อาลัว...กลัวรัก
รักแรก ทำให้หัวใจของอาลัวเต็มไปด้วยความสุขและเศร้า
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
เมื่อความรู้สึกที่เธอเคยเข้าใจมาตลอดเป็นของคนอื่น...
แต่ขนาดเธอเศร้าแทบตาย ก็ยังมีคนมาคอยสมน้ำหน้าด่าทอ
รวมถึงการมัดมือชกเสนอให้เธอคบเขาแก้เศร้าเสียเลย
นี่ถ้าเธอไม่คิดว่าเขาเป็นเกย์ แล้วอยากคบเธอบังหน้า เธอคงคิดว่าเขาเสียสติ
Tags: อาลัว ดรัล นวีน ชมนาด
ตอน: บทที่ 19 : ที่เป็นอยู่ก็ดีแล้ว
บทที่ 19
“ฉันเป็นปุถุชนธรรมดา โกรธได้ หงุดหงิดเป็น” สัมปันนีบอกกับตัวเองทั้งที่ลมหายใจเหนื่อยหอบ ขณะที่เลือกเดินขึ้นไปตามบันไดหนีไฟแทนที่จะเป็นลิฟต์ ภาพที่ทุกคนในบริษัทแบ่งแยกตัวเธอเป็นแรงงานชั้นล่าง สายตาดูแคลนของพวกเขาที่วัดว่าเธอไม่มีอะไรควรคู่กับดรัลทำให้ขอบตาของหญิงสาวร้อนผ่าว เธออยากตะโกนออกไปให้มนุษย์ที่สถาปนาตัวสูงส่งเหล่านั้นรู้เหลือเกินว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยินมามันจริงแท้แค่ไหน
แต่เธอทำไม่ได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ นอกจากเธอจะกลัวสายตาคนอื่นมองเธอว่าคิดปีนของสูง เธอยังกลัวว่ามันจะทำให้ภาพลักษณ์ของดรัลดูย่ำแย่ขึ้น นี่ไม่ใช่ละครที่ภาพลักษณ์ของมนุษย์เราจะเปลี่ยนแปลงกันในวันสามวัน คนพวกนั้นตีตราว่าคนอย่างเธอมันเฉิ่ม เชย และธรรมดาเกินไป
อีกไม่กี่ก้าวจะถึงประตูดาดฟ้า สัมปันนีกลับหยุดลง และนั่งตรงขั้นบันไดอย่างเหนื่อยอ่อน โชคดีเหลือเกินที่แถวนี้ไม่มีกระจกมาสะท้อนใบหน้าซีดเผือด ผมยุ่ง แว่นหนา ภาพลักษณ์ที่ห่างไกลจากความดูดี และยิ่งห่างเมื่อคนข้างกายคือผู้ชายที่ดูดีไปทุกกระเบียดนิ้ว
หญิงสาวไม่อยากดูถูกตัวเองอีกต่อไป เธอเองก็รู้สึกเหนื่อย ใครจะมากดตัวเธอให้ต่ำเตี้ย และตัดสินว่าเธอเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา เธอแค่เลิกใส่ใจ เลิกหาคำของคนอื่นเป็นสัมภาระแบกหลังให้หนัก ขนาดดรัลยังไม่ทุกข์ร้อน แล้วเธอจะไปสนใจทำไม
“ช่างมัน” สัมปันนีกัดปากตัวเองจนเจ็บ คำพูดบอกไม่สน แต่ใจก็ยังเจ็บ เธอยังขี้ขลาดเกินกว่าจะไปเคียงข้างดรัลได้โดยไม่อายใคร ทำงานมากี่ปีก็ยังเป็นได้แค่ลูกกระจ๊อกเล็กๆ คนหนึ่ง
หรือที่จริงมนุษย์เราจำเป็นเพื่อจะต้องปรับเข้าหาใครสักคน และยอกรับสักทีว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก หาเธออยากอยู่ข้างดรัล เธอต้องเป็นคนใหม่ เปลี่ยนทุกสิ่งที่เป็นตัวเองไป
เพียงแค่นึกสัมปันนีก็ไหล่ลู่ตก พิงศีรษะไปกับผนังล่อนสีขาวของตัวอาคาร เธอจะเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ให้คนมาเหยียบ หรือเป็นคนตัวใหญ่คนใหม่ที่ใครไม่กล้าเหยียบ และแม้แต่ตัวเองอาจจะจำตัวเองไม่ได้ดี
ถ้าเป็นนวีน เธอกลับไม่เคยต้องมานั่งกังวลในการที่จะยืนอยู่ข้างเขา ขอแค่ได้อยู่ข้างเขาไม่ว่าฐานะอะไรเธอก็มีความสุข แต่กับดรัล...ทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
มือสองข้างยกขึ้นปิดหน้าด้วยความระทม ตอนที่ดรัลบอกปัดออกไปหัวใจเธอเจ็บจี๊ด และเกิดอาการรับไม่ได้ แต่พอรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรก็ได้แต่หัวเราะสมเพช และบอกตัวเองให้ยอมรับเสียที
ดรัลตามใจเธอ...เขา ก็แค่รักษาความลับตามที่เธอขอไว้
ผู้หญิงคนนั้นเมินนัดของเขา...
ดรัลเดินกลับเข้ามาภายในบริษัท หน้าตานิ่งขรึม นึกอยากเฉียดกรายไปถามคนที่นั่งทานอาหารหัวเราะต่อกระซิกกับนวีนแทบแย่ แต่ก็ต้องบังคับตัวเองให้เดินผ่านไป เหมือนที่เขาไม่ได้ใส่ใจใครในบริษัทนี้เป็นพิเศษ เขาอยากปลอบ และอยากให้สัมปันนีทบทวนเรื่องที่ปิดบังความจริงคนอื่นถึงการแต่งงานนี้ไป เขาไม่อยากเห็นใครมาดูถูกสัมปันนีอีก
แต่เขารู้ว่าที่ทุกอย่างยังเป็นความลับ เพราะในใจสัมปันนีไม่ได้ใส่ใจการแต่งงานในครั้งนี้...ก็แค่งานแต่งงานฆ่าเวลา
หน้าตาบอกบุญไม่รับ ถึงจะไม่ได้แสดงออกมาชัดเจน แต่ก็ยังแผ่มาให้พนักงานหลายชีวิตได้รู้สึกจนไม่มีใครกล้าชวนทานมื้อเที่ยง ช่วงจังหวะที่ดรัลกำลังผ่านโต๊ะของสัมปันนีไป หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมา ประกายตาหวานฉ่ำ ริมฝีปากแต้มยิ้ม ไม่รู้ว่าเกิดจากผลพวงต่อเนื่องจากการอยู่ใกล้นวีนหรือเปล่า
“เดี๋ยวค่ะคุณดรัล” สัมปันนีวางช้อน และถือกล่องข้าวอีกกล่องออกมาจากถุง ไม่สนเสียงที่เริ่มมีคนซุบซิบขึ้นมาอีก “ทานข้าวไหมคะ ฉันตั้งใจซื้อมาเผื่อ”
“ไม่ใช่ว่าเหลือหรอกนะ” ดรัลคิดว่าการบังคับให้ตัวเองไม่ทำหน้าบึ้งใส่ชักจะยากเย็นเต็มที
“ใครจะกล้าเหลือล่ะคะ นี่ตั้งใจสั่งมาให้พิเศษเลย...แต่ถ้าไม่อยากกิน ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันเอามาแบ่งกินกับนวีนได้”
ดรัลเอื้อมมือมารับ แทบเป็นกระชากไปจากมือของสัมปันนี หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ ได้แต่ลอบยิ้มแหยไปให้ในช่วงสบตากัน
“ทานให้อร่อยนะคะ”
“ขอบใจ”
“ฉันจะจีบคุณดรัลค่ะ” สัมปันนียิ้มใส่ดวงตาของดรัลที่กำลังเบิกกว้างกว่าปกติ หลังการประกาศต่อหน้าอย่างชัดเจนหญิงสาวจึงหมุนตัวกลับมานั่งที่
ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปได้ทันก่อนที่คนอื่นจะทันเห็นรอยยิ้มที่เขาแสดงออกมา ทั้งที่วันนี้เขาโดนผิดนัด แต่ไม่รู้ทำไมความโกรธก่อนหน้ามันถึงปลิวหายไปหมด...แล้วเขาจะคอยดู
อุตส่าห์ประกาศไปอย่างนั้น แทนที่มนุษย์ในบริษัทจะตื่นตัวพวกเขากลับหัวเราะเสียงดังลับหลังที่ดรัลเข้าไปในห้อง สัมปันนีไหวไหล่ไม่สนใจ แม้ว่าการประกาศออกไปอย่างหน้าไปอายจะทำให้หน้าเธอร้อนผ่าว และรู้สึกถึงความใจกล้าบ้าบิ่นของตัวเองมากก็ตาม
‘แน่ใจว่าทำถูกแล้วเหรอ เราไม่ชอบที่คนพวกนั้นหัวเราะอาลัวเลย’
‘จะหัวเราะเสียงดังขนาดไหนก็ปล่อยเขาไปเถอะ เรายิ่งต้องฮึกเหิม ทำให้เราอยากเอาชนะ’
‘เอาชนะใคร’
ตอนนั้นสัมปันนีเพียงแค่ยิ้ม จนกระทั่งในตอนเย็นที่มานั่งมองภาพตัวเองในกระจก ผมยาวรวบหั่นสั้นดูโฉบเฉี่ยวจนตัวเองจำไม่ได้ เสียงของพี่สาวคนโตที่ยอมผละจากตารางงานแน่นเอี้ยดมาช่วยเหลือเธอตามคำขอ เหมือนครั้งก่อนที่ทั้งบ้านตื่นตัวเรื่องที่เธอเสียใจจับเธอแต่งเป็นอะไรสักอย่างที่เธอไม่ชิน
“สีน้ำตาลเข้มสวยดีนะคะ” หนุ่มใจสาวกรีดมือจับปรอยผม พ่นสเปรย์ให้ผมอยู่ทรงเพิ่มด้วยสีหน้าประทับใจ ไม่ใช่แค่ชมไปตามแกนๆ
คนถูกชมอมยิ้ม ถึงจะยังไม่มั่นใจแต่ว่าก็อดภูมิใจกับผมทรงใหม่ที่ทำให้เธอดูไม่แก่เหมือนทุกทีได้ นวีนบอกว่าไม่ชอบเห็นเธอถูกหัวเราะ ยังโกรธแค้นแทน หญิงสาวลดรอยยิ้มลงเมื่อนึกถึง ‘เพื่อน’ เมื่อก่อนเธอคงดีใจแทบกระโดดเป็นเด็กๆ เพียงแค่การได้รับความใส่ใจเล็กน้อยจากเขา แต่ตอนนี้ต่างออกไป เธอดีใจที่นวีนกลับมาเป็นปกติ แต่ไม่ได้อยากมองเขาด้วยสายตาแบบเดิมที่เคยมอง
ตรงกันข้าม ดรัล ผู้ชายที่เหนือกว่าเธอทุกอย่างกลับผลักดันให้เธออยากยืนอยู่ข้างเขาได้อย่างไม่อายใคร ถึงแม้จะรู้ว่าการไปอยู่ข้างเขา อาจเหนื่อยกว่าการอยู่ตัวคนเดียวอย่างที่แล้วมา จากนี้จะต้องมีสายตาคนนอกจับตาเพ่งเล็งเท่าไหร่ และเสียงนินทากาเลหลายแหล่ที่จะประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน
“ช่างฝีมือดีด้วยค่ะ”
“ปากหวาน” ช่างทำผมกระเซ้า ก่อนจะผละออกมา ให้สองพี่น้องได้เจรจากัน
“ไม่ได้เปลี่ยนแค่รูปลักษณ์หรอกนะอาลัว ทั้งตัวตน นิสัย เธอก็ต้องเปลี่ยนตาม” สีหน้ามัศกอดยังหนักใจไม่หาย เธออยากเอ่ยเตือนน้องว่าการเป็นคนใหม่นั้นไม่ได้ง่ายในชั่วพริบตา คนเฉื่อยชา ใครว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้นอย่างสัมปันนีจะลุกขึ้นมาเด็ดขาดได้อย่างไร แต่ช่วยไม่ได้ที่เธอก็อยากเห็นน้องเปลี่ยนแปลงเช่นกัน นิสัยเดิมๆ ที่สัมปันนีเป็นรังแต่จะถูกคนอื่นรังแก หรือกดให้ตัวต่ำอยู่เสมอ
“แค่มั่นใจให้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเยอะแยะหรอกค่ะ”
“แล้วจะมั่นใจไปเพื่ออะไร หรือนี่เป็นเกมที่อยากเอาชนะคนอื่นเฉยๆ หรือคิดจะจริงจังเรื่องแต่งงานขึ้นมาแล้ว”
สัมปันนีเหม่อ คำตอบมันจ่ออยู่ตรงประตู เหลือแค่เธอจะยอมรับ และกล้าตะโกนออกมาดังๆ เพราะอะไรจึงไม่ยอมรับ และเพราะอะไรทั้งที่กลัวในความไม่แน่นอนนี้ตั้งแต่แรก เธอกลับดาหน้าดึงรั้งความสัมพันธ์นี้ไว้ บางทีเธออาจไม่ได้อยากทำร้ายดรัลเลย เคยอยากให้เขาเกลียดและเลิกหวังในตัวเธอเป็นแค่การหลอกตัวเอง เธออาจจะกลัวในวันที่ไม่มีคนมาเข้าใจ กลัวในวันที่เธอร้องไห้ไม่มีไหล่ให้ซบ เป็นแค่คนอ่อนแอ แต่แปลกที่ถึงจะอ่อนแอขนาดไหน ในเวลาวิกฤตแทนที่จะนึกถึงใครก็ได้ เธอกลับรู้ว่ามีแค่ดรัลที่เธอนึกออก
ไม่ใช่ว่าใครก็ได้...
“ถ้าฉันจริงจังล่ะคะ”
มัศกอดยิ้มพยักหน้ารับนิดหนึ่ง “ต้องเข้าคอร์สใหญ่เชียวล่ะ”
“จัดมาเลยค่ะ”
ทำไมห้องถึงมืดตื๋อขนาดนี้ สัมปันนีใช้ศอกดันประตูปิด สองมือมีแต่ของเต็มถุงวางไว้ในมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น คลำความมืดไปหาสวิตซ์ไฟ ในหัวนึกฉงนว่าคนที่อยู่ร่วมห้องเด็กหนึ่งผู้ใหญ่สองหายไปไหนกันหมด ทั้งที่เวลาตอนนี้ก็ไม่ถือว่าหัวค่ำแล้ว
ไฟในห้องสว่างโร่ เงาทะมึนที่นั่งหลังตรงรออยู่บนโซฟารับแขกทำให้สัมปันนีร้องว้ายแล้วถอยหลังไปสามก้าว พอตั้งสติได้จึงยกมือลูบอกเรียกขวัญที่บินหายไปกลับคืน ส่งสายตามองค้อน
“หนีเที่ยวมาหรือไงอาลัว”
“เอ๋?” เธอสิต้องโกรธที่เขานั่งเงียบเป็นเป่าสากในความมืด ไหงจึงมาตั้งแง่ทำท่าเหมือนเธอเป็นคนผิด
“เปล่านะคะ”
“แล้วทำไมต้องทำตัวอย่างนี้”
“อ้อ...” สัมปันนีหลุบตามองชุดจืดๆ ที่ปกปิดผิวนุ่มแช่น้ำนม ผมหั่นสั้น หรือการแต่งหน้าที่เธอเรียนคอร์สเร่งรัดมากับมัศกอดอย่างตั้งใจ หลายอย่างเปลี่ยนไปก็จริง แต่... “ฉันดูแย่มากเหรอคะ”
“ไม่หรอก แต่วันหลังกลับดึกก็ควรโทรบอก”
“ขอโทษค่ะ” ในใจหญิงสาวไม่ได้อ่อนตาม อยากจะบอกว่าที่เธอถาม่วาดูแย่ไม่ใช่นิสัย แต่เป็นภาพลักษณ์ที่เขาเห็นต่างหาก
“กินอะไรมาหรือยัง”
สัมปันนีฉลาดพอที่จะเหลือบไปมองทางห้องครัวว่ามีอะไรวางอยู่บนโต๊ะ ไหม พอเห็นว่ามีอาหารตั้งอยู่ ต่อให้อิ่มอาหารภัตตาคารที่มัศกอดเลี้ยงมาขนาดไหน ปากของเธอก็ต้องบอกไปตรงกันข้าม “ยังค่ะ พี่เอื้องล่ะคะ”
“รอกินพร้อมกัน แต่ต้องอุ่นหน่อย”
“เรื่องอุ่นอาหารฉันทำเองค่ะ แค่นั้นครัวไม่พังแน่นอน” วางกระเป๋าบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟาก็รีบเดินตรงไปยังห้องครัว กลืนน้ำลายลงคอให้กับผัดผัก หมูกะเทียม และต้มจืด ก่อนจะแอบยกมือลูบพุงที่อิ่มแปล้มาแล้ว ไม่อยากหักน้ำใจของดรัล และนี่ก็ถือเป็นการเอาใจเขาด้วย
เอาใจ...สัมปันนียิ้มกับตัวเอง มันไม่ได้ทรมานใจเลยกับการทำอะไรเพื่อคนๆ หนึ่ง ตรงกันข้ามเธอกลับรอลุ้นปฏิกิริยาว่าเขาจะพูดถึงเธออย่างไร วันนี้เธอไม่ใช่แค่แต่งวันเดียวเลิกเหมือนตอนนั้น จากนี้ไปเธอจะทำตัวให้ดูดีขึ้น
จับอาหารใส่ถ้วยสำหรับเวฟ บางส่วนใส่หม้อตั้งเตาแก๊ส ก็สามารถพร้อมรับประทานได้ในเวลาห้านาที สัมปันนีตักข้าวใส่จานให้ดรัลสองทัพพี ส่วนตัวเองแค่ครึ่งทัพพีก็ไม่รู้ว่าจะทานหมดไหม บรรยากาศอาหารผ่านไปอย่างเชื่องช้า ดรัลตักสี่คำ อีกคนตักทานไปได้คำเดียว
“ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่ต้องฝืนหรอก”
คนอิ่มแล้วยิ้มแหย วางช้อนอย่างรับสภาพ แล้วเปลี่ยนมาเท้าคางมองดรัลทานอาหารฝีมือที่เขาทำเอง ดรัลไม่ใช่ผู้ชายหล่อจัด ไม่ใช่คนขาว แต่ความเป็นผู้ใหญ่ การวางตัว ทำให้ดรัลดูดีมาก คิ้วเข้ม จมูกก็โด่ง
“หิวอย่างอื่นหรือไง”
“หิวอย่างอื่น?”
ดรัลก้มหน้าทานข้าว แสงไฟในห้องส่องให้เห็นผิวหน้าของเขาว่ามันกำลังเข้มขึ้นกว่าปกติ “จ้องพี่เหมือนจะกินเข้าไปทั้งตัว”
“หา!” ใบหน้าที่เท้าแขนถึงกับหลุดจากฐานที่มั่น หญิงสาวหน้าเหรอ สองมือรีบยกโบกปฏิเสธ แต่ไม่มีเสียงตามมาเพิ่มน้ำหนัก
ก็ที่จริงเธอเพิ่งรู้ว่ามนุษย์ผู้ชายเวลาทานข้าวจะดูดีทุกมิติขนาดนี้...
“หรือจะปฏิเสธ”
“...”
“หึ” ดรัลก้มหน้าไปทานข้าวต่ออย่างอารมณ์ดี ทั้งที่เขาเองก็รู้สึกอายพิกลกับการมีผู้หญิงมานั่งเท้าคางมองในระยะใกล้ และยังเป็นคนที่...
“พี่จุ้นกับฟุไปไหนกันหมดคะ” พอเห็นว่ามีแต่จะเข้าตัว สัมปันนีจึงนั่งหลังตรง ไม่กล้าทำตาปรอยใส่ผู้ชายกำลังทานข้าวอีก
“จุ้นไปตามหาช่อ เอาฟุไปฝากที่บ้านพ่อพี่แล้ว”
ชื่อของช่อมาลีทำให้คนฟังนึกหงอยลงทันตา สีหน้าแสดงออกว่ารู้สึกผิดระคนสงสาร อย่างไรเธอก็เหมือนคนตอกย้ำ และฉกฉวยโอกาสอย่างที่ช่อมาลีว่าไว้จริง ไม่เพียงไม่ได้ให้เวลาในการทำใจสำหรับช่อมาลี เธอยังไปตอกย้ำบาดแผล ที่เดิมทีอีกฝ่ายน่าจะรู้สึกผิดกับการหนีงานแต่งงานแล้ว ยังมาย้ำเขาด้วยการปาดหน้าเค้ก แต่งงานกับคนที่ช่อมาลียังรู้สึกรักอีก
ผลจากการทำอะไรไปไม่คิดให้ถี่ถ้วนจึงต้องมานั่งหน้าม่อยอยู่ในตอนนี้ จะสุขให้เต็มปรี่ก็ทำไม่ได้ อยู่อย่างสบายใจยิ่งไม่ได้ใหญ่
“คุณช่อเธอน่าสงสารมากนะคะ”
“ช่อเขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง” ดรัลมองเสื้อผ้าที่ยังมีคราบน้ำส้มอย่างเป็นห่วง “จากนี้เวลาออกไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันเนี่ยแหละ ครั้งหน้าถ้าช่อเขาทำอะไรแรงกว่านี้จะทำไง”
“ฉันอยากชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำไป” ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายเธอจะสวมมันทันทีที่ออกนอกบริษัท เก็บไว้กับตัวไม่เคยห่าง
“ไม่ใช่ความผิดของอาลัว เลิกโทษตัวเองซะ”
“ฉันจะไปมีความสุขได้ยังไงคะ ทั้งๆ ที่คุณช่อเธอเตลิดเปิดเปิงไปขนาดนี้ สภาพเหมือนคนนอนไม่หลับ หน้าตาอมทุกข์ ที่คุณช่อเป็นขนาดนี้ ฉันโดนแค่น้ำส้มอาจจะยังน้อยไป”
ดรัลวางช้อนบ้าง ดื่มน้ำเย็นไปอึกใหญ่ หน้าตาสุขุม และมีแต่ความเด็ดเดี่ยว โดยเฉพาะยามที่เขาลุกขึ้นมา แล้วดึงร่างของสัมปันนีลุกขึ้นมากอดไว้ วันนี้เขาได้แต่มองนวีนอยู่ข้างๆ สัมปันนี ได้แต่ยืนดูคนในบริษัทกดหัวสัมปันนีลงต่ำ เขาอยากทำอะไรได้มากกว่าแค่ดู
“เปิดเผยเรื่องของเราเถอะ พี่สัญญาว่าไม่ว่าเรื่องอะไรพี่จะดูแลอาลัวเอง”
“ไม่ได้ค่ะ ฉันยังไม่ดีพอ”
“ถ้าอย่างนั้นสัญญากับพี่มาข้อหนึ่งได้ไหม” ดรัลกระชับร่างที่เขาเป็นห่วงที่สุดไว้แนบอก น้ำเสียงแผ่วมีแต่ความไม่มั่นใจ “อย่าทิ้งพี่ ต่อให้หัวใจอาลัวไม่มีพี่ ก็ห้ามทิ้ง”
“พี่เอื้อง”
“ได้ไหม”
สัมปันนีหลับตาแน่น หัวใจของเธอคล้ายว่ามันจะพองฟูคับอก เธอมีความสุขที่รู้ว่าตัวเองมีค่าสำหรับผู้ชายคนนี้มาก ไม่ว่าใครจะตั้งแง่ใส่เธอขนาดไหน แต่ก็ยังมีคนๆ นี้ที่พร้อมจะอยู่ข้างเธอ ไม่ทิ้งไปไหน แล้วเธอล่ะ...คำตอบรับค้างอยู่แค่ริมฝีปาก แต่หญิงสาวกัดปากตัวเองไว้ไม่ให้หลุดเสียงออกไป
เธอยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ในเมื่อพื้นฐานที่เริ่มกันมามันโคลงเคลง และไม่ได้เริ่มจากความรัก แต่ไม่รู้ทำไมใจส่วนลึกกลับผลักดัน และทุรนทุรายเมื่อเธอไม่ได้ตอบรับว่าเธอจะไม่ทอดทิ้งดรัลไปไหน
“อาลัว”
“แค่ทุกวันเรายังมีความสุขกันดี...พอแล้วค่ะ”
“สำหรับพี่มันไม่เคยพอหรอก ตราบใดที่ยังไม่ได้ยิน...”
เขาเศร้า...เธอกลับเศร้ายิ่งกว่า สัมปันนีเจ็บลึกที่ใจ ทั้งที่เธอกอดอยู่กับดรัล แต่น้ำตากลับไหลออกมาเงียบๆ เมื่อไหร่กันที่ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาจะไม่ต้องนึกถึงหรือสนใจใครอีก เมื่อไหร่เธอจะเป็นมนุษย์ที่เลิกคิดถึงคนอื่น และคิดถึงคนตรงหน้าให้มากกว่านี้
โทรศัพท์สั่นแต่เช้า สัมปันนีพลิกกายไปมาบนเตียงนอนอยู่หลายตลบ ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ปรือตาขึ้นมามองแสงนอกห้องก็พบผืนฟ้ากำมะหยี่อยู่ หญิงสาวอ้าปากหาวกว้าง คลำมือไปบนหัวเตียงกดโทรศัพท์รับทั้งที่ไม่ดูหน้าจอ
“สวัสดีค่ะ”
“ฉันเอง”
หัวคิ้วคนฟังขมวดมุ่น เธอเกลียดเวลารับโทรศัพท์ประเภทไม่บอกชื่อ แต่แทนตัวว่าฉัน ซึ่งเป็นสรรพนามเดียวกับคนอีกนับล้านที่เขาใช้กัน ประสารทหูเธอก็ไม่ได้มาแยกแยะได้ออกครบถ้วน
“ฉันไหนคะ”
“ช่อมาลี”
ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง สัมปันนีเบิกตากว้างขึ้น ในใจเต้นรัวด้วยความตระหนก และมีความเจ็บปวดแทรกเข้ามา คนๆ นี้เป็นคนเดียวที่เธออยากหันหลังให้มากที่สุด อยากใจร้าย หัวเราะซ้ำเติม แต่เธอทำไม่ลง และต่อให้ช่อมาลีไม่ได้ทำร้ายทำลายอะไร ในใจลึกก็ยังรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย
“คุณช่ออยู่ที่ไหนคะ”
“หน้าตึกที่พักของเธอกับพี่เอื้อง ฉันจะรอแค่ห้านาทีเท่านั้น”
ห้านาที...สัมปันนีกรัดร้องในใจ โชคดีที่เวลานอนเธอชอบนอนในชุดลำลองเสื้อยืดกางเกงยืดขาสั้น จึงไม่ต้องมาควานหาชุดคลุมใส่ให้วุ่นวาย แค่หยิบคีย์การ์ด สวมรองเท้าแล้วพุ่งออกจากห้องไปทางลิฟต์ก็อยู่ในเวลาห้านาทีได้
หากมีคนบอกว่าเธอโง่ที่พุ่งเข้าหาภยันตราย เธอเต็มใจให้เขาด่าทอเต็มที่ อย่างน้อยช่อมาลีก็ไม่ต่างจากน้องสาวของดรัล คือคนสำคัญในใจจุณวัฒน์คนที่คอยช่วยเหลือเธอทุกอย่างไม่ต่างจากพี่ชาย คนพวกนี้ไม่ต่างจากครอบครัว แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นเธอเป็นครอบครัวก็ตาม
ร่างที่ยืนโงนเงน ผอมแห้ง และคล้ายผีเมื่อรอบด้านยังมืดสนิท และบรรยากาศเงียบสงัด สัมปันนีผ่อนฝีเท้า ค่อยๆ เข้าไปใกล้ช่อมาลี น้ำตาเอ่ออยู่เต็มสองตา แค่แรงจะยืน ช่อมาลีแทบไม่มีเหลือแล้ว
“คุณช่อ”
เจ้าของดวงตาแดงก่ำเงยขึ้นมา หน้าตาไร้สง่าต่างจากที่เจอเมื่อวานยิ่งขึ้น ช่อมาลีเหยียดปากยิ้ม ทั้งที่ตาปรือใกล้ปิด “สัญญากับฉันสักข้อสิ”
ทำไมถึงมีแต่คนมาคาดคั้นเอาสัญญากับเธอ สัมปันนีนึกอยากทึ้งผมให้เหมือนคนเสียสติ และกรีดเสียงถามกลับไปบ้างว่าจะเอาอะไรกับเธอนักหนา แต่อารมณ์นั้นก็ยังพ่ายมโนธรรม เมื่อเธอนึกถึงหน้าของรำเพยแม่ของช่อมาลีว่าป่านนี้จะเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวขนาดไหน
“อะไรคะ”
“เลิกกับพี่เอื้อง ออกมาจากชีวิตพี่เอื้องได้ไหม”
“คุณช่อจะกลับบ้านไหมคะ” สัมปันนีเข้าประคองร่างที่ค่อยๆ ร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกก็รีบมาช่วยตามเสียงที่หญิงสาวร้องเรียก ช่อมาลีตรึงมือของสัมปันนีไว้ จิกเล็บเข้าผิวเนื้อทั้งน้ำตา ส่ายหน้าไม่รับ
“เลิกกับพี่เอื้องซะ เธอไม่ได้รักพี่เอื้อง อย่าทำร้ายพี่เอื้อง เหมือนที่ฉันทำร้ายพี่จุ้น”
พูดจบแรงอันน้อยนิดของช่อมาลีก็หมดสิ้น สัมปันนีนั่งค้างน้ำตาคลอ เจ็บจากทุกคำที่ช่อมาลีทิ่มแทงใจ และเจ็บจากการมองเห็นคนๆ หนึ่งระทมทุกข์จากการกระทำของตัวเอง เธอเคยนึกว่าช่อมาลีคงไม่ใยดีความรู้สึกของจุณวัฒน์ แต่วันนี้เธอคิดผิด สิ่งที่ช่อมาลีได้กระทำลงไป ไม่ได้จบลง แต่ช่อมาลีได้แบกผลกรรมทุกความรู้สึกติดตัวไปด้วยจนหนักอึ้ง และกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง
แล้วเธอล่ะ...สัมปันนีทบทวนการกระทำของตัวเอง หากตัดเรื่องช่อมาลีออกไปจากสมอง ทำไมเธอกลับพบว่าทุกวันความสุขที่เธอไม่เคยรู้จักอย่างหนึ่งกำลังครอบงำจิตใจของเธอทีละนิดช้าๆ
ทันทีที่ครอบครัวของช่อมาลีมาถึงโรงพยาบาล สัมปันนีจึงผละออกมาเงียบๆ คนเดียวด้วยไม่อยากเป็นจุดเด่นจึงบอกแค่จุณวัฒน์ที่เอาแต่ขอบคุณเธอไม่หยุดในเรื่องช่วยเหลือช่อมาลี หญิงสาวกลับมาอาบน้ำใส่ชุดที่มัศกอดอุตส่าห์คัดเลือกให้ แต่งหน้าให้สวยงามที่สุด ทั้งที่ดวงตากำลังอ่อนแรง และอยากพักอยู่กับที่เฉยๆ เต็มทน
เปิดประตูห้องนอนออกมา ก็พบผู้ชายที่เธอแอบทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลกำลังจองครัว ทำข้าวผัด และไข่ดาว สัมปันนีมองภาพนั้นด้วยความตื้นตันในใจ เธอปรารถนาที่จะพบเจอความรู้สึกนี้ในทุกเช้า ใครสักคนที่จะมองเธอด้วยความรู้สึกมหาศาลผ่านดวงตาของเขา
“มากินอะไรก่อนสิ พี่ทำเกือบเสร็จแล้ว วันนี้ถ้าเหนื่อย ไม่ต้องออกไปทำงานก็ได้”
หญิงสาวเดินมานั่งยังเก้าอี้รออาหารเช้าที่ไม่ดรัลก็เธอจะคอยผลัดกันทำ รอจนดรัลผละจากเตากลับมา แล้วเห็นภาพลักษณ์ใหม่ที่ต่างจากเมื่อวานอย่างชัดเจน สีหน้าผ่อนคลายของเขาก็ค่อยๆ ขมวดยุ่งทันตาเห็น
“เปลี่ยนทำไม”
“เปลี่ยนอะไรคะ” แกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“หั่นผม เปลี่ยนชุด แต่งหน้า แล้วก็...” ดรัลยื่นหน้ามาทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะทำหน้าว่าเจอแล้วอีกอย่าง “ใช้น้ำหอมด้วย”
“เคยเปลี่ยนมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นพี่เอื้องไม่เห็นจะว่าอะไรเลยนี่คะ นี่จะเปลี่ยนถาวร แทนที่จะร่วมยินดี กลับมาสังคายนากันซะงั้น”
ดรัลปิดเตาแก๊ส ตักข้าวใส่จานมาส่งตรงหน้าผู้หญิงที่เปลี่ยนไป ทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ปะทะกัน “จะเปลี่ยนทำไม แบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว”
“มันดีไม่พอค่ะ”
“วันนี้มีเรื่องเหนื่อยแต่เช้า ไม่ต้องออกไปทำงานแล้ว” ดรัลตัดบทอย่างพาลๆ
“ไม่ค่ะ ฉันจะไป” นึกถึงบทถากถางกดขี่เมื่อวานนี้แล้วพานของขึ้น อยากจะไปประกาศความมั่นใจใส่หน้าคนพวกนั้นดูบ้าง
“ไม่ใส่แว่นล่ะ จะมองเห็นเหรอ”
“พอมองเห็นค่ะ ไว้ตอนทำงานค่อยหยิบมาใส่ คอนแทคส์ที่สั่งไปต้องรออีกสองสามวันถึงจะได้”
รอยยิ้มของสัมปันนีลบรอยถมึงทึงไปจากหน้าดรัลไม่ได้ “จะสวยไปให้ใครดู”
คนถูกหงุดหงิดส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ชี้มือไปยังคนถาม บังคับไม่ให้หน้าตาไปยั่วอารมณ์ขุ่นของอีกฝ่าย
“พี่?”
“ประกาศว่าจะจีบพี่เอื้อง จะให้ไปในลุกส์เป็ดน้อยได้ไง”
“จะจีบทำไม” ดรัลว่าไปอย่างนั้น แต่บนหน้ากลับไม่มีรอยบึ้งหงุดหงิดหลงเหลือ ประกายตาระยับ “พี่จีบยากนะ แต่งงานแล้วด้วย”
“ของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้นะคะ ได้ข่าวว่าภรรยาเขาไม่ใช่คนขี้หึง” สัมปันนีขำคิก ก้มหน้าก้มตาทานอาหาร รู้สึกภูมิใจกับอาการหึงหวง หงุดหงิดที่ได้พบเห็นแต่เช้า ในตอนนั้นเธอคาดหวังจะได้เห็นนวีนมองเธอด้วยความหงุดหงิด และไม่พอใจอย่างนี้ แต่ในตอนนี้เธอกลับดีใจยิ่งกว่าที่คนๆ นั้นคือดรัล
หากวันนั้นนวีนแสดงออกว่าเธอสำคัญกับเขา หัวใจของเธอก็คงตกไปอยู่ในวงจรเดิมๆ ไม่ได้พบกับคนตรงหน้า
“อาลัว...ไปจดทะเบียนกันไหม”
ขอบตาคนฟังร้อนผ่าว อีกครั้งที่ปากอยากตอบรับทันด่วน อยากบอกแก่ดรัลว่าเธอพร้อมจะอยู่ข้างเขาแล้ว แต่เศษเสี้ยวในใจยังคงเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยตะขอยักษ์ อุดปากให้เธอต้องพูดสิ่งที่หัวใจของเธอเจ็บไม่แพ้กันออกมา
“อยู่กันอย่างนี้ก็ดีแล้วนี่คะพี่เอื้อง”
ไม่เลย...ความสัมพันธ์ที่พร้อมล่มสลายไปได้ตลอดนี้ ไม่มีสิ่งใดรับประกัน เพราะเพียงแค่ช่อมาลีขอร้อง หัวใจเธอก็หนักอึ้ง คล้ายว่าการเดินหน้าต่อไปจะเท่ากับทำร้ายจิตใจช่อมาลีเพิ่มขึ้นหรือเปล่า และจะเป็นการตอกย้ำจิตใจเปราะบางของฝ่ายนั้นมากไปหรือเปล่าถ้าเธอโพล่งออกไปว่าหัวใจของเธอไม่เหมือนตอนนั้น
มันกำลังเรียนรู้...ว่ารัก เป็นอย่างไร
“อย่าคิดมากเรื่องช่อ ตอนนี้เขาอยู่ในมือหมอแล้ว ทุกคนจะช่วยกันดูแลช่อต่อ” เพราะอาการเงียบงันทำให้ดรัลคิดว่าสัมปันนีกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อเช้ามืด สภาพร่างกายทรุดโทรมขาดแคลนอาหาร พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ต้องแอดมิดด่วนเพื่อดูอาการ
“เย็นนี้ไปเยี่ยมคุณช่อกันนะคะ”
“ได้สิ”
“แต่เราต้องแยกกันไป” เห็นดรัลกำลังกลับสู่โหมดหน้ายักษ์สัมปันนีจึงรีบหาเหตุผลมาอธิบายต่อ “ขืนพวกเราไปเป็นคู่ มีหวังคุณช่อจะอาการหนักขึ้นนะคะ แยกกันไปดีกว่า”
“ก็ได้” ดรัลรับทั้งที่ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่
............................................................................
คุณ Kim พี่เอื้องไม่กล้าทำอะไรอาลัวหรอกค่ะ ได้แต่ข่มไปวันๆ ฮา
คุณ kaelek ช่อมาลีทำตัวเองค่ะ ส่งผลไปหลายส่วน ถ้าไม่หนีงานแต่งงานไป งานของอาลัวกับเอื้องก็คงไม่มี
คุณ กาซะลองพลัดถิ่น พี่จุ้นจะกลับไปหาช่อไหมต้องรอกันต่อไปค่ะ ฮา แต่อาลัวกำลังเริ่มพิสูจน์ตัวเองแล้ว
คุณ sai พี่เอื้องน่าไล่ออกยกบริษัทนะคะ ทำกับภรรยาเขาได้
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ พี่เอื้องเคยดุอาลัวจริงจังไหมนี่ยังนึกไม่ออกเลยค่ะ แต่อาลัวชอบกลัวนำหน้าตลอด ไม่เคยฟังคำเตือนเอื้องด้วยนะเออ
ขอบคุณทุกความเห็น ทุกคนที่ถูกใจ และทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า มาแล้วตอนใหม่ ฮิ้ว
“ฉันเป็นปุถุชนธรรมดา โกรธได้ หงุดหงิดเป็น” สัมปันนีบอกกับตัวเองทั้งที่ลมหายใจเหนื่อยหอบ ขณะที่เลือกเดินขึ้นไปตามบันไดหนีไฟแทนที่จะเป็นลิฟต์ ภาพที่ทุกคนในบริษัทแบ่งแยกตัวเธอเป็นแรงงานชั้นล่าง สายตาดูแคลนของพวกเขาที่วัดว่าเธอไม่มีอะไรควรคู่กับดรัลทำให้ขอบตาของหญิงสาวร้อนผ่าว เธออยากตะโกนออกไปให้มนุษย์ที่สถาปนาตัวสูงส่งเหล่านั้นรู้เหลือเกินว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยินมามันจริงแท้แค่ไหน
แต่เธอทำไม่ได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้ นอกจากเธอจะกลัวสายตาคนอื่นมองเธอว่าคิดปีนของสูง เธอยังกลัวว่ามันจะทำให้ภาพลักษณ์ของดรัลดูย่ำแย่ขึ้น นี่ไม่ใช่ละครที่ภาพลักษณ์ของมนุษย์เราจะเปลี่ยนแปลงกันในวันสามวัน คนพวกนั้นตีตราว่าคนอย่างเธอมันเฉิ่ม เชย และธรรมดาเกินไป
อีกไม่กี่ก้าวจะถึงประตูดาดฟ้า สัมปันนีกลับหยุดลง และนั่งตรงขั้นบันไดอย่างเหนื่อยอ่อน โชคดีเหลือเกินที่แถวนี้ไม่มีกระจกมาสะท้อนใบหน้าซีดเผือด ผมยุ่ง แว่นหนา ภาพลักษณ์ที่ห่างไกลจากความดูดี และยิ่งห่างเมื่อคนข้างกายคือผู้ชายที่ดูดีไปทุกกระเบียดนิ้ว
หญิงสาวไม่อยากดูถูกตัวเองอีกต่อไป เธอเองก็รู้สึกเหนื่อย ใครจะมากดตัวเธอให้ต่ำเตี้ย และตัดสินว่าเธอเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา เธอแค่เลิกใส่ใจ เลิกหาคำของคนอื่นเป็นสัมภาระแบกหลังให้หนัก ขนาดดรัลยังไม่ทุกข์ร้อน แล้วเธอจะไปสนใจทำไม
“ช่างมัน” สัมปันนีกัดปากตัวเองจนเจ็บ คำพูดบอกไม่สน แต่ใจก็ยังเจ็บ เธอยังขี้ขลาดเกินกว่าจะไปเคียงข้างดรัลได้โดยไม่อายใคร ทำงานมากี่ปีก็ยังเป็นได้แค่ลูกกระจ๊อกเล็กๆ คนหนึ่ง
หรือที่จริงมนุษย์เราจำเป็นเพื่อจะต้องปรับเข้าหาใครสักคน และยอกรับสักทีว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก หาเธออยากอยู่ข้างดรัล เธอต้องเป็นคนใหม่ เปลี่ยนทุกสิ่งที่เป็นตัวเองไป
เพียงแค่นึกสัมปันนีก็ไหล่ลู่ตก พิงศีรษะไปกับผนังล่อนสีขาวของตัวอาคาร เธอจะเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ให้คนมาเหยียบ หรือเป็นคนตัวใหญ่คนใหม่ที่ใครไม่กล้าเหยียบ และแม้แต่ตัวเองอาจจะจำตัวเองไม่ได้ดี
ถ้าเป็นนวีน เธอกลับไม่เคยต้องมานั่งกังวลในการที่จะยืนอยู่ข้างเขา ขอแค่ได้อยู่ข้างเขาไม่ว่าฐานะอะไรเธอก็มีความสุข แต่กับดรัล...ทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
มือสองข้างยกขึ้นปิดหน้าด้วยความระทม ตอนที่ดรัลบอกปัดออกไปหัวใจเธอเจ็บจี๊ด และเกิดอาการรับไม่ได้ แต่พอรู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรก็ได้แต่หัวเราะสมเพช และบอกตัวเองให้ยอมรับเสียที
ดรัลตามใจเธอ...เขา ก็แค่รักษาความลับตามที่เธอขอไว้
ผู้หญิงคนนั้นเมินนัดของเขา...
ดรัลเดินกลับเข้ามาภายในบริษัท หน้าตานิ่งขรึม นึกอยากเฉียดกรายไปถามคนที่นั่งทานอาหารหัวเราะต่อกระซิกกับนวีนแทบแย่ แต่ก็ต้องบังคับตัวเองให้เดินผ่านไป เหมือนที่เขาไม่ได้ใส่ใจใครในบริษัทนี้เป็นพิเศษ เขาอยากปลอบ และอยากให้สัมปันนีทบทวนเรื่องที่ปิดบังความจริงคนอื่นถึงการแต่งงานนี้ไป เขาไม่อยากเห็นใครมาดูถูกสัมปันนีอีก
แต่เขารู้ว่าที่ทุกอย่างยังเป็นความลับ เพราะในใจสัมปันนีไม่ได้ใส่ใจการแต่งงานในครั้งนี้...ก็แค่งานแต่งงานฆ่าเวลา
หน้าตาบอกบุญไม่รับ ถึงจะไม่ได้แสดงออกมาชัดเจน แต่ก็ยังแผ่มาให้พนักงานหลายชีวิตได้รู้สึกจนไม่มีใครกล้าชวนทานมื้อเที่ยง ช่วงจังหวะที่ดรัลกำลังผ่านโต๊ะของสัมปันนีไป หญิงสาวก็เงยหน้าขึ้นมา ประกายตาหวานฉ่ำ ริมฝีปากแต้มยิ้ม ไม่รู้ว่าเกิดจากผลพวงต่อเนื่องจากการอยู่ใกล้นวีนหรือเปล่า
“เดี๋ยวค่ะคุณดรัล” สัมปันนีวางช้อน และถือกล่องข้าวอีกกล่องออกมาจากถุง ไม่สนเสียงที่เริ่มมีคนซุบซิบขึ้นมาอีก “ทานข้าวไหมคะ ฉันตั้งใจซื้อมาเผื่อ”
“ไม่ใช่ว่าเหลือหรอกนะ” ดรัลคิดว่าการบังคับให้ตัวเองไม่ทำหน้าบึ้งใส่ชักจะยากเย็นเต็มที
“ใครจะกล้าเหลือล่ะคะ นี่ตั้งใจสั่งมาให้พิเศษเลย...แต่ถ้าไม่อยากกิน ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันเอามาแบ่งกินกับนวีนได้”
ดรัลเอื้อมมือมารับ แทบเป็นกระชากไปจากมือของสัมปันนี หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจ ได้แต่ลอบยิ้มแหยไปให้ในช่วงสบตากัน
“ทานให้อร่อยนะคะ”
“ขอบใจ”
“ฉันจะจีบคุณดรัลค่ะ” สัมปันนียิ้มใส่ดวงตาของดรัลที่กำลังเบิกกว้างกว่าปกติ หลังการประกาศต่อหน้าอย่างชัดเจนหญิงสาวจึงหมุนตัวกลับมานั่งที่
ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปได้ทันก่อนที่คนอื่นจะทันเห็นรอยยิ้มที่เขาแสดงออกมา ทั้งที่วันนี้เขาโดนผิดนัด แต่ไม่รู้ทำไมความโกรธก่อนหน้ามันถึงปลิวหายไปหมด...แล้วเขาจะคอยดู
อุตส่าห์ประกาศไปอย่างนั้น แทนที่มนุษย์ในบริษัทจะตื่นตัวพวกเขากลับหัวเราะเสียงดังลับหลังที่ดรัลเข้าไปในห้อง สัมปันนีไหวไหล่ไม่สนใจ แม้ว่าการประกาศออกไปอย่างหน้าไปอายจะทำให้หน้าเธอร้อนผ่าว และรู้สึกถึงความใจกล้าบ้าบิ่นของตัวเองมากก็ตาม
‘แน่ใจว่าทำถูกแล้วเหรอ เราไม่ชอบที่คนพวกนั้นหัวเราะอาลัวเลย’
‘จะหัวเราะเสียงดังขนาดไหนก็ปล่อยเขาไปเถอะ เรายิ่งต้องฮึกเหิม ทำให้เราอยากเอาชนะ’
‘เอาชนะใคร’
ตอนนั้นสัมปันนีเพียงแค่ยิ้ม จนกระทั่งในตอนเย็นที่มานั่งมองภาพตัวเองในกระจก ผมยาวรวบหั่นสั้นดูโฉบเฉี่ยวจนตัวเองจำไม่ได้ เสียงของพี่สาวคนโตที่ยอมผละจากตารางงานแน่นเอี้ยดมาช่วยเหลือเธอตามคำขอ เหมือนครั้งก่อนที่ทั้งบ้านตื่นตัวเรื่องที่เธอเสียใจจับเธอแต่งเป็นอะไรสักอย่างที่เธอไม่ชิน
“สีน้ำตาลเข้มสวยดีนะคะ” หนุ่มใจสาวกรีดมือจับปรอยผม พ่นสเปรย์ให้ผมอยู่ทรงเพิ่มด้วยสีหน้าประทับใจ ไม่ใช่แค่ชมไปตามแกนๆ
คนถูกชมอมยิ้ม ถึงจะยังไม่มั่นใจแต่ว่าก็อดภูมิใจกับผมทรงใหม่ที่ทำให้เธอดูไม่แก่เหมือนทุกทีได้ นวีนบอกว่าไม่ชอบเห็นเธอถูกหัวเราะ ยังโกรธแค้นแทน หญิงสาวลดรอยยิ้มลงเมื่อนึกถึง ‘เพื่อน’ เมื่อก่อนเธอคงดีใจแทบกระโดดเป็นเด็กๆ เพียงแค่การได้รับความใส่ใจเล็กน้อยจากเขา แต่ตอนนี้ต่างออกไป เธอดีใจที่นวีนกลับมาเป็นปกติ แต่ไม่ได้อยากมองเขาด้วยสายตาแบบเดิมที่เคยมอง
ตรงกันข้าม ดรัล ผู้ชายที่เหนือกว่าเธอทุกอย่างกลับผลักดันให้เธออยากยืนอยู่ข้างเขาได้อย่างไม่อายใคร ถึงแม้จะรู้ว่าการไปอยู่ข้างเขา อาจเหนื่อยกว่าการอยู่ตัวคนเดียวอย่างที่แล้วมา จากนี้จะต้องมีสายตาคนนอกจับตาเพ่งเล็งเท่าไหร่ และเสียงนินทากาเลหลายแหล่ที่จะประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน
“ช่างฝีมือดีด้วยค่ะ”
“ปากหวาน” ช่างทำผมกระเซ้า ก่อนจะผละออกมา ให้สองพี่น้องได้เจรจากัน
“ไม่ได้เปลี่ยนแค่รูปลักษณ์หรอกนะอาลัว ทั้งตัวตน นิสัย เธอก็ต้องเปลี่ยนตาม” สีหน้ามัศกอดยังหนักใจไม่หาย เธออยากเอ่ยเตือนน้องว่าการเป็นคนใหม่นั้นไม่ได้ง่ายในชั่วพริบตา คนเฉื่อยชา ใครว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้นอย่างสัมปันนีจะลุกขึ้นมาเด็ดขาดได้อย่างไร แต่ช่วยไม่ได้ที่เธอก็อยากเห็นน้องเปลี่ยนแปลงเช่นกัน นิสัยเดิมๆ ที่สัมปันนีเป็นรังแต่จะถูกคนอื่นรังแก หรือกดให้ตัวต่ำอยู่เสมอ
“แค่มั่นใจให้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเยอะแยะหรอกค่ะ”
“แล้วจะมั่นใจไปเพื่ออะไร หรือนี่เป็นเกมที่อยากเอาชนะคนอื่นเฉยๆ หรือคิดจะจริงจังเรื่องแต่งงานขึ้นมาแล้ว”
สัมปันนีเหม่อ คำตอบมันจ่ออยู่ตรงประตู เหลือแค่เธอจะยอมรับ และกล้าตะโกนออกมาดังๆ เพราะอะไรจึงไม่ยอมรับ และเพราะอะไรทั้งที่กลัวในความไม่แน่นอนนี้ตั้งแต่แรก เธอกลับดาหน้าดึงรั้งความสัมพันธ์นี้ไว้ บางทีเธออาจไม่ได้อยากทำร้ายดรัลเลย เคยอยากให้เขาเกลียดและเลิกหวังในตัวเธอเป็นแค่การหลอกตัวเอง เธออาจจะกลัวในวันที่ไม่มีคนมาเข้าใจ กลัวในวันที่เธอร้องไห้ไม่มีไหล่ให้ซบ เป็นแค่คนอ่อนแอ แต่แปลกที่ถึงจะอ่อนแอขนาดไหน ในเวลาวิกฤตแทนที่จะนึกถึงใครก็ได้ เธอกลับรู้ว่ามีแค่ดรัลที่เธอนึกออก
ไม่ใช่ว่าใครก็ได้...
“ถ้าฉันจริงจังล่ะคะ”
มัศกอดยิ้มพยักหน้ารับนิดหนึ่ง “ต้องเข้าคอร์สใหญ่เชียวล่ะ”
“จัดมาเลยค่ะ”
ทำไมห้องถึงมืดตื๋อขนาดนี้ สัมปันนีใช้ศอกดันประตูปิด สองมือมีแต่ของเต็มถุงวางไว้ในมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น คลำความมืดไปหาสวิตซ์ไฟ ในหัวนึกฉงนว่าคนที่อยู่ร่วมห้องเด็กหนึ่งผู้ใหญ่สองหายไปไหนกันหมด ทั้งที่เวลาตอนนี้ก็ไม่ถือว่าหัวค่ำแล้ว
ไฟในห้องสว่างโร่ เงาทะมึนที่นั่งหลังตรงรออยู่บนโซฟารับแขกทำให้สัมปันนีร้องว้ายแล้วถอยหลังไปสามก้าว พอตั้งสติได้จึงยกมือลูบอกเรียกขวัญที่บินหายไปกลับคืน ส่งสายตามองค้อน
“หนีเที่ยวมาหรือไงอาลัว”
“เอ๋?” เธอสิต้องโกรธที่เขานั่งเงียบเป็นเป่าสากในความมืด ไหงจึงมาตั้งแง่ทำท่าเหมือนเธอเป็นคนผิด
“เปล่านะคะ”
“แล้วทำไมต้องทำตัวอย่างนี้”
“อ้อ...” สัมปันนีหลุบตามองชุดจืดๆ ที่ปกปิดผิวนุ่มแช่น้ำนม ผมหั่นสั้น หรือการแต่งหน้าที่เธอเรียนคอร์สเร่งรัดมากับมัศกอดอย่างตั้งใจ หลายอย่างเปลี่ยนไปก็จริง แต่... “ฉันดูแย่มากเหรอคะ”
“ไม่หรอก แต่วันหลังกลับดึกก็ควรโทรบอก”
“ขอโทษค่ะ” ในใจหญิงสาวไม่ได้อ่อนตาม อยากจะบอกว่าที่เธอถาม่วาดูแย่ไม่ใช่นิสัย แต่เป็นภาพลักษณ์ที่เขาเห็นต่างหาก
“กินอะไรมาหรือยัง”
สัมปันนีฉลาดพอที่จะเหลือบไปมองทางห้องครัวว่ามีอะไรวางอยู่บนโต๊ะ ไหม พอเห็นว่ามีอาหารตั้งอยู่ ต่อให้อิ่มอาหารภัตตาคารที่มัศกอดเลี้ยงมาขนาดไหน ปากของเธอก็ต้องบอกไปตรงกันข้าม “ยังค่ะ พี่เอื้องล่ะคะ”
“รอกินพร้อมกัน แต่ต้องอุ่นหน่อย”
“เรื่องอุ่นอาหารฉันทำเองค่ะ แค่นั้นครัวไม่พังแน่นอน” วางกระเป๋าบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟาก็รีบเดินตรงไปยังห้องครัว กลืนน้ำลายลงคอให้กับผัดผัก หมูกะเทียม และต้มจืด ก่อนจะแอบยกมือลูบพุงที่อิ่มแปล้มาแล้ว ไม่อยากหักน้ำใจของดรัล และนี่ก็ถือเป็นการเอาใจเขาด้วย
เอาใจ...สัมปันนียิ้มกับตัวเอง มันไม่ได้ทรมานใจเลยกับการทำอะไรเพื่อคนๆ หนึ่ง ตรงกันข้ามเธอกลับรอลุ้นปฏิกิริยาว่าเขาจะพูดถึงเธออย่างไร วันนี้เธอไม่ใช่แค่แต่งวันเดียวเลิกเหมือนตอนนั้น จากนี้ไปเธอจะทำตัวให้ดูดีขึ้น
จับอาหารใส่ถ้วยสำหรับเวฟ บางส่วนใส่หม้อตั้งเตาแก๊ส ก็สามารถพร้อมรับประทานได้ในเวลาห้านาที สัมปันนีตักข้าวใส่จานให้ดรัลสองทัพพี ส่วนตัวเองแค่ครึ่งทัพพีก็ไม่รู้ว่าจะทานหมดไหม บรรยากาศอาหารผ่านไปอย่างเชื่องช้า ดรัลตักสี่คำ อีกคนตักทานไปได้คำเดียว
“ถ้าอิ่มแล้วก็ไม่ต้องฝืนหรอก”
คนอิ่มแล้วยิ้มแหย วางช้อนอย่างรับสภาพ แล้วเปลี่ยนมาเท้าคางมองดรัลทานอาหารฝีมือที่เขาทำเอง ดรัลไม่ใช่ผู้ชายหล่อจัด ไม่ใช่คนขาว แต่ความเป็นผู้ใหญ่ การวางตัว ทำให้ดรัลดูดีมาก คิ้วเข้ม จมูกก็โด่ง
“หิวอย่างอื่นหรือไง”
“หิวอย่างอื่น?”
ดรัลก้มหน้าทานข้าว แสงไฟในห้องส่องให้เห็นผิวหน้าของเขาว่ามันกำลังเข้มขึ้นกว่าปกติ “จ้องพี่เหมือนจะกินเข้าไปทั้งตัว”
“หา!” ใบหน้าที่เท้าแขนถึงกับหลุดจากฐานที่มั่น หญิงสาวหน้าเหรอ สองมือรีบยกโบกปฏิเสธ แต่ไม่มีเสียงตามมาเพิ่มน้ำหนัก
ก็ที่จริงเธอเพิ่งรู้ว่ามนุษย์ผู้ชายเวลาทานข้าวจะดูดีทุกมิติขนาดนี้...
“หรือจะปฏิเสธ”
“...”
“หึ” ดรัลก้มหน้าไปทานข้าวต่ออย่างอารมณ์ดี ทั้งที่เขาเองก็รู้สึกอายพิกลกับการมีผู้หญิงมานั่งเท้าคางมองในระยะใกล้ และยังเป็นคนที่...
“พี่จุ้นกับฟุไปไหนกันหมดคะ” พอเห็นว่ามีแต่จะเข้าตัว สัมปันนีจึงนั่งหลังตรง ไม่กล้าทำตาปรอยใส่ผู้ชายกำลังทานข้าวอีก
“จุ้นไปตามหาช่อ เอาฟุไปฝากที่บ้านพ่อพี่แล้ว”
ชื่อของช่อมาลีทำให้คนฟังนึกหงอยลงทันตา สีหน้าแสดงออกว่ารู้สึกผิดระคนสงสาร อย่างไรเธอก็เหมือนคนตอกย้ำ และฉกฉวยโอกาสอย่างที่ช่อมาลีว่าไว้จริง ไม่เพียงไม่ได้ให้เวลาในการทำใจสำหรับช่อมาลี เธอยังไปตอกย้ำบาดแผล ที่เดิมทีอีกฝ่ายน่าจะรู้สึกผิดกับการหนีงานแต่งงานแล้ว ยังมาย้ำเขาด้วยการปาดหน้าเค้ก แต่งงานกับคนที่ช่อมาลียังรู้สึกรักอีก
ผลจากการทำอะไรไปไม่คิดให้ถี่ถ้วนจึงต้องมานั่งหน้าม่อยอยู่ในตอนนี้ จะสุขให้เต็มปรี่ก็ทำไม่ได้ อยู่อย่างสบายใจยิ่งไม่ได้ใหญ่
“คุณช่อเธอน่าสงสารมากนะคะ”
“ช่อเขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง” ดรัลมองเสื้อผ้าที่ยังมีคราบน้ำส้มอย่างเป็นห่วง “จากนี้เวลาออกไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันเนี่ยแหละ ครั้งหน้าถ้าช่อเขาทำอะไรแรงกว่านี้จะทำไง”
“ฉันอยากชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำไป” ถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ แหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายเธอจะสวมมันทันทีที่ออกนอกบริษัท เก็บไว้กับตัวไม่เคยห่าง
“ไม่ใช่ความผิดของอาลัว เลิกโทษตัวเองซะ”
“ฉันจะไปมีความสุขได้ยังไงคะ ทั้งๆ ที่คุณช่อเธอเตลิดเปิดเปิงไปขนาดนี้ สภาพเหมือนคนนอนไม่หลับ หน้าตาอมทุกข์ ที่คุณช่อเป็นขนาดนี้ ฉันโดนแค่น้ำส้มอาจจะยังน้อยไป”
ดรัลวางช้อนบ้าง ดื่มน้ำเย็นไปอึกใหญ่ หน้าตาสุขุม และมีแต่ความเด็ดเดี่ยว โดยเฉพาะยามที่เขาลุกขึ้นมา แล้วดึงร่างของสัมปันนีลุกขึ้นมากอดไว้ วันนี้เขาได้แต่มองนวีนอยู่ข้างๆ สัมปันนี ได้แต่ยืนดูคนในบริษัทกดหัวสัมปันนีลงต่ำ เขาอยากทำอะไรได้มากกว่าแค่ดู
“เปิดเผยเรื่องของเราเถอะ พี่สัญญาว่าไม่ว่าเรื่องอะไรพี่จะดูแลอาลัวเอง”
“ไม่ได้ค่ะ ฉันยังไม่ดีพอ”
“ถ้าอย่างนั้นสัญญากับพี่มาข้อหนึ่งได้ไหม” ดรัลกระชับร่างที่เขาเป็นห่วงที่สุดไว้แนบอก น้ำเสียงแผ่วมีแต่ความไม่มั่นใจ “อย่าทิ้งพี่ ต่อให้หัวใจอาลัวไม่มีพี่ ก็ห้ามทิ้ง”
“พี่เอื้อง”
“ได้ไหม”
สัมปันนีหลับตาแน่น หัวใจของเธอคล้ายว่ามันจะพองฟูคับอก เธอมีความสุขที่รู้ว่าตัวเองมีค่าสำหรับผู้ชายคนนี้มาก ไม่ว่าใครจะตั้งแง่ใส่เธอขนาดไหน แต่ก็ยังมีคนๆ นี้ที่พร้อมจะอยู่ข้างเธอ ไม่ทิ้งไปไหน แล้วเธอล่ะ...คำตอบรับค้างอยู่แค่ริมฝีปาก แต่หญิงสาวกัดปากตัวเองไว้ไม่ให้หลุดเสียงออกไป
เธอยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ในเมื่อพื้นฐานที่เริ่มกันมามันโคลงเคลง และไม่ได้เริ่มจากความรัก แต่ไม่รู้ทำไมใจส่วนลึกกลับผลักดัน และทุรนทุรายเมื่อเธอไม่ได้ตอบรับว่าเธอจะไม่ทอดทิ้งดรัลไปไหน
“อาลัว”
“แค่ทุกวันเรายังมีความสุขกันดี...พอแล้วค่ะ”
“สำหรับพี่มันไม่เคยพอหรอก ตราบใดที่ยังไม่ได้ยิน...”
เขาเศร้า...เธอกลับเศร้ายิ่งกว่า สัมปันนีเจ็บลึกที่ใจ ทั้งที่เธอกอดอยู่กับดรัล แต่น้ำตากลับไหลออกมาเงียบๆ เมื่อไหร่กันที่ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาจะไม่ต้องนึกถึงหรือสนใจใครอีก เมื่อไหร่เธอจะเป็นมนุษย์ที่เลิกคิดถึงคนอื่น และคิดถึงคนตรงหน้าให้มากกว่านี้
โทรศัพท์สั่นแต่เช้า สัมปันนีพลิกกายไปมาบนเตียงนอนอยู่หลายตลบ ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ปรือตาขึ้นมามองแสงนอกห้องก็พบผืนฟ้ากำมะหยี่อยู่ หญิงสาวอ้าปากหาวกว้าง คลำมือไปบนหัวเตียงกดโทรศัพท์รับทั้งที่ไม่ดูหน้าจอ
“สวัสดีค่ะ”
“ฉันเอง”
หัวคิ้วคนฟังขมวดมุ่น เธอเกลียดเวลารับโทรศัพท์ประเภทไม่บอกชื่อ แต่แทนตัวว่าฉัน ซึ่งเป็นสรรพนามเดียวกับคนอีกนับล้านที่เขาใช้กัน ประสารทหูเธอก็ไม่ได้มาแยกแยะได้ออกครบถ้วน
“ฉันไหนคะ”
“ช่อมาลี”
ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง สัมปันนีเบิกตากว้างขึ้น ในใจเต้นรัวด้วยความตระหนก และมีความเจ็บปวดแทรกเข้ามา คนๆ นี้เป็นคนเดียวที่เธออยากหันหลังให้มากที่สุด อยากใจร้าย หัวเราะซ้ำเติม แต่เธอทำไม่ลง และต่อให้ช่อมาลีไม่ได้ทำร้ายทำลายอะไร ในใจลึกก็ยังรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย
“คุณช่ออยู่ที่ไหนคะ”
“หน้าตึกที่พักของเธอกับพี่เอื้อง ฉันจะรอแค่ห้านาทีเท่านั้น”
ห้านาที...สัมปันนีกรัดร้องในใจ โชคดีที่เวลานอนเธอชอบนอนในชุดลำลองเสื้อยืดกางเกงยืดขาสั้น จึงไม่ต้องมาควานหาชุดคลุมใส่ให้วุ่นวาย แค่หยิบคีย์การ์ด สวมรองเท้าแล้วพุ่งออกจากห้องไปทางลิฟต์ก็อยู่ในเวลาห้านาทีได้
หากมีคนบอกว่าเธอโง่ที่พุ่งเข้าหาภยันตราย เธอเต็มใจให้เขาด่าทอเต็มที่ อย่างน้อยช่อมาลีก็ไม่ต่างจากน้องสาวของดรัล คือคนสำคัญในใจจุณวัฒน์คนที่คอยช่วยเหลือเธอทุกอย่างไม่ต่างจากพี่ชาย คนพวกนี้ไม่ต่างจากครอบครัว แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นเธอเป็นครอบครัวก็ตาม
ร่างที่ยืนโงนเงน ผอมแห้ง และคล้ายผีเมื่อรอบด้านยังมืดสนิท และบรรยากาศเงียบสงัด สัมปันนีผ่อนฝีเท้า ค่อยๆ เข้าไปใกล้ช่อมาลี น้ำตาเอ่ออยู่เต็มสองตา แค่แรงจะยืน ช่อมาลีแทบไม่มีเหลือแล้ว
“คุณช่อ”
เจ้าของดวงตาแดงก่ำเงยขึ้นมา หน้าตาไร้สง่าต่างจากที่เจอเมื่อวานยิ่งขึ้น ช่อมาลีเหยียดปากยิ้ม ทั้งที่ตาปรือใกล้ปิด “สัญญากับฉันสักข้อสิ”
ทำไมถึงมีแต่คนมาคาดคั้นเอาสัญญากับเธอ สัมปันนีนึกอยากทึ้งผมให้เหมือนคนเสียสติ และกรีดเสียงถามกลับไปบ้างว่าจะเอาอะไรกับเธอนักหนา แต่อารมณ์นั้นก็ยังพ่ายมโนธรรม เมื่อเธอนึกถึงหน้าของรำเพยแม่ของช่อมาลีว่าป่านนี้จะเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวขนาดไหน
“อะไรคะ”
“เลิกกับพี่เอื้อง ออกมาจากชีวิตพี่เอื้องได้ไหม”
“คุณช่อจะกลับบ้านไหมคะ” สัมปันนีเข้าประคองร่างที่ค่อยๆ ร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกก็รีบมาช่วยตามเสียงที่หญิงสาวร้องเรียก ช่อมาลีตรึงมือของสัมปันนีไว้ จิกเล็บเข้าผิวเนื้อทั้งน้ำตา ส่ายหน้าไม่รับ
“เลิกกับพี่เอื้องซะ เธอไม่ได้รักพี่เอื้อง อย่าทำร้ายพี่เอื้อง เหมือนที่ฉันทำร้ายพี่จุ้น”
พูดจบแรงอันน้อยนิดของช่อมาลีก็หมดสิ้น สัมปันนีนั่งค้างน้ำตาคลอ เจ็บจากทุกคำที่ช่อมาลีทิ่มแทงใจ และเจ็บจากการมองเห็นคนๆ หนึ่งระทมทุกข์จากการกระทำของตัวเอง เธอเคยนึกว่าช่อมาลีคงไม่ใยดีความรู้สึกของจุณวัฒน์ แต่วันนี้เธอคิดผิด สิ่งที่ช่อมาลีได้กระทำลงไป ไม่ได้จบลง แต่ช่อมาลีได้แบกผลกรรมทุกความรู้สึกติดตัวไปด้วยจนหนักอึ้ง และกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง
แล้วเธอล่ะ...สัมปันนีทบทวนการกระทำของตัวเอง หากตัดเรื่องช่อมาลีออกไปจากสมอง ทำไมเธอกลับพบว่าทุกวันความสุขที่เธอไม่เคยรู้จักอย่างหนึ่งกำลังครอบงำจิตใจของเธอทีละนิดช้าๆ
ทันทีที่ครอบครัวของช่อมาลีมาถึงโรงพยาบาล สัมปันนีจึงผละออกมาเงียบๆ คนเดียวด้วยไม่อยากเป็นจุดเด่นจึงบอกแค่จุณวัฒน์ที่เอาแต่ขอบคุณเธอไม่หยุดในเรื่องช่วยเหลือช่อมาลี หญิงสาวกลับมาอาบน้ำใส่ชุดที่มัศกอดอุตส่าห์คัดเลือกให้ แต่งหน้าให้สวยงามที่สุด ทั้งที่ดวงตากำลังอ่อนแรง และอยากพักอยู่กับที่เฉยๆ เต็มทน
เปิดประตูห้องนอนออกมา ก็พบผู้ชายที่เธอแอบทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลกำลังจองครัว ทำข้าวผัด และไข่ดาว สัมปันนีมองภาพนั้นด้วยความตื้นตันในใจ เธอปรารถนาที่จะพบเจอความรู้สึกนี้ในทุกเช้า ใครสักคนที่จะมองเธอด้วยความรู้สึกมหาศาลผ่านดวงตาของเขา
“มากินอะไรก่อนสิ พี่ทำเกือบเสร็จแล้ว วันนี้ถ้าเหนื่อย ไม่ต้องออกไปทำงานก็ได้”
หญิงสาวเดินมานั่งยังเก้าอี้รออาหารเช้าที่ไม่ดรัลก็เธอจะคอยผลัดกันทำ รอจนดรัลผละจากเตากลับมา แล้วเห็นภาพลักษณ์ใหม่ที่ต่างจากเมื่อวานอย่างชัดเจน สีหน้าผ่อนคลายของเขาก็ค่อยๆ ขมวดยุ่งทันตาเห็น
“เปลี่ยนทำไม”
“เปลี่ยนอะไรคะ” แกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“หั่นผม เปลี่ยนชุด แต่งหน้า แล้วก็...” ดรัลยื่นหน้ามาทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะทำหน้าว่าเจอแล้วอีกอย่าง “ใช้น้ำหอมด้วย”
“เคยเปลี่ยนมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นพี่เอื้องไม่เห็นจะว่าอะไรเลยนี่คะ นี่จะเปลี่ยนถาวร แทนที่จะร่วมยินดี กลับมาสังคายนากันซะงั้น”
ดรัลปิดเตาแก๊ส ตักข้าวใส่จานมาส่งตรงหน้าผู้หญิงที่เปลี่ยนไป ทำหน้าไม่สบอารมณ์ใส่ปะทะกัน “จะเปลี่ยนทำไม แบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว”
“มันดีไม่พอค่ะ”
“วันนี้มีเรื่องเหนื่อยแต่เช้า ไม่ต้องออกไปทำงานแล้ว” ดรัลตัดบทอย่างพาลๆ
“ไม่ค่ะ ฉันจะไป” นึกถึงบทถากถางกดขี่เมื่อวานนี้แล้วพานของขึ้น อยากจะไปประกาศความมั่นใจใส่หน้าคนพวกนั้นดูบ้าง
“ไม่ใส่แว่นล่ะ จะมองเห็นเหรอ”
“พอมองเห็นค่ะ ไว้ตอนทำงานค่อยหยิบมาใส่ คอนแทคส์ที่สั่งไปต้องรออีกสองสามวันถึงจะได้”
รอยยิ้มของสัมปันนีลบรอยถมึงทึงไปจากหน้าดรัลไม่ได้ “จะสวยไปให้ใครดู”
คนถูกหงุดหงิดส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ชี้มือไปยังคนถาม บังคับไม่ให้หน้าตาไปยั่วอารมณ์ขุ่นของอีกฝ่าย
“พี่?”
“ประกาศว่าจะจีบพี่เอื้อง จะให้ไปในลุกส์เป็ดน้อยได้ไง”
“จะจีบทำไม” ดรัลว่าไปอย่างนั้น แต่บนหน้ากลับไม่มีรอยบึ้งหงุดหงิดหลงเหลือ ประกายตาระยับ “พี่จีบยากนะ แต่งงานแล้วด้วย”
“ของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้นะคะ ได้ข่าวว่าภรรยาเขาไม่ใช่คนขี้หึง” สัมปันนีขำคิก ก้มหน้าก้มตาทานอาหาร รู้สึกภูมิใจกับอาการหึงหวง หงุดหงิดที่ได้พบเห็นแต่เช้า ในตอนนั้นเธอคาดหวังจะได้เห็นนวีนมองเธอด้วยความหงุดหงิด และไม่พอใจอย่างนี้ แต่ในตอนนี้เธอกลับดีใจยิ่งกว่าที่คนๆ นั้นคือดรัล
หากวันนั้นนวีนแสดงออกว่าเธอสำคัญกับเขา หัวใจของเธอก็คงตกไปอยู่ในวงจรเดิมๆ ไม่ได้พบกับคนตรงหน้า
“อาลัว...ไปจดทะเบียนกันไหม”
ขอบตาคนฟังร้อนผ่าว อีกครั้งที่ปากอยากตอบรับทันด่วน อยากบอกแก่ดรัลว่าเธอพร้อมจะอยู่ข้างเขาแล้ว แต่เศษเสี้ยวในใจยังคงเหนี่ยวรั้งไว้ด้วยตะขอยักษ์ อุดปากให้เธอต้องพูดสิ่งที่หัวใจของเธอเจ็บไม่แพ้กันออกมา
“อยู่กันอย่างนี้ก็ดีแล้วนี่คะพี่เอื้อง”
ไม่เลย...ความสัมพันธ์ที่พร้อมล่มสลายไปได้ตลอดนี้ ไม่มีสิ่งใดรับประกัน เพราะเพียงแค่ช่อมาลีขอร้อง หัวใจเธอก็หนักอึ้ง คล้ายว่าการเดินหน้าต่อไปจะเท่ากับทำร้ายจิตใจช่อมาลีเพิ่มขึ้นหรือเปล่า และจะเป็นการตอกย้ำจิตใจเปราะบางของฝ่ายนั้นมากไปหรือเปล่าถ้าเธอโพล่งออกไปว่าหัวใจของเธอไม่เหมือนตอนนั้น
มันกำลังเรียนรู้...ว่ารัก เป็นอย่างไร
“อย่าคิดมากเรื่องช่อ ตอนนี้เขาอยู่ในมือหมอแล้ว ทุกคนจะช่วยกันดูแลช่อต่อ” เพราะอาการเงียบงันทำให้ดรัลคิดว่าสัมปันนีกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อเช้ามืด สภาพร่างกายทรุดโทรมขาดแคลนอาหาร พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ต้องแอดมิดด่วนเพื่อดูอาการ
“เย็นนี้ไปเยี่ยมคุณช่อกันนะคะ”
“ได้สิ”
“แต่เราต้องแยกกันไป” เห็นดรัลกำลังกลับสู่โหมดหน้ายักษ์สัมปันนีจึงรีบหาเหตุผลมาอธิบายต่อ “ขืนพวกเราไปเป็นคู่ มีหวังคุณช่อจะอาการหนักขึ้นนะคะ แยกกันไปดีกว่า”
“ก็ได้” ดรัลรับทั้งที่ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่
............................................................................
คุณ Kim พี่เอื้องไม่กล้าทำอะไรอาลัวหรอกค่ะ ได้แต่ข่มไปวันๆ ฮา
คุณ kaelek ช่อมาลีทำตัวเองค่ะ ส่งผลไปหลายส่วน ถ้าไม่หนีงานแต่งงานไป งานของอาลัวกับเอื้องก็คงไม่มี
คุณ กาซะลองพลัดถิ่น พี่จุ้นจะกลับไปหาช่อไหมต้องรอกันต่อไปค่ะ ฮา แต่อาลัวกำลังเริ่มพิสูจน์ตัวเองแล้ว
คุณ sai พี่เอื้องน่าไล่ออกยกบริษัทนะคะ ทำกับภรรยาเขาได้
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ พี่เอื้องเคยดุอาลัวจริงจังไหมนี่ยังนึกไม่ออกเลยค่ะ แต่อาลัวชอบกลัวนำหน้าตลอด ไม่เคยฟังคำเตือนเอื้องด้วยนะเออ
ขอบคุณทุกความเห็น ทุกคนที่ถูกใจ และทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า มาแล้วตอนใหม่ ฮิ้ว
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ย. 2558, 19:55:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ย. 2558, 19:55:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 1560
<< บทที่ 18 : ว้าวุ่นสุกี้และน้ำส้มคั้น | บทที่ 20 : ไม่ได้หึง >> |
กาซะลองพลัดถิ่น 13 ก.ย. 2558, 21:01:57 น.
ช่อ ทั้งหมดเธอทำตัวเธอเอง แล้วคิดว่าคนอื่นจะต้องเป็นเหมือนเธอหมดเลยเหรอ แย่ชะมัด ไม่น่าสงสารเลย
อาลัวถ้าจะเธอคิดจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ดูเหมาะสมกับเอื้องล่ะก็เปลี่ยนหัวใจให้เข้าใจเอื้องให้มากกว่านี้ดีไหม..
ของดีอยู่ในมือ ปล่อยให้หลุดลอดไปก็บื้อสุด ๆ นะอาลัว .....
ช่อ ทั้งหมดเธอทำตัวเธอเอง แล้วคิดว่าคนอื่นจะต้องเป็นเหมือนเธอหมดเลยเหรอ แย่ชะมัด ไม่น่าสงสารเลย
อาลัวถ้าจะเธอคิดจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ดูเหมาะสมกับเอื้องล่ะก็เปลี่ยนหัวใจให้เข้าใจเอื้องให้มากกว่านี้ดีไหม..
ของดีอยู่ในมือ ปล่อยให้หลุดลอดไปก็บื้อสุด ๆ นะอาลัว .....
Kim 13 ก.ย. 2558, 21:10:13 น.
ยุอาลัวให้จีบพี่เอื้องแบบจริงจัง
ยุอาลัวให้จีบพี่เอื้องแบบจริงจัง
kaelek 13 ก.ย. 2558, 22:10:29 น.
อยากเห็นอาลัวฮึดขึ้นกว่านี้ ถ้าเป็นเจ๊นะ พี่เอื้อง ก็พี่เอื้องเถอะ หึ!!
อยากเห็นอาลัวฮึดขึ้นกว่านี้ ถ้าเป็นเจ๊นะ พี่เอื้อง ก็พี่เอื้องเถอะ หึ!!
konhin 13 ก.ย. 2558, 22:10:43 น.
พอถึงตอนที่ช่อมาบอกให้อาลัวเลิกกับเอื้องเลยเข้าใจ ว่าเรามองเรื่องนี้ผ่านอาลัว อาลัวตัดสินช่อ ว่าช่อทำร้ายจุ้น ในขณะที่ช่อ ก็มองว่าอาลัวทำร้ายเอื้อง เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีทางเห็นว่าจริงๆในใจช่อหรืออาลัวคิดอะไรกันแน่ รักหรือไม่รัก หรือ"กลัว"ที่จะรัก
ปล พี่เอื้องก็อ่อยให้อาลัวดีใจหน่อยยยยย เดี๋ยวอาลัวจะหมดความกล้าจะจีบพี่เอื้อง
พอถึงตอนที่ช่อมาบอกให้อาลัวเลิกกับเอื้องเลยเข้าใจ ว่าเรามองเรื่องนี้ผ่านอาลัว อาลัวตัดสินช่อ ว่าช่อทำร้ายจุ้น ในขณะที่ช่อ ก็มองว่าอาลัวทำร้ายเอื้อง เพราะต่างคนต่างก็ไม่มีทางเห็นว่าจริงๆในใจช่อหรืออาลัวคิดอะไรกันแน่ รักหรือไม่รัก หรือ"กลัว"ที่จะรัก
ปล พี่เอื้องก็อ่อยให้อาลัวดีใจหน่อยยยยย เดี๋ยวอาลัวจะหมดความกล้าจะจีบพี่เอื้อง
yapapaya 14 ก.ย. 2558, 19:44:52 น.
ลุ้นขึ้นไหมเนี่ยสัมปันนี
ลุ้นขึ้นไหมเนี่ยสัมปันนี
นักอ่านเหนียวหนึบ 16 ก.ย. 2558, 23:42:07 น.
อาลัวววว ยิ่งกลัวยิ่งซ้ำรอบเดิมนะ
อาลัวววว ยิ่งกลัวยิ่งซ้ำรอบเดิมนะ
sai 29 ก.ย. 2558, 13:53:39 น.
ไม่ต้องจีบพี่เอื้องก็หลงจะแย่แล้วอาลัวเอย
ไม่ต้องจีบพี่เอื้องก็หลงจะแย่แล้วอาลัวเอย