ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม
เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา
.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม
เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา
.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ
ตอน: บทที่ ๒๓ .. ในที่สุดก็ได้รู้
ตลอดเส้นทางจากหาดริมทะเลจนใกล้ถึงหมู่บ้าน 'ตระการจิต' วิชชุ์วิธูทำหน้าที่สารถีและเพื่อนร่วมทางที่ดีขององก์อัมพุทเท่านั้น อาจจะมีนอกเหนือไปบ้าง คือคอยสังเกตหญิงสาวอยู่เป็นระยะด้วยความเป็นห่วง
การที่ชายหนุ่มไม่พยายามคาดคั้นซักถามถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้องก์อัมพุทคลายความเกรี้ยวกราดลง เหลือเพียงอารมณ์เสียใจ น้อยใจจากความผิดหวัง ที่เกิดจากการกระทำร่วมกันของพี่ชายและเพื่อนรักของเธอ
ถ้าสองคนนั้นเป็นคนอื่น ... อาการเจ็บแน่นแค้นเคืองคงไม่หนักหนาอย่างที่รู้สึกอยู่ตอนนี้
พวกเขาทำกับคนใกล้ชิดที่สุดเช่นเธอ ... ได้อย่างไร
องก์อัมพุทถอนสะอื้นหนักๆ แม้จะร้องไห้ไปไม่น้อย แต่พอคิดถึงเรื่องของเมฆพัดกับเภตรา รอยรื้นก็ปรากฏขึ้นมาอีก
"เดี๋ยวพี่จะแวะที่คลีนิก ... เราไปรับเจ้าจันกันก่อน ... ท่าทางคงคิดถึงแม่แย่แล้ว ถูกทิ้งไว้แบบนั้นเกือบทั้งวัน"
วิชชุ์วิธูเพียงปรายสายตาโดยไม่หันมา ขณะเอ่ยถึงเจ้าแมวน้อยลายเทาดำที่เขาเป็นคนพบเมื่อสองเดือนก่อน แต่กลับไปอยู่ในความดูแลของหญิงสาว ที่กำลังจมอยู่กับความทุกข์ใจข้างๆ ซึ่งอาจหลงลืมไปแล้วว่า ยังมีอีกหนึ่งชีวิตรอเธออยู่
ชื่อของ 'เจ้าจัน' จากน้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟัง ดึงให้องก์อัมพุทหลุดจากโลกแสนโศก ให้ดูมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง
"เจ้าจัน ... จริงสิคะ พุดลืมเจ้าจันไปได้ยังไง"
หญิงสาวเหลียวมองมาทางอดีตบรรณารักษ์ที่บัดนี้ ขยับความสัมพันธ์ใกล้ชิดขึ้นกว่าแต่ก่อน ... ในระยะเวลาอันสั้นจนเหลือเชื่อ
"พี่รู้ว่าหนูพุดยังไม่สบายใจ แต่พักมันไว้ก่อนดีไหม ... เอาไว้ให้ใจเย็นลงกว่านี้ รอให้ ... พวกเขาพร้อมที่จะอธิบายเหตุผล มันก็น่าจะยังไม่สายเกินไป ... จริงมั้ย"
"แต่คนที่โกหกปิดบังพุด คือคนที่พุดไว้ใจที่สุดนะคะ"
ชายหนุ่มพลาดไปถนัดใจที่กวนน้ำให้ขุ่น ตรงนี้อาจเป็นจุดอ่อนไหวที่สุดขององก์อัมพุทก็ได้ แม้ว่าเขาพอจะจดจำได้ว่า อดีตสองศิษย์นอกห้องเมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน มีความสนิทสนมกันมากเพียงใด และมันก็ยืนยาวมาจนเกิดเรื่องที่ก่อให้เกิดรอยร้าวในมิตรภาพระหว่างพวกเธอ
องก์อัมพุทรู้ตัวว่ากำลังใช้อารมณ์กับคนที่ไม่รู้เรื่องราว หรือรู้จักพวกเธอดีพอ ก็ได้แต่หลบสายตาก้มหน้ามองมือตัวเอง ที่กุมประสานกันบนตักแทน
"พี่เข้าใจ"
วิชชุ์วิธูพูดออกมาแผ่วเบา แวบหนึ่งอดคิดถึงเรื่องของตนเองและครอบครัวไม่ได้ ... ความรู้สึกของรวิรุจน์ ก็คงเจ็บปวดไม่ต่างกันสินะ
ต่างคนต่างเงียบเพราะคิดว่า หากพูดอะไรมากไปกว่านี้บรรยากาศที่เหมือนจะคลี่คลายไปในทางที่ดี จะกลับไปเป็นอย่างเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าอีก
ทันใดนั้นเสียงเรียกเข้าของอุปกรณ์สื่อสารก็ดังขึ้นคล้ายเป็นใจ ทำให้ความอึดอัดจางลงเล็กน้อย วิชชุ์วิธูอดนึกขอบคุณผู้ที่ติดต่อเข้ามาถูกจังหวะถูกเวลาไม่ได้
"ครับ ... พ่อ"
องก์อัมพุทนิ่งฟังการสนทนาระหว่างวิชชุ์วิธูกับปลายสาย ที่เธอมั่นใจจากการเรียกของเขาว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณลุงพฤหัส แต่พอได้ยินเขาเอ่ยถามถึงคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดใน เธอก็เงยหน้าเหลียวมาทางคนคุยโทรศัพท์ด้วยความอยากรู้ทันที
"เกรซเป็นยังไงบ้างครับ ..."
หญิงสาวไม่ทราบว่าพฤหัสตอบกลับมาว่าอย่างไร แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของ 'พี่วิชชุ์' แล้ว ตรีวธูน่าจะไม่เป็นอะไรมากจากอุบัติเหตุ ที่ทำให้งานฉลองวันคล้ายวันเกิดต้องล่มไป
"ครับ ... ได้ครับ ... พ่อไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ .. ครับ แล้วเจอกันที่บ้านนะครับ"
"คุณลุงหรือเปล่าคะ ... แล้วน้องเกรซเป็นยังไงบ้าง"
วิชชุ์วิธูระบายยิ้มอ่อนหลังจากตัดสัญญาณโทรศัพท์ แล้ววางมันไว้ตรงช่องว่างบริเวณคอนโซลรถยนต์ และเมื่อดูทางเบื้องหน้าจนมั่นใจในความปลอดภัยหากจะหันมายังคนถาม เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำเช่นนั้น
"ครับ ... เย็บไป ๕ เข็ม ตอนนี้เลยแวะห้างแถวราชบุรี พากันไปปลอบขวัญชดเชยให้น่ะ"
"เฮ้อ ... ดีจัง แต่ก็คงเจ็บมากเย็บหลายเข็มแบบนั้น"
ชายหนุ่มอมยิ้มกับกิริยายกมือขึ้นทาบอกแล้วถอนหายใจขององก์อัมพุท บอกได้ชัดเจนว่าเธอโล่งใจจริงๆกับสิ่งที่ได้รับรู้ว่า ตรีวธูปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างดี
"ฟังจากพ่อว่า เกรซร้องไห้แค่แรกๆคงจะเพราะเจ็บและตกใจ แต่พอบอกว่าจะตามใจทุกอย่าง เลยยิ้มออก ... อ้อนให้นายรุจน์พาไปกินไอศกรีม"
องก์อัมพุทจดจ่อตั้งใจฟังที่วิชชุ์วิธูเล่าจนกระทั่งพูดถึง 'รวิรุจน์' ความงุนงงสงสัยเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ของผู้ชายสองคน ก็ย้อนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง และมันคงเด่นหราบนใบหน้า จนชายหนุ่มเป็นฝ่ายเฉลยออกมาเอง
"ไม่ต้องแปลกใจหรอกหนูพุด ... พี่กับนายรุจน์ เราเป็นพี่น้องคลานตามกันมา"
"แต่ถ้าพุดจำไม่ผิด พี่วิชชุ์นามสกุล 'นภมณฑล' ไม่ใช่หรือคะ แต่คุณรุจน์น่ะ 'เธียรทวีป'"
อดีตอาจารย์ห้องสมุดคืนมุมปากที่กำลังเผยอยกแทบไม่ทัน ฟังทีแรกก็ออกจะปลื้มไม่น้อยที่อดีตลูกศิษย์ยังจดจำชื่อสกุลของเขาได้ แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน ซึ่งถ้าหากเธอจะหลงลืมไปแล้วก็คงกล่าวโทษไม่ได้
แต่ที่ทำให้วิชชุ์วิธูขมวดคิ้วนึกขุ่นขึ้นมา ก็มาจากที่ได้ยินสิ่งที่บอกให้เข้าใจได้ว่า องก์อัมพุทรู้จักกับน้องชายของเขาเป็นอย่างดี
"หนูพุดรู้จักนายรุจน์?"
"ค่ะ ... ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่ามันจะบังเอิญขนาดนี้ .."
ยิ่งฟังชายหนุ่มก็ยิ่งขัดเคืองแปลกๆอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็ยังรอให้คนเล่าเล่าให้จบเสียก่อน
"คุณรุจน์เป็นเจ้านายของพุดค่ะ ... ก่อนที่จะได้มาพบพี่วิชชุ์ ... อีกครั้ง"
"แต่พี่ว่า ... ถ้าจำไม่ผิดพี่รู้จักกับหนูพุดก่อนนายรุจน์นะ"
องก์อัมพุทเลิกคิ้วงงงันกับน้ำเสียงแปร่งๆ คล้ายกับว่าวิชชุ์วิธูกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง จนทำให้ลืมคิดถึงข้อเท็จจริงในประเด็นที่เริ่มต้นจากตัวเขาเอง
"เอ่อ ... พี่วิชชุ์ ทำไมต้องทำเสียงจริงจังขนาดนั้นล่ะคะ ..."
หญิงสาวทักท้วงเสียงอ่อนคิดว่า เธอพูดอะไรที่ผิดหูคนฟังหรือเปล่า และเพราะเกรงจะเกิดความเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายให้เขาฟัง
“พุดเป็นลูกน้องคุณรุจน์ได้ ๓ ปีกว่าแล้วค่ะ แล้วก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คุณรุจน์มีพี่น้องด้วย ... แต่ก็นั่นล่ะค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัว พุดไปทำงานไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ”
ถ้าองก์อัมพุทตาไม่ฝาด เธอว่าเธอเห็นมุมปากของวิชชุ์วิธูยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังอมยิ้ม ... ราวกับสมใจอะไรอย่างนั้น
“นายรุจน์คงไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวไปปนกับงาน แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเท่าไหร่”
“ถ้าพุดรู้แต่แรก ... เอ่อ เปล่าๆ ไม่มีอะไรค่ะ”
องก์อัมพุทพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่วิชชุ์วิธูบอก จนเผลอเปรยเบาๆตามความคิด แต่ก็รู้ตัวก่อนจะพูดจบเพราะหันมาสบตาอยากรู้ของชายหนุ่มโดยบังเอิญ จึงปฏิเสธเขาพัลวัน
“ถ้ารู้แต่แรกหนูพุดจะทำไม ... ไหนบอกพี่ซิ”
เสียงนุ่มๆอ่อนโยนน่าฟังเอ่ยถามอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทำเอาคนถูกถามต้องเบือนสายตาไปอีกทางอย่างขัดเขิน กระทั่งเพิ่งรู้สึกตัวว่า รถยนต์อเนกประสงค์ที่เธอนั่งมา กำลังจอดเทียบหน้าคลินิกรักษาสัตว์พอดี
“ถึงคลินิกแล้ว ... เรารีบไปรับเจ้าจันกันเถอะค่ะ พุดคิดถึงมันจะแย่แล้ว”
วิชชุ์วิธูเกือบหลุดหัวเราะกับกิริยาหลบเลี่ยงน่ารักน่าเอ็นดูนั้น ชายหนุ่มปลดล็อกและปล่อยให้องก์อัมพุทลงจากรถไปก่อน เพราะเข้าใจอะไรได้หลายอย่างจากปฏิกิริยาของเธอที่แสดงออกมา
เขาไม่จำเป็นต้องเซ้าซี้ให้เธอรำคาญใจ เพื่อให้ได้คำตอบในทันที
เวลายังมีอีกมากนับจากนี้เป็นต้นไป
หลังจากรวิรุจน์พาน้องสาวต่างมารดาที่ประสบอุบัติเหตุไปโรงพยาบาล พอถึงมือหมอก็ได้รับการรักษาดูแลทำแผลอย่างดี เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย จึงพาตรีวธูมาเลี้ยงปลอบขวัญที่ร้านไอศกรีม ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งระหว่างเดินทางกลับ
แต่เพราะไม่สามารถฝืนใจตัวเองให้ร่วมรับรู้เป็นพยาน ท่ามกลางบรรยากาศครอบครัวสุขสันต์ของบิดาได้ เขาจึงปลีกตัวออกมาข้างนอกกับข้ออ้างง่ายๆ หากมันก็ทำร้ายใจคนที่ได้ยินไม่น้อยว่า อยากสูดอากาศที่มันบริสุทธิ์กว่าอยู่ตรงนี้
แม้ว่าเขาจะห่วงใยตรีวธูด้วยใจจริง แต่ความรังเกียจในตัวปารตียังคงหนักแน่นไม่เสื่อมคลาย ต่อให้ได้เห็นกับตาแล้วว่า อย่างน้อยผู้หญิงคนนี้ก็มีสิ่งที่ดีอยู่เหมือนกัน
ทว่า อคติในใจยังคงบงการ ไม่ให้ความดีในฐานะ ‘ความเป็นแม่’ ที่มีส่วนคล้ายคลึงกันกับแหวนวงมาละลายความชิงชังให้จางหายได้
ยิ่งในฐานะ ‘เมียอีกคนของพ่อ’ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
รวิรุจน์เดินมาได้ไม่ไกลนักก็รู้สึกถึงแรงสะเทือนจากในกระเป๋ากางเกง ชายหนุ่มจึงล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แล้วยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ
“ว่าไงอัญ ... คิดถึงเรารึไงถึงโทร.มาได้”
“จ้า พ่อคุณพ่อเพื่อนรัก รู้ไหมตอนนี้เราอยู่ที่ไหน”
“อ้าว เราจะรู้ได้ไงล่ะ ... แล้วอยู่ที่ไหน”
รวิรุจน์ถามอย่างอยากรู้เพราะเขาขี้เกียจเสียเวลามาเล่น ๒๐ คำถาม แม้ใจหนึ่งจะคิดว่า มีเพื่อนคุยยังดีกว่าเดินเตร็ดเตร่รอพฤหัสอย่างเดียวอีกหลายนาที
“อยู่บ้านรุจน์”
“เฮ้ย มาได้ไง”
การอุทานเสียงดังในห้างสรรพสินค้า ย่อมตกเป็นเป้าสายตาและความสนใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มันก็ไม่เท่าคำตอบของช่ออัญชันที่รวิรุจน์ถึงกับกระแอมกระไอขึ้นมา
“แรงคิดถึง”
“พอๆ ไม่ตลกนะ คนยิ่งเครียดๆอยู่”
“งั้นก็รีบกลับสิ รอแก้เครียดให้”
รวิรุจน์จับน้ำเสียงของช่ออัญชันได้ว่า เธอกำลังสนุกกับการไล่ต้อนเขาด้วยคำพูดชวนคิด ... ชวนให้ แล้วแต่จะคิด
“แน๊ะๆ ... คิดอะไรอยู่ เรามีอุปกรณ์นวดแก้เครียดดีไซน์เก๋ๆมาฝากแม่แหวนต่างหาก รุจน์เครียดก็ใช้ได้นะ ... เออ แล้วจะมาถึงบ้านกี่โมง แต่ถ้าไม่กลับก็ไม่เป็นไรนะ วันนี้แม่แหวนจะดูแลเราเอง”
“มีอะไรหรือเปล่าอัญ ... ค่ำๆโน่นแหล่ะคงถึงบ้าน ไว้ค่อยคุยกัน”
หากคนอื่นได้ยินบทสนทนาอาจจะคิดว่า ช่ออัญชันเป็นหญิงสาวอารมณ์ดี เฮฮาขำขันไปได้เรื่อยๆ แต่รวิรุจน์กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะอาการสนุกจนล้นเหลือ กับแวะมาหาเขาถึงบ้าน มาขลุกอยู่กับแหวนวงมารดาของเขากะทันหัน เป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่า เพื่อนสาวคนนี้กำลังประสบปัญหา
“ก็ได้”
รวิรุจน์ถอนใจกับการรับปากสั้นๆ แต่เจืออารมณ์เหงาๆว้าเหว่อย่างปิดไม่มิด คิดๆดูคงมีสาเหตุมาจากเรื่องที่คุยกันคราวนั้น ... เรื่องอยากจะกลับไปทบทวนความสัมพันธ์ที่ช่ออัญชันทอดทิ้งไปเอง
เป็นครั้งแรกที่เภตรายอมให้เมฆพัดบุกมาถึงเขตพื้นที่หวงห้ามของเธอ หลังจากโต้เถียงกันไปมาตั้งแต่พ้นแยกไฟแดง ต้นเหตุแรกเริ่มของการจุดชนวน เพราะคำพูดสื่อสารส่อความนัยเจ้าปัญหา
กระทั่งรถดอดจ์สีดำทะมึนขับเคลื่อนมาชะลอ และจอดนิ่งก่อนดับเครื่องยนต์ที่หน้าบ้าน
หญิงสาวอดขว้างค้อนใส่คนที่นั่งข้างๆไม่ได้ ยิ่งท่าทางราวกับนักสำรวจ มองสอดส่องนั่นนี่ผ่านรั้วไปยังสวนและตัวบ้าน ยิ่งทำให้เธอ ... หมั่นไส้นักหนา
“พี่พัด ... มองหาอะไรคะ บ้านเภาไม่มีใครอยู่หรอก”
“นั่นสิ ... พี่ก็ว่างั้น แล้วทำไมไม่ยอมให้พี่มา”
“จะบ้าเหรอพี่พัด ... จะให้เภาพาผู้ชายเข้าบ้าน คิดได้ยังไง ..”
เภตราเพิ่งคิดได้ว่าเสียรู้เมฆพัดอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาแพรวพราวกับอมยิ้มกรุ้มกริ่ม เธอก็คงไม่ทันเฉลียวใจว่ากำลังพูดอะไรเข้าเนื้อตัวเอง
แต่ที่เจ็บใจจนอยากจะทุบคนลอยหน้าลอยตาชมบ้านจากภายนอก ก็เพราะคำพูดของเขาต่างหาก
“เอ๊ะ ... พี่บอกตอนไหน เรื่องพาผู้ชายเข้าบ้าน ... หรือเภาก็คิด เหมือนที่พี่คิด”
“โอ๊ย พี่พัด เภาไม่คุยด้วยแล้ว ... นั่งอยู่ในรถนี่ล่ะ เภาจะไปบ้านลุงหัส”
“เดี๋ยว ... บ้านใคร จะไปทำไม”
เมฆพัดขมวดคิ้วตีหน้าเข้มถามเสียงขรึม จนเภตราตั้งรับแทบไม่ทัน จากท่าทางขี้เล่นกลายเป็นดุดัน ออกอาการหวงเต็มขั้น
พอหญิงสาวตั้งสติได้ก็บอกด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว เพราะเริ่มโมโหกับความไร้เหตุผลของชายหนุ่มบ้างแล้ว
“ลุงหัสค่ะ ... บ้านหลังติดกันนี่ไง ... ก็อยู่ดีๆมีคนบ้ามาฉุด กระเป๋าข้าวของไม่ทันได้หยิบติดตัวสักอย่าง ... กุญแจบ้านมันก็อยู่ในกระเป๋า ไม่มีกุญแจจะเข้าบ้านได้ยังไง”
“ไม่ได้ว่าอะไรนี่ ... แค่นี้ต้องดุด้วย ว่าแต่ที่บ้านลุงหัสคนนี้ใช่ไหม ที่พาเภากับพุดไปทะเล”
“ค่ะ ... วันนี้เป็นวันเกิดลูกสาวคนเล็กของแก ก็ไปกันหมดทั้งครอบครัวนั่นล่ะ แต่พอดีเกิดเรื่องเสียก่อน แถมตอนกำลังจะกลับยังเกิดเรื่องซ้ำอีก”
คราวนี้เภตราไม่ใช่แค่อยากจะส่งค้อน แต่เธอถึงกับชักมือที่กำลังจะเปิดประตูลงจากรถกลับ หันมาถลึงตาดุใส่เมฆพัด ต่อว่าให้รู้ตัวว่าเขาทำอะไรลงไป ไม่สนใจเสียงออดอ่อยเมื่อครู่
หนุ่มนักวิจัยไม้พะยูงหน้าเสีย แต่พอฉุกคิดได้ว่าตอนที่ไปถึงหาด เขาไม่พบใครที่บอกให้รู้ว่า มากันเป็นครอบครัวเสียหน่อย มีแต่เภตรา องก์อัมพุท และผู้ชายอีกคนที่ชื่อ ... ชื่ออะไรวะ เรียกยากชะมัด
“แล้วผู้ชายที่บอกว่าเคยเป็นอาจารย์นั่นล่ะ”
“คุณวิชชุ์เป็นลูกชายลุงหัส ... เคยเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนของเภา แต่ตอนนี้ ... พอละ เภาไม่พูดดีกว่า”
เภตราบอกเกือบทุกอย่างให้เมฆพัดรู้ หากยั้งไว้บางเรื่อง ... ที่เกี่ยวกับองก์อัมพุทกับวิชชุ์วิธู
ดูเหมือนเมฆพัดจะพอใจที่ได้ทราบข้อมูล ความใจร้อนไม่เข้าเรื่องเกือบจะทำให้เขาทำสิ่งที่ไม่เข้าท่า แต่ก็ยังไม่วายติดใจสงสัยเรื่องว่าที่คู่หมั้นคู่หมายของเภตราอยู่ดี
“คุยกันมาตั้งนาน ... เมื่อไหร่เภาจะบอกพี่ เรื่องคู่หมั้นคู่หมาย ... หรือต้องรอให้ถึงวันที่พี่รู้ว่ามันเป็นใคร แล้วพังงานก่อนจะพลั้งมือฆ่าคน”
“ถ้าเภาบอกพี่พัด ... พี่พัดจะเชื่อเภาไหมล่ะคะ”
ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลท่องนทีมีท่าทีอ่อนอกอ่อนใจอย่างเห็นได้ชัด ปล่อยตัวให้หลังพิงเบาะเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง จนชายหนุ่มรู้สึกผิดเมื่อรับรู้ได้ว่า มันเป็นปัญหาหนักอึ้งสำหรับเภตราที่ต้องเผชิญหน้าเพียงลำพัง
หญิงสาวเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร ก็เล่าออกไปเสียงเนือยๆ เป็นการระบายความอัดอั้นให้เขารับรู้
“แม่เภาจัดการทุกอย่างโดยไม่ปรึกษา เภาเพิ่งรู้ไม่นานนี้เองสักเดือนสองเดือนมั้ง ... ไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้ากันด้วยซ้ำ”
เภตรากัดริมฝีปากเมื่อนึกได้ว่า ความจริงเธอเคยเห็นหน้าและทราบชื่อของว่าที่คู่หมาย ผ่านรูปถ่ายบนใบสมัครงานในตำแหน่งคุณครูอนุบาล ซึ่งพักตราเป็นผู้ดำเนินการและจัดส่งให้
และไม่รู้จะด้วยโชคชะตาหรือฟ้าบันดาล วันนี้เองที่เธอได้เจอมัตติก์ด้วยความบังเอิญ
ด้วยรูปลักษณ์ชวนมองของชายหนุ่มเรือนร่างสูงเพรียวสะโอดสะอง หน้าตาท่วงทีติดจะสำอางในความรู้สึกด้วยซ้ำ การแต่งตัวแม้จะลำลองก็ยังดูมีรสนิยมเข้าขั้น แต่ที่ทำให้เภตราไม่อาจลืมผู้ชายคนนี้ได้ลงคือ ฝีปากดั่งตะไกร นั่นต่างหาก
ไม่รู้ว่า เธอจะรู้สึกไปเองหรือเปล่านะ ... กับความคิดที่ว่า มัตติก์ ไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาแน่นอน
เภตรานิ่งเงียบจมอยู่ในห้วงคำนึงของตัวเอง จนลืมเมฆพัดที่ทอดสายตามองด้วยความกังวลอีกระลอก ... โดยทั้งคู่ก็ไม่ได้คิดเลยว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ
วันอาทิตย์ที่ใครๆได้หยุดพักผ่อนกำลังจะผ่านไป แต่ทแกล้วก็ยังทำราวกับว่า มันเป็นวันทำงานตามปกติ เพราะเบื้องหน้าของหนุ่มใหญ่วัยสามสิบปลายๆ เต็มไปด้วยเอกสารสำหรับงานวิจัย ไหนจะโปรแกรมไมโครซอฟท์ เอ็กเซลโชว์ตารางบรรจุข้อมูลเป็นตัวเลขมากมาย ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์
พอเบื่อๆทแกล้วก็พักสายตาด้วยการยุบหน้าต่างงานลง สิ่งที่ได้เห็นคือข่าวการมอบทุนวิจัยให้โครงการฟื้นพันธุ์ไม้พะยูง แต่มันกลับไม่อาจดึงความสนใจของเขา ได้เท่ากับชื่อตัวแทนผู้บริหารของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นเจ้าของทุน
ความเคร่งเครียดก่อตัวทีละน้อย จนทแกล้วต้องลุกจากที่นั่ง เขาไม่ลืมคว้าซองบุหรี่กับไฟแช็ค และโทรศัพท์ที่วางซ้อนกันออกไปข้างนอกด้วย
เมื่อก้าวพ้นประตูห้องทำงาน นักวิจัยหนุ่มใหญ่จึงเห็นว่าเป็นเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ ตอนแรกคิดแค่ว่าจะออกมาสูบบุหรี่หย่อนอารมณ์ แต่เห็นทีควรจะกลับที่พักไปเลยดีกว่า
คิดได้ดังนั้นทแกล้วหันกลับเข้ามาข้างในอีกครั้ง เขาเดินปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าในสำนักงานทุกชิ้น เปิดไฟหรี่ทิ้งไว้หนึ่งดวง ก่อนจะล็อคประตูหลังจากสำรวจทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ไม่ทันจะได้ขยับก้าวลงบันไดเสียงโทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้น ทแกล้วก้มลงมองก่อนหัวคิ้วจะขมวดมุ่น เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ชื่อใดชื่อหนึ่งที่บันทึกไว้ มีเพียงหมายเลขแปลกๆของคนที่ติดต่อมาเท่านั้น
หนุ่มใหญ่ลังเลอึดใจทั้งอยากและไม่อยากรับสาย จนมันเงียบเสียง ... และแล้วมันก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เขาตัดสินใจกดรับไม่รีรอ กรอกเสียงที่ถึงจะไม่ห้วนห้าว แต่ก็ราบเรียบเยือกเย็นราวข่มขวัญ เพราะคิดว่าตนเองกำลังถูกก่อกวน
“สวัสดี ... ติดต่ออะไรครับ”
“คุณกล้า”
เพียงเสียงทุ้มกังวานเอ่ยเรียกเท่านี้ เจ้าของชื่อก็จำได้ว่าปลายสายเป็นใคร ถ้าการพูดเมื่อครู่ราบเรียบมากแล้ว คำที่หลุดออกมาหลังจากประมวลความคิดได้ว่า อีกฝ่ายกำลังเล่นตลกอะไรกับเขาอยู่ ด้วยการใช้โทรศัพท์หมายเลขอื่นติดต่อมา ก็เย็นเยียบยิ่งกว่า
“โทร.มาทำไม ... ไม่ได้อยากติดต่อกันแล้วนี่”
“ใครกันแน่ที่คิดแบบนั้น แต่ช่างมันก่อนเถอะ ที่โทร.มาเพราะมีเรื่องอยากถาม”
“อะไร”
ทแกล้วกระชากเสียงถามออกไป ทั้งที่ลึกๆก็ดีใจไม่น้อยที่ปลายสายติดต่อมา แต่ก็ต้องข่มมันเอาไว้ ... เพราะอะไรมีแต่เขาที่รู้
“คุณ ... เราคุยกันดีๆไม่ได้หรือฮะ เหมือนเมื่อก่อน”
น้ำเสียงแผ่วเบาส่อความน้อยใจของอีกฝ่ายมีผลต่อทแกล้วเสมอ จนเขาไม่รู้ว่าการตัดสินใจที่ผ่านมา ... เป็นเรื่องผิดพลาดหรือเปล่า
“มีอะไร ... ดิน”
ถึงจะห้วนสั้น แต่น้ำเสียงที่ใช้เรียกชื่อออกไปก็อ่อนลงไม่น้อย ความพยายามในการปกปิดความรู้สึกพังครืนทันตา ยามนึกถึง ‘เมื่อก่อน’ ตามที่อีกฝ่ายท้วงถาม
“ผมอยากรู้ ...”
เหมือนความคิดลังเลรวมทั้งหวั่นวิตกส่งผ่านมาให้รู้สึก ซึ่งนอกจากปฏิกิริยาเหล่านี้ ทแกล้วยังแน่ใจอีกว่า มีอารมณ์ขุ่นข้องกราดเกรี้ยวเจืออยู่ พร้อมๆกับที่เจ้าตัวกำลังรวมรวมความกล้าเพื่อจะพูดต่อให้จบ ซึ่งเขาก็รอฟังใจจดจ่อ
“วันนี้ คุณเอารถของเรา ... ไปใช้ ... ไปรับผู้หญิงอื่นรึเปล่า”
ทแกล้วยืนนิ่งงงงันไปชั่วขณะ ... ก็ในเมื่อเขาทำงานอยู่ที่ออฟฟิศทั้งวัน แล้วเขาจะไปรับใครที่ไหนได้ โดยเฉพาะผู้หญิง ... ด้วยรถที่ผูกพันทางจิตใจคันนั้น
มัตติก์เอาเรื่องไร้สาระอะไรมาพูดกับเขากัน!
**************************************************************
โปรดติดตามตอนต่อไป ...
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม .. และขอขอบคุณสำหรับกำลังใจที่มอบให้ฮะ
คุณkaelek .. อิอิ ... กลิ่นแรงเนอะ .. แต่ก็ไม่แน่นะฮะ เพราะเรื่องนี้ซ่อนอะไรต่ออะไรก็เพียบ ..
แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ย. 2558, 02:26:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ย. 2558, 02:26:20 น.
จำนวนการเข้าชม : 1272
<< บทที่ ๒๒ .. ความลับ คับอก | บทที่ ๒๔ .. แล้วเราก็พบกัน >> |