ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๒๒ .. ความลับ คับอก



ละอองชลแว่วเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาในบริเวณบ้าน จึงเดินมาชะโงกมองที่หน้าต่าง ความดีใจยิ่งกว่าอะไรปรากฏทันตา เมื่อจู่ๆลูกชายคนโตกลับมาบ้านโดยไม่บอกไม่กล่าวกันล่วงหน้า ที่ทราบตั้งแต่แรกเพราะเธอจดจำพาหนะคันโตของเพื่อนรุ่นพี่คนสนิทของเมฆพัดได้ และทุกครั้งที่ได้เห็นมันเธอก็อดตื่นเต้นไม่ได้สักที

รถดอดจ์สีดำดูดุดันจอดนิ่งสนิทดีแล้ว คนขับร่างสูงคุ้นตาคุ้นใจก็เผยตัวให้เห็น ก่อนสตรีเจ้าของบ้านจะพบว่า ต่อให้หลากหลายความรู้สึกมารวมกัน ณ ขณะนี้ ยังไม่แปลกใจเท่ากับเห็นหญิงสาวแปลกหน้าอีกคน ที่เพิ่งเปิดประตูและก้าวลงจากรถ กำลังสาวเท้าเดินตามมาไม่ห่าง เนื่องจากถูกจับจูงคล้ายบังคับในที

เนื่องจากระยะห่างจากหน้าต่างบนเรือนกับตัวรถก็ไม่ใกล้นัก ละอองชลเตือนตนในใจ ว่าหูตาอาจจะฝ้าฟาง แต่พอเพ่งพิศรูปลักษณ์เรือนร่างคนที่ถูกจับจูง สตรีสูงวัยก็ค่อนข้างแน่ใจตัวเองไม่น้อยว่า หญิงสาวคนนั้นมีหน้าตาหุ่นทรงชวนมองใช่ย่อย ฉับพลันก็ต้องยกมือขึ้นทาบอก คิดไปต่างๆนาน

เมฆพัดลูกชายเธอ .. ไปพาลูกสาวบ้านไหนมากันล่ะนี่?

คนเป็นแม่อดปริวิตกไม่ได้จริงๆ เพราะสังเกตจากท่าทางของทั้งสองคน เหมือนกับคนที่กำลังมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันไม่น้อย แต่ละอองชลถือคติว่า ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ และก็ไม่แน่ว่า แม่หนูคนนี้ที่ทำท่าปั้นปึ่งน้อยๆให้เมฆพัด อาจเป็นคนสำคัญของลูกชายก็ได้ .. ใครจะรู้

หญิงสูงวัยก้มสำรวจตนเองในชุดเสื้อสตรีตัดพอดีตัวกับซิ่นทอมือ เห็นว่าไม่ได้ดูน่าเกลียดที่จะลงไปรับแขกทั้งชุดแบบนี้ ก็ผละจากหน้าต่างก้าวออกจากตัวเรือนมาถึงชานบ้าน พอดีกับเมฆพัดและหญิงสาวหน้าตาคมขำมาหยุดยืนที่เชิงบันได

"ตาพัด .. ไปยังไงมายังไงกันลูก ไม่บอกแม่ก่อน"

"สวัสดีครับแม่"

ละอองชลเห็นว่าเมฆพัดหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างตัว ซึ่งเธอคนนั้นแหงนมองขึ้นมาอยู่ก่อน ตั้งแต่ชายหนุ่มเอ่ยทักทายขณะยกมือพนมไหว้เรียบร้อย

สตรีเจ้าของเรือนเกือบหลุดขำ หากยังเก็บงำมันไว้ได้ทัน จึงมีเพียงรอยยิ้มบางๆเจือเอ็นดู เมื่อเห็นว่าหญิงสาวออกอาการตระหนกหันขวับไปที่บุตรชาย ก่อนจะเงยหน้ามองผู้อยู่ในตำแหน่งสูงกว่าอีกครั้งพร้อมยกมือไหว้ ท่วงท่าแช่มช้อยอิริยาบถงดงามไม่ต่างจากคนนำ

"ขึ้นมาก่อนลูก .. พาใครมาประเดี๋ยวค่อยว่าค่อยแนะนำกัน .. มาลูกมาไม่ต้องเกรงใจนะ .. เดี๋ยวแม่จะไปดูของว่างให้ก่อน"

ประโยคแรกเธอกล่าวกับลูกชาย แต่ตอนท้ายๆหมายสื่อไปถึงหญิงสาวอีกคนหลังรับไหว้ และเพื่อไม่ให้เสียเวลาระหว่างรอสองหนุ่มสาวก้าวขึ้นเรือน เธอจึงละจากตรงนั้นไปจัดเตรียมหาน้ำหาท่ามารับรอง เพราะเชื่อแน่ว่า คนข้างล่างอาจมีเรื่องต้องทำความเข้าใจกันไปพลางๆ

เมฆพัดใจชื้นกับคำเชื้อเชิญและเปิดโอกาสของแม่ก็อุ่นใจ รีบรุนหลังให้เภตราก้าวขึ้นบันไดไปก่อน แล้วเขาจึงก้าวตาม แต่หญิงสาวหันกลับมาด้วยสีหน้ากึ่งกระดากและลำบากใจไม่น้อย

"พี่พัด ทำไมไม่บอกก่อนว่าจะมาหา .. เอ่อ คุณแม่พี่พัด แล้วจะบอกท่านว่ายังไงกัน"

"ทำไม .. พี่พาเมียมาบ้าน มาหาแม่ จะเป็นอะไรไป"

เภตราหน้าเสียทันทีที่ได้ฟัง คำพูดของเขายิ่งทำให้เธอใจคอไม่ดีเลย ผู้หลักผู้ใหญ่จะคิดอย่างไรกับสถานะที่ถูกอ้างในตอนนี้ ต่อให้เธอมั่นใจในตัวเองก็เถอะ แต่เรื่องความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ คงยากที่ใครจะรับได้ง่ายๆ กอปรกับลักษณะของมารดาและบ้านช่องเรือนชานของเมฆพัดด้วยแล้ว ท่านอาจมองเธอติดลบก็ได้ ถ้ารู้ความจริงว่าอะไรเป็นอะไร

เมฆพัดเห็นความเครียดปรากฏบนใบหน้าเภตรา ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอกังวลใจเรื่องอะไร จากมือที่รุนหลังเปลี่ยนมากุมมือนุ่มนวล ปลอบโยนผ่านสัมผัสและกระซิบแผ่วเบาข้างหูสำทับไปว่า

"เชื่อพี่นะเภา .. ไม่มีอะไรที่เภาต้องกลัว ถ้ามีพี่อยู่ใกล้ๆ"

"แต่ .."

หญิงสาวสบตากับคนให้กำลังใจ ลืมไปเลยว่ามีเรื่องขุ่นเคืองค้างคากันอยู่ สถานการณ์ตรงหน้าตอนนี้ชวนระทึกหวาดหวั่นยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดแล้ว

ชายหนุ่มส่ายหน้าทั้งที่ยังมองตาอยู่อย่างนั้น พยายามส่งผ่านความมั่นใจแก่เธอ เขาพยักยิ้มอีกครั้ง

"เถอะน่า .. ถ้าเภาได้รู้จักแม่พี่ เภาจะรักแม่เหมือนที่รักพี่นั่นล่ะ"

"บ้า .. พี่พัด ใครรักพี่พัด อย่ามา .."

"อ้าว .. พี่เข้าใจผิดเหรอเนี่ย ก็แล้วที่ให้พี่กอด .. ให้พี่จูบ .. ให้พี่ .."

เมฆพัดทวงถามหน้าซื่อตาใส จนเภตราเกิดอาการเห่อร้อนไปทั่วใบหน้าเสียเอง ไม่คิดว่าการบอกปัดเพราะขัดเขิน จะยิ่งกลายเป็นช่องโหว่ แถมเข้าเนื้อเข้าตัวอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ จนต้องตัดบทแล้วก้าวพรวดๆขึ้นบันไดไป หนีคนพูดเรื่องลับๆได้อย่างโจ่งแจ้งไม่อายฟ้าอายดิน

"พอๆ .. พอเลยพี่พัด ไม่พูดด้วยแล้ว"

ชายหนุ่มยิ้มกริ่มกับปฏิกิริยาของเธอ .. เห็นแบบนี้จะให้อดใจไม่รักได้อย่างไรไหว



น้ำดื่มที่ละอองชลยกมารับรองแขกพิเศษนั้น มีสีม่วงสวยเมื่ออยู่ในแก้ว รสชาติก็อมเปรี้ยวอมหวานพอดีๆ เมื่อได้ผสมกับน้ำแข็งก็ช่วยดับกระหายคลายร้อนทั้งยังเย็นชื่นใจ เป็นที่ถูกอกถูกใจเภตรายิ่งนัก ผิดกับเมฆพัดที่ไม่ยอมแตะต้องเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้น้ำแข็งละลายจนเจือจางไป แต่มุ่งมั่นจริงจังอยู่กับของว่างหน้าตาแปลกๆที่ห่อพันด้วยไข่วางเคียงกันนั่นเอง

"ชื่อเภตราหรือลูก .. ให้เรียกหนูเภา แม่ว่าก็น่ารักสมตัวดี"

ละอองชลทวนชื่อที่ได้รับการแนะนำจากเมฆพัด แล้วก็ปล่อยบุตรชายไปตามเรื่อง เพราะหันมาให้ความสนใจกับหญิงสาวตรงหน้ามากกว่า

เภตราเองก็เริ่มจะเห็นด้วยกับเมฆพัดที่ว่า มารดาของเขาน่ารัก .. ไม่ต่างจากที่เขาพูดเลย แต่ไม่มีทางที่เธอจะบอกกับเขาตรงๆแน่

"อันที่จริง หนูควรจะได้รู้จักกับคุณแม่ก่อนหน้านี้นานแล้วนะคะ เสียดายที่เมื่อก่อนพ่อกับแม่ไม่ค่อยอนุญาตให้ไปไหน ไม่งั้นคงได้มาหาคุณแม่พร้อมกับพุด"

"อ้าว .. รู้จักกับพุดหรอกหรือเนี่ย เอ .. เดี๋ยวนะ ขอแม่นึกหน่อย .. สมัยเรียนมัธยมพุดเคยเปรยๆถึงเพื่อนสนิทให้แม่ฟังเหมือนกัน เขาบอกว่า คนนี้น่ะ เพื่อนรักของเขาทีเดียว .. หนูเภาเองสินะลูก"

ถ้อยคำอบอุ่นอ่อนโยนของละอองชล กลับตอกย้ำรอยร้าวลึกที่กลายเป็นความบาดหมางกินใจระหว่าง ‘เพื่อนรัก’ อย่างไม่คาดคิด ซึ่งมันก็ได้ย้อนมาสร้างความหมองหม่นแก่เภตราถึงขั้นรู้สึกแปลบในใจ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมง

ตอนนี้องก์อัมพุทคงกำลังเห็นเธอไม่ต่างจาก .. เพื่อนทรยศ

"เติมน้ำอัญชันอีกไหมลูก .. จะหมดแก้วแล้ว"

ละอองชลสัมผัสได้ว่า เภตราอาจมีความไม่สบายใจซุกซ่อน จึงเปลี่ยนไปเรื่องอื่นแทน แต่เธออดชำเลืองไปยังเมฆพัดไม่ได้ เพราะเจ้าลูกชายตัวดีก็เกิดจะเงียบไปอย่างกะทันหันไม่พูดไม่จา ปล่อยให้เธอคุยกับเภตราอยู่นานสองนาน

เภตรานึกขอบคุณผู้สูงวัยที่ไม่ได้เน้นย้ำจำเพาะในประเด็นเดิม และพอเอ่ยถึงน้ำดื่มสีสวยรสอร่อยเธอจึงเพิ่งได้ทราบว่า แท้จริงแล้วมันคือน้ำจากพืชสมุนไพร

"นี่น้ำอัญชันหรือคะ หนูคิดว่ามันจะสีน้ำเงินรึออกสีฟ้าเข้มๆเสียอีก ไม่คิดว่าจะมีสีม่วงด้วย"

สตรีเจ้าของเรือนยิ้มละไมกับข้อสงสัยของหญิงสาว อาการบอกให้รู้ว่าทึ่งกับสีสันและรสชาติ จนคนทำออกจะภูมิใจเล็กๆ

"เป็นอย่างที่หนูเภาเข้าใจล่ะลูก แต่ทีนี้แม่บีบมะนาวลงไปนิดหน่อย สีเลยเปลี่ยนจากน้ำเงินเป็นม่วงแบบนี้ ยิ่งพอผสมน้ำตาลน้ำเชื่อม ดื่มกับน้ำแข็งก็ได้รสเปรี้ยวๆหวานๆเย็นชื่นใจ"

"อ๋อ .. แบบนี้นี่เอง หนูลืมไปได้ยังไงกัน วิชาวิทยาศาสตร์ก็เคยเรียนเคยสอนมา แต่ไม่เหมือนที่คุณแม่มาประยุกต์ใช้เลยค่ะ แล้วมันก็อร่อยจริงๆด้วย"

ละอองชลมีความรู้สึกว่า ยิ่งสนทนาก็ยิ่งถูกตาต้องใจหญิงสาวคนนี้เข้าเสียแล้ว ถึงเมฆพัดจะยังไม่คลี่คลายข้อกังขา แต่เธอคิดว่า เธอมองไม่พลาด ไม่เช่นนั้นลูกชายคงไม่พาใครมาบ้านเป็นแน่ แม้จะเคยรับรู้เมื่อนานมาแล้วว่า เคยคบหาใครมาก่อนบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้พามาแนะนำให้รู้จักอย่างนี้

"พัด .. แล้ววันนี้จะค้างกับแม่ไหมลูก .. พาน้องมาแบบนี้ขออนุญาตพ่อแม่เขาหรือยัง"

คำถามของมารดาดึงเมฆพัดให้กลับเข้าสู่วงสนทนา หลังจากอิ่มของว่างแล้วคว้าหนังสือมาอ่าน ระหว่างฟังสตรีสองวัยพูดคุยทำความรู้จักกัน ซึ่งมีช่วงหนึ่งเขาอดใจหายไม่ได้ ตอนเหลือบมองหน้าเภตราขณะละอองชลพาดพิงถึงน้องสาว

ชายหนุ่มขบกรามข่มใจไม่ให้พลั้งปากพูดอะไรออกไป แล้วก้มมองหนังสือทำทีราวกับสนใจมันนักหนา แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้อ่านมันเลยสักตัว

"อยากนอนกอดแม่จะแย่ .. แต่คงต้องไว้ว่างกว่านี้ครับ ค่ำๆก็ต้องพาหนูเภาของแม่ไปส่งบ้าน .. ต้องทำตัวดีๆ เดี๋ยวพ่อตาแม่ยายจะไม่เอ็นดู"

"พี่พัด!"

"อะไรนะตาพัด .."

เภตราไม่คิดว่าเมฆพัดจะกล้าพูดจาเลี่ยงบาลีหน้าตาย จนต้องเผลออุทานอย่างตกใจ พร้อมๆกับที่ละอองชลก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ยิ่งหญิงสาวเห็นอากัปกิริยาของสตรีสูงวัยแบบนี้ ตะกอนความกังวลที่นอนก้นไปแล้ว ก็กลับขุ่นฟุ้งขึ้นมาทันทีด้วยความหวาดหวั่นใจ

แต่ก็อาจไม่เท่ากับความหมั่นไส้ ที่ได้ยินเมฆพัดบรรยายความต่อไป โดยที่เธอไม่สามารถขัดหรือขวางได้เลยสักคำ

"เอ่อ .. ว่าที่ครับแม่ ว่าที่พ่อตาแม่ยาย .. แล้วแม่ว่าไงครับ ถ้าเภาจะมาเป็นว่าที่ลูกสะใภ้"

"พัด .. นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะลูก แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง แม่ก็ดีใจและยินดีต้อนรับ .. ลูกแม่รักใคร แม่ก็รักคนนั้นด้วยเหมือนกัน"

พอละอองชลพูดจบประโยค เมฆพัดถึงกับหลิ่วตามองเภตราราวกับผู้ชนะ รอยยิ้มกริ่มเบิกบานเกินหน้าของเขา ทำให้เธอยิ่งหมั่นไส้ แต่ก็อบอุ่นชื่นหัวใจไปพร้อมๆกัน

ยิ่งกับคำพูดรับรองของมารดาเขาด้วยแล้ว หญิงสาวให้รู้สึกปลาบปลื้มตื้นตัน ที่ผู้ใหญ่มิได้รังเกียจหรือรังแครังคัดเธอเลย

แต่ว่า ปัญหาที่ทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในตอนนี้ มันกลับสร้างความกดดันแก่เธอไม่น้อย หรือว่า เธอควรจะบอกเมฆพัดไปตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องที่พักตราแสดงออกว่า สนับสนุนมัตติก์ให้เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเธอ

ขณะที่หมกมุ่นครุ่นคิดนั้น เภตราก็รู้สึกแปลกๆกับร่างกายของตนเองขึ้นมา อาการหน่วงๆปวดหนึบๆแถวท้องน้อย ทำให้สังหรณ์ใจว่า สิ่งที่ขาดหายไปกว่าเดือนกำลังส่งสัญญาณเตือนให้รับรู้

"เอ่อ .. คุณแม่คะ หนูขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะคะ"

"เอาสิจ๊ะ .. เดินเข้าไปด้านในเรือน จะอยู่ซ้ายมือแยกออกมานิดหนึ่งนะลูก .. เออตาพัด พาน้องไปหน่อยสิลูก"

"ไม่เป็นไรค่ะ .. หนูไปเองได้ .. ให้พี่พัดอยู่คุยกับคุณแม่เถอะค่ะ"

เภตราผลุนผลันลุกยืน เหลียวหากระเป๋าถือก็นึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ได้พกมันมาด้วยเนื่องจากเมฆพัดฉุดรั้งเธอมาเสียก่อน กลายเป็นว่านอกจากโทรศัพท์ และอะไรต่อมิอะไรที่เธอตระเตรียมไว้ในยามฉุกเฉิน กลับไม่ได้อยู่ข้างกายในเวลาที่ต้องการเลยสักอย่างเดียว

ครั้นจะถามหากับละอองชล เมฆพัดก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้ เธอจึงอึดอัดใจเข้าไปอีก กระทั่งสตรีสูงวัยสังเกตเห็นอาการละล้าละลังของเภตรา พอหยุดคิดพิจารณาครู่หนึ่ง ก็พอจะเข้าใจต่อท่าทีกระสับกระส่ายนั้น

ละอองชลกลั้นยิ้มแล้วลุกขึ้นหันมาบอกบุตรชาย ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นปราม เมื่อเห็นเขาขยับตัวจะลุกและอาสาพาไปแทน

"เดี๋ยวแม่ไปกับหนูเภาก็แล้วกัน .. ตาพัดอยู่นี่ล่ะ ไม่ต้องตามมาหรอกจ้ะ .. ไปลูก"

มารดาผู้อารีอารอบเอ่ยพร้อมจับข้อมือหญิงสาวจูงให้ก้าวตามไป ทิ้งชายหนุ่มคนเดียวให้มองตามอย่างไม่เข้าใจ

ก่อนจะถึงห้องน้ำ ละอองชลปล่อยมือเภตราแล้วเปิดประตูห้องๆหนึ่งที่เดินผ่าน เตรียมก้าวเข้าไป ซึ่งเธอหันมาบอกหญิงสาวให้รอสักครู่ ไม่นานก็กลับออกมาพร้อมกับสิ่งที่คิดว่า คนรอกำลังต้องการใช้มัน

"นี่จ้ะ .. แม่คิดว่าหนูเภาคงจำเป็นต้องใช้ ห้องน้ำอยู่ตรงนั้นนะ เรียบร้อยแล้วค่อยตามออกไปก็แล้วกัน"

เภตราซาบซึ้งจนไม่รู้จะเอ่ยขอบคุณอย่างไร กับความใส่ใจที่ละอองชลมีให้ เธอจึงพนมมือไหว้ก่อนจะรับของนั้นมา แล้วรีบทำธุระส่วนตัวไม่รีรอ

เมฆพัดเห็นละอองชลเดินกลับมาคนเดียว ก็อดชะเง้อชะแง้หาเภตราไม่ได้ ซ้ำยังเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

"เภาล่ะครับ"

"ตาพัด .. ให้น้องมีเวลาส่วนตัวบ้างเถอะ .. เรื่องของผู้หญิงๆแบบนี้ จะไปเร่งรัดได้หรือไงฮึ"

ชายหนุ่มฟังคำตอบชวนฉงน แต่ไม่นานก็เข้าใจความหมาย 'เรื่องของผู้หญิงๆ' แทนที่เขาจะปล่อยผ่านไม่สนใจ กลับทำให้หัวคิ้วทั้งคู่ย่นเข้าหากัน สีหน้ายุ่งราวขัดเคืองกับสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างใจ .. เจ็บใจจนต้องค่อนขอดตัวเองไม่ให้ใครได้ยิน

นี่เราไร้น้ำยาจริงๆเหรอเนี่ย!






มัตติก์กลับถึงห้องพักในรีสอร์ทที่อยู่ติดชายหาด ดีว่าที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนบุคคลจึงไม่มีบุคคลภายนอกเข้ามายุ่มย่าม เพราะอย่างน้อยมันก็ช่วยในเรื่องลดความวุ่นวายและพลุกพล่านของผู้คน ซึ่งอาจทำให้เขาหงุดหงิดไปมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้

แม้จะข่มอารมณ์คุกรุ่นให้เหมือนทุเลาเบาบางลงได้ แต่ภาพผู้หญิงก๋ากั่นภายในรถดอดจ์สีดำทะมึนยังติดตา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า คนที่เขาทั้งไว้ใจและทุ่มเทใจให้ จะทำเรื่องลับหลังจนเขาจุกอกแทบกระอัก

ในมือของมัตติก์กำโทรศัพท์แน่น ชั่งใจไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบว่า ควรติดต่อไปถามความจริงให้กระจ่าง หรือควรจะเชื่อใจคนๆนั้นต่อไป อย่างที่เคยตกลงกัน

ถ้าไม่เป็นเพราะตำแหน่งหน้าที่และหน้าตาที่ค้ำคออยู่ ป่านนี้พวกเขาควรจะได้มีชีวิตที่เหมือนกับ 'คนรัก' โดยทั่วไปไปแล้ว

คนหนึ่งต้องการคำยืนยันมั่นคงในความรู้สึก ซึ่งชายหนุ่มมีให้อีกฝ่ายเปี่ยมล้น แต่เขาก็ไม่อาจละทิ้งความคาดหวังของครอบครัวไปได้ .. ความระหองระแหงจึงมาเยือน เป็นเหตุให้ต้องห่างกันมาสักพักใหญ่

รวมไปถึงหลายครั้งหลายคราที่อยู่กับครอบครัว มัตติก์รู้สึกระแวงแคลงใจไม่น้อยว่า กัทลินผู้เป็นมารดาจะระแคะระคายรสนิยมของเขาหรืออย่างไร จึงพยายามถามไถ่เสมอมาว่า เมื่อไหร่จะมีใครสักคนคบหาเป็นตัวเป็นตน หรือไม่ก็พาผู้หญิงสักคนไปแนะนำตัวให้ได้เห็นหน้าค่าตาบ้าง

พอชายหนุ่มปฏิเสธด้วยเรื่องงาน สุดท้ายก็หาทางยัดเยียดให้ดูตัวกับลูกสาวของเพื่อน ซึ่งเขาเองหลบเลี่ยงมาตลอด แต่กัทลินก็ไม่ละความพยายาม ถึงขนาดส่งชื่อประวัติส่วนตัวของเขา สวมรอยสมัครเป็นครูโรงเรียนอนุบาลของทางนั้นให้ โดยไม่เคยไถ่ถามความสมัครใจของเขาแม้แต่ครั้งเดียว

แรงสั่นสะเทือนในมือเรียกสติที่เผลอตำหนิมารดาในใจ ข้อความภาพถูกส่งเข้ามา แต่ยังไม่ทันได้เปิดดูเสียงเรียกเข้าก็ดังตามมาอีกระลอก ชื่อที่ปรากฏหน้าจอยิ่งทำให้มัตติก์ระบายลมหายใจหนัก ความเหนื่อยหน่ายกว่าเดิมถาโถมทันที

"ครับ .. แม่"

"ดิน .. ลูกเห็นรูปที่แม่ส่งไปให้รึยัง .. เนี่ยแม่อุตส่าห์ขอคุณพักตร์มาเลยนะ แล้วก็ไม่ผิดหวัง แม่สวยอย่างไร ลูกสาวคุณพักตร์ก็สวยอย่างนั้น"

มัตติก์ได้แต่เงียบฟังกัทลินสรรเสริญเยินยอ ทั้งพักตราที่เป็นเพื่อนของเธอและลูกสาว ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ที่กำลังใช้คำพูดโน้มน้าวใจชายหนุ่ม ไม่มีทางได้เห็นรอยหยามเหยียดที่เผยความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง

"นี่ล่ะน้า .. เขาว่า ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ .. แล้วไม่ใช่จะสวยอย่างเดียวนะลูก ตอนนี้หนูเภตราก็บริหารงานแทนพ่อแม่ได้แล้ว เรียกว่าทั้งสวยทั้งเก่งเลยเชียวลูก"

"ครับ .."

ชายหนุ่มแค่นเสียงตอบรับกับข้อมูลที่มารดาป้อนให้ ไม่ได้ยินดียินร้ายหรือเออออห่อหมกอย่างที่อีกฝ่ายหวังไว้ เพราะอย่างน้อยมันก็ดีกว่าที่เขาจะขัดแย้งมารดาตามใจปรารถนาให้เสียอารมณ์ยิ่งขึ้น

"อะไรกันดิน กี่คนๆ แม่ก็ไม่เห็นเราจะสนใจเลย .. แต่หนูเภตราคนนี้ ยังไงแม่ก็จะเอามาเป็นสะใภ้แม่ให้ได้ .. อย่าทำให้แม่ผิดหวังนะดิน .. เข้าใจใช่มั้ย"

กัทลินเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง เพราะเธอรู้จักบุตรชายคนเดียวคนนี้ดี กับอาการดื้อเงียบ และพร้อมจะรั้นแหกคอกได้ทุกเมื่อ .. หากเขาคิดจะทำ ทว่า ต่อให้เขาทั้งดื้อทั้งรั้น สิ่งหนึ่งที่คนเป็นแม่มั่นใจที่สุดคือ มัตติก์จะไม่ทำให้ความคาดหวังของเธอพังทลาย

"ครับ .. แม่"

สิ้นคำตอบรับจากบุตรชาย กัทลินก็วางสายไปโดยไม่สนใจเลยว่า มัตติก์จะรู้สึกอย่างไร

มือของเขายังคงกำโทรศัพท์แน่น ริมฝีปากเม้มหากันแน่นข่มกลั้นความอึดอัดอัดอั้น ที่มันกดทับจนแทบหายใจไม่ออก ถึงจะทำตัวเข้มแข็งแค่ไหน แต่ถ้าคนที่รักใช้จุดอ่อนของเขาเป็นเครื่องมือ .. ก็ยากนักที่จะทำอะไรได้อีก

มัตติก์รู้จักตนเองดีว่าเป็นอย่างไร ดังนั้น เขาจำต้องชดเชยความบกพร่องที่ปกปิดครอบครัว ด้วยการทำทุกอย่างตามที่กัทลินตั้งความหวัง

ทั้งที่ลึกๆแล้ว เขาอยากดิ้นรนออกไปให้พ้นเหลือเกิน

ชายหนุ่มก้มลงมองอุปกรณ์สื่อสารในมืออีกครั้ง แม้ไม่สนใจคนที่กัทลินส่งเสริม แต่การรู้เขารู้เราก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

บางที .. หากอีกฝ่ายคิดเหมือนกับเขา ไม่แน่ว่า ปัญหานี้อาจจะแก้ไขไม่ยาก ถ้าตกลงทำความเข้าใจกันได้

มัตติก์ผุดยิ้มมุมปากทำใจเปิดดูภาพที่มารดาส่งมาก่อนหน้า ที่พอจะรู้บ้างแล้วว่าว่าที่คู่หมายของเขาชื่อ เภตรา

ไม่นานข้อมูลที่เป็นภาพหญิงสาวท่าทางมาดมั่นก็ปรากฏ ดวงตาฉายประกายซุกซนร่าเริง ซึ่งถ้าดูจากสายตาของผู้ชายทั่วไป เธอคนนี้ก็คงชวนมองและน่าหลงใหลไม่น้อย

ติดตรงที่ว่า เขาไม่ใช่ผู้ชายทั่วไปพวกนั้นน่ะสิ

ทันทีที่มัตติก์เพ่งมองให้ชัดๆ รอยยิ้มเมื่อครู่ก็เลือนหายในฉับพลัน ด้วยจดจำได้ดีว่า ผู้หญิงในภาพกับผู้หญิงที่ได้พบ กลับกลายมาเป็นคนๆเดียวกันเสียนี่

เพลิงโทสะพลุ่งพล่านกับเรื่องหนึ่ง โหมอารมณ์เดียดฉันท์ผนวกกับอีกเรื่องหนึ่ง ลืมความคิดที่จะลองทำความรู้จักพูดคุยไปหมด คับแค้นใจถึงขั้นพลั้งมือปาโทรศัพท์ไปกระแทกข้างฝา จนมันพินาศไม่เหลือชิ้นดี

"เภตรา .. ยัยผู้หญิงสามหาว ท่าทางเราจะตัดกันไม่ขาดแล้วสินะ"






ดวงตะวันถอยร่นชิดขอบโลกเหลือแสงเพียงสลัวก่อนลาลับ หลังจากนี้จึงปล่อยให้ความมืดครอบครอง แบ่งหน้าที่ให้ดวงจันทร์ได้อวดโฉมเผยแสงเย็นนวลตา

แต่บรรยากาศรายรอบเช่นนี้กลับถูกเภตราเพิกเฉยไม่ดูดำดูดี เพราะเธอกำลังจ่อมจมกับความผิดหวังในสิ่งที่ตั้งใจ

หมดกัน .. กับข้ออ้างที่จะยกมาปฏิเสธได้อย่างเด็ดขาด ด้วยค่าที่ว่า เธอไร้คุณสมบัติหญิงที่ดี ไม่เหมาะจะเป็นคู่ครองของชายใดอีก

คิดถึงตรงนี้หญิงสาวอดที่จะชำเลืองค้อนขว้างไปยังคนข้างกายไม่ได้จริงๆ แต่ก็เป็นเธอเองอีกนั่นล่ะที่พูดไม่ออก ทำได้แค่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในใจคนเดียว

เมฆพัดที่ดูเหมือนมีสมาธิจดจ่อกับการควบคุมพวงมาลัย มองตรงแต่หนทางเบื้องหน้า ทีท่าไม่สนใจใดๆเช่นกัน แต่ใครจะรู้ว่าเขาก็ผิดหวังในตัวเอง .. พร่ำโทษว่าช่างไร้ความสามารถในการผูกมัดเหลือเกิน

แม้หลังจากร่ำลาละอองชลก่อนเดินทางกลับ ชายหนุ่มจะค่อนข้างมั่นใจว่า มารดาเข้าใจสถานะและความสัมพันธ์ของเขากับเภตราแน่นอนแล้ว เพราะดูจากท่าทีเอื้อเฟื้อเอ็นดูที่มีต่อหญิงสาว แถมยังเร่งเร้าให้พาเธอกลับบ้านก่อนจะค่ำมืดดึกดื่น แต่มันยังไม่ตรงจุดประสงค์ที่วางไว้

ทว่า ต่อให้ชายหนุ่มอยากค้างคืนกับแม่ .. กับคนข้างๆอย่างไร ก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจเสียแล้ว

คิดได้ดังนั้น เมฆพัดจึงเหลือบมองมาที่เภตรา ทันได้เห็นหางค้อนวงใหญ่ก่อนที่เธอจะสะบัดหน้าพรืดหันไปอีกทาง

"อะไรเภา .. งอนพี่เรื่องอะไร .. อ๋อ มามากเลยหงุดหงิดพี่ล่ะสิ"

เมฆพัดยั่วแหย่หยอกเย้าอย่างครึ้มอกครึ้มใจ เพราะนึกได้ว่า เภตราอยู่ในภาวะอารมณ์ใด .. ซึ่งเขาเองก็ทำใจได้แล้ว และเข้าใจในสิ่งที่ธรรมชาติสร้างหญิงชายให้แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นสรีระภายนอกและภายใน

"พี่พัด .. ก็เหมือนกันล่ะ วัยทองรึไง ลมเพลมพัดจนไม่ฟังใครแบบนี้ .. ว้าย"

จู่ๆชายหนุ่มก็เหยียบเบรคกะทันหัน ผลคือ สามารถเปลี่ยนเสียงแหวๆที่กำลังต่อว่าเป็นหวีดร้องอย่างตกใจ พอตั้งตัวตั้งสติได้หญิงสาวก็เริ่มตำหนิอีกหน

"อีกแล้วนะพี่พัด .. ขับรถไม่เป็นรึแกล้งกันแน่เนี่ย"

"เอ้า .. ก็ติดไฟแดง พี่ก็ต้องเบรคสิ"

คราวนี้เมฆพัดพยักพเยิดให้เภตรามองไปด้านหน้ารถ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่เขาพูด แต่สีหน้ากรุ้มกริ่มแถมยักคิ้วหลิ่วตานี่สิ มันชวนให้คิดว่า 'ติดไฟแดง' ของเขา มีเจตนาแอบแฝงสองแง่สามง่าม จนคนฟังตีความได้แล้วก็ร้อนผ่าวไปทั้งผิวหน้า

"พี่พัด .. เภาไม่พูดด้วยแล้ว คนบ้า .. คิดแต่เรื่องลามก"

"เดี๋ยวๆ เภา .. รถติดไฟแดง พี่เหยียบเบรค .. พี่ลามกตรงไหน .. เภานั่นล่ะ คิดลึกอะไรหรือเปล่า บอกพี่มาซิ ฮ่าๆ"

ไปๆมาๆเภตราก็แพ้ทางเมฆพัด ให้คำพูดมัดตัวเองจนได้ และพอทำอะไรเขาไม่ได้ มือบอบบางก็ยกขึ้นตั้งท่าจะลงโทษแก้เกี้ยว ที่ทำให้เธอได้อาย หากชายหนุ่มก็รับไว้ทันแล้วรวมมือนุ่มนิ่มมาแนบอกข้างซ้าย สายตาจ้องมองตัวเลขนับถอยหลังของสัญญาณไฟ ก่อนหันมาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"เภา .. ถ้าเภาไม่พูด ไม่บอกพี่ ว่าตอนนี้เภาเป็นอะไร มีปัญหาอะไร พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่า พี่ควรจะปรับ ควรจะแก้ตรงไหน แล้วเรื่องว่าที่คู่หมายคู่หมั้นอะไรนั่น .."

"พี่พัด .. ไฟเขียวแล้วค่ะ"

เภตราร้องบอกโดยไม่รอให้เมฆพัดพูดจบ หญิงสาวค่อยดึงมือออกเพื่อให้ความสะดวกในการที่เขาจะเข้าเกียร์ และควบคุมพาหนะคันนี้ไปให้ถึงที่หมาย แทนการพูดเรื่องนั้น เพราะเธออยากแก้ปัญหาให้มันจบด้วยตัวเอง

และถ้ามันไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งใจ .. เภตราก็อาจจะต้องขอเห็นแก่ตัวเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ










******************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และให้กำลังใจนะฮะ


คุณkaelek ... ได้กลิ่นอะไรจากมัตติก์กันนะ ... คนเขียนชักอยากรู้ซะแล้วววว ... >///<



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ย. 2558, 00:17:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ย. 2558, 00:17:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 1126





<< บทที่ ๒๑ .. สัมพันธ์ อันซ่อนเร้น   บทที่ ๒๓ .. ในที่สุดก็ได้รู้ >>
kaelek 9 ก.ย. 2558, 06:25:11 น.
ว่าแล้วเชียวนายมัตติก์ กลิ่นแปลกๆ เฉลยในตอนนี้เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account