ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๒๔ .. แล้วเราก็พบกัน




เมฆพัดถอนใจเฮือกๆอยู่หลายหน นับแต่ออกจากบ้านเภตราพร้อมกับองก์อัมพุท แม้สมาธิจะจำเป็นในการขับรถ แต่เขาก็เหลือบมองผู้โดยสารเบาะข้างๆบ่อยครั้ง และเห็นว่าน้องสาวเอาแต่เมินหน้าหนี มองข้างทางตลอดหลายนาทีจนใกล้จะถึงบ้านของพวกตน

ชายหนุ่มรู้ดี ... เธอคงไม่อยากพูดจาใดๆในตอนนี้ อาการมึนตึงเฉยชาทำให้เขาอดใจหายไม่ได้กับระยะห่างระหว่างพี่น้อง ... แต่มันก็เกิดขึ้นจากการกระทำของเขาเป็นต้นเหตุ

คนเป็นพี่ชายได้แต่คอยสังเกตสีหน้าน้องสาว ตราบเท่าที่เธอยังไม่มีทีท่าจะหันมา เขาก็ไม่อาจเรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้ได้ ดีแค่ไหนที่องก์อัมพุทยอมให้ขับรถกลับมาบ้านด้วยกัน

หนุ่มนักวิจัยนึกสงสารและเห็นใจเภตรามากกว่าตัวเอง แต่คงไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวโทษสิ่งใด นอกจากหาทางทำความเข้าใจกับคนที่อยู่ด้วยกันเสียก่อน

"เงี้ยวววว"

เสียงร้องแทรกกลางอากาศทำลายความเงียบ และมันมีอิทธิพลมากพอ ขนาดที่ว่า องก์อัมพุทหันขวับมาทันใด ก่อนจะเอี้ยวตัวผ่านช่องว่างไปยังตะกร้า เพื่อถามไถ่ด้วยความห่วงใย

"เจ้าจัน เป็นยังไง ... อีกแป๊บเดียวก็ถึงบ้านเราแล้ว ..."

เมฆพัดแอบมองอยู่พอดีทันเห็นอาการเม้มปากหลังจบประโยค แค่นี้เขาก็เข้าใจความคิดน้องสาวแล้วว่า อารมณ์ขุ่นข้องน้อยใจ ส่งผลให้นำเรื่องไม่เป็นเรื่องมาผูกโยงกันจนได้

เพราะคำว่า 'บ้านเรา' ซึ่งในความเป็นจริงมีชื่อเมฆพัดเป็นเจ้าของ มันยิ่งก่อปฏิกิริยาแปลกแยกจนเห็นได้ชัดเจน

"ทีกับแมวนะพูดดีๆได้ ทีกับพี่ทำไมไม่ให้โอกาสพูดบ้าง ... พุด"

คำพูดตัดพ้อของพี่ชายส่งผลให้คนฟังชะงักมือที่กำลังจะแตะตะกร้าใส่แมวน้อย ดึงตัวกลับเข้าที่นั่งเช่นเดิม แต่คราวนี้เธอไม่ได้แกล้งทำเมินอีกต่อไป

"พี่พัดมีโอกาสตั้งมาก แล้วทำไมไม่คิดใช้โอกาสก่อนหน้านี้ล่ะคะ"

"ไม่ใช่พี่ไม่อยากพูด ไม่อยากบอก ... แต่ว่า ..."

เมฆพัดเองก็พูดไม่ออกเหมือนกัน ว่าเภตราขอให้ปกปิดความสัมพันธ์เอาไว้ก่อน ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไม ทั้งที่ทั้งสองคนก็สนิทสนมกลมเกลียวกันมาเนิ่นนาน

"แต่อะไรคะ ... เรื่องที่เภาชอบพี่มาตั้งแต่สมัยก่อน พุดก็รู้แล้วก็เชียร์มาตลอด เรื่องที่พี่พัดหักอกเภา ... เภาก็มาเล่า มาร้องห่มร้องไห้ปลอบใจกันอยู่นานสองนาน แล้วนี่อะไร พี่พัดทำเหมือนกับต้องลักกินขโมยกิน บอกใครไม่ได้แม้แต่กับน้อง ... เภาก็เหมือนกัน พุดมีอะไรพุดก็บอกหมด ... สุดท้ายพุดคือคนที่ไว้ใจเพื่อนกลับต้องเป็นคนโง่เง่าอย่างนั้นเหรอคะ"

ความในใจยืดยาวที่ระบายออกมาให้ได้รับรู้ ทำเอาพี่ชายคนเดียวของเธอถึงกับงันไป โดยเฉพาะคำว่า 'ลักกินขโมยกิน' มันทำให้ยอกแสยงใจเหลือเกิน

นักวิจัยไม้พะยูงพยายามควบคุมอารมณ์เมื่ออีกฝ่ายไม่สามารถทำได้ ส่วนหนึ่งเขายอมรับว่าใจอ่อนไปกับคำโน้มน้าวของเภตรา คนไร้พันธะสองคนกลับมาพบกันอีกครั้ง มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ... ด้วยความรัก

ความรัก ... ที่เขามั่นใจเต็มเปี่ยมว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาจากความรู้สึกนี้แต่แรก แล้วทำไมมันถึงได้กลับกลายเป็นเรื่องสลับซับซ้อนไปได้

แต่การที่จะให้เมฆพัดโยนคำถามขององก์อัมพุท ให้เภตราเป็นคนตอบนั้น เขาทำไม่ได้แน่ๆ ... แค่นี้ก็เหมือนเป็นการเอาเปรียบกันมากไป จนเขาอึดอัดอั้นอั้นไปหมด

เรื่องของเขา ... เขาต้องจัดการด้วยตัวเอง

"พวกพี่อาจจะผิด ที่ไม่บอกพุดแต่แรก ... แต่เชื่อพี่เถอะนะ ไม่มีใครมองพุด หรือคิดแบบนั้นกับพุด ... ยิ่งตอนนี้ พวกพี่มีแต่ความรู้สึกเสียใจ ... ที่ไม่ทันได้บอกพุดก่อน"

"เสียใจหรือคะ ... มันยากเย็นอะไรนักหนากับการบอกน้องว่า พี่ชายกับเพื่อนคบกัน แค่นี้เอง ..."

ชายหนุ่มพยายามมีสมาธิกับการควบคุมพวงมาลัย ระมัดระวังการขับขี่ที่ยวดยานขาเข้าเมืองหลวงคับคั่งขึ้นทุกขณะ เนื่องจากการจราจรขาเข้าในวันอาทิตย์ เริ่มแน่นขนัดเพราะคนที่ออกไปพักผ่อนต่างจังหวัด ทยอยกลับเข้ามาเช่นเดียวกัน

เมฆพัดขบกรามแน่นจนแต้มกับคำย้อนถามขององก์อัมพุท บางที ... คำถามนี้เขาคงต้องเก็บเอาไปฝากเภตราด้วยอีกคน



องก์อัมพุทลงจากรถมาเปิดประตูรั้ว การได้พูดได้ระบายความอึดอัดคับข้องทำให้รู้สึกโล่งในอกขึ้นบ้าง ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีคำตอบที่กระจ่างจากเมฆพัด แต่อย่างน้อยการที่เธอหมั่นนึกถึงคำเตือนและกำลังใจจากวิชชุ์วิธู ก็ทำให้เรื่องราวไม่ได้เลวร้ายลงไปกว่านี้

'หนูพุด ... พี่รู้ว่าหนูพุดรู้สึกอย่างไร แต่การตีโพยตีพายไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น พี่คิดว่า หนูพุดลองใจเย็นๆ รอฟังเหตุผลจากพวกเขาดูก่อน ถ้ามันเกินจะรับไหว หนู้พุดจะโกรธ จะไม่พอใจมากขึ้นกว่านี้ก็ยังไม่สายหรอก'

นึกๆไปก็อดยิ้มกับคำปลอบประโลมนั้นไม่ได้ 'พี่วิชชุ์' ไม่ได้ห้ามไม่ให้โกรธ แค่ถ่วงเวลาและอารมณ์ของ 'หนูพุด' ออกไปอีกนิด ซึ่งมันทำให้เธอคล้อยตามเขาได้ไม่ยาก และช่วยให้เธอเย็นลงจากความเดือดดาลอย่างน่าอัศจรรย์

และจากที่ได้ฟังคำอธิบายของพี่ชาย พอใช้ความคิดกับสติที่มันคอยจะวูบวาบพิจารณาก็เห็นว่า เมฆพัดรับผิดเพียงเรื่องที่ไม่ได้บอก แต่ละเว้นสาเหตุเอาไว้ราวกับพยายามปกป้องอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเภตราอยู่

เพื่อนของเธอ ... คิดอะไรกันแน่

หญิงสาวส่ายศีรษะขับไล่ความฟุ้งซ่าน ... ให้อย่างไร เธอก็คงทำใจให้หายโกรธในเร็ววันไม่ได้จริงๆ

องก์อัมพุทเดินผ่านประตูรั้วมาหยุดยืนหน้าบ้าน ปล่อยให้เมฆพัดขับเคลื่อนรถยนต์สีครามหม่นของเธอ กระทั่งเข้ามาจอดเรียบร้อย ก่อนก้าวมาเปิดประตูรถอีกครั้ง เพื่อหยิบกระเป๋าส่วนตัวมาล้วงหากุญแจบ้าน

"พุด ... ถ้าจะโกรธพี่ พี่ก็ยอมรับ ... แต่ขอร้องอย่าคิดอะไรแย่ๆแบบที่บอกอีกนะ พุดเป็นน้องของพี่ เป็นครอบครัวที่มีกันอยู่แค่นี้ อย่าให้ความโกรธมันกัดกินจนถึงกับเกลียดพี่ ... เกลียดเพื่อนเลย"

"ขอเวลาพุดบ้างเถอะค่ะ ... พุดสับสนไปหมดแล้ว"

หญิงสาวหยิบกุญแจบ้านได้ก็คว้าตะกร้าเจ้าแมวน้อยออกมาด้วย เธอเดินลิ่วๆไปจนถึงประตูหน้าบ้าน ไขกุญแจอย่างว่องไวทั้งที่แขนก็คล้องหูตะกร้าใส่ 'เจ้าจัน' อยู่ จนเปิดประตูบ้านได้ก็ก้าวผลุบหายเข้าไปทันที

"พุด ... พรุ่งนี้เช้าพี่จะขับรถไปส่งพุดที่ทำงานนะ ..."

องก์อัมพุทแว่วเสียงบอกเอาใจ เธอรู้ว่า นั่นเป็นการงอนง้ออย่างที่สุดของพี่ชายอย่างเมฆพัดแล้ว และมันก็ยังทำให้จินตนาการไปอีกว่า เมฆพัดทำอย่างไรหนอ ถึงได้ง้อให้เภตรากลับมาหาเขาได้ หลังจากที่ทำให้เพื่อนรักของเธอเสียใจแทบเป็นแทบตาย

หญิงสาวครุ่นคิดครู่เดียวก็หน้าตึงขึ้นมาอีก เมื่อคิดไปว่า ... หรือเภตราจะแกล้งมาปั่นหัวพี่ชายของเธอ เป็นการแก้เผ็ดที่ทำให้อกหักรักสลาย

"โอ๊ย ... ฟุ้งซ่านไปใหญ่แล้ว ... ฉันยังโกรธแกอยู่นะเภา ... ใช่ไหม เจ้าจัน"

"เงี้ยววว"

เจ้าตัวน้อยหน้าขนในตะกร้าขานรับราวรู้ความ แต่ก็แค่นั้นเมื่อมันใช้ลิ้นสีชมพูไล้เลียอุ้งเท้าหน้า ก่อนย้ายตำแหน่งไปเลียขนสั้นๆที่พองฟูให้ราบเรียบประหนึ่งกำลังอาบน้ำทำความสะอาดตัวเอง

"แต่พี่วิชชุ์ ... ให้ฉันพยายามตั้งสติ ค่อยๆคิดค่อยๆฟัง ... เจ้าจันว่า ฉันควรจะเชื่อพี่วิชชุ์ใช่ไหม"

องก์อัมพุทเห็นเจ้าจันขยับหัวหงึกหงักเหมือนมันผงกหน้าเห็นด้วย ก็ยิ้มออกมาได้ อย่างน้อย ในยามเกิดปัญหา เธอก็ยังมีคนที่คอยเคียงข้างและให้กำลังใจ จนกว่าจะเข้มแข็งพอให้ก้าวผ่านมันไปได้




เมื่อวานเมฆพัดจำต้องฝากรถดอดจ์สีดำทะมึนไว้ที่บ้านเภตรา แล้วขับรถขององก์อัมพุทกลับ โดยให้เหตุผลกับเภตราว่า ขอให้เขาได้ปรับความเข้าใจกันประสาพี่น้องก่อน และเมื่อองก์อัมพุทเข้าใจดีแล้วก็คงจะหายโกรธเธอไปด้วย

ที่สำคัญ มันยังทำให้เมฆพัดมีโอกาสได้เข้าบ้านของเภตราจริงๆเสียที ... เขาจึงยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน กลับทันทีที่รถตู้อเนกประสงค์ของวิชชุ์วิธูมาถึงบ้านของเขาในเวลาไล่เลี่ยกัน

เช้านี้ชายหนุ่มตั้งใจว่า เมื่อส่งน้องสาวแล้วก็จะย้อนกลับไปหาเภตรา รับรถที่ฝากไว้ ... แต่อาจจะต้องมีการพูดคุยกันบ้าง พอให้หายคิดถึง

คิดมาถึงตรงนี้ มุมปากของเมฆพัดก็ยกยิ้มโดยอัตโนมัติ สีหน้าผ่องใสยิ่งกว่าดอกไม้บาน จนองก์อัมพุทมุ่นหัวคิ้วอย่างแปลกใจ

"อารมณ์ดีอะไรคะ ... พุดยังเคืองอยู่นะ"

"ก็นิดหน่อยจ้ะ ... ความจริง พี่โล่งใจนะที่พุดรู้เรื่องนี้เสียที พี่ทนอึดอัดมาตั้งนาน"

เมฆพัดหันมาตอบตามตรง แล้วก็เบือนสายตากลับมามองเส้นทางที่มุ่งหน้ายังอาร์อาร์เอสค้าปลีก ที่ทำงานขององก์อัมพุท เพราะเขาอาสาจะมาส่งตั้งแต่เมื่อวาน

"พิลึกคน ... พุดจะบอกแม่ คนเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ปกกปิดหมกเม็ดมันก็แสดงให้เห็นว่า ไม่มีความจริงใจต่อกันเลย"

"แม่รู้แล้ว"

"ห๊า! แม่ก็รู้ ... อะไรกัน พุดแค่ไม่ได้โทร.หาแม่ไม่กี่วัน ... แม่ยังรู้เรื่องพี่พัดเลยหรือเนี่ย"

พี่ชายมองอาการฉุนเฉียวของน้องสาว อยากจะยิ้มก็เกรงจะถูกหาว่ากำลังซ้ำเติม ครั้นจะเฉยเสียเดี๋ยวก็จะเป็นเรื่องเป็นราวอีก

"ก็ ... เพิ่งรู้เมื่อวานนั่นล่ะ พี่พาเภาไปหาแม่มา ... ไว้พุดกลับไปถามแม่ก็ได้นะ ถ้าไม่เชื่อ"

เมฆพัดรีบออกตัวเมื่อองก์อัมพุทตวัดสายตาส่งค้อน เขาไม่รู้ว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า น้องสาวจึงจ้องเขาขนาดนั้น

"ช่างเถอะ ... เปิดตัวกันแล้วนี่ พุดจะไม่ยุ่ง ไม่ก้าวก่ายเรื่องของใคร ... พี่พัดก็หาทางแก้ปัญหาเรื่องหมั้นเรื่องหมายเอาไว้ด้วยก็แล้วกัน"

คำย้ำเตือนของน้องสาวกระตุ้นความรู้สึกให้เดือดพล่านลึกๆ แม้จะไม่แสดงออกโดยตรง แต่การนิ่งเงียบไปเฉยๆ คือคำตอบที่รู้กันระหว่างสองพี่น้องเป็นอย่างดีว่า ผู้เป็นพี่ชายกำลังวางแผนไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งในขณะนี้

"ไม่ต้องห่วงหรอกพุด ... เรื่องนั้น พี่จัดการของพี่แน่ๆ"






รวิรุจน์มาถึงห้องทำงานเร็วกว่าเวลาเดิมเล็กน้อย โดยมีช่ออัญชันติดตามมาด้วย เพราะเมื่อวานกว่าเขาจะกลับถึงบ้านก็เกือบ ๔ ทุ่ม ทำให้ยังไม่ได้พูดคุยกับเพื่อนเป็นกิจจะลักษณะ

ก่อนออกจากบ้านตอนเช้า ช่ออัญชันเอ่ยลาแหวนวงพร้อมกับขอบคุณที่ต้อนรับขับสู้อย่างดี และสัญญาว่าถ้างานไม่ยุ่งก็จะแวะมาเยี่ยมอีก

ชายหนุ่มเข้าใจการกระทำของเพื่อนสาวได้ไม่ยากเลย เขาจึงให้เธอขับรถตามมาถึงบริษัท อย่างน้อยก็ยังสามารถคุยได้สะดวกใจและเป็นส่วนตัวมากกว่าที่บ้าน

“อื้อหือ ... ไม่ยักรู้ว่า เอ็กเซ็กคิวทีฟ มาร์เก็ตติ้งของอาร์อาร์เอส จะเป็นบุคคลพิเศษขนาดนี้”

ช่ออัญชันเอ่ยล้อพลางมองไปรอบห้องทำงานของรวิรุจน์ เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นถูกเลือกและจัดวางอย่างพอเหมาะ เสริมความเป็นนักบริหารให้ยิ่งดูภูมิฐานได้ไม่น้อย

พอกับการได้เห็นเพื่อนสนิทในชุดสูทสากล มันทำให้หญิงสาวต้องยอมรับว่า รวิรุจน์มีบุคลิกภาพดูดีสง่างาม และมาดมั่นน่าเชื่อถืออย่างที่ไม่เคยคิดหรือจินตนาการมาก่อน

“ทำผลงานดี ลูกค้าไม่หนีหาย บริษัทมีกำไร ... หน้าที่ของลูกจ้าง ที่เห็นมันก็แค่ผลต่างตอบแทนน่ะอัญ”

“พูดซะยังกับเป็นแรงงานทาส ... ถ้าหมดประโยชน์เขาจะโละทิ้งอย่างนั้น”

“ธุรกิจมันก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”

เพื่อนสาวฟังแล้วถึงกับเบ้ปากให้เพื่อน ที่บัดนี้สวมวิญญาณผู้บริหารฝ่ายการตลาดเต็มตัว จนรวิรุจน์ต้องหัวเราะกับอากัปกิริยาบอก ‘ความหมั่นไส้’ ของช่ออัญชันต่อเขา

“แล้วไม่มีเลขาฯหน้าแฉล้ม มาคอยดูแลเจ้านายบ้างเหรอรุจน์”

“มี ... เดี๋ยวคงยกกาแฟเข้ามาบริการตามหน้าที่”

ไม่ทันขาดคำเสียงเคาะประตูส่งสัญญาณขออนุญาตดังเป็นจังหวะ ๓ ครั้ง ก่อนเบญจาจะใช้มือข้างหนึ่งผลักเบาๆหลังจากเปิดประตูได้ มืออีกข้างมีถาดใส่กาแฟสำหรับ ๒ ที่และเครื่องชงจำพวกนมสด ครีมเทียม และน้ำตาล

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณรุจน์ ... กาแฟร้อนหอมกรุ่น แต่พี่ไม่ทราบว่า คุณรุจน์มีเพื่อนมาด้วย ไม่งั้นคงเตรียมแซนวิช รึคุ้กกี้ให้ด้วย”

“ไม่เป็นไร ... ขอบคุณพี่เบญนะครับ”

ช่ออัญชันเพียงแต่ส่งยิ้มบางๆให้เมื่อ ‘พี่เบญ’ ที่รวิรุจน์เรียกบรรจงวางถ้วยกาแฟพร้อมจานรองลงตรงหน้า พอๆกับที่บรรจงฉีกยิ้มหวานราวกับได้พบบุคคลสำคัญของเจ้านาย

แต่พอหันมาเสิร์ฟกาแฟทางรวิรุจน์ เบญจาก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้นไปอีก แถมนัยน์ตายังพริบพราวสื่อเป็นนัยว่ารู้ทันชายหนุ่ม

รวิรุจน์ไม่พูดอะไรนอกจากขอบคุณเบาๆอีกครั้ง ความนิ่งขรึมและการวางเฉยของเขา ทำให้เบญจารู้ตัวว่าไม่ควรโอ้เอ้อยู่ที่นี่นานนัก

เลขานุการิณีสาวใหญ่กอดถาดขนาดกลางแนบอก ถอยออกจากห้องทันทีเมื่อภารกิจลุล่วง ตามประสาเลขาฯผู้รู้ใจเจ้านายเป็นอย่างดี

“ร้ายจริงๆ ... เพื่อนเรา อย่างนี้พี่เบญของรุจน์ไม่คิดว่า เราเป็นแฟนกันไปแล้วหรือเนี่ย ดูแกยิ้มแปลกๆนะ”

“ปล่อยแกเถอะ ... คิดอะไรให้คิดไป แต่อย่าเอาไปขยายความก็แล้วกัน”

ช่ออัญชันหัวเราะกับคำขู่ไม่จริงจังนั้น จึงยั่วแหย่ไปตามอารมณ์ขบขันกิริยาอาการของเพื่อน

“ทำไม ... กลัวรู้ไปถึงหูสาวคนนั้นเหรอ”

“อย่าเพิ่งล้อเราเลยอัญ ... พูดขึ้นมาเรายังเจ็บใจไม่หาย ... ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ...”

“อะไร ... เกิดอะไรขึ้น เราแค่แซวรุจน์เองนะ จริงจังไปได้”

ไม่มีคำตอบนอกจากการระบายลมหายใจพรู สีหน้าของรวิรุจน์บอกชัดเจนว่า เบื่อหน่ายและ ... สุดเซ็ง!



“รุจน์ ... เราคิดว่า เราจะลองเริ่มต้นใหม่ ... กับเขา”

หลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง ช่ออัญชันก็เอ่ยขึ้นอย่างคนตัดสินใจได้เด็ดขาด จนรวิรุจน์ต้องหันมาสบตาย้ำถามความแน่ใจ

“ในเมื่อเราเคยเป็นคนเดินเข้าหาเขาก่อน ... แล้วเลือกที่จะเดินจากมาเอง จะแปลกอะไรถ้าเราจะเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปหาเขาอีกครั้ง”

“ไม่กลัวเหรอ”

คำถามของรวิรุจน์เจือความห่วงใยมาสู่ช่ออัญชัน แม้จะรู้ตัวเองดีว่า มีบางส่วนในหัวใจหวั่นไหวไปกับความรู้สึกนั้น ... แต่มันก็แค่นิดเดียว

“จะต้องกลัวอะไรล่ะรุจน์ ... อย่างมากก็แค่ผิดหวัง แต่ถ้าไม่ลองเราจะรู้เหรอ ... มันยัง ๕๐/๕๐ นะ สมหวังกับผิดหวังเนี่ย”

“เออ ... ถ้าผิดหวังมา เราจะพาไปสุพรรณฯ”

ชายหนุ่มพยายามปลุกปลอบไม่ให้เพื่อนสาวเคร่งเครียดกับความคิด แต่การให้กำลังใจในแบบของเขากลับกลายเป็นมุกฝืดสำหรับเธอ

“รุจน์ไม่ต้องทำมาให้กำลังใจเราหรอก ... บทมันจะผิดหวัง ไปไหนมันก็ช่วยไม่ได้”

ช่ออัญชันเองก็พยายามตลกไปกับเพื่อน ทั้งที่ก็ไม่มั่นใจอย่างที่พูดสักเท่าไหร่เลย




ช่ออัญชันเกรงใจรวิรุจน์หากจะรบกวนจนเกินเวลาทำงานของเพื่อน หญิงสาวจึงเตรียมตัวกลับ เมื่อบรรลุความตั้งใจที่ได้พูดถึงความคิดและการตัดสินใจให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวรับรู้รับฟัง

บางคนอาจคิดว่า เรื่องแค่นี้คุยกันทางโทรศัพท์ก็ได้ แต่สำหรับช่ออัญชัน การได้รับแรงหนุนที่สัมผัสและรู้สึกได้ แม้ความหวังจะริบหรี่มันก็ยังดีกว่าไม่มีใครเข้าใจ

และเหตุที่ช่ออัญชันเชื่อว่ามันริบหรี่ นั่นก็เพราะเธอได้เห็นกับตาในวันที่เลิกรากับเขา ...

ทันทีที่ขานำพาให้ก้าวพ้นจากเคาน์เตอร์บาร์ของคลับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของโรงแรม แต่ยังไม่อาจตัดใจให้จากไปได้ ช่ออัญชันจึงมานั่งปรับใจปรับความรู้สึกบริเวณล็อบบี้ที่ชั้นบน

โดยไม่คาดฝันขณะที่เธอกำลังจะออกจากที่นั่น ก็ทันได้เห็นชายหนุ่มคนที่เธอเพิ่งตัดสัมพันธ์มาเมื่อไม่ถึงชั่วโมง ตระกองกอดกับหญิงสาวคนหนึ่ง ในสภาพที่ไม่น่าเป็นไปได้ว่า อดีตคนรักของเธอจะเมามายจนทรงตัวแทบไม่อยู่ในระยะเวลาอันสั้น

ทว่า ช่ออัญชัน ... เป็นคนอื่นไปแล้ว เธอจึงไม่อาจเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกเขาได้ ... เธอเป็นคนเลือกที่จะออกจากชีวิตของเขาเอง

มีเพียงสายตารื้นหยาดน้ำใสที่ค่อยๆเอ่อคลอ มองชายหนุ่มหญิงสาวก้าวเข้าไปในลิฟท์อย่างทุลักทุเล ซึ่งเธอพอจะเดาได้ว่า มันจะไปสิ้นสุดยังปลายทาง ณ ที่ใด

ช่ออัญชันยังจำความรู้สึกเจ็บปวดในวันนั้นได้ ๓ ปีที่คิดว่าใจจะเป็นปกติ กลับกลายเป็นวันเวลาที่ได้เรียนรู้ชัดเจนแล้วว่า เธอทิ้งสิ่งสำคัญไปอย่างไม่เห็นค่า

แม้จะเลิกรากันไปแต่ทั้งเธอและเขา ก็ยังวนเวียนได้พบเจอกันบ้าง ตามงานประชุมสัมมนาวิชาการที่เขาเป็นตัวแทนมาร่วมงาน จึงทำให้ทราบว่า อดีตคนรักของเธอไม่มีข่าวคราวกับผู้หญิงคนใดให้ได้ยิน

เป็นไปได้ว่า ... ผู้หญิงคนที่เธอเห็น เป็นคนแก้เหงาชั่วคราวของเขา ... เมื่อถูกเธอทอดทิ้งไม่ไยดี



“อัญ ... จะเดินไปถึงไหน รถอยู่นี่”

ช่ออัญชันย้อนคิดถึงวันคืนในอดีตจนเกือบเดินเลยรถของตน จนรวิรุจน์ต้องส่งเสียงเรียกเมื่อเห็นว่าเพื่อนสาวยังไม่หยุดก้าวเท้าเสียที

“หืม ... อ้าว ถึงรถแล้ว โทษที ... มัวคิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“แน่ใจนะ ว่าขับรถกลับโคราชไหว ... ท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย”

“สบายมาก ... ขอบใจรุจน์ ขอบใจที่อยู่ข้างๆเรามาตลอด”

“โธ่เอ๊ย ... เพื่อนกัน แค่นี้เรื่องเล็ก”

ก่อนจะร่ำลาและแยกย้ายกันไป สายตาของช่ออัญชันเห็นว่ามีรถยนต์สีครามหม่น เพิ่งขับเคลื่อนเข้ามาหยุดนิ่งในลานจอด ทำให้เธอเพ่งมองอย่างสนใจ จนทำให้รวิรุจน์ต้องมองตามอีกคน

“คุณพุด”

“ใคร ... ไม่เห็นมี”

รวิรุจน์พยักพเยิดไปทางรถคันที่ช่ออัญชันมองแต่แรก เมื่อเห็นเพื่อนเหลียวหน้าเหลียวหลังแต่ก็หาไม่เจอ

“เป็นเอามาก ... เห็นรถยังกับเห็นไปถึงเจ้าของ”

กระทั่งหญิงสาวที่สันนิษฐานว่า เป็นคนที่รวิรุจน์เอ่ยชื่อก้าวลงจากรถทางฝั่งผู้โดยสาร สีหน้าของผู้บริหารหนุ่มก็เปลี่ยนไปชัดเจน

ช่ออัญชันลอบสังเกตเพื่อนชายแอบยิ้มขันกับความอ่อนไหวทางอารมณ์ ก่อนที่จะหันไปทางเป้าหมายอีกครั้ง เพราะอยากดูหน้าคนที่ทำให้รวิรุจน์อารมณ์แปรปรวนได้ในพริบตา

แต่แล้วดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง เมื่อเห็นบุรุษร่างสูงก้าวลงตามมาอีกคน เขาวิ่งเหยาะๆมาจนทันผู้หญิงร่างแบบบาง ที่คล้ายจะเดินหนีท่าเดียว แล้วจับมือพูดอะไรบางอย่าง ที่ไม่ว่าใครมองก็ดูออกว่า ฝ่ายหญิงนั้นกำลังแสดงอาการเจ้าแง่แสนงอนอย่างชัดเจน

“คุณพุด ... แล้วผู้ชายนั่น ... ใคร”

เสียงแหบโหยของรวิรุจน์ลอยมากระทบโสต จนช่ออัญชันที่ตกอยู่ในอาการไม่ต่างกัน เผลอตอบคำถามด้วยเสียงเบาหวิวโดยไม่รู้ตัว

“คุณพัด ... กับผู้หญิง ...”

ความคิดของแต่ละคนหมุนคว้างพลันพลิกตลบไปมา หากดูจะเป็นช่ออัญชันเสียมากกว่า ที่ความรู้สึกของเธอกำลังจมดิ่งหลังจากลอยละลิ่วด้วยความหวังเปี่ยมล้น เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ก่อนจะมาพบความจริงที่ว่า

อดีตคนรักของเธอ ... เมฆพัด คบหากับผู้หญิงที่ชื่อ พุด ... ตามที่รวิรุจน์เรียก อย่างนั้นหรือ

ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ... หรือ มันเริ่มมาตั้งแต่ ... ที่โรงแรมคืนนั้น?










*************************************************





โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และขอขอบคุณสำหรับกำลังใจฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2558, 15:06:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ย. 2558, 15:06:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1311





<< บทที่ ๒๓ .. ในที่สุดก็ได้รู้   บทที่ ๒๕ .. สิ่งที่คั่งค้าง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account