รักแรกแลกรัก -ปิดจองแล้วนะคะ
ในความทรงจำของคุณ ถ้าย้อนกลับไปแล้วให้เลือกระหว่าง...
การมีความรักครั้งแรกที่ฝังใจอย่างไม่รู้เลือน
กับการเป็นคนรักคนแรกของใครสักคนที่แสนสำคัญยิ่ง
คุณจะเลือกอย่างไหน...

Tags: อวัศยา,หมอก,ธุมเกตุ,ธุม,รักแรก,ซึ้งกินใจ

ตอน: บทที่ ๑ หมอกกับควัน



ใต้ร่มไม้ใบบังภายในขอบรั้วของมหาวิทยาลัย สำหรับวันหยุดปิดภาคเรียน ความคึกคักหายไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังห่างไกลเกินคำว่าเงียบเหงา

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เป็นมหาวิทยาลัยชานเมือง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ว่างและชุมชนเล็กๆ ไร้ซึ่งตึกระฟ้าแออัดต่างจากมหาวิทยาลัยในตัวเมือง สายลมช่วงปลายฝนต้นหนาวจึงปราศจากสิ่งกีดขวาง

ลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ บางครั้งเบียดกระแซะกิ่งไม้จนไหวยวบ ไม่ก็หอบหิ้วใบไม้แก่จัดปลิวจากขั้วม้วนตัวลงสู่พื้น มีบางส่วนลอยล่องไปหล่นในสระบัวสายสีแดงกว้าง ที่มีศาลาริมน้ำล้อมรอบ อันจะมีประจำทุกตึกคณะ

ภายในศาลานั้นมองเห็นนักศึกษาในชุดลำลองประปราย บ้างนั่งอ่านหนังสือ บ้างนั่งจับกลุ่มพูดคุยหัวเราะ บางส่วนปูเสื่อนั่งเล่นใต้เงาไม้ริมน้ำ

ห่างออกไปไกลจากผู้คนมากทีเดียว ลงต้นแก้วออกดอกสีขาวโอบล้อมชมพูพันธ์ทิพย์เป็นวงกลม แล้วปลูกต้นโมกข์เสมือนกำแพงไล่ระดับชั้น ทำให้ดูคล้ายปราการสีเขียวกั้นสายตาคนที่มองเข้าไป ด้านในวงล้อมคือพื้นหญ้านุ่ม ที่ถูกแสงส่องสว่างลงมา ให้ความรู้สึกคล้ายถ้ำที่มีทางออกเพียงทางเดียวคือต้องปีนป่ายขึ้นไปทางปากปล่องที่สูงชัน มันเป็นฝีมือการออกแบบของนักศึกษาคณะภูมิสถาปัตย์ ซึ่งได้รับคำชมอย่างมากจากผู้พบเห็น

และตรงนั้น...มีสาวน้อยผมยาวร่างเล็กแบบบางคนหนึ่งยืนก้มหน้าก้มตา เธอสวมเสื้อแขนสามส่วนกับกางเกงยีนส์พอดีตัว ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเกือบดำ ทิ้งตัวประบ่า ปอยผมบ้างระข้างแก้ม บ้างก็ปลิวแผ่ไปด้านหลัง กระนั้นก็ยังเห็นว่านวลแก้มระเรื่อ บ่งว่าเจ้าตัวกำลังขัดเขิน ส่วนสาเหตุคงเป็นเพราะมือเรียวนุ่มนิ่ม ที่ถูกกอบกุมไว้

มือเล็กบางในอุ้งมือใหญ่อบอุ่นแข็งแรง

เมื่อเสียงลมเบียดแทรกใบไม้สงบลง เสียงห้าวทุ้มน่าฟังก็ได้ยินชัดขึ้น มันกังวานน่าสดับ และจับหัวใจสาวน้อยเหลือเกิน

“จำได้ครั้งแรกตอนรับน้อง พอพี่เห็นหมอก พวกนั้นยังแซวว่าพี่ใบ้กินไปเลย”

ดวงตายาวใหญ่มีแววหวานเป็นนิจทอดจับแต่คนตัวเล็ก คิ้วเข้มพาดเฉียงยิ่งเสริมมนตร์ในดวงตาเขา และริมฝีปากบางหยัก ก็แย้มออกเป็นรอยยิ้มชวนหลงใหล ทุกอย่างทุกความเพอร์เฟคบนใบหน้าคมสันนี้ ล้วนต่างเป็นเสน่ห์ที่หญิงใดเกินจะต้านทานได้

ร่างสูงใหญ่ล่ำสัน สวมเชิ้ตสีขาวกับกางเกงแสล็ค มองเห็นเนคไทที่ถูกรูดลงมาครึ่งๆ ปลดกระดุมลงมาสองสามเม็ด แขนเสื้อพับขึ้นไปถึงข้อศอก

“ตอนนั้นรู้ไหมพี่ปฏิเสธรุ่นน้องที่ไปชวนไปแล้ว แต่เจ้าพวกนั้นตื๊อเสียจนพี่อ่อนใจ คิดเสียว่ามารำลึกความหลัง ทั้งๆที่งานยุ่งจะแย่ แต่...”

รอยยิ้มแย้มพราย เสียงพูดราวกระซิบ

“พอมาแล้วก็ถึงรู้ จากที่เคยนึกรำคาญ ตอนนี้พี่อยากขอบคุณเจ้าพวกนั้นเสียมากกว่าไม่รู้หมอกจะเชื่อไหม แต่มันเป็นวันที่พี่เข้าใจกับคำว่าตกหลุมรัก มันเป็นรักแรกพบที่พี่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตัวพี่เลย”

สาวน้อยผู้เอียงอายยังคงหลบตา และชายหนุ่มก็ขยับเข้าไปใกล้เธออีกนิด เขายกมือเรียวเล็กนั่นขึ้นวางทาบกับตำแหน่งหัวใจของเขาเอง

“หัวใจของพี่ตั้งแต่วันนั้น จนวันนี้มันก็ยังย้ำอยู่แบบนั้น”

เขาเอื้อมมืออีกข้างไปเชยคางมนของหญิงสาวให้แหงนเงยขึ้น ดวงตายาวเรียวสีน้ำตาลแก่สุกใสมองสบกับเขาก่อนที่เธอจะเบนสายตาหลบ ร่างบางสะเทิ้นอาย เมื่อฝ่ามือใหญ่อบอุ่นวางแนบกับนวลแก้มแดงจัด

ปลายนิ้วโป้งไล้ผิวเนียนระเรื่อ สัมผัสแผ่วเบาถนอมก่อให้เกิดกระแสไฟแล่นปราดไปทั่วร่างเล็ก สาวน้อยถึงกับตัวสั่น หัวใจเต้นระรัวมากขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจเองติดๆขัดๆ และคนที่ก่อปฏิกิริยานี้ให้เกิดแก่เธอก็ดูพึงใจ

“พี่รักหมอก รักตั้งแต่แรก พี่เพิ่งรู้ว่าเมื่อเราได้เจอคนที่ใช่หัวใจของเราจะมีความสุขมากแค่ไหน และมันคงแหลกยับลงตรงนี้ ถ้าหากว่าหมอก... ไม่ได้รู้สึกเหมือนกันกับพี่”

ร่างสูงใหญ่ราวหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร รั้งร่างเล็กอกชรที่เตี้ยกว่าเกือบยี่สิบเซนติเมตรเข้ามาใกล้ บังคับดึงดันให้เธอซบลงกับอกกว้างของเขา ก่อนเลื่อนมือลูบกลุ่มผมดกหนา พลางกดจมูกลงกักเก็บกลิ่นหอมจากเรือนผมสลวย

“หมอก...”

เขากระซิบถามออดอ้อนที่ข้างใบหู

“หมอกจะตอบพี่ได้ไหม ว่าหมอกรู้สึกเหมือนกันกับพี่หรือเปล่า”

ชายหนุ่มดันร่างเล็กออกห่าง สองมือแข็งแรงโอบประคองใบหน้านวลเนียนให้แหงนมอง เส้นผมสลวยคลอเคลียสัมผัสมือ ให้ความรู้สึกเหมือนม่านไหมทิ้งตัวเคลียคลอ

เขาค่อยโน้มหน้าลงเข้ามาใกล้ๆ ปลายจมูกเราแตะชิดกัน ลมหายใจผสมปนรวมกัน ริมฝีปากห่างแค่เส้นด้ายกั้น ยามขยับพูดริมฝีปากแตะผ่านส่งกระแสความรู้สึกวาบหวามให้แล่นพล่าน เสียงหัวใจเต้นดังระทึกอยู่ในอก มือเรียวเผลอไผลยกขึ้นวางทาบกับแผงอกกว้าง

ดวงตาคู่งามสั่นไหว ค่อยหรี่ลงเมื่อมองตามสายตาเขาที่ค่อยเลื่อนลงจับริมฝีปากเธอ

“พี่รักหมอก”

เธอหลับตาลง สัมผัสแผ่วเบาแนบลงมาให้คล้ายโดนปีกผีเสื้อสัมผัส ก่อนถอยห่าง แล้วแนบลงมาอีกครั้ง เมื่อเธอถูกรวบให้เข้าสู่อ้อมแขนแกร่ง

ชายหนุ่มบดเบียดริมฝีปากลงมากักเก็บรสหวานฉ่ำ และตักตวงอย่างคนรอนแรมกลางทะเลทรายมาพบแหล่งน้ำ ส่วนสาวน้อยในอ้อมแขนซึ่งไร้ประสบการณ์ ตัวอ่อนระทวยกับจุมพิตหวานล้ำ ราวกับเพิ่งได้ลองชิมเมรัย

เป็นนานกว่าริมฝีปากอิ่มจะได้รับอิสระ หญิงสาวหอบเอาอากาศหายใจ ใต้อกเธอเจ็บไปหมดด้วยแรงเต้นของหัวใจ มือของเธอยังวางทบอกกว้างหนา ส่วนเขาแนบหน้าผากเธอกับ หอบหายใจไม่ต่างกัน แต่ปลายนิ้วแข็งแรงยังลูบไล้เรียวปากที่เจ่อบวมขึ้นมาช้าๆ

“พี่รักหมอก แล้วหมอกล่ะรักพี่หรือเปล่า”

สาวน้อยกะพริบตาถี่ๆ ก่อนพิงซบกับอกกว้าง รอยยิ้มเล็กๆแย้มออก

“หมอกก็รักพี่ธุมค่ะ”

รอยจูบหนักหน่วงประทับลงมาข้างขมับ อ้อมกอดแกร่งรัดเธอแน่น เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นใกล้ๆ เธอหลับตาลงและซึมซับเอาเสียงเต้นของหัวใจที่ได้ยินอยู่ใกล้ๆ

เธอรักเขา... รักมากจริงๆ

สายลมหอบผ่าน หมุนเปลี่ยนให้ภาพเหล่านั้นมลายหายไปสิ้น มันเลือนรางจางไปเหมือนกับภาพบนจอโปรเจ็คเตอร์ แล้วถูกครอบไว้ด้วยหมอกหนาขาวขุ่น ก่อนค่อยๆจางลง และมองเห็นสถานที่เดิม บุคคลก็เช่นเดิม เพียงแต่เพิ่มหญิงสาวเข้ามาอีกหนึ่งคน

สาวน้อยคนเก่าผู้แสนซื่อ ยืนตัวแข็งทื่ออยู่หลังพุ่มโมกข์ ตามองจ้องไปยังชายผู้ที่เธอรัก และเขาบอกว่ารักเธอ กำลังโอบกอดกับผู้หญิงอีกคน

สาวน้อยได้ยินเต็มสองรูหู เมื่อเขา... คนที่บอกว่ารักหนักหนา คนที่ได้รับกอดแรก จูบแรก และเป็นคนรักคนแรกของเธอ กำลังบอกรักกับ...ผู้หญิงคนนั้น พร้อมยืนยันว่าเขา... ไม่ได้รักเธอ หญิงสาวตัวสั่นสะท้านกำมือแน่น เมื่อแน่แก่ใจแล้วว่าคำรักของเขามันมีค่าแค่ไหน

เธอหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนก้าวออกไปช้าๆ แสดงตัวให้คนทั้งสองรับรู้ว่า พวกเขาได้มีพยานรู้เห็น การสารภาพรักอันหวานซึ้งนี้อยู่อีกหนึ่งคน

ฝ่ายชายผละออกและดูตะลึง ส่วนฝ่ายหญิงมองเธอเฉยชาทั้งๆที่มองเห็นม่านน้ำตา ดูเหมือนจะสะใจเสียด้วยซ้ำ

“หมอก--”

เพี้ยะ! แทนคำตอบรับคือฝ่ามือน้อยที่วาดผ่านอากาศออกไป ใบหน้าคมสันหันไปตามแรงกระทบ เขายกมือขึ้นแตะแก้ม หันมามองเธอด้วยความงุนงง แต่หญิงสาวก้าวห่างจากเขาแล้วในเวลานั้น ก่อนตะโกนใส่หน้าผู้ชายหลายใจว่า

“ไอ้ผู้ชายหลอกลวง!”

เสียงตะโกนดังลั่นนั้น ลอดออกมาจากห้องนอนซึ่งเปิดประตูแง้มไว้ ยังผลให้ชายร่างใหญ่วัยสามสิบต้นๆผิวขาวออกเหลือง ที่กำลังล้างกระทะถึงกับสะดุ้ง เขาหันขวับไปมองยังด้านหลังทันที ก่อนรีบเช็ดมือให้แห้ง เดินผ่านเคาน์เตอร์บาร์ ตรงไปยังห้องนอนใหญ่

มือแข็งแรงเอื้อมผลักบานประตูเข้าไป และเขาก็ยกมือขึ้นเท้าสะเอว มองคนหลับซึ่งนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ด้วยสายตากึ่งเป็นห่วงแกมระอา

“ไอ้หมอก!”

เสียงห้าวทุ้มดังขึ้นผ่านริมฝีปากหนา ทาด้วยลิบสติกนู้ดสีพัมพ์กินไพน์

คิ้วเข้มบนใบหน้ากลมๆที่กันจนโค้งเป็นวงพระจันทร์ขมวดมุ่น แพขนตาบางยาวขยับขึ้นขยับลงเมื่อเจ้าตัวกะพริบตาถี่ๆ มองเห็นเปลือกตาที่ถูกระบายบางๆไว้ด้วยอายแชโดว์ซึ่งช่วยให้รอบดวงตาดูกระจ่าง

“แก๊! ตื่นได้แล้ว เอะอะลั่นคอนโดเชียว”

เขาย้ำอีก และคนหลับก็ยังไม่รู้สึกตัว ชายหนุ่มสวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูหวาน ทับกางเกงยีนส์พอดีตัวกับเชิ้ตสีฟ้าแขนสั้นเก็บชายในกางเกงเรียบร้อย และถุงเท้าสีชมพูเยื้องย่างเข้ามาในห้อง แล้วทรุดลงนั่งไขว่ห้างข้างเตียง แขนข้างหนึ่งวางเท้ากับพื้นที่นอน ส่วนอีกมือเอื้อมไปเขี่ยๆที่หัวไหล่คนหลับ

“ตื่นได้แล้วย่ะ แม่เจ้าหญิงนิทรา!”

คราวนี้ได้ผล เพราะคนปลุกใช้มือ‘เขี่ย’เบาๆ จนคนละเมอหัวตกหมอน ส่งผลให้ดวงตาสีน้ำตาลแก่ยาวเรียวที่ปิดอยู่เปิดปรือขึ้น

อวัศยาสะดุ้งเฮือก เธอหอบหายใจ จ้องมองเพดานห้องนอนสีครีมในคอนโดของตัวเองอย่างงุนงง หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้า และสัมผัสกับหยดเหงื่อที่ผุดเต็มหน้าผาก ก่อนเลื่อนสายตาไปยังข้างเตียง พบว่าบดินทร์เดช เพื่อนสนิทกำลังนั่งเท้าคางมองเธออยู่

“อะไร” หญิงสาวถามแล้วก็หลับตาลง ถอนหายใจยืดยาว

“อะไรยังไงล่ะ อี๋แกนี่สกปรก น้ำท่าไม่อาบนอนกลิ้งนอนเกลือก”

“หื้อ! ก็เหนื่อย ไว้นอนพอแล้วค่อยอาบก็ได้ ว่าแต่มีอะไร ที่ปลุกเนี่ยเพื่อจะให้ฉันอาบน้ำงั้นเหรอ” คนพูดถอนหายใจเฮือกใหญ่ บอกเสียงออด “นี่แก-ก-ก-ก ก็บอกแล้วไงว่าขอนอนยาว แกจะปลุกฉันทำไมน่ะหมีเดช”

แก้มของบดินทร์เดชขึ้นสีทันตา แม้ว่าแต่แรกจะเป็นสีระเรื่อเพราะบลัชออนอยู่แล้วก็ตาม ชายหนุ่มกัดปากเหลียวซ้ายมองขวาหาของ

“ปากเสียมาก-ก-ก-ก ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้!”

‘หมีเดช’สะดุดตากับหมอน แล้วหยิบปาใส่หน้าเพื่อนตัวเล็ก

“แกจะเรียกฉันว่าเดชก็เรียกไป” ชื่อเล่นของบดินทร์เดชคือเดช และอวัศยาก็ชอบเรียกแบบผิดๆ ทั้งๆที่เจ้าตัวพึงใจให้เรียกว่าเดซี่ “จะเรียกว่าหมีเดชทำไม”

“ก็แกตัวใหญ่เหมือนหมี”

บดินทร์เดชหยิบหมอนฟาดอีกหนึ่งตุ้บ

“ฉันละเบื่อจะต่อปากต่อคำกับแก เอ้อ! แล้วขอโทษนะ ที่ต้องปลุกก็เพราะแกดันละเมอ ตะโกนดังไปสามห้องแปดห้อง ป่านนี้คนทั้งคอนโดไม่ตกใจแย่เหรอ คงนึกว่าโดนปล้น” ชายหนุ่มถอนหายใจ “แล้วแกฝันอะไรล่ะหมอก ตอนฉันเดินเข้ามาเห็นกระสับกระส่าย นี่ถ้าไม่รู้จักกันดี ฉันคิดว่าแกผีเข้า”

“ไม่มีอะไร”

อวัศยาตอบเลี่ยงๆไป ด้วยการพลิกตัวนอนคว่ำ ยกคอขึ้นมองนาฬิกาบนโต๊ะข้างหัวเตียง ก่อนซุกหน้าลงกับหมอนบ่นอู้อี้

“จะเที่ยงคืนแล้วแก นอนต่อได้ยัง”

บดินทร์เดชถอนหายใจ เอื้อมมือไปหยิบผ้าห่มผืนใหญ่สีน้ำตาลขึ้นมาคลุมให้หญิงสาว ก่อนหันไปปิดไฟในห้องที่เคยเปิดไว้ จนเหลือเพียงแค่โคมไฟหัวเตียงซึ่งสองแสงสลัว

“อื้อ ฉันเพิ่งล้างจานเสร็จกะว่าจะไปอาบน้ำนอนเหมือนกันวันนี้เพลี้ยเพลีย”

อวัศยาซึ่งคว่ำหน้ากับหมอนหัวเราะคิก

“แก‘เพลี้ยเพลีย’แต่หน้าแน่นเว่อร์ แถมอิผมหัวเห็ดเหมือนนิว วงศกรนี่ ยังเซ็ตอยู่ตัวไม่มีกระดิกแม้แต่เส้นเดียว เพลียจริงๆเนาะ”

“หู้ยปากแก!” แต่บดินทร์เดช หรือ เดซี่ไม่สน ยังจีบปากจีบคอ

“ผู้หญิงสวย ห้ามหยุด ห้ามโทรม ห้ามหลงเสน่ห์ชายย่ะ!”

“เออ!” หญิงสาวรับคำกลั้วหัวเราะฟังอู้ๆอี้ๆ เพราะยังซุกหน้ากับหมอน บดินทร์เดชขยับลุกขึ้นยืน ขยับออกไปจากห้อง แต่ก็ยังหยุดมองมาจากหน้าประตูห้อง

ชายหนุ่มค่อยๆปิดประตูลง ก่อนชะงักทอดถอนใจ

“หมอก แกฝันถึงพี่เค้าใช่มะ”

ไม่มีคำตอบมีเพียงความเงียบ ไม่มีปฏิกิริยาทางร่างกายใดๆ ราวกับว่าเธอหลับไปแล้ว

“ฉันขอโทษ แต่แค่อยากบอกว่ามันผ่านมานานแล้วนะแก”

บดินทร์เดชค่อยปิดประตูลง เสียงฝีเท้าเบาๆห่างออกไป และอวัศยาที่นอนคว่ำหน้าก็ลืมตาขึ้น เธอพลิกตัวนอนหงาย ยกมือขึ้นลูบหน้าแรงๆ

ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววหม่นเศร้า

เธออยากลืม แต่ลืมไม่ได้จริงๆ




เสียงครวญครางดังกระเส่าเล็ดรอดออกจากริมฝีปากอิ่มสีแดงสด หญิงสาวเจ้าของร่างอวบอัดในชุดเดรสสั้นสีดำแอ่นตัวขึ้น ยามที่เธออิงแผ่นหลังกับผนังห้องนอนข้างประตู ดวงตาเปิดปรือมองเลื่อนลอย สองมือขยุ้มกุมกำกลุ่มผมดกหนาของชายหนุ่มหล่อเหลา

“ธุม...”

เสียงเรียกร้องเว้าวอน ก่อนที่เธอจะดึงเขาให้แหงนมอง ทรวงอกอิ่มชูชวนเย้ายั่วซึ่งเผยตัวจากชุดที่สวม เดรสตัวงามตอนนี้หลุดกองลงไปอยู่ที่เอว

เธอเลียริมฝีปากแล้วประกบริมฝีปากลงกับเขา แทรกเรียวลิ้นเกาะเกี่ยวกันและกัน มือน้อยเลื่อนลูบลงไปถึงขอบกางเกง จัดการกับเข็มขัดและปลดซิบให้เลื่อนลง เสียงครางแผ่วหวิวเมื่อฝ่ามือแข็งแรงเลื่อนลูบปทุม จัดการกับปลายยอดทับทิมซึ่งหดเกร็ง ก่อนเลื่อนลงไปตามผิวเอว ผ่านสะโพกและชุดเดรสก็เลื่อนลงไปกองกับพื้น

“ธุมขา”

หญิงสาวแหงนเงยเปิดทางให้จูบร้อนแรงลากผ่านลำคอ มือเรียวกำยึดกลุ่มผมนุ่ม เมื่อ ปลายนิ้วร้อนลวดแทรกผ่านเข้ามาในกาย ส่วนชั้นในตัวน้อยที่สวมเลื่อนหล่นไปกองที่ข้อเท้าข้างหนึ่ง ขาเรียวยาวข้างหนึ่งพลันตวัดรัดรอบท่อนขาแข็งแกร่ง

เพลงพิศวาสจากปลายนิ้วห้ำหั่นจนเธอหายใจแทบไม่ออก ก่อนจะกรีดร้องเสียงก้องเมื่อสุขสม ไม่ทันได้หายเหนื่อยหญิงสาวก็หัวเราะคิก หลังถูกดันตัวออกและพลิกให้แนบหน้าไปกับกำแพงห้อง ฝ่าใหญ่อุ่นหนาเลื่อนลูบจัดการจนชุดหลุดออกจากร่างของเธอ

“วิกกี้” เสียงนุ่มกระซิบเรียก และสาวเจ้าก็ผลักเขาออก

เธอหันมาหาเขาโน้มใบหน้าคมคายให้ก้มลงมาอีกครั้ง มอบจูบปรนเปรอและตัวเธอก็ถูกยกขึ้นอุ้ม ความแกร่งร้อนผสานในตอนนั้น หญิงโอบรอบลำคอแกร่ง จิกเล็บกับผิวเนื้อตึงแน่นผ่านเนื้อผ้า เสียงคำรามแหบห้าวดังขึ้นข้างหู หลังเธอกับเขาขยับเข้าไปใกล้เตียงนอนทุกที

ร่างสูงใหญ่ทรุดลงนั่ง โดยมีร่างเล็กนั่งคร่อมอยู่บนตัก วิกกี้ปรือตามองหนุ่มหล่อที่เธอเพิ่งได้เจอกับเขาวันนี้ ยิ้มยั่วยวนและเอื้อมมือต่ำลงไปยังซิกแพ็ก

เสียงคำรามอย่างเจ็บปวดดังขึ้น เมื่อเธอขยับมือลงไปถึงกลางกาย หญิงสาวมองใบหน้าคมสันชวนหลงใหลซึ่งดูเจ็บปวดเหลือเกินอย่างพึงใจ หมายจะทรมานเขามากกว่า และทำให้เขาติดเนื้อต้องใจในตัวเธอให้ได้

หญิงสาวปล่อยมือ และโหย่งตัวขึ้นเผื่อสอดผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับชายหนุ่ม เธอมอบจูบให้เขา บดเบียดทรวงอกอวบเข้ากับแผงอกกว้าง ก่อนจะเริ่มขยับตัวอย่างเร่าร้อน

ทว่าไม่นานเลย มือแข็งแรงซึ่งนวดเฟ้นปทุมถัน ก็เลื่อนลงไปจับยึดเอวบางไว้มั่น และเป็นคนคุมจังหวะรักนั่นเสียเอง

ห้องนอนตกแต่งด้วยสีพาสเทลตอนนี้ร้อนเป็นไฟ ธุมเกตุพลิกตัวแม่สาวไฟแรงสูงให้ลงนอน ก่อนที่เขาจะตามลงทาบทับ แทรกตัวผสานและควบขับจังหวะที่เคยชิน

เสียงครวญครางดังลั่นสลับกับเสียงคำรามแหบห้าว เพลงพิศวาสเพิ่งเริ่มต้นและคงจะบรรเลงไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนเช่นทุกครั้งที่เป็นมา เพราะไม่ว่าสาวคนไหนที่เคยขึ้นเตียงกับ ธุมเกตุ สวัสดิรัตน์ ต่างก็หลงใหลในบทรักเร่าร้อนของเขากันจนโงหัวไม่ขึ้น

ทว่า... ตำแหน่งนั้นก็เป็นได้แค่คู่นอนชั่วคราว

ทายาทหนุ่มอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ไม่เคยควงผู้หญิงคนไหนเกินหนึ่งเดือน และผู้หญิงทุกคนที่ผ่านเข้ามา จะอยู่ในกรอบของการตอบแทนซึ่งกิจกรรมบนเตียงอันแสนเร้าใจ และการกินดื่มเท่านั้น

ไม่มีการเป็นเจ้าของ

สถานะชัดเจนแค่ ‘เพื่อนบนเตียง’

ทุกค่ำทุกคืนที่ผ่านมา หากเมื่อใดอารมณ์เหงาลึกในใจกำเริบเมื่อไหร่ ธุมเกตุจะเสาะแสวงหาเรือนร่างอรชรอุ่นๆ เพื่อช่วยปลอบประโลม ซึ่งในคืนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งคืน

เขาห้ำหั่นชิงชัยในศึกสวาทกับแม่สาวสวยบนเตียงอยู่เกือบสามชั่วโมง จนเจ้าหล่อนเหนื่อยอ่อนและผล็อยหลับไป ส่วนตัวเขาเองยังไม่หลับ ชายหนุ่มอาบน้ำเสร็จแล้วและแต่งตัวเรียบร้อย ก่อนออกมาหยิบนาฬิกาบนโต๊ะข้างหัวเตียง ใกล้ๆกับกระเป๋าถือแบรนด์แนมราคาแพง ซึ่งเพิ่งซื้อให้กับคนบนเตียงเพื่อเป็นของกำนัล

คู่นอนของชายหนุ่มย่อมรู้ดี เขาไม่เคยร่วมเตียงกับใคร หลังจากตักตวงรสรักจากกันและกัน ธุมเกตจะหายตัวไป ราวกับเรื่องที่เกิดไม่มีความหมายใดๆ

ร่างสูงใหญ่ขยับจะเดินออกจากประตูไป แต่แสงไฟและทิวทัศน์ยามค่ำคืนกลับทำให้ชะงัก แสงวิบวับตามตึกสูง มองเห็นละอองหมอกจางๆ ในเช้ามืดของช่วงเริ่มต้นหน้าหนาวเช่นนี้ มันตัดกับท้องฟ้าจนทำให้เขานึกถึงใครบางคน

เจ้าของดวงตาคู่หนึ่ง ซึ่งเขาได้เจอเมื่อนานมากแล้ว

ธุมเกตุถอนหายใจ เขาเดินออกจากห้องและปิดประตูลงแสนเบา แผ่นหลังเหยียดตรง เมื่อชายหนุ่มก้าวเดินไปข้างหน้า

อดีตก็แค่อดีต ผ่านแล้วผ่านไป ไม่มีทางจะหวนกลับมา




เป็นเวลาตีห้าครึ่งแล้ว ตอนที่บดินทร์เดชรู้สึกตัวตื่น เขามองนาฬิกาที่วางอยู่บนหัวเตียง ก่อนขยับตัวบิดขี้เกียจอย่างถ่วงเวลาที่จะลุก

ห้องนอนนี้เป็นห้องนอนไว้รับรองเพื่อนกับญาติของอวัศยา ตกแต่งด้วยแนววินเทจ ซึ่งบดินทร์เดชจับจองมากกว่าใครเพื่อน ส่วนมากถ้าหากว่างานเลิกดึก ชายหนุ่มจะพักที่นี่มากกว่าจะเลือกขับรถกลับบ้านที่อยู่แถวฝั่งธน

ราวสิบนาทีต่อมาเขาก็ขยับลุกขึ้นนั่ง ทำให้เห็นชุดนอนเจ้าหญิงสีชมพูอ่อน ผมทรงหัวเห็ด ที่ถูกสระไร้การแต่งทรง ตอนนี้บานออกน้อยๆ อย่างที่อวัศยาค่อนเอาบ่อยๆ...

ว่าพอตื่นเช้า เห็ดบนหัวเขาก็บาน!

บดินทร์เดชลุกขึ้นยืนกรีดกราย บิดซ้ายบิดขวา ก่อนเดินไปเปิดผ้าม่านสีฟ้าอ่อนออก แล้วกลับหลังหัน ผ่านตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเครื่องแป้งตรงไปยังห้องน้ำ เกือบยี่สิบนาทีเขาก็ออกมา ยุรยาตรตรงไปที่ประตูพร้อมกับฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี

ฝ่ามือแข็งแรงของช่างแต่งหน้าหนุ่มปิดประตูลง อารมณ์ดีๆของเขาสำหรับเช้านี้ลดลงไปเกือบครึ่ง เมื่อมองไปที่ชุดโซฟารับแขกหน้าทีวีจอใหญ่ติดกับห้องนอนของเจ้าของคอนโด บดินทร์เดชถอนหายใจเฮือกใหญ่

“สรุปตื่นมากลางดึกอีกแล้วสิเนี่ย ยัยหมอกเอ๊ย!”

โซฟารับแขกสีน้ำเงินสดจัดวางเป็นครึ่งวงกลม บนพื้นไม้ยกระดับ บนนั้นจากที่หมอนหนุนเคยวางเป็นระเบียบ ตอนนี้กระจัดกระจาย วางระเกะระกะสุมๆอยู่กับผ้าห่มสีหวาน ซึ่งขยุกซุกๆไว้อย่างลวกๆ มองเห็นกองหนังสือวางอย่างไม่เป็นระเบียบบนโต๊ะกระจกใส

บดินทร์เดชถอนหายใจ แล้วเยื้องย่างกระชดกระช้อยปานนางหงส์ เพื่อตรงไปจัดกองหนังสือและกลุ่มหมอนให้อยู่ในรูปในรอยเหมือนที่เคยเป็นมา จัดตั้งหนังสือให้สันเท่ากัน ก่อนหยุดเอามือแตะคาง แล้วขยับโซฟาเดี่ยวที่เลื่อนออกมาจากมุมห้อง ให้กลับเข้าไปยังที่ของมัน

เวลาหมดไปสิบนาทีเช่นกัน เมื่อเขาผลักนั่นดันนี่ให้เข้าที่เข้าทาง จนคล้ายกับสภาพห้องที่พอจะใช้รับแขกได้
ชายหนุ่มเหลียวมองห้องนอนใหญ่ซึ่งปิดประตูเงียบ ก่อนเดินจากมาผ่านโต๊ะทานข้าว แล้วเลี้ยวเข้าสู่ส่วนครัว เพื่อจัดการกับอาหารเช้า เหมือนๆกับที่เขาเคยทำมาเกือบเจ็ดปีแล้ว

ราวครึ่งชั่วโมงกลิ่นหอมๆก็อวลไปทั่วห้อง พร้อมกับเสียงเดือดปุดๆ และควันขาวที่ถูกดูดเข้าไปในปล่องควัน

บดินทร์เดชปิดแก็ส ล้างไม้ล้างมือทำความสะอาดครัวจนเกลี้ยงเกลา แล้วเดินออกมาตรงไปยังห้องนอนใหญ่อีกครั้ง เขาเคาะเบาๆสองสามครั้ง ก่อนได้ยินเสียงขานรับอือออ จึงได้ผลักเข้าไป อวัศยาในชุดเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งย้วยๆ กับกางเกงเลยกคอขึ้นมอง ก่อนซุกหน้าลงกับหมอนข้างที่กกกอด

ชายหนุ่มมีสีหน้าโล่งใจ อย่างน้อยแม่นี่ก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างละ!

“ตื่นได้แล้วแก วันนี้อากาศดีดี๊”

“อื้อ”

บดินทร์เดชยกมือเท้าสะเอว “นับหนึ่งถึงสามไม่ลุก อด!”

“โหดมาก!” หญิงสาวลุกขึ้นนั่งงัวเงีย ดวงหน้าอ่อนใสยังดูสะลึมสะลือ และคนขู่ก็หัวเราะร่า พิศเพื่อนสาวตัวเล็กอยู่นิ่งๆ ในระหว่างที่ฝ่ายนั้นอ้าปากหาว และยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมตัดสั้นเคลียไหล่ไปมา

คือ...เขาก็ไม่ได้ยอเพื่อนหรอกนะ แต่ขนาดเพิ่งตื่นอวัศยาก็ยังดูสวย ฟ้าไม่ยูติธรรม!

“ทำไมแกไม่เกิดมาเป็นผู้ชายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ หรือไม่ก็สลับร่างกับฉันนี่”

เสียงบ่นกระปอดกระแปดทำให้อวัศยาชะงัก และหัวเราะออกมาเบาๆ จนมองเห็นไรฟันขาวราวไข่มุก สองข้างแก้มบุ๋มลงเป็นรอย เสริมให้ดวงหน้าอ่อนใสดูมีเสน่ห์เป็นเท่าตัว

พอยิ้มก็สวยขึ้นเป็นกอง เสียแต่ชอบทำหน้ายักษ์นี่ละ ที่แก้ไม่หาย!

คนมองนึกค่อนในใจ

บดินทร์เดชรู้จักกับอวัศยาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนแรกๆที่รู้จักกัน ชายหนุ่มไม่ได้แกรนด์โอเพนนิ่งขนาดนี้ แต่พอเวลาผ่านไป คบค้ากันเรื่อยมา เขาก็เลิกปิดบัง และแสดงออกแบบไม่สนใจสายตาคนอื่นอีกเลย แถมยังมั่นใจแต่งตัวได้สุดๆ

ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะความมั่นใจที่อวัศยามอบให้เขา

ฉะนั้นอวัศยาสำหรับชายหนุ่มจึงเป็นมากกว่าเพื่อน และเขาก็ปรารถนาอยากให้เธอได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ และไม่อยากเลยที่จะเห็นผู้เป็นเพื่อนเป็นเช่นนี้



==================================================================>>>>>>


ดีค้า พาพี่ธุมกับยัยหมอกมาส่ง ว่าแต่ อย่าเพิ่งอยากตื้บพี่ธุมน้า 5555+


คุณZephyr เฟอร์รี่จัง มาแระ มาแระ มิได้ยั่วรุยบอกเลย อิๆ
คุณkaelek บทลงโทษน่ารักมาก เปิดฉากมาเฮียก็หื่น เฮียเป็นผู้ชายนิสัยไม่ดีหักอกสาวๆเป็นว่าเล่น
คุณคิมหันต์ มาม่าอยู่ในระดับกลาง ประมาณครึ่งหลังค้า ฮิ้วววววววววววววว
คุณกาซะลองพลัดถิ่น กลับมาแย้วค้าบพี่หญิง อิๆ

และคุณๆรีดเดอร์นะคะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่าน มาคุย มากดคะแนนให้

เรื่องนี้ผู้หญิงขี้กลัว กับผู้ชายยอดตื๊อแถมยังเจ้าชู้พ่วงขี้หึงด้วยค่ะ ฮิ้วววววววววววววว


วันนี้ไปแล้วนะคะ เจอกันพรุ่งนี้ คืนนี้หลับฝันดี ราตรีสวัสดิ์จ้ะ ^O^



ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ส.ค. 2558, 18:37:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ส.ค. 2558, 18:37:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1949





<< บทนำ รักหรือคนรัก   บทที่ ๒ ขั้นเทพ >>
sai 31 ส.ค. 2558, 19:24:14 น.
รอดูนายธุมตื้ออ่ะๆๆๆๆ


Zephyr 31 ส.ค. 2558, 20:04:24 น.
มา เค้าเตรียมรองเท้าเบอร์38 รอพี่ธุมละ

เอาตรงไหนดีคะ เลือกได้นะ
แค่เจ็บตัวรึสูญพันธ์ ตอบบบบบบบ!!!!


agentaja 31 ส.ค. 2558, 21:51:01 น.
เอาไง มาถึงเปิดตัวก็เจอเลย


kaelek 31 ส.ค. 2558, 22:54:41 น.
เก็บก้านมะยมไว้แป๊บ เฮียมาก็หื่นเลย ตาค้าง น้ำลายไหล เอ้ย!! ไม่ใช่ ตกใจหมดเลย ..กับหนูหมอก หื่นกว่านี้มั้ยอ่ะ


konhin 1 ก.ย. 2558, 00:14:35 น.
ผู้หญิงเข็ดผู้ชายเจ้าชู้ ว่าแต่ จะให้มาเจอกันเมื่อไหร่น้อออออออออ


กาซะลองพลัดถิ่น 1 ก.ย. 2558, 02:56:38 น.
มาถึงก็หื่น เอ้ย หืดขี้นคอเลยนะนายธุม
หมีเดช ชอบจัง อ่านไปนึกถึงหน้าเพื่อนกะเทย (อดีต) สมัยเรียนไปด้วย สมัยก่อนเรียกเพื่อนคนนี้ว่า กะเทยควาย ...
คาดเดาจากบทนำ ว่า พระเอกคือ คนเดียวกัน .....
แต่เรามิอาจไว้ใจไรเตอร์ได้ ....ตราบใดที่ทะเลยังมีคลื่น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account