รักแรกแลกรัก -ปิดจองแล้วนะคะ
ในความทรงจำของคุณ ถ้าย้อนกลับไปแล้วให้เลือกระหว่าง...
การมีความรักครั้งแรกที่ฝังใจอย่างไม่รู้เลือน
กับการเป็นคนรักคนแรกของใครสักคนที่แสนสำคัญยิ่ง
คุณจะเลือกอย่างไหน...

Tags: อวัศยา,หมอก,ธุมเกตุ,ธุม,รักแรก,ซึ้งกินใจ

ตอน: บทที่ ๓ อดีตที่กลับมา


อวัศยากลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดฝืน เธอหลับตาลงกำหมัดแน่น อารมณ์บางอย่างที่อ่อนไหวซึ่งซุกซ่อนเก็บไว้มานาน เริ่มเล่นงานเจ้าตัวเองจนดวงตาชักร้อนผ่าวๆ เธอรู้สึกถึงหยดน้ำตาที่กำลังทะลักล้นขึ้นมาจ่อรอรินไหลได้เป็นอย่างดี

แต่แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อมีมือของใครอีกคนวางลงบนบ่า ความอบอุ่นและแรงบีบน้อยๆนั้น ช่วยดึงเธอกลับมาสู่ความจริงเพื่อหนีให้พ้นอดีตที่เลวร้าย อวัศยาหันขวับอย่างตกใจกลับมามอง และได้เห็นว่ามือคู่นั้นเป็นของบดินทร์เดช

“มีอะ--” ชายหนุ่มเอ่ยถาม แต่แล้วก็ชะงักเสียเองหลังเลื่อนสายตามองใบหน้า ของผู้ชายหุ่นดีตัวโตที่นอนคลุกฝุ่นต่อหน้า

“พี่ธุม!”

บดินทร์เดชยังอึ้ง เขาก้มลงเมียงๆมองๆร่างหนาที่นอนแผ่หลาอยู่ แต่อวัศยาผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว หญิงสาวทำเป็นไม่ได้ยิน เธอเดินกลับไปขึ้นรถ ปล่อยให้ผู้เป็นเพื่อนมองละล้าละลังเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี พอเห็นเช่นนั้น คนที่เปิดประตูกำลังจะขึ้นไปนั่งก็ตะโกนเรียก

“จะกลับมั้ยเดช หรือแกจะอยู่ ฉันจะได้ไป”

คนถูกเรียกเหลียวมองคนเจ็บ แต่สุดท้ายก็วิ่งไปขึ้นรถ

เอกรัตน์กับแก้วตามองลูกพี่สาวสลับกับบดินทร์เดช ก่อนจะได้รับคำสั่งเรียบๆให้ออกรถ หนุ่มน้อยตั้งท่าจะถาม แต่พอเห็นสีหน้าอวัศยา เขาก็หันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง แต่รถวิ่งออกมาได้ไม่เท่าไหร่ หญิงสาวเจ้าของรถก็ออกคำสั่ง โดยที่ตายังมองข้างทางนิ่งๆ

“เอก ถอยรถกลับไปช่วยผู้ชายคนนั้น”

ลูกน้องหนุ่มหยุดกึกถอยทันทีเพราะนึกอยู่แล้ว ส่วนบดินทร์เดชยกมือขึ้นทาบอก กะพริบตาปริบๆอย่างซาบซึ้ง ที่เพื่อนสาวช่างเป็นคนมีน้ำใจจนหาที่เปรียบมิได้ กำลังจะอ้าปากพูดชม อวัศยาก็ชิงพูดขึ้นก่อนเหมือนจะรู้ใจ

“ฉัน...ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ ก็แค่...รู้สึกผิดที่เห็นคนกำลังลำบากแล้วไม่ช่วย แกก็เงียบไปเลยอย่าพูดขึ้นมาอีก ไม่งั้นฉันจะปล่อยให้แกลงไปนอนเฝ้าหมอนั่นอยู่ข้างทางนี่แหละ!”

ชายหนุ่มหุบปากฉับเร่งเอกรัตน์ยิกๆ

พอไปถึงบดินทร์เดชกับเอกรัตน์ก็ไปคนลงไปหิ้วปีกของธุมเกตุขึ้นมา อวัศยาถอยลงไปนั่งเบาะหลังสุด ปล่อยให้ผู้เป็นเพื่อนนั่งเบาะเดียวกับที่ให้คนเจ็บนอน

แต่ในระหว่างนั้นรถยนต์คันหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจอด อวัศยาเหลียวมองทีแรกอย่างไม่สนใจ ระหว่างที่รอให้บดินทร์เดชกับเอกรัตน์จัดท่าจัดทางให้คนเจ็บ ประตูที่เปิดแง้มทำให้ได้ยินเสียงพูดคุยแว่วๆ

“ทำไมผมไม่เห็นเลยล่ะคุณ นี่คุณบอกผมมาถูกที่หรือเปล่า”

หญิงสาวชะงัก เขม่นมองกล้องตัวใหญ่ในมือของชายที่กำลังโทรศัพท์

“เออใช่ สถานที่มันก็ถูก แต่เดี๋ยวนะ มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ ผมจะเข้า--”

เสียงพูดขาดหาย เพราะบดินทร์เดชกลับขึ้นรถและปิดประตูเสียงดัง เอกรัตน์เองก็ขึ้นประจำที่กำลังสตาร์ตรถ ผู้ชายด้านนอกเดินใกล้เข้ามาเร็วๆ พลางชะเง้อชะแง้คอมองเข้ามาอย่างเสียมารยาท

“เอกขับออกไปเร็วๆ”

เอกรัตน์ทำตามโดยไม่ถาม อวัศยาเหลียวหลังมองไปยังผู้ชายที่ยืนมองตาวาว และกำลังตะโกนเอะอะ ชี้ไม้ชี้มือมาที่รถของเธอ บดินทร์เดชกับแก้วตาเองก็กำลังมองตากล้องสาวเช่นกัน พอเห็นอวัศยาหันมา ช่างแต่งหน้าหนุ่มก็เอ่ยถาม

“มีอะไรแก”

อวัศยาส่ายหน้า เธอขมวดคิ้วครุ่นคิด พวกนี้ไม่เหมือนนักข่าวทั่วไปที่บังเอิญมาเจอเหตุการณ์ฉุกเฉิน เพราะมันเหมือน... เหมือนกับว่า มาโดยเฉพาะเจาะจง เพราะเมื่อครู่นี่เองที่เธอได้ยินแว่วๆ ว่าพวกเขาเอ่ยชื่อธุมเกตุออกมา

และข้อสันนิษฐานของเธอก็ดูจะเป็นจริงๆ ไม่นานรถพวกนั้นก็วิ่งจี๋ตามมา ฝ่ายนั้นลดกระจก ทั้งตะโกนและพยายามจะทำให้เอกรัตน์หยุดรถให้ได้ แต่เด็กหนุ่มมีฝีมือขับรถค่อนข้างดี และหลบหลีกมาอย่างฉิวเฉียด

พวกเขาตรงไปที่โรงพยาบาล เพื่อจะไปส่งธุมเกตุที่นั่น แต่แล้วก็จำต้องเปลี่ยนทิศทาง เพราะเมื่อไปถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

เธอกลับพบนักข่าวกลุ่มหนึ่งรออยู่

เธอไม่อยากเสี่ยงโดยที่ไม่รู้อะไร และไม่อยากเป็นจุดสนใจ จึงสั่งให้เอกรัตน์กลับคอนโดทันที เมื่อสังหรณ์มันบอกว่า พวกนักข่าวกลุ่มนั้นอาจรอเก็บภาพของธุมเกตุก็เป็นได้

เธอไม่ได้ห่วงเขา ไม่ได้คิดอะไร เพราะอวัศยาก็แค่... ไม่อยากให้ตัวเธอเองต้องตกเป็นข่าวเสียเองก็เท่านั้น






ทางด้านผู้ชายที่อวัศยาเห็นโทรศัพท์นั่นก็กำลังหัวเสียอย่างหนัก เมื่อรถที่เห็นว่าช่วยธุมเกตุไว้หายไปโดยติดตามไม่ทัน ทำให้ชวดทั้งข่าวและเงินก้อนใหญ่ที่ลอยมาอยู่ตรงหน้า และในระหว่างที่กำลังขับรถวนหารถคันดังกล่าว เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาตบไฟเลี้ยว และจอดรถลงข้างทาง ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ

“เป็นยังไงบ้าง” เสียงปลายสายเอ่ยถาม

“เป็นยังไง ผมก็ไม่ได้รูปสักใบน่ะซี ไอ้รถคันนั้นคนขับแม่งดีจริง แป๊บเดียวหายวับ”

“ไม่ได้เรื่อง” ปลายสายตำหนิ และคนถูกตำหนิก็ยิ่งของขึ้น

“คนของคุณต่างหาก คุณแพททริคที่ไม่ได้เรื่อง นี่ให้ข่าวมั่วหรือเปล่า ว่าธุมเกตุ สวัสดิ์รัตน์ถูกซ้อม ทิ้งไว้ข้างทางเพราะเรื่องผู้หญิงกินไม่เลือก ผมไม่น่าเชื่อคุณเลย อย่างธุมเกตุน่ะหรือจะยอมให้มีข่าวเสียหาย ใครๆก็รู้สวัสดิ์รัตน์ถือเรื่องพวกนี้จะตาย เสียเวลาจริงๆ!”

แต่ปลายสายยังคงมีน้ำเสียงราบเรียบ

“ลงข่าวไปซะ ข่าวอะไรก็ได้ ยิ่งเป็นข่าวคาวๆเสียหายก็ยิ่งดี มีรถของมันจอดทิ้งไว้ที่...” แพททริค หรือ พีท พี่ชายของแพทริเซีย บอกสถานที่คอนโดของน้องสาวไป “แล้วเงินจะเข้าไปนอนในบัญชีของแกเล่นๆ”

สัญญาณตัดไปเท่านั้น และคนที่ถูกจ้างให้เต้าข่าวเสียหายของธุมเกตุก็ยิ้มเยาะ

“เอาวะ กำขี้ดีกว่ากำตด งานนี้ไม่ได้มากแต่ก็ไม่น้อยเกินไป”






อวัศยาเปิดยิ้มได้ เมื่อเอกรัตน์และบดินทร์เดชหิ้วปีกของธุมเกตุเข้ามาในห้องแล้ว ตอนที่เธอกำลังจะปิดประตู คามินก็มาถึงพอดี

ผู้ชายตัวสูงถึงร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ผิวขาวจัด สวมเสื้อยืดง่ายๆกับกางเกงยีนส์ ในมือมีกล่องปฐมพยาบาลมาด้วย คามินเป็นเพื่อนสนิทกับอุรณาพี่สาวคนที่สองของอวัศยามาตั้งแต่ยังเด็ก จึงพลอยทำให้เขาและเธอสนิทกันไปด้วย

คามินเป็นผู้ชายอายุสามสิบกว่าแล้ว และเป็นคุณหมอหนุ่มผู้หล่อเหลาเสน่ห์แรง ทว่ายังโสดสนิท จนเป็นเป้าหมายให้นางพยาบาลสาวๆ คนไข้สวยๆแทะโลมบ่อยๆ

“ขอบคุณค่ะพี่มีน หมอกขอโทษจริงๆที่โทร.ไปกวนพี่มีนดึกดื่นแบบนี้”

หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบเปิดทางให้หมอหนุ่มก้าวเข้ามา

“แต่มันจำเป็นจริงๆค่ะ หมอที่หมอกรู้จักก็มีแต่พี่มีน”

“คบคนน้อยก็แบบนี้แหละ”

คามินบอกกลั้วหัวเราะ ริมฝีปากค่อนไปทางหนาแย้มออกเห็นไรฟันขาว ดวงตาคู่คมสีดำสนิทเรียวยาวหยีลง เขาก้าวเข้ามาในห้องและเป็นฝ่ายปิดประตูเสียเอง อวัศยายื่นมือไปรับกระเป๋าปฐมพยาบาลมาถือให้

“เมฆบ่นใหญ่ ตอนเค้าโทร.มาแล้วพี่บอกว่ากำลังจะออกมาดูคนไข้”

เมฆ คือชื่อเล่นของอุรณา อวัศยาหัวเราะแห้งๆ

“ขอบคุณที่ไม่บอกพี่เมฆนะพี่มีน ไม่งั้นหมอกโดนบ่นหูชา”

หญิงสาวเอ่ยขณะเดินนำเขาไปที่โซฟา ที่ซึ่งธุมเกตุถูกพาไปนอน

“พี่รู้ แล้วก็ไม่ต้องทำมาเป็นเกรงใจพี่ มีอะไรเดือดร้อนก็บอก จะได้ช่วยๆกันไป ความจริงพี่เพิ่งออกเวรเมื่อสี่ทุ่มนี่เองยังไม่นอนหรอก ว่าแต่คนไข้ของพี่ล่ะเป็นใคร”

อวัศยาอึกอัก ไม่ยอมสบตาและตอบเลี่ยงๆ “เขานอนอยู่โน่นค่ะ”

เธอชี้บอกไปที่โซฟายื่นส่งกระเป๋าปฐมพยาบาลให้คามิน ส่วนตัวเองยังยืนอยู่เช่นนั้น บดินทร์เดชเดินเลี่ยงออกมาหาอวัศยา ส่วนเอกรัตน์ยืนอยู่ใกล้ๆนั่น แก้วตายกถาดใส่น้ำออกมาจากส่วนครัว เด็กสาวนำมันไปวางไว้บนโต๊ะทานอาหาร แล้วเข้าไปยืนรวมกลุ่มใกล้ๆกับอวัศยา

คามินตรวจคนไข้ฉุกเฉินอยู่พักหนึ่ง กระทั่งทำแผลให้ธุมเกตุเรียบร้อยเขาก็เก็บข้าวของ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปคุยกับอวัศยา

“ไปเจอที่ไหนมาหมอก เท่าที่พี่ตรวจคร่าวๆถูกซ้อมมาหนักเหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงน่ะนะ แค่แผลฟกช้ำดำเขียว ยังไงพี่ว่าพรุ่งนี้ถ้าเขาฟื้นก็ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกรอบจะดีกว่า ว่าแต่จะไว้ใจได้เหรอ พี่ว่าพาเขาไปส่งโรงพยาบาลไหม”

อวัศยาไม่ตอบ บดินทร์เดชซึ่งได้รู้แล้วว่าทำไมเพื่อนสนิทถึงไม่ยอมพาธุมเกตุไปที่โรงพยาบาล ทั้งๆที่ไปถึงแล้ว เห็นท่าไม่ดีเลยแทรกพลางยิ้มแห้งๆ

“เพื่อนเก่าน่ะค่ะพี่มีน ไม่น่าห่วงอะไรเลย”

ช่างแต่งหน้าหัวใจสีชมพูยกมือขึ้นโบกปฏิเสธ

หมอหนุ่มพยักหน้ารับ “งั้นไม่มีอะไรแล้วละ แต่ยังไงถ้าพรุ่งนี้ไม่ดีขึ้น ก็พาไปที่โรงพยาบาลนะ จะได้ตรวจให้ละเอียดๆหน่อย”

อวัศยารับคำเออออ คามินกลับไปในอีกครึ่งชั่วโมงหลังอยู่คุยแล้วก็รอดูอาการคนเจ็บ คุณหมอหนุ่มอาสาไปส่งเอกรัตน์และแก้วตาให้ พอลับหลังบุคคลทั้งสี่ บดินทร์เดชก็ขยับจะเอ่ยเรื่องของธุมเกตุ ทว่าหญิงสาวก็เดินหนีเข้าห้องนอนไป

ช่างแต่งหน้าหัวใจแหว๋วจึงได้แต่ทอดถอนใจ มองประตูห้องนอนอวัศยา สลับกับธุมเกตุที่ยังไม่รู้สึกตัวอย่างจนใจ

เวลาในคืนนั้นผ่านไปอย่างเรียบร้อย คนเจ็บไม่มีอาการอะไรให้น่าเป็นห่วงจนต้องหามส่งโรงพยาบาล อวัศยาตื่นนอนราวเจ็ดโมงเช้า ส่วนบดินทร์ตื่นเร็วกว่านั้นราวครึ่งชั่วโมง และออกมาเตรียมอาหารเช้าไว้รองท้องเหมือนเคยๆ

แล้วกลิ่นหอมๆ เสียงพูดคุยเบาๆก็ค่อยๆทำให้คนเจ็บได้สติ

ธุมเกตุเจ็บแปลบปลาบที่ชายโครงพอสมควรเมื่อขยับตัว ชายหนุ่มครางซี้ดซ้าดเพราะรู้สึกจุก และร้าวระบมไปหมดทั้งตัว เปลือกตาหนาขยับขยุกขยิกอยู่ครู่ เมื่อพยายามจะลืมมันขึ้นแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ไม่รู้ทำไมและเพราะอะไร มันถึงได้หนักเหมือนมีอะไรมาทับอยู่บนตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ คิ้วเข้มขมวดเป็นปม และอดทนนอนนิ่งๆอีกครู่ เพื่อรวบรวมเรี่ยวแรง ซึ่งเหือดหายไปไหนหมดไม่รู้

“พี่ธุมเหมือนจะตื่นแล้วแก”

เกือบเก้าโมงเช้าแล้วตอนที่บดินทร์เดชเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มถือแก้วกาแฟเข้ามาหยุดจ้องมองคนเจ็บซึ่งถูกทิ้งให้นอนบนโซฟา เมื่อคืนเขาพยายามขอให้ธุมเกตุได้เข้าไปในนอนในห้องเขา ทว่าเจ้าของคอนโดไม่อนุญาต

ซึ่งดูใจจืดใจดำม้าก-ก-ก!

“ก็ดี ตื่นๆแล้วจะได้ไปสักที”

อวัศยานั้นกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะทานอาหาร สายตาเหลียวมามองบดินทร์เดชกับธุมเกตุนิดหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับภาพในโปรแกรมปรับแต่งรูป หญิงสาวมัดปอยผมด้านหน้าเผยให้เห็นหน้าผากเนียน เธอสวมเสื้อยืดตัวใหญ่ กับกางเกงขายาวเนื้อนิ่ม ใบหน้าเป็นมันน้อยๆ ดูท่าทางเครียดๆ

“เออ บอสโทร.มา ตอนบ่ายเข้าออฟฟิศด้วยกันหน่อย”

หญิงสาวบอกเรียบๆ ส่วนคนฟังทำตาเหลือกใช้มือข้างที่ว่างทำท่าเชือดคอตัวเอง

อวัศยายิ้มขำกับหน้าจอคอมพิวเตอร์

“จะได้ล้างขี้หูหน่อยไงเดซี่จ๋า”

บดินทร์เดชส่งเสียงเหอะ เขาวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ แล้วหันมาสนใจกับคนที่ยังนอนอยู่อย่างพินิจ และให้ได้แต่อุทานอยู่ในใจอย่างชื่นชม

อวัศยาจะว่าอย่างไรไม่รู้ แต่เขาคอนเฟิร์ม พี่ธุมหล่อจริงอะไรจริง

ก็นี่ขนาดถูกซ้อมมายังหล่อลากเลยคุณ!

ช่างแต่งหน้าหัวใจแหว๋วเอื้อมมือออกไปหวังแตะบนใบหน้าคมสัน

“พล เดี๋ยวหมอนั่นมันก็ได้ชกสวนเอาหรอก แอบทำอะไรทะลึ่งนะแก!”

อวัศยาตะโกนดักคอ แต่ตาก็ยังจ้องจอ บดินทร์เดชเหลียวไปมองหน้าตูม ส่งวงค้อนไปให้ แล้วก็หันมาหาธุมเกตุอีกครั้ง

แล้วระหว่างนั้นก็พอดีกับคนเจ็บกำลังปรือตาขึ้นมอง ธุมเกตุชะงักกึกอย่างหวาดๆ เมื่อเห็นผู้ชายเตี้ยและตันมองเขาอยู่ค่อนข้างใกล้ ในตอนแรกเขายังเบลออยู่ แต่พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ไวเท่าความคิดปฏิกิริยาตอบสนองสวนกลับไปในทันที โดยหมัดขวาที่ส่งออกมาเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงอุทานของธุมเกตุเอง

“เฮ้ย!”
บดินทร์เดชชะงักร้อง “ว้าย!!” และ...และ

“ปั้ก!” เสียงนั้นเกิดจากหมัดขวาลุ่นๆ ที่กระแทกเข้ากับเบ้าตาข้างเดียวกันของบดินทร์เดช อวัศยาเงยหน้าขึ้นมองมาทันทีเมื่อได้ยินเสียง เธอหลุดขำอย่างอดไม่อยู่ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทกำลังกุมเบ้าตาข้างหนึ่งแล้วผงะออกร้องโอดโอย ทำท่าดิ้นยึกยือเป็นไส้เดือนโดนขี้เถ้า

“โอ๊ย! ตาช้าน ตาฉันจะบอดไหมเนี่ย พี่ธุมขาแค่นี้ถึงกับชกกันเลยเหรอ”

ธุมเกตุกระเด้งขึ้นจากโซฟาลืมอาการเจ็บแปลบได้ในทันที เขาถอยห่างอย่างตกใจ ตั้งท่ามวยวัดอย่างเต็มที่เผื่อไอ้ตัวอันตรายนั่นจะเผ่นโผนเข้ามาหาอีก

ทว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรนอกจากร้องครวญคราง แล้วสายตาของเขาก็เลยผ่านไปยังด้านหลังของคนถูกชก ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองนัก ว่าเจ้าของใบหน้าสะอาดใสที่เห็นนั้น คือตัวจริงไม่ใช่แค่ความฝัน

“หมอก”

เสียงที่เอ่ยเรียกชื่อทำให้อวัศยาชะงักยิ้ม เธอเมินหน้าหนีเมื่อสบตาเข้ากับธมุเกตุ หญิงสาวลุกขึ้นยืน แล้วเดินคอแข็งเข้าไปฉุดกำพล ให้ลุกไปนั่งยังโซฟาเดี่ยวที่อยู่ห่างออกไปทางจอทีวี. ก่อนเดินกลับมาที่ครัว หยิบผ้าขนหนูบนชั้นวางด้านบน พร้อมกับน้ำแข็งเพื่อมาประคบตาให้บดินทร์เดช

ธุมเกตุได้แต่นิ่งมอง เพราะเมื่อขยับตัวเร็วๆอย่างเมื่อครู่ มันเพิ่มความจุกเสียดจนเขาต้องยกมือขึ้นกุมที่ท้อง ต่อเมื่อเห็นอวัศยาเดินกลับมานั่นแหละ เขาเลยพยายามจะลุกขึ้นยืน และก้าวเข้าไปหาเธอ ทว่าหญิงสาวไม่ได้สนใจ เธอยังประคบแผลให้เพื่อนสนิท และไม่ได้หันมามองเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

คนเจ็บจึงยืนเก้อ กวาดสายตามองไปรอบๆห้องที่ตกแต่งในโทนสีเข้มแทน แต่ผ่านไปได้ห้านาที ชายหนุ่มก็มองจับแต่อวัศยาเหมือนเดิม

“หมอก เอ่อ พี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

อวัศยาคอแข็งขึ้นมาอีก หญิงสาวไม่ได้หันมามอง

“เดซี่เจอคุณนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างทาง มันสงสารก็เลยเก็บคุณมา ตอนนี้คุณก็ฟื้นแล้ว กรุณากลับไปได้ ส่วนเรื่องอื่นฉันไม่รู้ ข้าวของที่ติดตัวคุณ มันก็มีแค่เสื้อผ้าที่ใส่อยู่นั่นแหละ”

บดินทร์หยุดสำออย คิ้วโก่งโค้งขมวดเข้าหากัน

อวัศยามองผู้เป็นเพื่อนนิ่งๆ ใช้สายตาแทนคำพูดว่าห้ามถาม ห้ามพูด

ธุมเกตุยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วถอนหายใจ เอ่ยสั้นๆ “ขอบคุณนะหมอก”

มือเรียวชะงักกำผ้าแน่นและเผลอลงแรงหนักมือจนบดินทร์เดชร้องอู้ย อวัศยาหน้าเสีย ประคองใบหน้าของเพื่อนสนิทให้อยู่นิ่งๆ

“ขอโทษนะแก”

“เออ!” บดินทร์เดชตอบประชด ก่อนจะปัดมือของหญิงสาวออก แล้วเบือนหน้าไปเปิดยิ้มให้ธุมเกตุที่ยังจ้องมองอวัศยาไม่วางตา “พี่ธุมล่ะคะเจ็บตรงไหนมากบ้างไหม”

ชายหนุ่มละสายตากลับมามอง ส่งยิ้มนิดๆให้

“ขอบคุณที่ช่วย และก็ขอโทษ พอดีผมตกใจนะ”

“ไม่เป็นไรค่ะไม่เป็นไร เดซี่ไม่ถื้อ!”

ธุมเกตุยิ้มรับ “เอ่อขอโทษ แต่เราเคยรู้จักกัน”

บดินทร์เดชหัวเราะร่วน “แหม เดซี่เพื่อนหมอกไงคะ จำได้ไหมคะ บดินทร์เดช เพื่อนสนิทยายหมอก ตอนนั้นที่ตัวติดหนึบกันเป็นปาท่องโก๋ยังไงล่ะคะ”

“คุณควรกลับไปได้แล้ว ฉันมีธุระ”

อวัศยาเอ่ยขัดบทสนทนาที่ทำท่าว่าดี โดยที่ยังหันหลังให้กับธุมเกตุเช่นนั้น

ชายหนุ่มชะงักและพยักหน้ารับยินยอมแต่โดยดี เขาขยับเดินช้าๆไปที่ประตู อวัศยามองตามด้วยหางตา และอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้เมื่อเขาดูจะเจ็บหนักเอาการ เธอเม้มปากแน่นและกำเสื้อไว้มั่น เพื่อไม่ให้ตัวเองใจอ่อนเพราะความสงสาร

“ฉันจะไปส่งพี่ธุม”

บดินทร์เดชประกาศ ก่อนลุกขึ้นเดินเร็วๆเข้าไปหาชายหนุ่ม บอกความจำนงว่าจะไปส่งเขา แต่ชายหนุ่มปฏิเสธ เขาหันกลับมามองอวัศยานิ่งๆ

“ขอบคุณนะหมอก ดีใจจริงๆที่เราได้เจอกันอีก”

ถ้อยความเพียงเท่านั้นแต่เหมือนไฟช็อต อวัศยารู้สึกถึงก้อนแข็งๆที่ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ เธอกะพริบตาถี่ๆ เมินหน้าหนีแม้เมื่อได้ยินเสียงปิดประตูลงแล้ว หญิงสาวรู้สึกได้ถึงสายตาของบดินทร์เดชที่มองมา แต่ก็ยังคงเมินหน้ามองจ้องวอลเปเปอร์บนผนังอยู่เช่นนั้น

“แกใจร้ายมาก”

เสียงตัดพ้อดังขึ้น บดินทร์เดชยืนอยู่ข้างหลังของเธอไม่ไกล

“พี่ธุมเจ็บมากขนาดนั้น แล้วแกเองก็เป็นคนตัดสินใจที่จะช่วยเขา หมอก ฉันเข้าใจแกนะว่าเรื่องในอดีต เขาก็ทำไม่ดีไว้จริงๆ แต่แกจะ... เอ่อ โกรธอะไรเขามากขนาดนี้ มันกี่ปีแล้วกับเรื่องเมื่อตอนนั้น ปล่อยๆมันไปบ้างก็ได้นะแก”

อวัศยาไม่ตอบ เธอลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปหมกตัวอยู่ในห้องนอนใหญ่

บดินทร์เดชถอนหายใจ แล้วทรุดลงนั่งแทนที่ เขาหยิบผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งขึ้นมาประคบตาข้างที่โดนชก แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า






กว่าที่ธุมเกตุจะลากสังขารมาเรียกรถแท็กซี่ได้ ชายหนุ่มก็ถึงกับระบมไปทั้งตัว เขาตัดสินใจกลับบ้านมากกว่าที่จะไปโรงพยาบาล ราวๆหนึ่งชั่วโมงแท็กซี่ก็พาชายหนุ่มลงจากทางด่วน และวิ่งเข้าไปหยุดหน้าประตูรั้วเหล็กดัดของบ้านหลังใหญ่แถวชานเมือง

ยามด้านหน้าวิ่งมาเปิดประตูให้เมื่อเห็นว่าเจ้านายหนุ่มกลับมาแล้ว รถวิ่งไปตามถนนโรยกรวด ผ่านสวนหย่อมกว้างเข้าไปราวห้าร้อยเมตร หลังเลี้ยวผ่านกำแพงต้นสารภี ก็ไปถึงบ้านเรือนไทยหมู่ขนาดใหญ่ พื้นชั้นล่างยกสูงโรยกรวดแทนการเทปูน มีชุดเก้าอี้ไม้หวายตั้งอยู่เยื้องมาทางระเบียงด้านหน้า ใกล้กับพุ่มวาสนาที่ออกดอกห้อยระย้าลงมา

สาวใช้ในบ้านเดินเร็วๆลงมาจากบันไดหน้า ธุมเกตุสั่งให้หญิงสาวตามเขาไปเพื่อนำเงินมาจ่ายค่าแท็กซี่ ไม่สนใจสายตาอยากรู้อยากถาม ว่าทำไมเขาจึงได้มีสภาพเช่นนี้

ชายหนุ่มก้าวขึ้นบันไดสี่ขั้นก่อนหยุดหอบเหนื่อยบนชานพัก พอถอดรองเท้าวางไว้บนชั้นก็กัดฟันเดินขึ้นไปถึงหน้าประตูที่เปิดกว้าง มีอ่างบัวสายเลี้ยงปลาสอดวางไว้สองข้าง ห้องพระด้านหน้าที่ใช้เฉลียงเป็นที่รับรองแขก ว่างเปล่าไร้เงาของบิดาอย่างเคยๆ

ธุมเกตุเดินผ่านชานไปทางด้านขวา ตรงไปยังห้องที่สามเพื่อกลับไปหยิบค่าแท็กซี่ส่งให้สาวใช้ ก่อนจะทรุดลงนั่งบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน

“กลับมาแล้วเหรอเจ้าธุม”

บานประตูไม้สักที่เคยเปิดไว้เพียงครึ่งๆ ถูกผลักออกกว้าง เผยให้เห็นร่างชายอายุราวเจ็ดสิบปีสวมเสื้อคอกลมสีขาวกับกางเกงแพรขายาวก้าวเข้าไป

อากาศด้านนอกห้องกับในห้องต่างกันลิบลับ หน้าต่างบานยาวใหญ่ถูกเปลี่ยนจากไม้เป็นกระจกมองเห็นด้านเดียวเพื่อติดเครื่องปรับอากาศ โครงหลังคาสามเหลี่ยมถูกปิดทับด้วยฝ้าเพดานสีขาวนวล ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างเป็นสามเท่าของห้องบนเรือนไทยปกติ ผนังด้านที่ติดกับประตูห้อง ต่อเติมเป็นห้องน้ำและห้องแต่งตัวเข้าไป

เตียงไม้สี่เสาตั้งหันหัวไปทางทิศตะวันออก ที่ปลายเท้าเป็นโต๊ะทำงานตั้งติดผนัง และแยกพื้นที่ระหว่างที่นอนกับชุดโฮมเฮียเตอร์ด้วยชั้นวางของทำด้วยไม้ตีโปร่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมทาสีขาว วางหนังสือบ้าง ไม่ก็ของสะสมซึ่งส่วนมากเป็นแบบจำลองบ้านทรงต่างๆ

“แล้วไปทำอะไรมา หน้าตาถึงได้เป็นแบบนั้น”

ทีปเอ่ยถามบุตรชายคนเดียว ก่อนก้าวเร็วๆเข้ามาสำรวจใบหน้าลูกชาย

“รวีโทร.มาบอกว่าติดต่อแกไม่ได้ เพราะแกดันนัดประชุมตอนเช้า ที่บริษัทฯเขารอกัน แล้วครั้งสุดท้ายที่เห็นแก ก็คือตอนแกควงหนูแพทออกไปข้างนอก”

ธุมเกตุยิ้มไม่ถนัดนัก เขายกมือขึ้นแตะแผลที่มุมปากก่อนทิ้งตัวลงนอน

“ผมเลิกกับแพทเมื่อคืนนี้เองครับพ่อ”

ผู้เป็นพ่อถอนหายใจเฮือกใหญ่

“พอกลับลงมาจากคอนโดแพทจะกลับบ้าน จู่ๆก็ถูกไอ้มืดที่ไหนไม่รู้โปะยา ตื่นมาอีกทีก็ช้ำแบบนี้”

“แจ้งความหรือยัง” ผู้เป็นพ่อเอ่ยหน้าเครียด “แล้วรู้ไหมฝีมือใคร”

“คง... พี่ชายแพท แต่ก็ช่างเถอะครับ ถ้าเขาจะโกรธมันก็สมควรแล้ว”

“ระวัง” ทีปเอ่ยเตือน “ถ้าจบแค่นี้ก็ดี”

ชายหนุ่มรับคำอือออ ส่วนผู้เป็นพ่อได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆ หลังครั้งนี้เรื่องผู้หญิงของธุมเกตุแรงเสียจนทำเอาลูกชายต้องเจ็บตัว

ทีปเคยเตือนบุตรชายอยู่หลายครั้ง เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิง แต่ธุมเกตุก็ยังเฉยๆเรื่อยๆ จนเขาเองก็ไม่รู้จะเตือนอย่างไร ครั้งนี้ที่เลิกกับลูกสาวคนใหญ่คนโตดูเหมือนจะเจ็บตัวหนัก ปกติที่แล้วมา ธุมเกตุมักจะได้รับโทษเบาะๆจากการบอกเลิก ไม่โดนตบ ก็โดนสาวเจ้าตามราวีอาละวาดอยู่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ

“จะเอาอะไรไหม แล้วนี่ไปหาหมอหรือยัง”

แต่กระนั้นก็ยังอดจะถามไม่ได้

“ไม่เป็นไรแล้วครับ” ธุมเกตุดึงตัวลุกขึ้นนั่ง ผู้เป็นพ่อพยักเพยิดรับขยับจะเดินออกจากห้องไป แต่ก็หยุดเมื่อเห็นมือเล็กบางๆเคาะประตูที่เปิดไว้ แล้วผู้หญิงร่างแบบบางสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตรก็ก้าวเข้ามา

“คุณลุงพี่ธุมกลับมาแล้ว เอ๊ะ! นั่นไปโดนอะไรมาคะ”

ศศธรหลุดอุทานเมื่อเห็นใบหน้าญาติห่างๆของเธอมีแต่ริ้วรอย หญิงสาวอยู่ในชุดทำงาน ลุคดูเป็นเวิร์กกิ้งวูแมน แม้จะตัวเล็กแต่ก็ดูสง่า ผมยาวสลวยรวบมัดเป็นหางม้า ปล่อยปอยผมหน้าม้าลงมาปิดหน้าผากกว้าง

“มีอุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ ว่าแต่จันทร์มาตั้งแต่เมื่อไร”

“จันทร์มาถึงตอนสายๆ แวะมาคุยงานกับลูกค้าแถวนี้เลยเข้ามาหาคุณลุงด้วย ก็พอดีได้รู้ว่าพี่ธุมไม่อยู่ แล้วนี่พี่ธุมเจ็บมากไหมคะ ไปหาหมอหรือยัง”

หญิงสาวเดินเร็วๆเข้าไปหยุดข้างเตียง เอื้อมมือออกมาแตะแผลบนใบหน้าของธุมเกตุแผ่วเบา ดวงตาคู่สวยกลมโตฉายแววห่วงใยอย่างสุดซึ้ง

ทีปมองภาพนั้นอย่างพอใจอยู่ลึกๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีเพียงศศธรเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างลูกชายของเขา และชายสูงวัยก็หวังไว้ ว่าเมื่อสักวันที่ธุมเกตุคิดจะหยุด ศศธรอาจเปลี่ยนจากญาติห่างๆมาเป็นสะใภ้ของเขาแทน

“ไม่เป็นไรมากจริงๆจันทร์ ตอนนี้พี่อยากอาบน้ำแล้วก็นอนพักมากกว่าน่ะ”

“งั้นเดี๋ยวจันทร์ไปหาอะไรมาให้ทานรองท้อง เมื่อกี้จันทร์กำลังช่วยคุณนมทำอาหารเที่ยงพอดีค่ะ พี่ธุมรอแป๊บเดียวนะคะ”

ศศธรรีบรุดออกไปจากห้องทันที ธุมเกตุมองตามแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทีปมองหน้าลูกชายแล้วเลิกคิ้วขึ้น

“หนูจันทร์ออกจะน่ารัก การบ้านการเรือนก็เก่ง การงานก็เยี่ยม แล้วยังเอาอกเอาใจแกขนาดนี้ แกยังจะเลือกมากอีกทำไมเจ้าธุม”

“ผมเห็นจันทร์เป็นแค่น้องพ่อก็รู้ อีกอย่างเราก็เป็นญาติกัน”

ทีปถอนหายใจบ้าง “สงสัยเป็นเพราะแม่แกชอบกินปลาไหลตอนท้อง พอใกล้คลอดก็ชอบกินไก่แจ้ พอโตขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนแกถึงได้ลื่นแล้วก็เจ้าชู้แบบนี้”

ชายหนุ่มหัวเราะขึ้นเบาๆ แต่ก็ต้องยกมือขึ้นแตะมุมปากเพราะเจ็บขึ้นมาอีก

ธุมเกตุเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่หัวเตียง แล้วกดโทร.ออก รวีรับสายของเขา ชายหนุ่มจัดการสั่งเรื่องงานกำลังจะวางสาย แต่แล้วก็ชะงักครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะออกคำสั่ง

“น้ารวีสั่งดอกไม้ให้ผมทีนะครับ ขอเป็นทิวลิปสีเหลือง แล้วบอกให้ส่งไปที่...”

ทีปฟังด้วยฉงน เขารอกระทั่งลูกชายวางสายจึงได้เอ่ยถาม

“จะส่งให้ใคร ผู้หญิงที่ไหนอีก”

“คนที่ช่วยผมไว้น่ะครับ พ่อ... จำหมอกได้ไหม”

“หมอกไหน”

“อวัศยา คนที่เป็นช่างภาพ แล้วรูปถ่ายของเธอก็เพิ่งได้รับรางวัลชนะเลิศ จากคณะกรรมการตัดสินของมูลนิธิของพ่อไงครับ”

ทีปพยักหน้ารับ แต่ก็ยังสงสัย คิ้วจึงยังขมวด

“เธอเป็นรุ่นน้องผมที่มหาวิทยาลัย แล้วก็เป็นคนช่วยดูแลผมเมื่อคืนนี้”

“กิ๊กเก่า” ผู้เป็นพ่อหยั่งเชิง “ถ่านไฟจะคุ”

ธุมเกตุส่ายหน้า “เธอเกลียดผมจะตาย”

“อ๋อ โจทย์เก่า เอาละเข้าใจ แต่ถึงขั้นจะส่งดอกไม้ไปให้นี่ชักยังไง”

ผู้เป็นลูกหัวเราะ เสียงมีร่องรอยเศร้าๆปะปน “ไม่มีอะไรหรอกครับก็แค่ขอบคุณ แต่เค้าคงไม่เต็มใจรับเท่าไหร่ อย่างเมื่อเช้ายังบอกว่าคนที่ช่วยผมเป็นเพื่อนเธอเลย”

“เออดี แม่หนูนั่นคงรู้เช่นเห็นชาติแกทะลุปรุโปร่งละ”

สิ้นน้ำเสียงเยาะๆของทีป ศศธรก็ก้าวเข้ามาพอดี ชายสูงวัยจึงก้าวออกไป หญิงสาวนำชามข้าวต้มไปวางบนโต๊ะข้างเตียง คะยั้นคะยอให้ธุมเกตุทาน ใบหน้าเธอระบายรอยยิ้ม แต่ดวงตามีแววสงสัยปนกังวล เพราะชื่อหมอกหรือวัศยานั่น มันรบกวนใจเหลือเกิน


======================================================================>>>>>>>>>



ดีค้า พาพี่ธุมกับยัยหมอกมาส่งค่ะ ยัยหมอกไม่ซ้ำ แต่เมินค้า 5555


คุณvergo222 ลงค้า พอดีหนอนรอให้ครบร้อยเปอร์เซ็นต์อ่ะฮับ ^^
คุณkaelek อันนั้นเฮียสรวงออกกะล่อนๆ แต่เฮียธุมแกมาแบบขรึมๆ ค้า
คุณแิ่นนลิน อันนี้ก็ว่าจัดไปจัดให้เฮียหน่อย หุๆๆๆๆ
คุณZephyr เฟอร์รี่ อุ้ยเตงต้องรอดูโฮะๆๆๆ อันนี้มนุษย์ป้าแบบฮา ยัยหมอกขาวีน กร๊ากกกกก ส่วนเฮียธุมเห็นงี้เฮียจะกู้คะแนนคืนได้ไหมต้องคอยดู อิๆ
คุณกาซะลองพลัดถิ่น พี่หญิง ไอ้หมอกเมินค้า แต่จะเมินได้นานเท่าไหร่ นี่ซิ อิๆ
คุณsai ยัยหมอกจะภูมิต้านทานดีไหม พี่ธุมจะปล่อยผ่านหรือเปล่า มาดูกันฮับ
คุณkonhin อ่า สงสารเฮียเต๊อะ เฮียไม่ยู้ววววววววววว 5555

และคุณๆรีดเดอร์นะคะ ขอบคุณที่แวะมาอ่าน มาคุย มากดคะแนนให้ ขอบคุณมกาๆ ค่ะ

ยัยหมอกกับพี่ธุมจะลงทุกวันจนถึงตอนที่ห้า แล้วจะมาสลับกับเฮียวอนน์นะฮับ ^^
และเรื่องนี้จะทำอีบุ้กค่ะ คาดว่าคงกลางๆเดือน หรือท้ายๆเดือนไปเลยจะลงให้โหลดได้ ส่วนทำมือขอคิดก่อน 555 กลัวไม่มีคนเอาเฮีย ซึ่งถ้าเปิดจองคงต้องขอรบกวนให้โอนมาด้วยอ่ะฮับ เฮียธุมนี่คาดว่าราคาคงสูงน่าดู(ทำมือ) ราวๆ สามร้อยฮับ เลยลังเล คิดว่าจะลงเป็นอีบุ้กก่อน กร๊ากกกกกกกก หวั่นไหว กลัวเฮียไม่มีคนรัก


ยังไงฝากพี่ธุมกับยัยหมอกด้วยนะคะ

วันนี้ไปแล้วนะคะ เจอกันตอนหน้า ส่วนคืนนี้หลับฝันดี ราตรีสสวัสดิ์ค่ะ ^O^



ดังปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ย. 2558, 18:53:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ย. 2558, 18:54:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1621





<< บทที่ ๒ ขั้นเทพ   บทที่ ๔ คู่ปรับ >>
Zephyr 7 ก.ย. 2558, 21:01:52 น.
ยัยจันทร์ไรนี่คงไม่สร้างปัญหาทีหลังใช่ไหม
เอ รึเป็นเหตุในอดีต


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account