อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด

ตอน: บทที่ 18 : ว้าวุ่นสุกี้และน้ำส้มคั้น

บทที่ 18

มื้อแรกของชีวิตคู่ ทั้งสัมปันนีและดรัลต่างเลือกที่จะไปเดินห้างสรรพสินค้า ซื้อผัก เต้าหู้ วุ้นเส้น และเนื้อหมูมาต้มสุกี้ทานกันในบ้าน หญิงสาวเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหม้อต้มขนาดใหญ่เท่าร้านบุฟเฟ่ต์ วัตถุดิบจัดเรียงใส่ถาดพลาสติกไว้พร้อมสรรพ บางส่วนเริ่มถูกลำเลียงลงสู่หม้อที่มีน้ำเดือดปุดๆ

“บ้านนี้ไม่แคบไปใช่ไหม”

สัมปันนีมองบ้าน ที่จริงน่าจะเรียกว่า ‘คอนโด’ สามห้องนอน สามห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว และหนึ่งห้องนั่งเล่นอย่างพอใจ ถึงที่นี่จะไม่มีพื้นดินให้เธอเหยียบย่าง ไม่มีที่ไว้เลี้ยงสุนัขพันธุ์เล็กสักตัว บรรยากาศในห้องก็มีไอเข้มงวดจริงจังแผ่ออกมา ไม่ว่าจะเครื่องเรือนสีทางการ หรือผ้าปูบนที่นอนที่เรียบตึงเปรี๊ยะ เธอก็คิดว่าตัวเองต้องอยู่ให้ได้ การเดินทางจากที่นี่ไปที่ทำงานก็แสนสะดวก นั่งรถไฟฟ้า ต่อรถเมล์อีกหน่อยก็ถึงที่

“อยู่คนเดียวคงกว้างไปนะคะ” หญิงสาวแหย่กลับมา สำหรับเธอห้องใหญ่ขนาดนี้แทบจะขนครอบครัวเข้ามาอยู่ได้สบาย มีแบบดูเพล็กส์ขึ้นชั้นสองอีกต่างหาก

“หรือชอบบ้านแบบมีพื้นที่มากกว่า”

“ไม่สำคัญหรอกค่ะ บ้านก็แค่ส่วนประกอบ ไว้อยู่อาศัย คนต่างหากที่จะทำให้บ้านหลังนั้นน่าอยู่ หรือน่าหนีไปให้ไกล” มือหักผักกาดเป็นชิ้นๆ ลงใส่หม้อ ปากยังไม่หยุดจารนัย “พี่เอื้องคิดว่าบ้านหลังใหญ่ๆ มีชันนาเลียหรูตามทีวีน่าอยู่เหรอคะ เห็นในละครแต่ละเรื่อง ไม่เกิดคดีฆาตกรรม ก็เกิดการแย่งชิงมรดกทั้งนั้น น่ากลัว สู้อยู่เล็กๆ มีครอบครัวน่ารักๆ ดีกว่า”

ดรัลคีบเกี๊ยวปลา กับหมูบดใส่ถ้วยของสัมปันนีที่เอาแต่คีบอาหารลงหม้อ “ไม่อยากเป็นนางเอก มีพระเอกรวยๆ หล่อๆ ที่พร้อมอ้าแขนรับกระสุนแทนเหรอ”

สัมปันนีหัวเราะครืน ลืมความขุ่นเคืองภายในลิฟต์ไปตั้งแต่ออกจากลิฟต์ ส่ายหน้าก่อนตอบคำถาม “ไม่เลยค่ะ ชีวิตของฉันคงไม่สงบ และพระเอกในชีวิตจริงคงไม่ได้โชคดีถูกยิงโดนแค่แขนเสมอไปด้วย สู้ทานสุกี้ในบ้าน อาหารข้างทาง คุยกันว่าวันนี้ไปเจออะไร ถึงจะเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่ว่าสงบดี” เธอปรารถนาที่จะหลีกหนีความวุ่นวายของชีวิตทุกชนิด ถึงจะหนีไม่ค่อยพ้น ภาระงานวุ่นๆ หลายอย่างที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับมักโดนโยนมาให้เสมอ หรือบางครั้งเธอจะเสนอหน้าไปยุ่งเอง อย่างเรื่องของฟุ เด็กชายที่กำลังนั่งทานสุกี้อยู่เงียบๆ ในตอนนี้ นึกถึงตอนเผชิญหน้ากับเหล่านักเลง และจุณวัฒน์ที่หวังพึ่งพระคุณเจ้า เธอก็รู้ว่ามันทำให้เธอเข้าใกล้ความตายแค่ไหน เพราะคงไม่มีใครมากระโดดขวางทางปืนให้เธอ

เด็กชายตัวน้อยแต่ฉลาดเกินวัยกลายเป็นภาระที่ทั้งเธอและดรัลต้องรับผิดชอบ เขาจึงนำตัวฟุมาอยู่ที่นี่ด้วย

“โชคดีที่พี่ไม่รวยล้นฟ้า ไม่หัวสูง กินง่าย อยู่ง่าย ครอบครัวพี่ก็ไม่ใจร้าย เข้าทุกเกณฑ์ที่กล่าวมา” อมยิ้มและคีบเห็ดเข็มทองเข้าปาก พอใจกับปฏิกิริยาคนฟัง สัมปันนีแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่เขารู้จักจริงๆ ไม่ห้าวหรือลุยเท่าช่อมาลี ไม่สวยสง่าเชิดมั่นอย่างผู้หญิงหลายประเภทที่เขาพบ แต่เธอมีศักดิ์ศรีที่ตัวเองยึดมั่น ทั้งยังบ้าระห่ำในเวลาที่คนไม่ค่อยนึกถึง รู้จักผ่อนปรนไม่มีปากเสียงในเวลาที่คิดว่าอยู่ในขอบข่ายที่อดทนได้ ดูกลมกลืน แต่ก็ยังมีส่วนที่โดดเด่น

คนฟังก้มหน้างุด รู้สึกว่าควันที่พวยพุ่งขึ้นมาจะส่งผลต่อผิวแก้มของเธอให้ร้อนผ่าว

“โอยน้ำต้มสุกี้หวานเว่อร์ เหยาะน้ำปลาเพิ่มหน่อยไหม” จุณวัฒน์ที่วันนี้มารบกวนมื้อดึกครอบครัวเพื่อนถือโอกาสทำลายบรรยากาศด้วยสีหน้ากวนประสาท ก่อนจะร้องโอยเพราะก้นทัพพีตักแกงเขกลงมากลางหัว

“เสือกจริงไอ้จุ้น”

“โหย ปากแกนี่ไม่คิดรักษามาดหล่อๆ แล้วเหรอวะ นี่มีสาวนั่งอยู่ตั้งคน ได้ข่าวว่ายังจีบไม่ติด” พูดแซวจบ จุณวัฒน์ก็ลุกขึ้นเผ่นแผล็ว มือถือถ้วยที่อัดแน่นเครื่องสุกี้เนื้อผักพร้อม ซู้ดเส้นวุ้นเส้นเสียงดังตั้งใจเยาะเย้ย แต่กลายเป็นติดคอจนหน้าดำหน้าแดง คนที่คิดยันก้นเพื่อนในตอนแรกจึงได้แต่นั่งลงอย่างสุขใจ ปล่อยให้เพื่อนวิ่งโร่ไปตู้เย็นหาน้ำมาดื่ม

สัมปันนีหลุดขำ เธอเคยกลัวว่าบรรยากาศระหว่างเธอกับดรัลคงจะตะขิดตะขวง น่าเกร็ง แต่เอาเข้าจริงๆ เธอกลับอยู่ได้ด้วยความสบายใจ เหมือนเพื่อน เหมือนพี่ชาย เหมือน...แฟน หัวใจของเธอค่อยๆ ซึมซับความสุขสงบอันเรียบง่ายนี้ทีละนิด

“ฉันดีใจด้วย ที่เห็นแกมีความสุขนะไอ้เอื้อง” จุณวัฒน์กลับมานั่งที่เดิมหลังจากค่อนข้างแน่ใจว่าจะไม่มีบาทาลอยมาเตะอีก นึกถึงความโชคร้ายของตัวเอง แลกมาด้วยความสุขของเพื่อน เขากลับวางใจ

“อืม” ดรัลไม่ปัดปฏิเสธว่าสิ่งที่เป็นอยู่คือความสุข

“ว่าแต่ตอนนี้ทั้งสองคน...” คนอยากรู้ยื่นหน้ามาเหนือหม้อสุกี้ ทำสีหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย กลอกตาขึ้น บอกให้รู้ว่ากำลังคิดไปถึงเรื่องไหน

“โอ๊ย!” ไม่ต้องรอให้ดรัลหยิบทัพพีไปฟาดหัวคนคิด สัมปันนีก็ชิงลงมือเองด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ยังไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ”

“อ้าว ถึงจะมีก็ไม่ผิดนะ”

“ฉันกับอาลัวเพิ่งตัดสินใจคบกัน”

“คบ? แบบแฟน!” จุณวัฒน์ถามเสียงสูง หน้าตาตกอกตกใจจริงจัง

“ทำไมวะ แต่งงานแล้วเพิ่งคบเป็นแฟนไม่ได้หรือไง” ดรัลย้อนถามหน้าตาไม่บ่งบอกอารมณ์

“ตลกนี่หว่า อุตส่าห์ฝันว่าจะได้อุ้มหลานกลางปีหน้า ฝันข้าสลายโต๋โม้ด”

โป๊ก! สัมปันนีมือทัพพีคนเดิม เขกลงตำแหน่งเดิม “ฝันอยู่ไหมคะ จะได้เขกเพิ่ม”

“เริ่มดุเหมือนแกแล้วว่ะ” จุณวัฒน์กลั้วหัวเราะ ยกมือยอมแพ้ว่าไม่กล้าฝันต่อ

“แล้วแกจะอยู่เป็นปลิงในบ้านฉันนานไหม” เพราะสนิทกันดรัลจึงรู้ว่าเพื่อนที่เห็นกันมาแต่เกิดจะไม่มานึกเคืองใจ

จุณวัฒน์ใช้สายตาราวกับว่าค้อนเป็นสาวน้อย ก่อนจะลอยหน้าลอยตาตอบ “เออ จนกว่าแผลใจข้ามันจะหายเว้ย ข้าเพิ่งโดนทิ้ง เจ้าสาวหาย ซ้ำยังต้องมาปั้นหน้ายิ้มอวยพรให้เพื่อนมีความสุขในชีวิตอีก แมร่งดราม่าชิบ ขออยู่เป็นปลิงในห้องแกกับแฟนสักหน่อยคงไม่เป็นไร”

คนสองคนที่ไม่เป็นไรมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย แววตาที่เหมือนกันเปี๊ยบทั้งอยากด่าและอยากหัวเราะคนดราม่าต้องเก็บเงียบ ก่อนหัวคิ้วสัมปันนีจะค่อยๆ ขมวดเป็นปมไม่วางใจ เธอล่ะไม่ค่อยจะเชื่อผู้ชายดราม่าจอมขี้แกล้งอย่างจุณวัฒน์นัก

“พี่จุ้นนอนห้องเดียวกับฟุใช่ไหมคะ” อีกห้องก็จะเป็นของเธอ

“อะร้าย” จุณวัฒน์ลากเสียงสูง หน้าตามองเด็กชายฟุสยองพองขน “จะมีปืนงอกมาจี้พี่ไหมล่ะ ไม่เอา จะนอนอีกห้อง”

“อีกห้องของฉัน” อาลัวเถียงทันควัน ไม่ยอม “นอนกับฟุไม่ได้ ก็นอนมันกลางบ้านนี่แหละค่ะ”

“เธอมันใจดำ ไอ้เอื้องแฟนแกรังเกียจแกว่ะ”

งานงอก...สัมปันนีเตรียมคว้าทัพพีมาเขกกะโหลกคนหาเหามาใส่หัวเธออย่างหมั่นไส้ กำลังคิดเปิดศึกกลางหม้อสุกื้ ผู้ตัดสินก็ชี้ขาดลงมาก่อน มือยังใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นเข้าปาก ไม่ได้กังวลเหมือนคนที่นั่งร้อนอีกหนึ่ง

“อย่าดื้อน่าอาลัว นอนด้วยกันมาคืนหนึ่งแล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก”

นั่นแหละที่เรียกว่าน่ากลัว...สัมปันนีก้มหน้าคีบผักเข้าปากกัดกร้วบๆ ไม่ลงต้มในหม้ออีก เธอล่ะกลัวว่าสถานะชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปอีกขั้นไม่ช้าไม่เร็วจากนี้ เธอไม่ใช่เด็กอนุบาลที่ไม่รู้เรื่องอย่างว่า แล้วการมานอนอยู่บนที่นอนเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดการันตีว่าชายหญิงจะไม่เกิดอะไรขึ้น

จุณวัฒน์หัวเราะลั่น กุมท้องไปนอนดิ้นอยู่กลางห้อง สัมปันนีย่นจมูก นึกทำบุญสุนทานกับมนุษย์อับเฉารัก แต่มันคุ้มเร้อ เมื่อเธอเหลือบไปมองผู้ชายหน้า(ไม่)ซื่อ ตา(ไม่)ใสที่กำลังรับประทานสุกี้ร้อนๆ อย่างอร่อย พร้อมกับภาวนาในใจ...จงรอดไปอีกหนึ่งคืนเถิด



ตื่นมาอีกวัน อ้อมแขนที่กำลังรัดเอวของสัมปันนีก็ยังเป็นของดรัล ผ่านมาห้าวัน วันแรกๆ เธอแทบนอนไม่หลับ จะหนีลงไปนอนข้างล่างก็จะโดนดุ เขาจะปล่อยให้เธอนอนโดยมีหมอนข้างกั้นกลาง แต่ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา เสียงหัวใจจังหวะมั่นคงของดรัลจะปลุกเธอให้ตื่นขึ้นเสมอ ใบหน้าผ่อนคลายของดรัลทำให้คนมองเผลอมองพินิจ ไรหนวดเหนือริมฝีปาก และเคราเขียวเริ่มขึ้นให้เห็นรำไร ดวงตาที่มักเครียดเกร็ง มีแต่แววดุปิดสนิท หัวคิ้วไม่มีร่องร้อยว่าเคร่งดุอย่างที่ชอบทำ ริมฝีปากของเขายังมีรอยยิ้มแต้มอยู่ตรงมุมปาก...หรือว่าฝันดี

อากาศเย็นในห้องทำให้เธอเผลอห่อตัวจมเข้าไปในอ้อมกอดที่อุ่นกว่า ดรัลรักษาสัญญาที่เธอขอให้เขาปิดบังความสัมพันธ์ของเธอกับทุกคนในบริษัทอย่างดี ทุกเช้าเธอจะไปทำงานเอง วันไหนเลิกเร็วก็จะกลับบ้านแม่พร้อมนวีนแล้วรอให้ดรัลไปรับ หรือไม่ก็ทำงานจนดึกดื่นค่อยกลับพร้อมกัน โชคยังดีที่ไม่มีใครในบริษัทสงสัย แต่ไม่รู้ทำไมเธอจะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจทุกครั้งที่บังเอิญพบกับดรัลในบริษัท แล้วต้องมองหน้าเขาเหมือนคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ถึงดรัลจะไม่เคยว่า แต่เธอก็ยังรู้สึกผิด

“ตื่นนานหรือยัง” น้ำเสียงเข้มถามขึ้นทั้งที่ยังหลับตา

“พักหนึ่งค่ะ” ดวงตาใสไร้กรอบแว่นเห็นใบหน้าดรัลได้ชัดในระยะห่างไม่ถึงครึ่งฟุต

ดรัลกระชับอ้อมกอดที่ทำให้เขานอนหลับได้ดีกว่ากอดหมอนข้าง นิสัยติดหมอนข้างเป็นนิสัยที่ไม่มีใครรู้ ตอนนอนหลับเขาก็หลับไปอีกฟากเตียง แทนที่จะคว้าหมอนข้างมากอด เขากลับคว้าร่างนุ่มนิ่มมีชีวิตที่อยู่อีกฟากเตียงมากอดเสียได้ และตอนนี้เขาก็ชินที่มีสัมปันนีมานอนแนบชิด แม้จะต้องทรมานทุกเช้ากับการได้แค่นอนกอดเฉยๆ ก็ตาม

“ยังอยากนอนอยู่เลย” เอียงศีรษะมาแนบชิดซอกคอ จงใจให้ลมหายใจร้อนๆ ของตัวเองทำให้สัมปันนีจั๊กจี้

“วันนี้วันเสาร์ เกเรได้เต็มที่ แต่ปล่อยฉันก่อน จะลุกไปทำอะไรให้ทานนะคะ”

“เกเรอย่างอื่นได้ไหม”

“หืม...ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอสงสัยในคำถาม แต่พอสบกับดวงตาดำขลับลึกล้ำที่กำลังมีประกายวาวก็เริ่มรู้ว่าเธออาจจะไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ขืนยังอยู่ในอ้อมกอดอย่างนี้

“รังเกียจพี่มากใช่ไหม” น้ำเสียงแหบพร่ามีแววน้อยใจจนคนฟังร้อนอยากปฏิเสธ สัมปันนีส่ายหน้า เธอรู้ว่าตัวเองไม่เคยเกลียดเขา ดรัลดีต่อเธอทุกอย่าง เขายังไม่โกรธที่เธอทำอะไรไปไม่คิดจนมีงานแต่งงานนี้ขึ้น ชีวิตคู่ที่ดูพิกลพิการ เหมือนแฟน แต่กลับนอนตื่นขึ้นมาเห็นหน้าในทุกเช้า เวลาทำงานเป็นแค่เจ้านายลูกน้องที่ห่างเหินเสียยิ่งกว่าตอนที่รู้จักกันใหม่ๆ สถานะแปลกประหลาดนี้ เธอมั่นใจว่ามันไม่ใช่ความเกลียด และนับวันมันมีแต่จะทำให้เธออึดอัดที่เธอเดินข้างเขาไม่ได้ในทุกเวลา และยิ้มให้เขาได้ไม่เต็มปากยามนั่งทำงาน

การทำตัวเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน ทั้งที่หัวใจเธอบอกว่าเขาไม่ใช่คนแปลกหน้าเลยนั้น...มันทรมานขนาดนี้เชียวเหรอ เธอเองจึงอยากกอดเขาตอบไปบ้าง อยากนอนอยู่ในอ้อมกอดที่มีเธออยู่แค่คนเดียว ไม่มีเจ้านาย ไม่มีลูกน้อง

“ไม่เคยรังเกียจนะคะ”

“แต่ก็ไม่มากพอจะชอบ”

อีกครั้งที่สัมปันนีส่ายหน้า แววตาเริ่มสับสน เธอมีความสุขกับชีวิตเรียบง่ายนี้ มีทะเลาะกันบ้าง ไม่เข้าใจกัน แต่พอต่างคนต่างเงียบ แล้วให้อภัยกันในใจ ทุกอย่างก็จะกลับสู่จุดเดิมเหมือนไม่มีอะไรบาดหมางใจ

“ไม่ชอบ...หรือชอบ”

คำถามคาดคั้นกึ่งอยากรู้ที่ใช้หน้าผากแนบหน้าผากกดดันทำให้สัมปันนีต้องทำใจกล้าลืมตาตอบออกไป ให้เขารู้ว่าเธอไม่มีทางโกหก “ก็ชอบนะคะ”

“ชอบพี่ หรือชอบอะไร”

“ทุกอย่างที่เป็นอยู่” จะให้เจาะจงอย่างใดอย่างหนึ่งเธอก็เลือกไม่ถูก แต่การมีเขาเพิ่มเข้ามาในชีวิต ถึงเริ่มต้นมันจะขลุกขลัก เจ็บปวด แต่เธอกลับค่อยๆ อยู่กับสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่รู้สึกเจ็บปวด หรือทรมาน

แสงตะวันยามเช้ายังไม่ขึ้น และอาจต้องรออีกร่วมชั่วโมง แต่คนตรงหน้า คนที่มักจะมีหน้านิ่งๆ กำลังสว่างไสวด้วยรอยยิ้มกว้าง สัมปันนีมองรอยยิ้มนั้นด้วยรอยยิ้มที่ตอบกลับไป ถึงรอยยิ้มของเธอจะไม่สว่างไสว หรืองดงามเท่ารอยยิ้มที่ไปถึงแววตาของดรัล แต่สักวันเธอจะยิ้มให้เหมือนเขา...เพื่อเขา

“เท่านี้ก็ดีมากแล้วอาลัว” ดรัลใช้ปลายนิ้วแตกมุมปากที่ยกขึ้น และหางตาที่แทบไม่ขยับเป็นรอยยิ้ม

“จะพยายามให้มากกว่านี้นะคะ”

“ปล่อยให้เป็นธรรมชาติก็พอ” ไม่ต้องพยายามให้เหนื่อย...ดรัลอยากบอกอย่างนั้น แต่เขาก็ยังอยากเห็นแก่ตัวอีกนิด อยากให้สัมปันนีมีเขาในหัวใจเร็วๆ

สัมปันนียื่นหน้าเข้ามาจูบริมฝีปากที่อยู่ห่างไม่กี่นิ้วอย่างเงอะงะ หัวใจตัวเองเต้นโครมครามแทบทะลักออกมา หัวสมองของเธอไม่ทำงาน ไม่สั่งการอะไร เธอรู้ก็เพียงสิ่งนี้คือคำยืนยันของเธอ จะวันนี้หรือวันข้างหน้า ไม่ใช่แค่หัวใจ แต่ร่างกายของเธอก็จะเป็นของเขา

“ปล่อยให้เป็นธรรมชาติก็ได้นะคะ” สัมปันนีพูดออกไปเสียงแผ่ว รู้สึกโกรธว่าบางทีตัวเองอาจเงอะงะงุ่มง่ามไม่ได้ความ ดรัลจึงนิ่ง ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมาเลย

“ระวังจะเสียใจ...ครั้งนี้จะไม่ใช่แค่การแต่งงาน อย่าใช้อารมณ์ชั่ววูบแบบเดิมสิ” ดรัลบีบจมูกคนก๋ากั่นที่ไม่กี่นาทีก่อนหน้าเพิ่งเอ่ยปากปฏิเสธเขา หากไม่มีเหตุการณ์แต่งงานที่น่าประหลาดใจ เขาก็คงคิดว่าสัมปันนีโดนผีเข้าอยู่

นี่ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ สัมปันนีมองใบหน้าที่อยู่ตรงหน้าอย่างมั่นใจ เธอไม่รู้ว่าความรักมันคืออะไรอีกต่อไป ไม่รู้หรอกว่านิยามสวยหรูในชีวิตคืออะไร เพราะเธอทำทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด เธอรู้แค่ว่าเท้าของเธอก้าวออกมาจากจุดเดิมไกล และมือของเธอก็เลือกจับมือของดรัลไว้...นับวันมีแต่ไม่อยากปล่อยมือจากเขา

“ถ้ามันไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบล่ะคะ”

“พี่กลัวอาลัวจะเสียใจ ถ้าสักวันหนึ่งมานั่งเสียดาย”

“พี่เอื้องจะทิ้งฉันใช่ไหม”

ดรัลจ้องตาคนถามอย่างค้นคว้า เขาสัมผัสได้ถึงแววตาหวาดหวั่น กลัว และเว้าวอนอยู่ในแววตาคู่นี้ ถึงจะยังไม่รัก แต่สัมปันนีกลับกลัวที่จะเสียเขาไปอย่างนั้นเหรอ ชายหนุ่มดึงร่างอันสับสนในตัวเองมากอดไว้แน่น ข่มความปรารถนาในใจลึกๆ ที่พยายามผลักดันออกมาเสมอ แต่เขาจำต้องกดมันเอาไว้

“ไปคิดให้ดีๆ ก่อนอาลัว พี่ไม่อยากให้เราเสียใจ”



ยัยผู้หญิงหน้าไม่อาย...สัมปันนีพิงศีรษะกับกระจกบนรถไฟฟ้า สองมือปิดหน้าร้องอื้อในลำคออย่างทนไม่ไหว เมื่อเช้าของวันวานเธอตื่นขึ้นมาถามเรื่องน่าอายอย่างนั้นกับดรัล ถึงคำตอบของดรัลจะทำให้เธอจุก แต่มันก็จริงทุกอย่าง...ยังไม่รู้จักความรู้สึกของตัวเองดี อย่าได้ริอาจเล่นกับมันอย่างไม่ลืมตา ผ่านมาสองวันเธอก็ยังนึกถึงวันนั้นไม่ลืม ถึงแม้ว่าหลังจากวันนั้นจุณวัฒน์จะทำใจไปนอนกับฟุ และคืนห้องของเธอให้แล้วก็ตาม

ชื่อสถานีปลายทางดังขึ้น สัมปันนีจึงลุกจากที่นั่งออกมา เดินสอดบัตรออกจากประตูเรียบร้อย ฝูงชนที่เยอะในเวลาเร่งด่วนทำให้เธอต้องเบี่ยงตัวหลบ บ้างต้องทำตัวรับแรงกระแทก จนเธอนึกถึงที่นั่งสบายในรถของดรัล ทนรถติดหน่อย แต่ก็ได้อยู่กับเขา

“เป็นบ้าอะไรอาลัว” สัมปันนีส่ายหัวให้กับความรู้สึกที่ไม่เข้ารูปเข้ารอยของตัวเอง

“อาลัว” เสียงเรียกชื่อแผ่วเบาแต่ชัดเจนดังมาจากด้านซ้ายตอนที่สัมปันนีกำลังจะลงบันไดไปต่อรถเมล์ และพอเธอหันไป ร่างของคนที่พลิกผันชีวิตของเธอก็อยู่ตรงนั้น ใบหน้าของช่อมาลีซีดเซียวไม่มีความสุข ทั้งแววตาก็ยังแดงก่ำ ไม่รู้ว่าอดนอนมากี่คืน เธอเหมือนจะเห็นเส้นเลือดในตาของอีกฝ่ายแตก สัมปันนีหมุนร่างไปยังทิศของช่อมาลี เดินไปข้างหน้าอย่างระวัง กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายตกใจ

“คุณช่อคะ”

“เธอโกหกฉัน”

“เราคุยกันก่อนนะคะ” สัมปันนีโอดครวญในใจว่าเพราะอะไรฟ้าจึงประทานให้คนแก้ปัญหาได้ห่วยแตกที่สุดในสามโลกอย่างเธอมาเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าคุยได้รู้เรื่องได้มากน้อยแค่ไหน

“เธอบอกไม่ได้เป็นแฟนของพี่เอื้อง แล้วทำไมเธอไปแต่งกับเขา!” ช่อมาลีตะโกนออกมาจนเสียงแหบแห้ง ไม่สนสายตาของใครอีกหลายคู่ว่ากำลังจับสังเกตพวกตนขนาดไหน “ฉวยโอกาสงานล่มของฉันเพื่อตัวเอง เธอมัน...” ไม่จบด้วยคำต่อว่า แต่สาดน้ำส้มในขวดออกมาใส่ร่างของสัมปันนีจนเปียกชุ่ม เสื้อเชิ้ตสีขาวของเธอมีรอยเปรอะไปทั่ว

สัมปันนียืนบื้อ หน้าชา รู้สึกตัวเองไปก่ออาชญากรรมร้ายแรงมา ทั้งที่เธอไม่ได้ลงมีดฆ่าใคร แต่เป็นหัวใจบอบช้ำของผู้หญิงคนหนึ่งที่มารู้หัวใจตัวเองในวันที่สายเกินไป

“แทนที่คุณจะนึกถึงพี่จุ้นที่คุณทำร้ายอย่างเจ็บแสบ คุณกลับนึกถึงผู้ชายที่เขาไม่ได้รักคุณแล้วเหรอคะ” อีกครั้งที่เธอได้แต่ปล่อยให้ปากทำงานไปโดยไม่ใช้สมองไตร่ตรอง มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนถูกจู่โจมด้วยเล็บยาวที่ง้างเตรียมตวัดใส่หน้าเธอ แต่ยังไม่ทันถึง มือของช่อมาลีก็ถูกดึง แล้วโดนผลักกระเด็นไปไกล

“นวีน”

นวีนจ้องช่อมาลีอย่างดุร้าย จนอีกฝ่ายจำต้องล่าถอย พอสัมปันนีคิดจะตามติดไปเพื่อเจรจากันให้รู้เรื่อง นวีนกลับรั้ง และไม่เห็นด้วย

“คุยกับคนไร้สติไม่รู้เรื่องหรอก มีแต่เจ็บตัวเพิ่ม” ชายหนุ่มพาลโกรธไปถึงดรัล ตัวต้นเหตุที่ทำให้สัมปันนีตกที่นั่งลำบาก

“อย่างน้อยคุณช่อก็ควรกลับบ้าน”

“ไม่โกรธเขาหรือไง ต้องมารับเคราะห์แทน แต่งงานแทน มันใช่เรื่องไหมอาลัว”

“เราเต็มใจแต่ง จะให้บอกอีกกี่ครั้ง เราก็เหมือนที่คุณช่อว่า เป็นแค่นักฉวยโอกาสคนหนึ่ง” ในทีแรกเธอแค่อยากแต่งเพราะอยากลืมนวีนให้ได้หมดใจ และอีกอย่างก็เพื่อทำให้ดรัลเกลียดเธอ แต่ไม่รู้ทำไมความตั้งใจหลายอย่างบวกกับความรู้สึกผิดมันเล่นงานเธอตั้งแต่วันแรกที่คิดทำอย่างนั้น จนสุดท้ายเธอก็ปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรัดสิ่งใดอีก เธอจึงค่อยๆ รู้ว่าที่จริงตัวเองกลับไม่เสียใจเลยที่แต่งงานกับดรัล

นวีนมองคนที่ขึ้นเสียงใส่อย่างตะลึง ร้อยวันพันปีสัมปันนีไม่เคยขึ้นเสียงใส่เขา และไม่รักษาน้ำใจเขาอีกต่อไป สัมปันนีไม่เคยรู้ตัวว่าทุกเช้าในขบวนรถไฟฟ้าจะมีเขาอยู่ร่วมขบวนอัดแน่นกับฝูงชนเสมอ รถเมล์คันที่สัมปันนีขึ้นเช่นกัน เธอไม่เคยสังเกต และหลายครั้งที่เหม่อลอย ดวงตาของสัมปันนีไม่ได้มีไว้มองเขาคนเดียวอย่างอดีตอีกต่อไป นวีนยิ้มหยามหยันให้ตัวเอง

“ไปล้างเนื้อล้างตัวเถอะ น้ำส้มมันจะเหนียวตัว”

“นายไม่ขับรถมาเองเหรอ” สัมปันนียังไม่หมดสงสัย

“รถเสียน่ะ”

“จากบ้านของนวีน น่าจะมาจากอีกสายนี่นา”

“ยังจำรายละเอียดปลีกย่อยของเราได้ด้วยแฮะ” กึ่งบ่นกึ่งน้อยใจ แต่ไม่ตีโพยตีพายเท่าแต่ก่อนแล้ว เขาคิดว่าเขาอ่านหลายๆ สิ่งที่สัมปันนีเป็นออกได้มากกว่าเจ้าตัว

“เราไม่ใช่ปลาทองนะ”

สัมปันนีรับเสื้อสูทของนวีนมาพาดแขน สีหน้าฉงน “เช็ดเสื้อเสร็จ ก็เอาเสื้อนี่คลุมไปก่อน ค่อยไปหาเสื้อเปลี่ยนทีหลัง”

“ขอบคุณนะ”

“อาลัว...ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเคยรักเรา” นวีนจับมือของสัมปันนีบีบไว้ นึกเสียใจที่เขามารู้ตัวเอาในวันที่เขาอ่านทุกความรู้สึกของสัมปันนีที่มีต่อดรัลออก เขาโง่ที่ปล่อยให้รักดีๆ ถูกความโง่ และความกลัวทำให้เสียโอกาสดีๆ ไป สัมปันนีไม่ใช่ผู้หญิงน่ารัก ไม่ใช่ผู้หญิงสวย ไม่ใช่ผู้หญิงเก่ง แต่เธออดทน พยายาม และจะทำในสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ อย่างการตั้งใจที่จะปิดบังความรักที่มีต่อเขา เธอก็ทำมันมาได้ตลอดสามปี และถ้าเธอตั้งใจที่จะตัดเขาออกไปจากใจจริง ทำไมจะทำไม่ได้

‘แต่มันก็ดีแล้วล่ะที่เรามา มันเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่ทำให้เราเก็บความรู้สึกบ้าๆ นั่นได้อย่างเด็ดขาด ความจริงเพราะเรากลัวสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นอย่างในตอนนี้มากไป กลัวจะเสียเพื่อนอย่างนายไป เรากำลังเก็บมันลงกล่องแล้วนวีน...ทำไมนายต้องเปิดมันออกมา’

เขาไปเปิดกล่องต้องห้าม และใช้เท้าทำลายกล่องนั้นด้วยความรังเกียจ ตอนนี้ไม่มีกล่องให้เก็บ ทุกสิ่งมันเลือนหายไปตามเวลาที่สมควร ตามความตั้งใจของสัมปันนี

“เรายังเป็นครอบครัวเหมือนเดิม...อย่าคิดมาก” สัมปันนียิ้มปลอบใจ เธอไม่รู้ว่าตอนนี้นวีนกำลังต้องการคำพูดแบบไหน แต่เธอก็ยังอยากเห็นเขาสบายใจ ไม่มีอะไรติดค้างตะขิดตะขวงใจ



ที่บริษัทวันนี้ทุกสายตาต่างจับจ้องสัมปันนีและนวีนกันไม่วางตาตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึง หญิงสาวเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างหวั่นใจ ไม่มั่นใจว่าสภาพไม่พร้อมวันนี้จะดูน่าเกลียดขนาดไหน เสื้อของเธอที่อยู่ใต้เสื้อสูทก็มีแต่คราบน้ำส้ม

“แกสิไป”

“แกนั่นแหละ”

พนักงานในบริษัทเกาะกลุ่มกัน และเริ่มผลักคนนั้นออกมา คนนี้ออกมา แต่พอก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว ก็รีบถอยกลับเข้ากลุ่มไปผลักอีกคนออกมาต่อ สัมปันนีกุมขมับปวดหัว ไม่รู้ว่าจะรับเรื่องปวดหัวเพิ่มเติมอีกสักเรื่องได้ไหม

“นวีนเราควรถามพวกเขา หรือปล่อยไว้อย่างนี้ดี”

“ถ้ากลัวปวดหัวก็อย่าไปรู้เลย”

สัมปันนีส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “กลัวปวดหัวก็กลัวนะ แต่กลัวไม่รู้เรื่องมากกว่า เกี่ยวกับเราแหงมๆ” เรื่องนินทากาเลเธอไม่สนใจหรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญที่เธอเกี่ยวอย่างไม่รู้ตัว บางทีก็ต้องชี้แจงแถลงไขกันบ้าง

“พวกพี่ๆ คุยเรื่องอะไรกันคะ”

“ใครๆ...ใครคุย” กุหลาบหิ้วท้องโย้ของตัวเองพร้อมแฟ้มออกไป ยังมีสายตาเคลือบแคลงกวาดมองตลอดร่างสัมปันนีอีกหนึ่งรอบ “สภาพอย่างนี้เนี่ยนะเมียบอส”

เมียบอส! คำรำพันนั้นผ่านเข้าหูสัมปันนีได้อย่างครบถ้วน หน้าที่มีสีเลือดอยู่ค่อยๆ ซีดเผือด หญิงสาวกุมมือตัวเองไว้แน่น ไม่อยากเผชิญหน้าฉากอันน่ากลัวที่พวกเขาต่างเตรียมขย้ำเธอ พวกเขาล้วนไม่เชื่อว่าเธอจะอยู่เคียงข้างดรัลได้ คนอย่างเธอ...แล้วคนอย่างเธอมันเป็นแบบไหน

เส้นประสาทของนักอดทนชั้นเยี่ยมขาดผึง สัมปันนีท่องให้ตัวเองใจเย็นไม่จัดการกับกุหลาบว่าที่คุณแม่ แต่หันไปหาเพื่อนร่วมองค์กรอีกหลายชีวิตที่กำลังใช้สายตาหยามเหยียดแบบที่กุหลาบมองเธอเช่นกัน

หลังที่มักงองุ้ม ก้มต่ำรอให้คนเหยียบยืดตรงขึ้น ไฟร้อนๆ ลวกใจเธอจนทนอยู่นิ่งไม่ไหวอีกต่อไป “ฉันมันไม่ดีตรงไหน ทำไมจะเอาชนะใจคุณดรัลไม่ได้”

“ยีนส์มันได้ยินมาผิดแน่ๆ ที่ว่าเธอแต่งงานกับบอสแล้ว” หน่วยกล้าตายจากฝ่ายประสานงานที่เป็นชายแท้ส่ายหน้าดิกให้กับสารรูปจืดยิ่งกว่าน้ำจับฉ่ายของสัมปันนี “ไม่ต้องบอสหรอก แค่ฉันก็ไม่เอาแล้ว”

“เกินไปไหมไอ้บ๊วย ปากแกมันเฮงซวย” นวีนแทบโร่ไปต่อย ถ้าไม่ติดมือของสัมปันนีที่รั้งข้อพับแขนของเขาไว้ก่อน ป่านนี้หน้าคนพูดคงมีเลือดตกยางออกกันบ้าง

“ฉันจะเอาชนะใจบอสให้ดู ทำตัวให้เหมาะสมกับบอส พวกคุณจะได้เลิกดูถูก” หญิงสาวประกาศกร้าว

ผู้ชายหลายคนยกเว้นนวีนต่างทำท่าสำรอกออกมา สัมปันนีโกรธจนตัวสั่น นัยน์ตารื้นไปด้วยความแค้น อยากจะบีบคอเพื่อนร่วมงานที่แต่ก่อนเธอเคยช่วยงานพวกเขามาไม่น้อย คนพวกนี้ไม่เคยมองเห็นเธอเป็นเพื่อน ก็แค่ชนชั้นแรงงานชั้นล่างสุดในที่ทำงาน ต้องถูกกดต่ำไม่ได้ผุดได้เกิด ไม่มีวันได้เชิดคออวดกับใคร

เสียงหัวเราะของพนักงานหญิงที่มีชมนาดเป็นหนึ่งในนั้นคล้ายน้ำมันที่ราดซ้ำบนกองไฟ สัมปันนีกัดปากจนเจ็บ พวกเขาคล้ายลิ่มที่ตอกลงกลางใจเธอ และเฝ้าถามว่าทำไมคนอย่างดรัลจึงมองเศษดินในบริษัทอย่างเธอ คนไร้ค่าในสายตาคนอื่นเช่นเธอ

“ดูถูกคนกันสนุกพอไหม” ดรัลถามเสียงนิ่ง ดันร่างขึ้นจากที่นั่งของอาลัว บนโต๊ะมีเอกสารกองโตตั้งอยู่จนบดบังตัวคนนั่งได้มิดชิด แวบหนึ่งที่สัมปันนีรับแววเห็นใจ และปลอบโยนจากตาของดรัลได้ แม้จะเป็นแวบเดียวที่ใครมองไม่ทัน...แต่เธอมองทัน

ทุกคนต่างมีคำถามว่ากันว่าทำไมเจ้านายที่มีโต๊ะประจำ และห้องแยกเป็นสัดส่วนจึงนั่งอยู่ในห้องกลาง ตรงโต๊ะของสัมปันนีได้ แต่ไม่มีใครกล้าถามออกมา

“ควรมีการอบรมพนักงานบริษัทครั้งใหญ่ หรือไม่ก็ตัดเงินเดือนพวกคุณเป็นการลงโทษ ผมขอคิดพิจารณาบทลงโทษสักครึ่งวัน”

“ยีนส์บอกว่าไปเจออาลัวเขาทะเลาะกับผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งค่ะ พูดเรื่องแต่งงานกับบอส กับงานอะไรไม่รู้ที่ล่ม แล้วอาลัวก็โดนผู้หญิงคนนั้นสาดน้ำส้มใส่” ชมนาดมองเสื้อคลุมบนตัวสัมปันนีอย่างแค้นเคือง เธอจำได้ว่ามันเคยเป็นเสื้อที่อยู่บนตัวเธอมาก่อน

สัมปันนีหน้าเสีย มือของเธอเย็นเยียบขึ้นทันตา รู้ทันทีว่ายีนส์ฝ่ายบุคคลของบริษัทไปเจอเหตุการณ์เมื่อเช้าเข้า

“ก็แค่เรื่องไร้สาระ” ดรัลกวาดตามองสภาพของคนที่เพิ่งโดนสาดน้ำส้มมาด้วยแววตาหงุดหงิด แล้วจึงเดินกลับเข้าห้อง สัมปันนีทรุดนั่งบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ตอนที่ปะทะคารมกับคนในบริษัทยังไม่น่ากลัวเท่ากับตอนที่ดรัลรู้ความจริงเรื่องเธอไปเจอกับช่อมาลีเลย

โทรศัพท์บนโต๊ะสั่นว่ามีข้อความเข้า สัมปันนีกดอ่าน ก่อนจะรู้สึกมืดหม่นเพิ่มขึ้น

‘สิบโมง...ที่ดาดฟ้า’

เขาจะลงโทษเธอในฐานะเจ้านาย หรือคนที่แต่งงานด้วยดีล่ะ แค่โกหกฐานะ และเจอช่อมาลีแล้วไม่โทรบอกเขา...เท่านั้นเอง เฮ้อ แม้แต่เสียงถอนหายใจ เธอยังทำได้แค่ในใจเท่านั้น

.....................................................

คุณ กาซะลองพลัดถิ่น อาลัวนี่เป็นมนุษย์ขี้กลัวนะคะ กลัวโน่นนี่ไปหมด ยังเป็นจอมปุบปับสมองตามอารมณ์ไม่ทันอีก ฮา นิสัยนางยังต้องปรับอีกเยอะ พี่เอื้องต้องรับให้ได้

คุณ Furzan มีหลายคนรับฝากดูแลพี่จุ้นเยอะเลย เลือกไม่ถูกเขาขอดูแลให้ก่อนได้ ฮา

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ดูอึมๆ ครึมๆ มาได้หลายบท ตอนนี้เรื่องค่อยๆ ดีขึ้นค่ะ จากเอื้องผู้น่าสงสาร ต้องยกให้นายจุ้นแทนแล้ว สาวมาตามราวีอาลัว ไม่ได้นึกถึงตัวเองเล้ย

คุณ pkka เป็นอีกตอนที่น่าจบลงด้วยการบอกพี่เอื้องว่า ใจเย็นๆ นะพ่อนะ ฮา

คุณ kaelek พี่จุ้นมีคู่ไหมต้องตามต่อไปนะคะ ฮิ้วววว หนุ่มกวนผู้ถูกเหยียบหัวใจมามีหลายคนรอดามใจเยอะเลย

คุณ ปิ่นนลิน ตอนนี้พี่จุ้นเป็นผู้ชายสาธารณะแล้วล่ะค่ะ ฮ่าๆ

คุณ sai นวีนพื้นฐานเขาดีค่ะ เสียพื้นไปบ้าง ต้องใช้เวลารักษาอีกหน่อย ส่วนพี่จุ้นต้องปลอบใจด้วยหม้อสุกี้และทัพพีค่ะ ฮา

วันนี้มาอีกตอน เพื่อจะมาบอกว่าออมจะชะแว้บหายไปสักสามถึงสี่วันนะคะ อาทิตย์นี้ต้องเคลียร์วิจัยให้เสร็จ ไม่อย่างนั้นโดนเชือด ฮรือ อ่านให้สนุกนะคะ ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ย. 2558, 00:42:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2558, 00:42:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1481





<< บทที่ 17 : ความลับในที่ทำงาน   บทที่ 19 : ที่เป็นอยู่ก็ดีแล้ว >>
Kim 7 ก.ย. 2558, 03:11:05 น.
พี่เอื้องจะทำอะไรอาลัวล่ะเนี่ย แค่นี้ก็ซวยซับซวยซ้อนแล้วนะ


kaelek 7 ก.ย. 2558, 12:33:26 น.
เหมือนก่อนเห็นใจนางนะ ช่อมาลี แต่ตอนนี้เห็นใจอาลัว


กาซะลองพลัดถิ่น 7 ก.ย. 2558, 19:04:48 น.
ช่อเห็นแก่ตัวมากเลย ยังคิดว่าเอื้องจะกลับมารักตัวเองอีกเหรอ คำตอบก็ได้แล้วนี่
จุ้นต้องเจอคนที่ดีกว่าช่อมาลีนะ .... ความจะแตกก็ให้มันแตกไป และอาลัวต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเหมาะสมกับเอื้องให้ได้


sai 7 ก.ย. 2558, 19:39:43 น.
บ.นี้ กดขี่จังแหะ พี่เอื้องทำไรเด็ดขาดไปเลยเถอะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 8 ก.ย. 2558, 22:34:25 น.
อาลัวอย่ากลัวไปเลยยย พี่เอื้องก็ทำไปด้วยใจรักทั้งนั้นแหละนะ รีบๆ รุกอีกนะ 5555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account