แกะรอยกามเทพ (รีไรต์)
'เทวานิรมิต' โรงแรมหรูกลางกรุงที่ใครเขาว่างดงามดุจเทวดารังสรรค์
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง

1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต

'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา

'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน

และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ

ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'

fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒



ทิวบุญและบิดาไปถึงโรงพยาบาลแต่เช้า ถึงจะโกรธ ผิดหวัง เสียใจแค่ไหน แต่ผู้ใหญ่บุญรอดก็ยังคงเป็นคนที่ห่วงกังวลถึงความเป็นอยู่ของสมาชิกครอบครัวคนเดิม เมื่อเธอจอดรถยังด้านหลังโรงพยาบาลใกล้ตลาด พ่อก็เดินดุ่มลงไปหาซื้ออาหารอ่อนไปเยี่ยมคนเจ็บทันที

"ซื้อโจ๊กกับปาท่องโก๋ไปให้แม่เรากับน้อง เผื่อมันกินอาหารโรงพยาบาลไม่ได้" ท่านเปรย

หญิงสาวได้แต่ยืนรอ เมื่อเอื้อมมือจะรับถุงจากแม่ค้าก็ถูกพ่อตีมือ

“พ่อถือเอง เดี๋ยวได้เปื้อนถุงเสื้อผ้าแม่เอ็งหรอก” ท่านบุ้ยใบ้มายังถุงกระดาษใส่เสื้อผ้าในมือเธอ

ทิวบุญไหวไหล่ง่ายๆ ก่อนเดินเข้าไปในโรงพยาบาลด้วยกัน เธอเป็นผู้นำท่านไปยังห้องพักบนชั้นเจ็ด ระเบียงทางเดินเงียบซึ่งสงัดสว่างไสวด้วยแสงไฟ ก่อนจะมาหยุดยังห้องที่มีป้ายชื่ออุ้มบุญติดไว้ เธอเห็นพ่อลอบสูดลมหายใจลึกอย่างพยายามสงบสติอารมณ์

เมื่อผลักประตูเข้าไปก็ได้พบกับแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างเตียง นางพยาบาลกำลังวัดไข้และวัดความดันเสร็จแล้วจึงเก็บของออกไป ชายวัยกลางคนก้าวไปยืนข้างเสาน้ำเกลือแทนที่ แกลูบผมบุตรสาวที่มีน้ำตารื้นขึ้นมาอีกครา

"ทำอะไรทำไมไม่ปรึกษาพ่อแม่ฮึอุ้ม ทำร้ายตัวเองทำไม"

คำว่ากล่าวตักเตือนนั้นยิ่งเพิ่มแรงสะอื้นแก่คนที่เพิ่งรู้สึกตัวตื่นก่อนหน้านี้ไม่นาน น้ำตากลายเป็นคำแก้ตัวที่ดีที่สุดของเธอ เมื่ออุ้มบุญไม่มีอะไรจะพูด ไม่รู้จะเริ่มต้นด้วยคำพูดใด

น้ำตาคนเป็นพ่อเป็นแม่รื้นกลบดวงตาอีกรอบ หากฤทัยก็ดึงแขนสามีไว้ ไม่อยากให้ลูกที่เพิ่งรู้สึกตัวต้องกดดันเกินไป เธอปาดน้ำตาอย่างเข้มแข็ง เอ่ยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบประสาคู่ชีวิตที่ไม่เคยห่างกัน

"พ่อกับทิวมาแต่เช้าเลย ยังไม่เจ็ดโมงตรงด้วยซ้ำ นี่แม่เพิ่งล้างหน้าล้างตา"

"ก็กะจะมาให้ทันซื้อข้าวขึ้นมาให้นี่ล่ะ แม่จะได้ไม่ตรงลงไปกินข้างล่าง อยู่เป็นเพื่อนอุ้มมัน"

บุญรอดยอมเปลี่ยนเรื่องตามภรรยาพลางเปิดถุงให้เห็นโจ๊กกับปาท่องโก๋สีทองอร่าม ส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องปรับอากาศ

"ลองเปิดดูในตู้ซิทิว มีจานชามอะไรหรือเปล่า" เขาร้องบอกลูกสาวคนโต พร้อมกับพยักพเยิดไปยังตู้ไม้ซึ่งเป็นชั้นวางตู้เย็นมินิบาร์

ทิวบุญเดินไปเปิดดูอย่างว่าง่าย ในนั้นมีจานชามอย่างละใบกับช้อนส้อมหนึ่งคู่ เธอหยิบไปให้พ่อแกะโจ๊กจากถุงเทใส่ ก่อนท่านจะก้มๆ เงยๆ ราวมองหาบางสิ่งใต้เตียง

"หาที่ปรับเตียงใช่ไหมพ่อ" เธอถามติดประชด

เธอไม่รู้ว่าพ่อแม่จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร พวกท่านจะตระหนักได้หรือยังว่าควรเลิกพะเน้าพะนอเอาใจลูกคนเล็ก แล้วควรถือโอกาสนี้ชี้แนะสิ่งที่ถูกต้องให้แก เธอก็ได้แต่หวัง จะริอ่านบอกพวกท่านก็เกินหน้าที่ลูกของตน

"เออ ใช่ๆ อยู่ไหนวะ"

ทิวบุญกดปุ่มรีโมตอันจิ๋วข้างหัวเตียงแทนคำตอบ ก่อนเตียงไฟฟ้าจะค่อยตั้งฉากขึ้นมาโดยมีแม่ประคองคนเจ็บให้นั่งดีๆ

"พอแล้วทิว เดี๋ยวน้องปวดท้อง" มารดาแสดงความกังวล

หญิงสาวได้แต่ถอยมาเงียบๆ มองภาพพ่อป้อนโจ๊กให้คนป่วย สลับกับที่แม่คอยพูดคุยผ่อนคลายอยู่ข้างน้อง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตนรู้สึกอย่างไร รู้เพียงเหนื่อยแสนเหนื่อย

รู้ตัวอีกทีเธอก็เดินออกมาหาที่สงบๆ อยากพักสักงีบหลังเมื่อคืนนอนไปได้ไม่ถึงสามชั่วโมง แล้วทิวบุญก็นึกถึงห้องเช่าใจกลางเมืองขึ้นมา

......................

คนอดนอนพยายามฝืนเปลือกตาซึ่งหนักอึ้งขับรถไปจนถึงที่หมาย เธอพกคีย์การ์ดและกุญแจห้องพักติดรถไว้อยู่แล้ว เมื่อไปถึงจึงเข้าไปโดยง่าย ทว่าเสียงเรียกอย่างคุ้นเคยจากช่องกระจกซึ่งภายในเป็นสำนักงานของอาคารที่พักแห่งนี้ก็หยุดเธอไว้เสียก่อน

"น้องทิว"

ผู้เรียกเป็นสาวใหญ่ แม่ม่ายทรงเครื่องวัยสี่สิบห้ากะรัตที่เป็นญาติผู้น้องของเจ้าของตึกนี้ แกช่างพูดสมกับเป็นพนักงานต้อนรับ หรืออันที่จริงแกก็เป็นมันทุกตำแหน่งตั้งแต่พนักงานต้อนรับ ทำบัญชี ไปจนกระทั่งเข้าครัวทำอาหารหากแม่ครัวประจำร้านอาหารเกิดหยุดงานขึ้นมา

ทิวบุญเดินไปหาพลางยกมือไหว้สวัสดีผู้ที่อาวุโสกว่า

"สบายดีหรือคะพี่ส้มโอ"

ส้มโอแทบยกมือรับไหว้ไม่ทัน เกือบลืมไปแล้วว่ามีหญิงสาวคนนี้เพียงคนเดียวที่ไหว้เธอทุกครั้งยามเจอหน้า อีกฝ่ายปฏิบัติเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา พอๆ กับสามารถโอบไหล่เธอได้เวลาพูดคุยเฮฮาเรื่องถูกใจ

"พี่สบายดีเหมือนเดิมนั่นแหละ น้องทิว อย่าว่าอย่างนู้นอย่างนี้เลยนะ คือน้องอุ้มน่ะค้างค่าห้องพักมาสองเดือนแล้ว รวมสิ้นเดือนนี้ก็เป็นสามเดือน ถ้าเป็นคนอื่นพี่คงไม่ให้อยู่แล้ว แต่นี่เป็นน้องสาวน้องทิว คนกันเอง"

ทิวบุญแทบไม่เชื่อหู ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อนเลย

"ทิวไม่รู้เลยพี่ ยังไงจะเคลียร์สิ้นเดือนนี้แน่ค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาบอก"

สาวใหญ่ลอบถอนใจพร้อมกับมีรอยยิ้มเห็นใจมาให้

"พี่นึกแล้วว่าน้องทิวต้องเข้าใจ นี่ถุงผลไม้กับถุงกับข้าวที่ตกอยู่หน้าห้องเมื่อวานใช่ของน้องทิวเปล่าจ๊ะ พี่เก็บไว้ให้อยู่"

เธอลืมไปเสียสนิทว่าแม่ให้หิ้วของฝากมากมายมาให้น้อง ตอนที่รู้ข่าวจากผักบุ้ง เพื่อนของอุ้มบุญเมื่อวานก็มัวแต่ห่วงคนมากกว่าของ ตอนนี้ก็ยังห่วง หากเป็นความห่วงใยพร้อมกับความคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะสำนึกและกลับตัว

"ค่ะ แต่ช่างมันเถอะ ทิวขอตัวก่อนนะพี่ส้มโอ" เธอบอกเรียบๆ อย่างฝืนลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว

ทิวบุญเดินจากมาอย่างสะโหลสะเหล เธอไขกุญแจประตูห้องผลักเข้าไป ภายในเป็นห้องพักแบบสตูดิโอ หากกั้นส่วนที่นอนเป็นสัดส่วนด้วยประตูเลื่อนพลาสติกขุ่นที่เธอมักเปิดทิ้งไว้ยามอยู่ลำพัง มีชุดรับแขกเล็กๆ ในส่วนหน้านั้นกับโทรทัศน์ขนาดยี่สิบห้านิ้ว เครื่องเรือนทั้งหลายเป็นของตกแต่งจากอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ สมน้ำสมเนื้อกับค่าเช่ารายเดือนเกือบห้าหลัก

เธอกดเปิดเครื่องปรับอากาศพลางสลัดรองเท้าหลุด แล้วร่างระหงจึงทิ้งตัวนอนลงบนเตียง ก่อนความเย็นจะแผ่กระจายทั่วห้องเล็กนั้นเสียด้วยซ้ำ

............................

ทิวบุญตื่นมาอีกทีเป็นเวลาบ่ายโมง คราวนี้เธอมีสติพอที่จะสำรวจความเป็นอยู่ต่างๆ ของน้องจากข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ภายในห้องพัก แล้วก็พบว่าแทบไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปให้รู้ว่าเจ้าของห้องได้เปลี่ยนมือแล้วเลย นอกจากบนเคาน์เตอร์ในห้องน้ำที่มีครีมบำรุงผิว เครื่องประทินโฉมต่างๆ วางไว้เต็มไปหมด

อุ้มบุญคงใช้ห้องพักแห่งนี้เป็นเพียงที่ซุกหัวนอนเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดผูกพันตัวเจ้าหล่อน ไม่มีแม้กระทั่งตุ๊กตาสักตัว รวมทั้งเบาะแสที่อาจสื่อไปถึงใครสักคนที่อาจเคยเข้ามา

หญิงสาวเปิดประตูตู้เสื้อผ้าทว่าไม่พบเสื้อผ้าผู้ชายดังคิด นอกจากกระเป๋าถือหลายใบชนิดที่หากนำไปขายคงพอจ่ายค่าเช่าห้องซึ่งติดค้างได้ทีเดียว มันบ่งบอกถึงการใช้ชีวิตของน้องได้อย่างดี อุ้มบุญบ้าวัตถุและคงเป็นเหตุผลเดียวกับที่น้องต้องการให้พ่อแม่ปรับปรุงบ้านใหม่

เสียงโทรศัพท์มือถือดึงความสนใจของทิวบุญกลับมา เธอรีบล้วงกระเป๋ากางเกงแต่ก็พบความว่างเปล่า พลอยนึกได้ว่าเธอหยิบมันวางไว้ข้างหมอนก่อนนอนนั่นเอง

ทิวบุญก้าวยาวไปกดรับ ทว่ามือที่กระแทกชนหมอนเลื่อนไปก็เผยให้เห็นสมุดบันทึกปกแข็ง ตกแต่งหน้าปกด้วยตุ๊กตากามเทพน้อยนูนขึ้นมา มันวางแน่นิ่งใต้หมอนหนาที่เธอเพิ่งหนุนนอน หัวใจสาวโลดแรงเมื่อกรอกเสียงตอบกลับปลายสายจากพ่อ และอยากจบบทสนทนานั้นเร็วที่สุด

"อยู่ไหน ทิวเอ๊ย"

"ทิวออกมางีบน่ะพ่อ เดี๋ยวจะไปแล้ว แค่นี้นะจ๊ะ"

เธอเสียมารยาทตัดสาย เพราะตอนนี้สายตาและความสนใจทั้งหมดมุ่งไปที่สมุดเล่มนั้น มือเย็นชืดยื่นออกไปหยิบพร้อมกับนั่งลงบนเตียง เธอเปิดหน้าซึ่งมีสายริบบิ้นคาดไว้ มันเป็นหน้าล่าสุดที่มีการบันทึกไว้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว

.....................

'วันนี้เขาจะมาส่ง แต่ฉันปฏิเสธ ฉันไม่มีวันให้อภัยคนที่ทำอย่างนี้กับฉัน แค่คิดก็คลื่นไส้ ขยะแขยงแล้ว ฉันจะเอาเด็กออก ไม่ให้ต้องมีเชื้อสายของมันปนกับเลือดของฉัน ฉันเกลียดๆๆ เกลียดและขยะแขยงตัวเองด้วย อยากตายแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นลูกแม่อีกครั้ง จะได้ไหมนะ'

หัวใจทิวบุญโลดแรงขึ้นเมื่อพบเบาะแสผู้ชายคนนั้น เธอรีบพลิกดูหน้าก่อนหน้า ทว่ากลับไม่มีอะไรที่ระบุถึงตัวผู้ชายคนนั้นแน่ชัด นอกจากบันทึกเรื่องราวในชีวิตประจำวันขาดๆ หายๆ ที่เกี่ยวพันกับการทำงาน...และผู้ชายอีกสามคน

'ทำงานที่ 'เทวานิรมิต' มาตั้งนาน ในที่สุดก็ได้เจอคุณทัดเทพที่ใครๆ ชมว่าหล่อมากให้ได้ยิน ทั้งหล่อและเป็นกันเองกับลูกน้องกว่าที่คิดแฮะ อายุเพิ่งสี่สิบปีก็เป็นเจ้าของโรงแรมแล้ว วันนี้ฉันปวดท้องจึงขอกลับก่อน บังเอิญเจอเขาขับรถออกมาเลยอาสาไปส่งฉันด้วย กรี๊ดดด! ถีงเขาจะมีลูกเมียแล้วก็เถอะ แต่ใครๆ ก็พูดว่าเขากำลังจะฟ้องหย่านี่นา'

'วันนี้กลับดึกแต่ไม่ง่วงเลย พี่วินพาฉันออกไปทานข้าวกับลูกค้า แล้วก็ชวนไปดูหนังที่พี่เขาได้บัตรที่นั่งฟรีมา จากที่เครียดๆ กับงานเมื่อกลางวันเลยหายเป็นปลิดทิ้ง ดีใจที่ได้ทำงานกับพี่วิน ฉันโชคดีมากแล้วล่ะที่ได้อยู่แผนกนี้ มีพี่วินเป็นหัวหน้าโดยตรง'

'เบื่อๆๆๆ รำคาญชะมัด นายเจ๋งเที่ยวตามตื๊อมาหลายวัน คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ วันนี้เลยด่าเปิงกลางโรงอาหารเลย ไอ้โรคจิต! ไม่รู้ฝ่ายบุคคลรับมันมาเป็นหัวหน้าช่างได้ไง ท่าทางหลุกหลิกอย่างกับคนติดยา แถมยังมาจ้องหน้าฉันอีก กลัวซะไม่มี'

นายทัดเทพ นายวิน และนายเจ๋ง สามคนนี้ดูจะเข้าเค้าที่สุดที่หลอกลวงน้องเธอจนเสียผู้เสียคน นายทัดเทพและนายวินอาจล่อลวงอุ้มบุญด้วยความเสน่หาได้ แต่นายเจ๋ง...ผู้ที่น้องเธอแสดงออกว่าเกลียดชังนักล่ะ ถ้าเขาแค้นแล้วมาทำมิดีมิร้ายกับน้องเธอ ถ้าเช่นนั้นอุ้มบุญก็ควรแจ้งความซี่

เบาะแสที่ได้ไม่ช่วยให้หญิงสาวตัดสินอะไรได้เลย มีสองทางที่จะเฉลยเรื่องราวทั้งหมดคือคำตอบจากปากเจ้าตัว หรือเธอเองที่ต้องเข้าไปทำความรู้จัก คลุกคลีกับคนพวกนั้นด้วยตัวเอง

......................

ห้องพักบนชั้นเจ็ดของโรงพยาบาลเงียบสงัดเมื่อคนเจ็บกำลังพักผ่อน พ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาข้างเตียง ขณะที่แม่นั่งอยู่ขอบเตียงเพื่อให้น้องกอดไว้พลางลูบผมบุตรสาวไปพลาง

"หายไปซะนานเลยทิว พ่อว่าจะชวนแกไปติดต่อเรื่องขอย้ายน้องไปพักรักษาที่โรงพยาบาลแถวบ้านเราดีกว่า จะได้ไปมาสะดวก" ผู้ใหญ่บุญรอดทักขึ้นก่อน ก่อนจะลดเสียงลงเมื่อภรรยายกนิ้วแตะริมฝีปากเตือนให้เบา

“แม่ว่าอย่าย้ายเลยพ่อ หมอบอกว่าอีกวันสองวันอุ้มก็กลับบ้านได้ ยุ่งยากเปล่าๆ นา” ภรรยาคู่ชีวิตกระซิบพูดคุย

ทิวบุญไม่ได้สนใจเรื่องนั้น นอกจากมุ่งหวังจะได้คำตอบจากน้อง

"นี่อุ้มหลับไปนานยังแม่ ทิวมีเรื่องจะคุยกับน้อง"

"เรื่องอะไร ไว้ค่อยพูดกันเถอะน่า" ฤทัยปราม

เธออาจเป็นพี่สาวใจร้ายอย่างที่อุ้มบุญเขียนถึงความชิงชังที่มีต่อเธอไว้ในสมุดบันทึก นั่นก็เพราะเจ้าตัวเคยชินกับการได้รับการเอาใจจากพ่อแม่เช่นนี้ไง ใครขัดใจอะไรหน่อยจึงถึงขั้นเกลียดชิงชัง

คนกลางขยับตัวตื่นจากเสียงรบกวน เห็นดังนั้นผู้พี่ซึ่งยืนอยู่ปลายเตียงจึงถือโอกาสชูสมุดบันทึกที่ตนถือติดมือมา แล้วเธอก็ได้เห็นคนที่เพิ่งลืมตามองหอบหายใจติดขัด ก่อนเจ้าหล่อนจะเอ่ยเสียงแข็ง ตามด้วยกรีดร้องดัง

"เอามา เอามาาา!"

ถ้าไม่เพราะเคยเห็นฤทธิ์เดชของน้องเมื่อคืนปีใหม่ ทิวบุญคงตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูกก็เป็นได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ที่เธอต้องการรู้ความจริง

"อะไรน่ะทิว คืนน้องไปซะสิ" มารดารั้งตัวลูกคนเล็กไว้พลางพยายามห้ามปราม

"ทิวคืนแน่ แต่ต้องรู้ก่อนว่าใครที่ทำกับยัยอุ้มแบบนี้"

"ม่ายยย! เอามา เอาของอุ้มมา" เสียงกรีดร้องแปรเป็นเสียงสะอื้นไห้น่าสงสาร

คนที่เดือดร้อนใจที่สุดก็เป็นแม่ดังเคย

"รู้แล้วได้อะไรทิว รู้แล้วมีอะไรดีขึ้นมาล่ะลูก" ท่านร่ำไห้ไปกับลูกสาวอีกครั้งพร้อมกับกอดร่างที่ดิ้นทุรนทุรายให้ได้ดั่งใจไว้

ทิวบุญรู้สึกถึงแรงรั้งต้นแขนตนจากพ่อให้ออกมา หากคราวนี้เธอไม่ยอมง่ายๆ พลิ้วแขนหนีจากอุ้งมือท่านครั้งแล้วครั้งเล่า

"มันอาจไม่มีอะไรดีขึ้น แต่มันจะไม่แย่ไปกว่านี้ถ้ายัยอุ้มรู้จักยอมรับความจริงเสียบ้าง ยอมรับแล้วแก้ไขปรับปรุง ไม่ใช่ฟูมฟาย คิดโง่ๆ สั้นๆ อย่างนี้!"

บุญรอดปล่อยต้นแขนบุตรสาวอย่างหมดเรี่ยวแรง ประโยคนั้นไม่ได้ตำหนิเพียงน้อง แต่หมายรวมถึงพ่อแม่อย่างเขา เขาเองก็มีส่วนผิดที่ทำให้ทิวบุญคิดไปว่าตนจะพูดคุย สั่งสอนลูกคนเล็ก แต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้ แข็งใจไว้ไม่ไหวเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียว ท่าทางอ่อนระโหยของแก

"แกต้องรู้สิอุ้ม ว่าพี่ที่แกเกลียดคนนี้หวังดีกับแก มากกว่าผู้ชายพวกนั้นที่แกคิดว่าเขาดีกับแกซะอีก"

น้ำตาผู้พี่รื้นคลอเช่นกันเมื่อเอ่ยถึงความเกลียดชังของน้องที่มีต่อเธอและระบายผ่านบันทึก หากอุ้มบุญปิดหูพลางส่ายศีรษะอย่างไม่ยอมรับฟังอะไรจากเธอทั้งนั้น

"อุ้มอยากตาย อุ้มอยากตาย" แกร่ำไห้คร่ำครวญซ้ำไปมาโดยมีอ้อมกอดมารดาโอบกระชับ "แม่จ๋า อุ้มอยากอยู่กับแม่สองคนในโลกนี้เท่านั้น นะแม่นะ อุ้มรักแม่คนเดียว ไม่มีใครรักอุ้มเลย"

"อย่าพูดอย่างนั้นสิลูก แม่รักอุ้มไง อย่าคิดสั้นนะลูก" ฤทัยปลอบประโลมทั้งน้ำตา

ใจแม่จะขาดเสียให้ได้เมื่อได้ยินลูกรักสิ้นหวังในชีวิต คิดทำร้ายตัวเอง จนเธอไม่ทันสนใจความรู้สึกคนอื่นในห้องนั้น ทั้งสามีและบุตรสาวอีกคนยืนคว้าง ก่อนบุรุษวัยกลางคนจะลากแขนลูกคนรองออกมา

ทิวบุญหันหน้าเข้าผนังพร้อมกับปล่อยน้ำตาไหลลงมาอย่างสุดกลั้น มันเป็นน้ำตาแห่งความผิดหวัง เสียใจ ที่ไม่มีใครยืนหยัดข้างเธอเลย ทั้งที่เธอทำเพื่อน้อง เพื่อทุกคน แต่เหมือนเธอกลายเป็นฝ่ายผิด แม่ยิ่งปะเหลาะเอาใจน้องแทนที่จะสอนให้อีกฝ่ายยืนหยัดด้วยตัวเอง

"พ่อผิดเองทิว เลี้ยงลูกให้เกลียดกัน พ่อแม่แบบนี้แย่มากใช่ไหมลูก" เสียงใหญ่เจือสะอื้นเอ่ยขึ้นข้างๆ

หญิงสาวฝืนยืนตรงซับน้ำตา เธอสั่นศีรษะอย่างปฏิเสธคำนั้น ไม่ใช่พี่น้องเกลียดกันหรอก แม้จะโกรธ จะทะเลาะกันบ่อยครั้ง หากเธอก็รักน้องเหมือนอย่างที่รักคนในครอบครัวทุกคน

แค่เมื่อไรเท่านั้น เมื่อไรที่อุ้มบุญจะเข้าใจความรักของเธอว่ามันไม่ใช่การเอาใจ ตามใจอย่างที่แกเข้าใจ แต่เป็นความหวังดีที่บางคนมองว่าใจร้าย ก็เพื่ออยากเห็นน้องได้ดี ยืนหยัดเข้มแข็งบนโลกใบนี้ได้ แม้มีดหลายเล่มจะพุ่งตรงมาโดยไม่มีอ้อมกอดของแม่ปกป้อง ป้องกัน

....................

ทิวได้เบาะแสจากไดอารีของน้องแล้วค่า
บทหน้าตามทิวเข้ากรุงไปแก้แค้นให้อุ้มกันน้าาา
หวยจะออกที่ผู้ชายคนไหนก่อนใน 3 คนนี้ดี คนอ่านอยากเจอใครก่อนคะ อุๆ

ปล. เนื่องจากเหลือเวลาแค่ 11 วันก็จะปิดจองแล้ว ขอแพรวขายของหน่อยน้า
ผู้สนใจหนังสือทำมือ "โซ่พิสุทธิ์" สามารถสั่งจองได้ทาง
1. กล่องข้อความของเพจ ภาพิมล / พิมลภา http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha

2. e-mail : the_zircon@hotmail.com

3. กดสั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ http://krongaksorn.lnwshop.com/

4. Line id : thezircon

ราคาเฉพาะช่วงสั่งจอง 275 บาทรวมค่าส่งค่ะ

***พิเศษ! ผู้ที่สั่งจองและโอนเงินในเดือนก.ย.

รอลุ้นตุ๊กตาหมีจากโครงการน้องหมีช่วยหมอ 3 รางวัลค่า***

อ่านตัวอย่างได้ที่เว็บเด็กดี เสิร์ช โซ่พิสุทธิ์ http://my.dek-d.com/thezircon/writer/view.php?id=1358542

อ่านรีวิวจากเพจ "รีวิว นิยายนอกสายตา" ได้ที่ https://www.facebook.com/1441961839417052/photos/a.1442000456079857.1073741827.1441961839417052/1649841775295723/?type=1&theater



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ย. 2558, 16:07:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ย. 2558, 16:07:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1191





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account