณ” จุณวัฒน์ตอบคำถามชัดเจน ก่อนจะส่งของในมือให้กับพนักงานคนหนึ่งไปถือไว้ ส่วนตัวเองมาหยุดยังโต๊ะของสัมปันนี ยิ้มกวนใส่ “เป็นไงบ้าง สบายดีนะ”
“คุณจุณวัฒน์คะ” สัมปันนีกัดฟันเรียกชื่ออีกฝ่ายไป ใช้สายตาปรามให้เขารู้ว่าไม่ควรแสดงออกว่ารู้จักกับเธอออกมา
“ปกติก็เรียกพี่จุ้นนี่นา ยัยน้องอาลัว” ไม่พูดเปล่ายังจับศีรษะของสัมปันนีโยกไปมา ไม่สนว่าจะทำให้แว่นบนดั้งเกือบร่วงหล่นพื้น
หญิงสาวบังคับสีหน้าไม่ให้หงุดหงิด และยกมือขึ้นมาทำท่าดันแว่นให้เข้าที่ ทั้งที่จริงกำลังซ่อนหน้าแยกเขี้ยวไว้
“เธอรู้จักเพื่อนคุณดรัลด้วยเหรอ” กุหลาบถามขึ้นอย่างฉงน เธอเป็นเลขาฯ เจ้านายมาได้ร่วมเดือนยังไม่เคยเจอจุณวัฒน์มาก่อนเลย
“ฉันไปทำงานมาน่ะคะ” สัมปันนีรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับสายตาทุกคู่ที่เพ่งเล็งมา “แล้วก็คุยกันถูกคอ นอกเวลางานฉันถึงจะเรียกคุณจุณวัฒน์ว่าพี่จุ้น”
“ใช่พี่คนเดียวเสียเมื่อไหร่” จุณวัฒน์ก้มลงมาใกล้ กระซิบรู้ทัน
อดไม่ได้ที่คนถูกพูดถึงจะทำให้เธอหน้าหงิก “อารมณ์ดีเร็วจังเลยนะคะ”
รอยยิ้มของคนเพิ่งถูกทิ้งหายวับ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมะเหงกเขกไม่เบาไม่แรงไปทีหนึ่ง สัมปันนีคิดว่าหัวเธอเป็นหมวกกันน็อคแข็งจึงไม่รู้สึกเจ็บ และยังอยากก้มหน้าปล่อยให้เขาเขกอีกหลายๆ ทีเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับคนที่กำลังเดินออกมาจากห้องทำงาน เรื่องเมื่อเช้านี้เธอก็แอบหนีเขากลับมาพร้อมที่บ้าน ยังไม่รู้ว่าจะมองหน้าดรัลอย่างไรดี คล้ายเงามรณะกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้พิกล
นวีนเดินมาถึงตัวสัมปันนีก่อนดรัลก้าวหนึ่ง “สวัสดีครับคุณจุณวัฒน์”
“ครับ” จุณวัฒน์เหลือบสายตามองเพื่อนที่กำลังใช้ดวงตานิ่งมองมาจากเบื้องหลังเขา ไม่รู้ว่าการอยากมาเยี่ยมครอบครัวใหม่ของเพื่อน จะกลายเป็นการทำให้ครอบครัวชาวบ้านเขาแตกแยกตั้งแต่วันแรกเลยหรือเปล่า
“ใครมีงานมีการก็ไปทำซะ ยังไม่ใช่เวลากิน” ดรัลบอกเสียงขรึม ไม่วายส่งสายตาตำหนิมาให้สัมปันนีแวบหนึ่ง และตาขวางใส่นวีนที่ทำไม่รู้เรื่องกับคำไล่ของเขา
“งานเยอะขนาดนี้เดี๋ยววันนี้เราอยู่ช่วยนะ” นวีนเห็นใจกองพะเนินตรงหน้าที่รวมอยู่บนโต๊ะของสัมปันนี
ชมนาดเบะปาก นึกหมั่นไส้สัมปันนีในใจที่กลายเป็นจุดศูนย์กลางของคนอื่นไปได้ “ไม่ทราบว่าสรุปรายงานงานกล้วยไม้ล่าสุดเสร็จหรือยังคะ ได้ข่าวว่าออกนอกพื้นที่ไปเก็บข้อมูลด้วยตัวเองด้วย” น้ำเสียงพยายามสุภาพ แต่แววตาของชมนาดกลับคมกริบแทบจิ้มนวีนให้ตาย
“ใครมีงานอะไรก็ไปทำ ถ้างานมันน้อยนัก เดี๋ยวผมจะเพิ่มภาระงานให้” สุดคำของดรัลจึงตีวงผึ้งที่ไม่จบง่ายๆ ให้กระเจิง สัมปันนีลอบผ่อนลมหายใจอย่างอึดอัด กลัวว่าเขาจะมาเล่นงานเธอต่อหน้าธารกำนัล แต่นอกจากแววตาคมดุ เธอก็ยังมีชีวิตรอดปลอดภัยดี
“ตั้งใจไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของนวีนเพื่อล่อให้ไอ้เอื้องมันหึงหรือไง” จุณวัฒน์กระซิบถามสนุก เขาพยายามทำใจเรื่องช่อมาลี แล้วใช้ชีวิตอย่างปกติสุด
สัมปันนีมองค้อน ก้มหน้าทำงานต่อ “จะมาหึงทำไมคะ ยังไงก็หนีคุณเอื้องไปไหนไม่รอดแล้ว”
“ขังได้แต่ตัว แล้วหัวใจล่ะ”
คนฟังอ้าปากค้าง น้ำเสียงเศร้าระคนทุกข์ที่ได้ยินจากปากของจุณวัฒน์ทำให้เธอระลึกได้ว่าคนตรงหน้าเธอกักขังหัวใจของใครไม่ได้ แม้แต่ตัวยังรั้งไว้ข้างกายไม่ได้เลย
“ทำไมเราจะต้องขังใครไว้ด้วยล่ะค่ะ แค่อยู่ร่วมกัน โดยไม่ต้องรู้สึกว่าขังใครอยู่ ให้อิสระ...ไม่ดีกว่าเหรอ”
“มันไม่ใช่การกักขังหรอกอาลัว เพราะความรัก ถ้ามันรักแล้ว...เราก็พร้อมที่จะอยู่ตรงนั้นจุดเดิมไม่ไปไหน” จุณวัฒน์เงยหน้าขึ้น ยิ้มเศร้า เขายังไม่เคยระบายความรู้สึกนับจากเกิดเรื่องให้ใครฟังมาก่อน เพราะต่างก็วุ่นวายกับงานแต่งงานอีกงานที่สับเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวกัน “คนบางคนก็ไม่เคยเดินออกมาจากจุดเดิมหรอก ไม่ใช่เขาขี้ขลาด หรืออ่อนแอ ก็แค่คนใหม่ยังไม่ใช้สำหรับเขา”
“พี่จุ้น”
“อิสระมันก็ดี แต่การรู้ว่าหัวใจเราต้องการอะไรมากที่สุดมันดีกว่า”
“ตอนนี้พี่จุ้นต้องการอะไรคะ” สัมปันนีเงยขึ้นมาถามด้วยความเห็นใจ ความเจ็บปวดของจุณวัฒน์มากกว่าเธอที่ไม่เคยได้คบกับนวีนในฐานะแฟน และยังต้องมารับรู้ว่าหัวใจของคนรักกลับมีเพื่อนรักฝังแน่นอยู่ในนั้นอีก
“เห็นคนที่พี่รักมีความสุข ไม่ว่าจะช่อ ไอ้เอื้อง หรือเรา เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ”
ทำไมคนดีๆ คนนี้จึงถูกทอดทิ้ง...สัมปันนีก้มหน้าก้มตากลับมาทำงาน รู้สึกขอบตารื้นด้วยความสงสาร ก่อนจะหยดเผาะลงมาหยดหนึ่งเลอะกระดาษเอกสารเมื่อจุณวัฒน์ตบศีรษะเธอสองที ไม่รู้ว่าเอ็นดูหรือจะแกล้งกัน แต่ทำให้เธอปฏิญาณตนอยู่ในใจว่าจะไม่ทำให้จุณวัฒน์ผิดหวัง ไม่ทรยศดรัล ไม่อยากเป็นเหมือนช่อมาลี แม้ว่าเธอในตอนนี้จะรู้จักความรู้สึกของตัวเองน้อยเหลือเกิน
งานของสัมปันนีเดินไปได้ไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ดีไฟในออฟฟิศก็ปิดเกือบหมด นวีนที่อยู่ช่วยข้างๆ เงยหน้าจากกองเอกสาร ขมวดคิ้วมองหลอดไฟเหนือหัวที่พร้อมใจกันดับอย่างไม่วางใจ เขาแทบจะตัดเหตุผลว่ามันเสียไปเป็นอันดับแรก มันไม่มากะพริบเสียเลยสักครั้ง
เว้นแต่ว่าจะมีคนปิด...เขาคิดว่ารู้
นวีนมองช่วงเวลาสงบสุขที่ได้อยู่กับสัมปันนีอย่างหวงแหน ถึงจะนั่งทำงาน นานๆ จะเงยหน้าขึ้นมาคุยเล่น โดยที่เขาไม่พูดถึงงานแต่งงานเมื่อวานนี้ บรรยากาศทุกอย่างราบรื่น ไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจ กระทั่ง...
“ขนกลับไปทำที่บ้านก็ได้”
“ไม่เป็นไร ทำที่นี่แหละ ขนทำไมให้ยุ่งยาก” สัมปันนีเปิดโคมไฟตั้งโต๊ะที่เธอใช้มาหลายปีให้สว่าง ไม่ทันฟังให้ดีว่าน้ำเสียงที่ถามไม่ใช่นวีน
“ไม่ใช่ว่าอยากอยู่กับผู้ชายอื่นสองต่อสองหรอกนะ” นิ้วที่กำลังใช้เม้าส์กดโปรแกรมคิดเลขตรวจทานบัญชีชะงักกึก เมื่อเที่ยงตอนที่จัดการพิซซ่ากับไก่ทอดดรัลยังไม่ออกมาป่วนให้เธอวิตกจริตเพิ่มเติมขึ้นมาอีก ในตอนนี้ที่เหลือแค่นวีน เธอ และเขาจึงไม่ใช่เวลาที่จะมาใส่หน้ากากอีกต่อไป
“นวีนไม่ใช่คนอื่นนะคะ”
“งั้นพี่ก็คนอื่นงั้นสิ”
เอ๊...เหมือนจะงอน สัมปันนีอยากจะตีความไปอย่างนั้นถ้าน้ำเสียงของเขาจะไม่เฉยชาจนอ่านไม่ออก จึงได้แต่หันมาหานวีน “พรุ่งนี้เรามาจัดการต่อเอง ขอบคุณนวีนมากนะ”
“จะกลับไปทานข้าวที่บ้านต่อไหม”
สัมปันนีส่ายหน้า หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าที่จัดเก็บสัมภาระสำคัญหลายสิ่งอย่างตั้งแต่เมื่อเช้าขึ้นมา เธอตัดสินใจแล้วว่าถึงความสัมพันธ์ในครั้งนี้จะไม่มีคำว่ารัก แต่อย่างน้อยก็มีคำว่ารับผิดชอบที่เธอต้องดูแล
“เรากลับบ้าน แต่ไม่ใช่บ้านแม่”
นวีนมองกระเป๋าเสื้อผ้าของสัมปันนี อยากไปกระชากกลับมาถือไว้เสียเอง “ทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ งานแต่งงานเมื่อวานก็แค่ละคร” เขาไม่สนใจว่ามันจะทำให้เขากับดรัลบาดหมาง และเสี่ยงต่อการไล่ออก
“มันคือการแต่งงาน ที่เกิดจากความเต็มใจของเราและพี่เอื้อง” สัมปันนีแก้ให้ใหม่ “นายก็แค่ยังไม่ชิน เราบอกแล้วไงว่าพวกเราจะยังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไม่มีใครแทนเพื่อนอย่างนายได้อีก”
ดรัลกระแอมเรียกความสนใจ เอื้อมมือมาปิดไฟโคมให้ มือหิ้วกระเป๋า โชคดีที่ความมืดในออฟฟิศพออำพรางรอยยิ้มพอใจจากสายตาภรรยาหมาดๆ ของเขาได้
“กลับกันเถอะ” ดรัลเอื้อมมาจับมือเย็นเฉียบของคนที่นั่งทำงานในห้องแอร์ตลอดวันพาเดินออกไป เขาเห็นว่าสัมปันนียังมองนวีนเหลียวหลัง จึงได้แต่กระตุก และเร่งฝีเท้าตัวเองให้เร็วขึ้น หงุดหงิดขึ้นมาเล็กๆ “อาลัยอาวรณ์กันเหลือเกิน” จนกระทั่งปิดความไม่พอใจทางน้ำเสียงไม่ไหว
สัมปันนียืนตัวลีบภายในลิฟต์ ยิ้มอย่างอ่อนใจ “นวีนน่าสงสารนะคะ เขาไม่มีใคร”
“เลยต้องมีอาลัวเหรอ”
“แค่เพื่อนก็ไม่ได้เหรอคะ”
“จะให้พี่เชื่อในตอนนี้ไม่ได้หรอก พี่ยังจำภาพที่อาลัวเสียน้ำตาให้ผู้ชายคนนั้นได้ติดตา มันมากกว่าตอนที่ร้องไห้ให้กับพี่เสียอีก ที่จริงอาจจะไม่เคยเสียน้ำตาให้พี่สักหยด”
มือเล็กกว่าสะบัดออกอย่างสุดทน ความไร้เหตุผล พาลพาโลของดรัลคือสิ่งแปลกใหม่ที่เธอพานพบ เขาไม่ฟังอะไร และตัดสินเธอไปตั้งแต่แรกแล้ว
“ไม่ต้องเชื่ออะไรฉันหรอกค่ะ ถ้าไม่คิดจะเชื่อกัน”
“อาลัว”
“พี่เอื้องควรภูมิใจที่เป็นคนที่ไม่เคยทำให้ฉันเสียใจนะคะ” สัมปันนีเบือนหน้าหนี และขี้เกียจสะบัดมือหนีอีก แม้ว่าจะถูกนำไปจับจูงด้วยมือใหญ่อีกครั้ง
ครั้งนี้ไม่มีบทสนทนาระหว่างกันอีก นอกจากฝ่ามือที่กุมกระชับแน่นขึ้นราวกับจะบอกว่าเขาจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดมือไปไหนเด็ดขาด
................................................................................
คุณ kaelek กรงพี่เอื้องอาจไม่ใหญ่มากแต่ต้องรัดกุมพอนะคะ ไม่อย่างนั้นมีหนี ฮา
คุณ ปิ่นนลิน ถึงเอื้องจะพยายามเข้าใจ ก็อาจเข้าใจไม่ได้ทั้งหมดค่ะ อาลัวเหมือนสมการยากๆ สมการหนึ่งที่ขนาดเจ้าตัวเองยังแก้ไม่ตก นวีนก็เริ่มไม่มีที่ให้ยืน ที่ว่ามาก็ค่อนข้างตรงเลยค่ะ อาลัวคือนวีน ดรัลคืออาลัว คนหนึ่งรอ คนหนึ่งรัก ต่างกับความสัมพันธ์ของนวีนกับอาลัวหน่อยตรงที่มันได้เริ่มต้นค่ะ ป.ล. บทนี้พี่จุ้นน่ารักนะคะ ^^
คุณ กาซะลองพลัดถิ่น เห็นด้วยค่ะที่อาลัวไม่แฟร์กับเอื้องเลย แต่...เอื้องยังอยู่ในจุดที่รับได้ ง่อว ส่วนนวีน จากนี้เตรียมรับสภาพคนไม่มีใครเอาได้เลย
คุณ sai หมั่นไส้พี่เอื้องหนึ่งเสียงมาแล้วค่า ฮา นึกว่าเรื่องนี้เอื้องจะหล่อในสายตาทุกคนไปโม้ด อิอิ
คุณ konhin ค่ะพ่อเขาหวงลูกสะใภ้ไว้ให้ลูกชาย ฮา อาลัวไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ค่ะ ทุกอย่างปุบปับ (ตัวเองเป็นคนสร้างเรื่องแต่งงานขึ้นมาแท้ๆ) แต่ในความอ่อนแอที่จริงก็มีความมั่นคงซ่อนอยู่นะคะ
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ เป็นกำลังใจให้นะคะ ความรัก ความรู้สึก บางทีก็ชอบเล่นตลกกับเราอยู่หลายครั้ง ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีเนอะ สู้ๆ ค่ะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ย. 2558, 16:33:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ย. 2558, 16:33:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 1422
<< บทที่ 16 : ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม | บทที่ 18 : ว้าวุ่นสุกี้และน้ำส้มคั้น >> |

กาซะลองพลัดถิ่น 6 ก.ย. 2558, 17:40:57 น.
นวีน นายต้องสำนึกได้แล้ว และก็อย่าล้ำเส้น เพราะนายเองด้วยที่ทำให้ทั้งเอื้องและอาลัวต้องมาแต่งงาน
คุณจุณคะ มาซบอกดิฉันก็ได้คะ เดี๋ยวจะดูแลอย่างดี ผู้ชายดี ๆ แบบนี้หายากมากกกกกก
...
เอื้องหึง มีประชดอาลัวด้วย มันก็น่าอยู่หรอกนะ แต่อาลัวต้องปรับปรุงตัวอีกเยอะ
นวีน นายต้องสำนึกได้แล้ว และก็อย่าล้ำเส้น เพราะนายเองด้วยที่ทำให้ทั้งเอื้องและอาลัวต้องมาแต่งงาน
คุณจุณคะ มาซบอกดิฉันก็ได้คะ เดี๋ยวจะดูแลอย่างดี ผู้ชายดี ๆ แบบนี้หายากมากกกกกก

เอื้องหึง มีประชดอาลัวด้วย มันก็น่าอยู่หรอกนะ แต่อาลัวต้องปรับปรุงตัวอีกเยอะ


Furzan 6 ก.ย. 2558, 17:54:35 น.
พี่จุ้นมาให้อิฉันดูแลเถอะคะ
พี่จุ้นมาให้อิฉันดูแลเถอะคะ

นักอ่านเหนียวหนึบ 6 ก.ย. 2558, 18:35:17 น.
โอ้ยยยยย อาลัวววว กลับไปอยู่แปลงกล้วยไม้เถอะนะ ขอร้องงง สงสารทุกๆคนเลยย
โอ้ยยยยย อาลัวววว กลับไปอยู่แปลงกล้วยไม้เถอะนะ ขอร้องงง สงสารทุกๆคนเลยย

pkka 6 ก.ย. 2558, 18:44:18 น.
ใจเย็นๆพี่เอื้อง
ใจเย็นๆพี่เอื้อง

kaelek 6 ก.ย. 2558, 20:52:33 น.
โดนอาลัวงอนใส่รึเปล่าน่ะพี่เอื้อง นอกจากเข้าใจยากแล้ว หายงอนยากมั้ยน่ะ.. พี่จุ้ยจะมีคู่มั้ยคะ ช่อจะกลับมามั้ย? ถ้านางไม่กลับ หันมาทางนี้นะเค้ารออยู่ อิอิ
โดนอาลัวงอนใส่รึเปล่าน่ะพี่เอื้อง นอกจากเข้าใจยากแล้ว หายงอนยากมั้ยน่ะ.. พี่จุ้ยจะมีคู่มั้ยคะ ช่อจะกลับมามั้ย? ถ้านางไม่กลับ หันมาทางนี้นะเค้ารออยู่ อิอิ


sai 6 ก.ย. 2558, 23:05:07 น.
หลังจากหมั่นไส้อีตาพี่เอื้องมาหลายตอน ตอนนี้เริ่มสงสารฮีนิดๆ แต่อยากถีบนวีน และซับน้ำตาให้พี่จุณเหลือเกิน
หลังจากหมั่นไส้อีตาพี่เอื้องมาหลายตอน ตอนนี้เริ่มสงสารฮีนิดๆ แต่อยากถีบนวีน และซับน้ำตาให้พี่จุณเหลือเกิน
