~ สายใย .. ไฟรัก ~
~ สายใย .. ไฟรัก ~


เส้นสายใย .. ใครกันหนอ .. ที่ทอถัก
เส้นสายรัก .. ใครจักสาน.. ขานคำขอ
เส้นทางเดิน .. ใครเหินห่าง .. ต่างเฝ้ารอ
ไฟรักพอ .. ต่อหัวใจ .. ให้อุ่นอิง




เธอ .. คือ เพื่อนสนิทของน้องสาวเพื่อนรัก

เขา .. คือ ผู้บริหารโรงแรมจอมเผด็จการ แต่กลับเป็นเพื่อนรักพี่ชายของเพื่อนสนิท

ทว่า ..

เธอ .. ในสายตาของเขา .. คือ คนอวดดี ยโส ที่ใช้เพื่อนเป็นทางผ่านไปสู่ความสำเร็จของตัวเอง

เขา .. ในสายตาของเธอ .. คือ ผู้ชายไร้เหตุผล เอาแต่ตนเองเป็นใหญ่

ที่สำคัญเหนืออื่นใด .. ทั้งเธอและเขา .. กำลังตกหลุมรักคนที่ไม่ควรจะรัก!




***************************
Tags: ความรัก ครอบครัว เพื่อน

ตอน: ใยเส้นที่ 17 .. เจตนา หรือว่า เข้าใจผิด



อาหารมื้อค่ำสิ้นสุดลง แต่ผู้ใหญ่ทั้งสามยังมีเรื่องให้เสวนากันไม่จบ จึงตกลงย้ายสถานที่มายังห้องทำงานแทน จนเวหาอดคิดสงสัยไม่ได้ว่า บิดามารดาของเธอและบิดาของรัศมิทัต กำลังวางแผนปรึกษาหารือเรื่องใดกันแน่

หญิงสาวยกถาดชาร้อนและผลไม้สำหรับ ๓ ที่ ประคับประคองเดินตามคุณกัณหาเข้ามาในห้องทำงานของคุณเวหน ซึ่งมีบิดาและเสี่ยชัยทัตนั่งคุยกันอยู่ที่มุมนั่งเล่นไม่ไกลจากโต๊ะทำงาน

เมื่อช่วยมารดาดูแลอำนวยความสะดวกแล้ว เธอก็ถูกกันให้ออกมานอกห้อง ด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้ใหญ่มี 'งานสำคัญ' จะคุยกัน

เวหาจำต้องปฏิบัติตามความต้องการอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้จะอยากรู้มากเพียงใดก็ตาม แต่จากที่ได้ฟังการสนทนาบนโต๊ะอาหารก่อนหน้า เธอนึกยินดีไม่น้อยที่มีการพูดถึงคนที่กำลังคิดถึงพอดี

เรื่องของฉัททันต์ที่ถูกหยิบยกมาเป็นประเด็น ทำให้เวหาทราบข้อมูลมากขึ้น เพราะศิราไม่เคยบอกรายละเอียดอื่น นอกจากว่า นายทหารเรือคนนี้อยู่ระหว่างปฏิบัติภารกิจทางราชการที่หน่วยงานต่างจังหวัด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าเพื่อนรักของเธอจะไม่เคยรับรู้เรื่องนี้

หญิงสาววนเวียนคิดหาสาเหตุต่างๆนานา เสมือนหนึ่งว่า จะได้พบบ่อเกิดของปัญหาความไม่สบายใจ ที่ไม่อาจทราบแน่ชัดว่า มันมาจากทางศิราหรือฉัททันต์ .. หรือเป็นความไม่เข้าใจแล้วคิดกันไปเองทั้งสองฝ่าย

คิดๆแล้วก็ได้แต่ปวดหัว เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหน เธอก็ไม่เห็นปัญหาเลยสักนิด

หากดูจากมุมมองของคนทั่วไป ศิราเริ่มต้นทำงานในตำแหน่งหน้าที่เล็กๆ ค่อยๆไต่เต้าจากระดับล่างแล้วเติบโตขึ้นจนเรียกได้ว่ารวดเร็วกว่าใครในรุ่นเดียวกัน ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากชายคนรักที่มียศมีตำแหน่งก้าวหน้าอนาคตไกล แม้ว่าต้องย้ายไปประจำยังหน่วยอื่น แต่ใช่ว่าต้องอยู่ยาวนานหรือตลอดไปเสียหน่อย

เวหาหมกมุ่นครุ่นคิดในปัญหาของเพื่อนจนเกือบลืมว่า ที่ห้องรับแขกยังมีใครอีกคนนั่งอยู่อย่างเงียบๆ .. เงียบเสียเจ้าของบ้านกำลังจะเดินผ่านไปเฉยๆ

หากความรู้สึกบอกหญิงสาวว่า ไม่ใช่มีแต่เธอเท่านั้น สติอันฟุ้งซ่านก็ถูกดึงให้กลับคืน สายตากวาดมองไปรอบกาย ก่อนจะมาหยุดที่เบื้องหลังของชายหนุ่มที่นั่งนิ่งราวหุ่นปั้นเพียงลำพัง

เหมือนภาพถอยหลังย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้ วันที่เวหาเริ่มคิดได้ว่า เธอควรเลิกปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง แต่พอตัดสินใจได้ในวันที่พบกับชายหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ เขากลับปิดประตูแห่งความรู้สึกใสหน้า .. ด้วยเหตุผลว่า เพื่อเธอ

แม้เวหาจะรู้อยู่เต็มอกถึงความจริงข้อนั้น ว่าเป็นสิ่งที่เธอต้องการ การที่เอาแต่คิดโน่นคิดนี่วุ่นวาย แล้วสุดท้ายรัศมิทัตก็สนองตอบราวรู้ใจเกินไป

เจ้าตัวกลับเป็นฝ่ายยอมรับความผิดหวังเสียใจที่ก่อขึ้นเองไม่ได้ ดังนั้น ข้ออ้างด้วยเรื่องวัยและความมั่นใจในประสบการณ์ของเธอ จึงเหมือนเป็นเครื่องมือเสริมแรงทิฐิ ที่กระตุ้นให้เร่งถอยห่างจากความเจ็บปวด .. ฝืนความคิดให้คงเหลือไว้เพียงความเจ็บใจ

ทว่า พอได้เห็นหน้ารัศมิทัต ใจที่มันเอนเอียงอยู่แล้วก็ยิ่งอ่อนยวบลงอย่างไร้เหตุผล .. หญิงสาวไม่เข้าใจเลยว่า เธอจะต่อต้านความรู้สึกของตัวเองไปทำไม ทั้งๆที่ ...

"คุณฟ้า .."



เสียงเรียกชื่อเวหานุ่มนวลอย่างคนคุ้นเคย มันช่างทุ้มกังวานจนมีผลให้เธอต้องหยุดนิ่งทุกครั้ง เพื่อรับฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด

"ผมนึกว่าคุณอยู่คุยกับผู้ใหญ่ข้างใน"

"ไม่หรอก .. เอ่อ .."

เวหาปฏิเสธทันควันแต่ก็ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร เธออ้ำอึ้งในลำคอก่อนเงียบไปเสียเฉยๆราวกับทำตัวไม่ถูก เวลาอยู่ต่อหน้ารัศมิทัตหลังจากหมางเมินกันในทีมากว่าหนึ่งเดือน

"คุณ .. ไม่อยากเจอ .. ไม่อยากเห็นหน้าผมแล้ว .. ใช่ไหม"

หญิงสาวไม่ทันได้สังเกตว่า คนที่เธอเพิ่งเห็นเขานั่งหันหลังก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าตอนไหน แต่ที่ได้ยินชัดเจนคือคำตัดพ้ออันแผ่วเบา และมันก็กระตุกความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา

"ใครกันแน่ .. นายลืมไปแล้วหรือไง ว่าคนที่หันหลังให้ฉันน่ะ .. ใคร"

น้ำเสียงฉุนเฉียวบ่งบอกอารมณ์โกรธของเวหา จากคำพูดของรัศมิทัตเมื่อครู่ว่า กำลังทำให้เธอรู้สึกผิดที่หลบหน้าไม่ยอมพบหรือพูดจา แทนการกระทำของเขาเมื่อคราวที่พบกันครั้งสุดท้าย

เวหาแหงนเงยมองรัศมิทัตทันได้เห็นถนัดตาว่า สีหน้าของสถาปนิกรุ่นน้องหมองลงไปอีก แทบไม่ต่างจากตอนร่วมโต๊ะอาหาร ทั้งๆที่ผู้ใหญ่สนทนาแลกเปลี่ยนกันอย่างออกรส และพูดคุยถึงคนรู้จักคุ้นเคยทั้งนั้น

คนตัวสูงกว่าก้มลงมองสบตาสาวรุ่นพี่ ที่เขาไม่อยากยอมรับทั้งสถานะและความเป็นจริง แวววูบไหวที่เคยเห็นก่อนหน้าแปรเป็นแสงเรืองวิบวับเคลือบความเกรี้ยวกราดจางๆ

"ผม .."

"จำนน หรือ กำลังหาข้อแก้ตัวล่ะ"

นี่อย่างไรล่ะ .. นี่อย่างไร คือ เหตุผลที่เวหาต้องหาเรื่องหลบหน้า ต่อให้โกรธเคืองขุ่นข้องในอารมณ์ปานใด แต่พอมาอยู่ต่อหน้ารัศมิทัต มันทำให้เธอไม่สามารถวางตัวแข็งขืนหนักแน่นได้เลย

เวหาอยากจะหันหลังเดินหนีเขาหรือหายตัวไปจากตรงนี้เลย แต่เป็นสิ่งที่ทำได้ยากเย็น ต่างจากเวลาที่ห่างไกลหรือไม่ได้พบหน้ากัน เพราะอีกใจก็ยังอยากยืนอยู่ที่นี่

"ผมคิดว่า คุณฟ้าต้องการเวลา .. หรือว่า ผมคิดผิด"

"นายคิดถูก .. ฉันต้องการเวลา แต่ตอนนี้ไม่จำเป็น .."

หญิงสาวพยายามตัดใจไม่ต่อความใดๆอีก พูดจบก็หันหลังให้ชายหนุ่มก่อนจะสาวเท้าก้าวไปข้างหน้า หวังจะเดินออกจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจสำหรับเธอ

ต้นแขนที่อยู่พ้นร่มผ้าของเวหารับรู้ได้ถึงสัมผัสเย็นวาบจากปลายนิ้วเสี้ยววินาที ครู่เดียวมือของรัศมิทัตก็รวบไว้ได้เกือบเต็มรอบกำมือ แล้วความอบอุ่นจากอุ้งมือก็ค่อยถ่ายเทแทนที่

เวหาชะงักค้างหน้าตาตื่นหันขวับจ้องมองสลับหน้ากับมือของรัศมิทัต หมายจะปรามให้เขาคลายและปล่อยมือจากแขนของเธอ

รัศมิทัตสบนัยน์ตาวับวาว ดูเหมือนว่าตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร หรือพูดอะไร ก็รังแต่จะทำให้เวหาพร้อมเกรี้ยวกราดใส่เขาได้ทุกเมื่อ

แต่ไม่สำคัญเท่ากับบางอย่างที่ตกค้างเป็นคำถามคาใจ ชายหนุ่มจึงไม่อาจปล่อยเธอไปได้ เพราะสิ่งที่ได้ยินกับหูได้เห็นปฏิกิริยาของเวหากับตา ทำให้เขาต้องรู้ให้ได้ว่า ความสงสัยที่เกิดขึ้นและปักใจเชื่อเกือบเต็มร้อยแล้วนั้น มันคือความจริงหรือเขาเข้าใจผิดไปเอง

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า หลังจากนี้จะมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกันตามลำพังอีกหรือไม่ ฉะนั้น ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด เขาจะไม่ลลังเล และต้องใช้เวลานี้ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้กระจ่างชัดเจน

"จำเป็นสิครับ .. ผมเองก็ไม่ได้สบายใจไปกว่าคุณฟ้าเลย .. ถ้าผมผิด ผมขอโทษ .. แต่ขอให้คุณรู้ไว้ ที่ผมทำไปเพราะผมไม่รู้ว่า ควรจะทำอะไร ต้องทำยังไง ให้คุณสนใจผมบ้าง"

"ทัต .. เธอ.."

เวหาพูดไม่ออกจริงๆ เมื่อเจอคำถามไร้เล่ห์เหลี่ยมแต่ตรงไปตรงมาของรัศมิทัต เพราะมันต่างจากจินตนาการที่เธอคิดเอาเองมากมาย ด้วยเผลอคิดไปว่า หากถึงเวลาต้องเผชิญหน้า เขาจะแก้ตัวไม่ก็ชักแม่น้ำทุกสายมาหว่านล้อมให้เธอโอนอ่อนผ่อนตาม

เรียกว่า ทุกอย่างล้วนตรงกันข้ามกับจินตนาการของเธอแทบทั้งสิ้น





มัสลินเดินสำรวจเบาะที่นั่งบนรถโค้ชนำเที่ยวของวิริยา ไทยทัวร์ เพื่อตรวจสอบว่ามีสัมภาระสิ่งของของลูกค้าตกหล่นหรือหลงลืมไว้หรือไม่

เมื่อไม่มีสิ่งใดผิดปกติจึงเซ็นชื่อลงสมุดบันทึก เป็นการปิดท้ายรายงานความเรียบร้อยของการเดินทางทริปนี้ ก่อนจะลงจากรถเข้าออฟฟิศ ซึ่งหลังจากนี้พนักงานขับรถที่อยู่ประจำการจะเคลื่อนย้ายมันไปยังอู่ซ่อมบำรุง ตรวจเช็คสภาพให้พร้อมต่อการเดินทางครั้งต่อไป

หญิงสาวหันรีหันขวางมองหาพายพัดที่แยกกันทำหน้าที่ เมื่อไม่เห็นเธอก็แอบถอนใจเบาๆ ระบายความเหนื่อยกายเหนื่อยใจออกมาบ้าง

ถึงจะรักงานที่ทำอยู่แค่ไหน แต่มัสลินก็ไม่เคยหลอกตัวเองว่า ไม่เคยเหนื่อยไม่เคยหน่ายกับงาน เพราะความรู้สึกเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน อยู่ที่ว่าจะปรับสภาพจิตใจได้ระดับใด

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เธอก็คงจะไม่ออกอาการมากนัก แต่เมื่อมีเรื่องอื่นให้ต้องกังวลมันก็มักจะพานให้ไม่มีกะจิตกะใจจะสนุกกับงานได้

ตลอดการเดินทางจากเกาะลาลัลมาจนถึงกรุงเทพฯ เวลากว่า ๑๐ ชั่วโมง ไม่สามารถทำให้มัสลินสลัดเรื่องราวของศรตฤณออกไปได้

ยิ่งได้มาคุยกับพายพัดเมื่อเช้า เรื่องอันตรายไกลตัวที่ไม่เคยมีอยู่ในความคิด มันกลับแทรกเข้ามายามระลึกได้ว่า อาหนุ่มของเธอหลุดปากพูดถึง ‘อันตราย’ นั้นเอง

นอกเหนือจากนี้ .. ห้วงความคิดอีกเสี้ยวกลับกระหวัดไปถึงหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน และเธอคนนั้นก็แสดงออกมาแล้วว่า เกี่ยวข้องกับ ‘อาป่าน’ ของเธอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

เป็นไปได้หรือนี่ .. ศรตฤณกับเพชรงาม .. โลกนี้ดูช่างตลกร้ายเกินไปแล้ว!

“ลินิน ยืนทำอะไรจ๊ะ .. ไม่เห็นเข้ามาที่ออฟฟิศ นี่ก็ ๒ ทุ่มกว่าแล้ว .. คืนนี้ไปนอนกับพายที่คอนโดเถอะ”

มัสลินพักความวิตกกังวลไว้ชั่วขณะ เหลียวมาตามเสียงเตือนของพายพัด คิ้วมุ่นน้อยๆเมื่อได้ยินเพื่อนบอกเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

“ตายจริง .. ลินินก็มัวแต่คิดนั่นนี่เพลิน ไม่ได้ดูเวล่ำเวลา”

“พายก็ว่างั้น .. ตั้งแต่ขากลับมาแล้วล่ะ พายรู้สึกว่า ลินินดูเครียดๆเหมือนกังวลอะไรสักอย่าง .. มีอะไรไม่สบายใจ ก็บอกพายได้นะ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว”

ความห่วงใยของพายพัดถ่ายทอดมาจากความจริงใจที่มัสลินรับรู้เสมอมา ยิ่งเพื่อนมีให้มากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งซาบซึ้งในใจมากเท่านั้น

“ขอบใจจ้ะ .. เอาไว้ให้ลินินแน่ใจ .. มั่นใจอะไรบางอย่างก่อนนะ”

“อืม .. เรื่องนั้นพายรอได้ แต่เรื่องที่รอไม่ได้คือ ตอนนี้เรารีบกลับไปรอรายงานผลจากทัตกันดีกว่า ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเคลียร์กับพี่ฟ้าสำเร็จมั้ย”

“อะไรกัน .. อย่าบอกนะว่า ที่นายนั่นโทร.มาเมื่อเช้า เพราะเรื่องนี้”

พายพัดยิ้มตาพราวแทนคำตอบ ก่อนจับมือมัสลินมากุมแล้วจูงให้เดินตามไปยังรถยนต์คันเล็กกะทัดรัด ซึ่งจอดอยู่ที่ลานข้างออฟฟิศ

หญิงสาวสองคนกับรถคันเล็กน่ารักพร้อมมุ่งหน้ากลับยังที่พัก ซึ่งไม่ไกลจากที่ทำงานของพวกเธอ แต่พอเหลือระยะทางอีกนิดเดียวก็จะถึงที่หมาย ผู้โดยสารอย่างมัสลินจึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เสมองสารถีนัยน์ตาคมพร้อมคำถามกำกวมแกมกรุ้มกริ่มว่า

“แล้วลินินจะได้เจอผู้ชายในเครื่องแบบสุดเท่คนนั้นมั้ยอ่ะ .. พาย”

พายพัดรู้ดีว่า มัสลินแกล้งยั่วเย้าถึงพี่ชายของเธอประสาเพื่อนรักเพื่อนสนิท ไม่ใช่อาการของคนลื่นล้นสนใจผู้ชายออกหน้าออกตาแท้จริง เธอจึงหยอกกลับด้วยน้ำหนักสมน้ำสมเนื้อพอกัน

“ถึงเจอลินินก็หมดสิทธิ์ .. ชายในเครื่องแบบคนนี้ นับเป็น .. ของสงวนมิควรแตะต้อง เพราะพี่กรีถูกตีตราจองนานแล้วจ้ะ”

เสียงหัวเราะประสานขึ้นอย่างขำขันลั่นห้องโดยสาร เพราะสองสาวต่างสไตล์เท่าทันกันในความคิด กับการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ที่เป็นเจ้าของตรากับคนถูกตีตราจอง

กระทั่งสร่างซาแล้วค่อยจางหายไป ปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมบรรยากาศสนุกสนานแทน

เจ้าของพาหนะและที่พักเพิ่มสมาธิจดจ่อกับการขับรถ ไม่ได้สังเกตถึงคนข้างๆที่นั่งนิ่งมานานนับแต่หยุดคุย เมื่อถึงคอนโดมิเนียมซึ่งพี่ชายของพายพัดซื้อทิ้งไว้ให้ และเธอก็ย้ายมาอยู่ตั้งแต่ครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัยปีที่ ๒

มัสลินหวนนึกถึงคำพูดติดตลกของเพื่อน กระทั่งได้ไตร่ตรองเนื้อความแต่ละท่อน แต่ละวรรคให้ดี ก็อดเผลอคิดไปถึงใครคนหนึ่งที่อยู่ไกลจากเมืองหลวงแห่งนี้กว่าพันกิโลเมตรไม่ได้

พี่กรี .. ที่พายพัดเอ่ยเป็นนัยว่ามีเจ้าของแล้ว .. มัสลินเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า ‘เจ้าของ’ของพี่ชายเพื่อนรักนั้น ..หมายถึงใคร

ทว่า .. คนที่เธอกำลังปล่อยความคิดไปถึงนี้ จะรู้บ้างหรือไม่ว่า เขาก็อยู่ในขอบข่ายคำพูดของพายพัดเช่นเดียวกับเธอ

ต่างกันที่ .. สำหรับมัสลิน .. มันเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเฮฮา

แต่สำหรับเพลิงกัลป์ .. มันคือความจริงจังตั้งใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอเริ่มรู้สึกอึดอัดและอัดอั้นกับความจริง .. ความในใจของเขา

แม้ว่ามัสลินจะพยายามเตือนสติตัวเองทุกครั้ง ว่าถึงเขาจะรักชอบใครก็ไม่เกี่ยวข้องกับเธอ .. เพราะสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้เธอเสมอยามพบหน้า .. คือความจงเกลียดจงชัง




ต้นแขนกลมกลึงของเวหาถูกรัศมิทัตยึดตรึงไว้หลวมๆ ถ้าหากออกแรงสะบัดเพียงนิดเดียวเธอก็จะหลุดพ้นจากการเกาะกุมอย่างง่ายดาย

ทว่า สิ่งที่ทำให้หญิงสาวไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนกายหนีไปไหน คือคำพูดเว้าวอนที่เจ้าของไม่คิดหลบซ่อนความหมายลึกซึ้งนั้นเลย

กอปรกับนัยน์ตาละห้อยโหยตัดพ้อขอความเห็นใจนั่นอีก แล้วอย่างนี้เวหาจะมีแรงต้านทานหนุ่มรุ่นน้องได้อย่างไร

“หรือว่า ที่คุณไม่เคยมองผม เพราะคุณยังไม่ลืมรักแรก ..”

“ทัต .. เธอ”

เวหาบอกไม่ถูกว่า ควรจะตระหนกตกตะลึงกับคำถามของรัศมิทัตดีไหม แต่ที่แน่ๆมันก็ทำให้เธอถึงกับพูดไม่ออก ยิ่งท้ายประโยคด้วยแล้ว .. เธองงงันมากกว่าโกรธ ว่าเขาไปเอาเรื่องพรรค์นี้มาจากไหน เพราะมั่นใจเกินร้อยว่าไม่มีใครรู้เรื่อง ‘ความรักครั้งแรก’ ของเธอ

แม้แต่ศิรา เพื่อนสนิทที่สุดก็ยังไม่เคยล่วงรู้ และไม่มีวันที่เธอจะให้เพื่อนรู้เรื่องนี้ด้วย

“ตอนนั้น ผมไม่คิดจะใส่ใจด้วยซ้ำ .. พอคุณบอกว่าอกหัก .. มันก็หมายความว่า รักครั้งนั้นของคุณมันจบแล้ว ..”

รัศมิทัตหยุดพูดเพ่งมองใบหน้าของเวหา ที่ไม่ว่าจะพิศส่วนไหนก็ดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง .. ดวงตาทอประกายสว่างไสวแม้ยามโกรธ จมูกโด่งไม่มากไม่น้อยปลายมนคล้ายหยดน้ำเล็ก ริมฝีปากบางเคลือบสีชมพูอ่อนตามธรรมชาติ พวงแก้มระเรื่อเปล่งปลั่งน่าสัมผัส ..

ที่สุด ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงสูดลมหายใจลึกแล้วกลั้นมันไว้ในอก ก่อนค่อยระบายพรูออกมาคล้ายพยายามหักห้ามบางสิ่งในความคิด

เวหาเองก็เผลอไผลไปกับลูกนัยน์ตาสีเข้มในกรอบดวงตาเรียวคู่นั้น คล้ายกับมีแรงดึงดูดให้สบสายตาของเขา มากกว่าจะเบือนหน้าหลบตา

“แต่มันไม่ใช่ .. ผมเพิ่งเข้าใจวันนี้ ว่ามันไม่ใช่..”

น่าแปลก .. น้ำเสียงของรัศมิทัตที่เอ่ยออกมานั้น เป็นเสียงที่ไม่ต่างจากการกระซิบ หากแต่มันกลับสะท้อนกึกก้องราวกับเขาตะโกนใส่หน้าเธอ

“อะไร .. เธอเข้าใจอะไร .. แล้วที่ว่าไม่ใช่ .. มันหมายความว่ายังไง”

เวหาเค้นเสียงถามในระดับความดังประมาณเดียวกัน .. พวกเขากำลังตะโกนด้วยเสียงกระซิบ .. ซึ่งมันทำให้รัศมิทัตต้องโน้มกายก้มศีรษะลงมาหา .. ใบหน้าใกล้เข้ามาจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากลมหายใจ

“รักแรกของพี่ฟ้า .. รักที่ถึงจะไม่สมหวังก็ไม่เคยลืมมันได้ลง .. แต่ .. มันคงจะดี ถ้าคนที่คุณเคยรัก ไม่ใช่ .. พี่กรี”

“ทัต .. เธอ .. เธอรู้ได้ยังไง”

ไม่ว่ากี่ครั้งที่หนุ่มรุ่นน้องคนนี้สร้างความประหลาดใจ แปลกใจ ตระหนกตกใจแก่เธอ คงไม่เท่าครั้งนี้ ที่มีชื่อของ ‘อดีตรักครั้งแรก’ หลุดจากปากของเขา

ชายหนุ่มตรงหน้าที่เวหาย้ำอยู่เสมอว่า เขาเด็กกว่า .. ด้อยประสบการณ์กว่า ยากที่จะคบหาเกินเลยมากกว่าเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง .. หรือคนรู้จัก

แต่แล้ว .. รัศมิทัตก็แสดงให้เธอเห็นว่า นั่นมันเป็นความคิดของเธอฝ่ายเดียว

“ผมก็ไม่ได้อยากจะรู้หรอกครับ .. แต่พอมีเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับคนที่เราสนใจ คนที่เราอยากจะเฝ้ามองเขาอยู่ตลอดเวลา มันก็ละสายตาจากเขาไม่ได้ .. แล้วไม่ว่าเรื่องมันจะเล็กน้อยแค่ไหน เราก็จะมองเห็นมันได้ชัดเจนครับ”

รัศมิทัตเม้มริมฝีปากขบเนื้อใน เหมือนสะกดมันไว้ไม่ให้สั่นไปกับใจที่กำลังไหวหวั่น .. มิเช่นนั้น เขาอาจจะถูกผู้หญิงที่อยู่ใกล้กันแค่คืบดูถูกเอาได้ว่า อ่อนแอและอ่อนไหวกับเรื่องเท่านี้เหลือเกิน

หากริ้วรอยรวดร้าวกลับฉายชัดในแววตาของเขา ทำให้เวหารู้ว่า ผู้ชายตรงหน้ากำลังข่มความรู้สึกที่มีต่อเธอมากมายขนาดไหน

หญิงสาวเองก็เข้าใจเขาแล้วเช่นกัน .. พร้อมๆกับที่เข้าใจในความรู้สึกของตนเอง

สองแขนบอบบางยกขึ้นช้าๆส่งมือทั้งสองลอยสูงจนสามารถแตะแนวกรามของรัศมิทัตได้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกอบสองแก้มสากมือเล็กน้อยจากไรเครา ประคองใบหน้าของชายหนุ่มด้วยมือนุ่มนิ่มของเธอ

อิริยาบถดังกล่าวสามารถถ่ายโอนอาการตะลึงงันไปสู่อีกฝ่ายได้ รัศมิทัตตอบสนองได้แค่กะพริบตาปริบ และยอมรับโดยดุษฎีว่า เขาตามความคิดความรู้สึกของสาวรุ่นพี่ไม่ทันจริงๆ

เวหาเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้นก็คลี่ยิ้มสดใสให้เขาเป็นครั้งแรก ราวกับท้องฟ้าที่เคยหม่นมัวพลันสว่างกระจ่างแสงเจิดจ้าในทันใด

“ทัต .. ฉันไม่คิดจะเลยว่า เธอจะใส่ใจแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆขนาดนี้ .. ฉันจะบอกอะไรให้ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ .. ไม่มีเลยจริงๆ เธอเป็นคนแรกที่ทำให้ฉันประหลาดใจ .. อืม จะว่ายังไงดีล่ะ .. ทัตทำให้ฟ้าประทับใจเลยเชียวล่ะ”

“อะไรนะครับ .. คุณฟ้า .. คุณพูดว่าอะไรนะครับ”

รัศมิทัตไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองกับความเปลี่ยนแปลงที่ได้ยินได้ฟังเหมือนกัน .. เขาขอตีความเอาเองได้ไหมกับสิ่งที่เวหาเพิ่งบอกออกมาเมื่อครู่ .. นั่นคือการยอมเปิดใจรับเขาในแบบฉบับของเธอ

ความไม่มั่นใจจู่โจมชายหนุ่มเอาดื้อๆ เพราะไม่คิดไม่ฝัน .. ไม่ทันเตรียมใจมาก่อนว่า จะสมหวังในสิ่งที่รอคอย

หญิงสาวโปรยยิ้มหวานให้เขาอีกครั้ง ก่อนลดมือลงมาวางแปะบนอกข้างซ้าย ซึ่งรับรู้ได้ถึงแรงสะท้อนสะเทือนผ่านสัมผัสแทนการบอกความรู้สึกกันและกัน แล้วจึงค่อยถอนฝ่ามือถอยหลังออกมาครึ่งก้าว ให้พ้นรัศมีที่เพิ่งคลายความแนบชิดมาไม่กี่นาที

รัศมิทัตมองตามตาปรอย คิดว่าหากยืดเวลาออกไปได้ .. เขาอยากจะรั้งเวหาเข้ามากอดเอาไว้แน่นๆเสียเดี๋ยวนี้เลย .. จริงๆ












*****************************************************








โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอขอบคุณสำหรับการกดไลค์ให้กำลังใจฮะ


คุณkaelek .. คู่นี้ ดูทรงแล้ว สถานการณ์ไม่ได้แย่เท่าไหร่ฮะ .. ไม่รู้จะฮาได้เท่าเฮียไฟรึเปล่า 555



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ย. 2558, 03:46:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ย. 2558, 03:46:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1060





<< ใยเส้นที่ 16 .. เพิ่งรู้และเข้าใจ   ใยเส้นที่ 18 .. น้ำตา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account