เพียงใจปรารถนา
อดีตอันแสนโหดร้ายในวัยเด็กทำให้ เวหา เติบโตมาเป็นผู้ชายแข็งกร้าวและเย็นชา ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถผ่านด่านหัวใจเขาไปได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไร้ความรู้สึก เมื่อผู้หญิงที่เขาแอบรัก แต่ไม่สามารถครอบครอง ถูกคนรักของตนเองขอเลิกและไปแต่งงานกับ ปริญดา หญิงสาวผู้ซึ่งเพียงต้องการหนีปัญหา เธอจึงต้องตกเป็นจำเลยแห่งความโกรธแค้นของชายหนุ่ม ที่สำคัญ...เขาทำให้เธอตกหลุมรัก ยอมจำนน และทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีเพื่อแก้แค้นให้สมน้ำสมเนื้อที่เธอทำให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเสียใจ!

แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 32

สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกคน หายจากเว็บไปนานมากกกกก ต้องขอโทษด้วยค่ะ ตอนแรกนึกว่าล่าสุดที่ลงไว้คือเมื่อต้นปีนี้แต่พอไปดูที่โพสไว้คือเดือนนี้เมื่อปีที่แล้ว โอ้ววว T o T นักอ่านที่เคยติดตามอยุ่อาจจะลืมเนื้อเรื่องกันไปแล้ว แต่เพราะตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเรื่องนี้แล้วลงให้จบ ตอนนี้เขียนจบเรียบร้อยแล้วค่ะ เลยมาลงต่อ สามารถย้อนอ่านกันได้นะคะ

ดำเนินมาถึงจุดสำคัญของเรื่องแล้วอีกไม่กี่บทก็จบแล้วค่ะ ฝากเวย์กับปริมอีกสักครั้งด้วยนะคะ เจอกันวันจันทร์ค่า


เพียงใจปรารถนา ตอน 32

“นี่เราไม่ตื่นเต้นกังวลใจเลยหรือไงที่คุณย่าจะได้เจอครอบครัวเขาน่ะ แม่เห็นเราอมยิ้มหน้าตามีความสุขตั้งแต่ออกมาจากบ้านแล้ว มีอะไรที่ไม่ได้บอกแม่อีกหรือเปล่าหือเรา” ปวราเอ่ยถามปริญดาที่กำลังขับรถเดินทางไปยังโรงแรมที่เป็นสถานที่นัดพบระหว่างสองครอบครัว

ปริญดาหันไปส่ายหน้าทั้งที่ริมฝีปากยังแย้มยิ้ม “ไม่มีอะไรค่ะ ปริมก็แค่ยิ้มมีความสุขที่ครอบครัวสองฝ่ายจะได้คุยกันจริงจังเสียที” เธอบอกความจริงไปเพียงครึ่งเดียว ส่วนอีกครึ่งเหตุผลที่เธอเอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก็เป็นเพราะคำพูดบอกรักของเวหาที่ดังก้องอยู่ในหูทำให้เธออารมณ์ดีลืมความกังวลใจเรื่องคุณย่าไปเสียสนิท

“แต่แม่เนี่ยสิ กลัวใจคุณย่าจัง บอกว่าจะตามมาทีหลังแต่ตอนเราออกมาท่านยังนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องรับแขกอยู่เลย แล้วนี่กว่าท่านจะแต่งตัวแต่งหน้าไม่ปาเข้าไปอีกหลายชั่วโมงหรอกเหรอ” ปวรามีสีหน้าหนักใจ

“แต่ปริมว่ายังไงคุณย่าก็ต้องมาค่ะ เพียงแต่คุณย่าอาจจะอยากถ่วงเวลาทำให้ไปถึงช้าเพื่อให้ทางนั้นรอ แล้วก็คอยดูว่าทางนั้นจะตอบโต้ยังไงบ้าง” เธอบอกพลางพูดน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ

“พอปริมเห็นว่าคุณย่ามีท่าทางไม่รีบร้อนทั้งที่ใกล้ถึงเวลานัด ปริมก็รู้แล้วล่ะค่ะว่าคุณย่าจะต้องทำแบบนี้ เพราะท่านไม่เคยจะสนใจความรู้สึกของพวกเราอยู่แล้ว”

ได้ยินอย่างนั้นปวราก็ถึงกับน้ำตาซึม “แม่ขอโทษนะ” หล่อนเอ่ยเสียงแผ่ว

“แม่ขอโทษปริมเรื่องอะไรกันคะ ไม่ใช่ความผิดของแม่สักหน่อย” ปริญดาย่นคิ้ว คิดไปว่าอาจจะเป็นเพราะคุณย่าเคยพูดว่ามารดาไม่สั่งสอนเธอจนทำให้ท่านคิดมากว่าเป็นความผิดของตนเอง

“แม่ก็รู้นิสัยคุณย่านี่คะว่าท่านเป็นแบบไหน ส่วนเรื่องที่ว่าคุณย่าจะไปโรงแรมหรือเปล่าแม่ก็ไม่ต้องเครียดไปนะคะ เพราะพอปริมบอกว่าอยู่โรงแรมไหน แล้วทางฝ่ายนู้นเขาก็ถึงขนาดปิดร้านเพื่อนัดพบกันแบบนี้ ยังไงคุณย่าก็ต้องไปดูให้รู้ค่ะว่าครอบครัวนั้นเขาเป็นใครมาจากไหน”

ปวราถอนใจแต่ก็คลี่ยิ้มตอบ “แม่ก็หวังว่าอย่างนั้น แล้วแฟนเราชื่ออะไรนะ แม่ลืมอีกแล้วดูสิ เดี๋ยวพอไปถึงแม่เรียกเขาผิด ๆ ถูก ๆ ล่ะอายเขาแย่เลย”

ปริญดาหัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบ “เวหาค่ะ แม่เรียกเขาว่าเวย์เฉย ๆ ก็ได้ค่ะ”

“ใช่ ๆ เวหา...อืมม...แม่ชักอยากจะเห็นหน้าว่าที่ลูกเขยซะแล้วสิ” หล่อนกระเซ้าเย้าแหย่ลูกสาว

ปริญดาหันมายิ้มหวานให้มารดา ดวงตาเคลิ้มฝัน “ถ้าแม่เจอเขา...แล้วแม่จะต้องชอบเขาค่ะ”



“ปริมช่วยแม่ดูหน่อยสิ ว่าชุดแม่เรียบร้อยหรือยัง” ปวราถามลูกสาวพลางก้มมองชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนของตนเองขณะกำลังรอลิฟท์ในโรงแรม

ปริญดาถอยห่างเล็กน้อย เอียงคอมอง แล้วยิ้มตอบ “แม่สวยแล้วล่ะค่ะ หน้าผมเป๊ะ หุ่นก็เป๊ะ ดูดีไปทั้งตัว”

“แหม ปริมก็ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้งจ๊ะ” แต่ก็ยิ้มเขินอาย ก่อนจะมองสำรวจปริญดาบ้าง

“ปริมเองก็สวยมาก ๆ จ้ะ นี่ดีนะที่ผมปริมยาวแล้ว ไอ้ทรงสั้นกุดแบบนั้นล่ะแม่ไม่ชอบเลย”

ปริญดาหัวเราะแล้วเผลอยกมือจับผมตนเองที่ตอนนี้ยาวจนสามารถถักเปียเกล้าขึ้นเป็นมวยสวยงาม จากนั้นก็หันไปมองตนเองผ่านกระจกประตูลิฟท์ที่สะท้อนร่างบอบบางของเธอที่อยู่ในชุดจัมพ์สูทผ้าชีฟองสีครีมแขนยาวผ่ากลางตั้งแต่หัวไหล่ไปจนถึงปลายแขน ขากางเกงที่ทำเป็นทรงหลวมยาวคลุมเท้าพลิ้วไหวขณะเธอหมุนตัวเล็กน้อยยิ้มให้กับตัวเองผ่านเงาในกระจกพลางลูบหน้าท้องที่กลมนูนภายใต้เนื้อผ้า

ปวรามองปริญดาในกระจกแล้วยิ้มภูมิใจ “ลูกของแม่สวยมากจ้ะ ขนาดอยู่ในชุดธรรมดา ๆ แบบนี้ยังสวยเปล่งปลั่ง แล้วตั้งแต่ท้องปริมก็ยิ่งสวยวันสวยคืน แม่ล่ะมีความสุขจริง ๆ ที่จะได้เห็นลูกสาวคนเดียวของแม่เป็นฝั่งเป็นฝาแล้วยังจะมีหลานให้อุ้มเร็วทันใจกว่าที่คิดไว้เสียอีก”

ปริญดายิ้มให้มารดา พลางเอื้อมไปจับมือเมื่อเห็นน้ำใส ๆ เอ่อคลอดวงตาที่มีริ้วรอยแห่งวัย “ปริมก็ดีใจค่ะที่เห็นแม่มีความสุข ตลอดหลายปีที่พ่อย้ายไปอยู่โรงพยาบาลปริมก็ไม่เคยได้ยินแม่พูดว่ามีความสุขเลยสักครั้ง” พอพูดแล้วน้ำตาเธอก็พาลจะไหลไปด้วย

สองแม่ลูกโผเข้ากอดต่างปลอบใจกันและกัน ก่อนจะยิ้มอย่างปลื้มปิติให้กันอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟท์เปิดออกพอดี ทั้งคู่จึงจูงมือกันก้าวเข้าไปในลิฟท์ซึ่งพาไปยังร้านอาหารที่อยู่ด้านบน

ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดอีกครั้ง ปริญดาก็เห็นเวหากำลังยืนคอยท่าอยู่ด้านหน้าลิฟท์รอเธอเรียบร้อยแล้ว พลันนั้นหัวใจของเธอก็เต้นรัวตึกตักเมื่อมองร่างใหญ่ในชุดสูทสีเทาเข้มเข้ารูปส่งยิ้มหวานบาดใจมาให้ ผมที่เคยยาวจากครั้งล่าสุดที่เธอเห็นตอนนี้ตัดสั้นเรียบร้อยพร้อมจัดทรงด้วยเจลเรียบแปล้เสยไปด้านหลัง เปลี่ยนจากบุคลิกหล่อเซอร์ กลายเป็นหนุ่มมาดเข้มดูสง่าผ่าเผย จนเธอเองยังต้องเผลอเข่าอ่อนต้องมนต์เสน่ห์ราวกับเพิ่งเจอกันครั้งแรก

“สวัสดีครับ...คุณแม่ปริมใช่ไหมครับ” เวหายกมือไหว้เดินเข้ามาทักทายปวราก่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส

ปวราไหว้ตอบ “ใช่จ้ะ คุณคงเป็นเวหาสินะ พอฉันมาเห็นคุณตัวจริงวันนี้แล้วทำให้เข้าใจว่าทำไมปริมถึงได้มุ่งมั่นที่จะแต่งงานกับคุณนัก” หล่อนยิ้ม แววตามองชายหนุ่ตรงหน้าด้วยความชื่นชม ในใจนึกถูกชะตาว่าที่ลูกเขยคนนี้อย่างบอกไม่ถูกและดีใจที่ปริญดาเลือกผู้ชายได้ถูกใจหล่อนเสียจริง

ใบหน้าปริญดาแดงปลั่งเพราะความอาย

เวหาหัวเราะเบา ๆ ยิ้มให้ปริญดาทีนึงก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ปวรา “เป็นไปได้ผมเองก็อยากจะแต่งงานกับปริมให้เร็วที่สุดครับ ปริมเขาเป็นคนน่ารัก ขี้อ้อน ใครอยู่ใกล้ด้วยก็หลงเสน่ห์เขาด้วยกันทั้งนั้น และผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากอยู่ใกล้ ๆ ปริมเขาทุก ๆ วันครับ” พูดพลางส่งสายตาหยดเยิ้มให้ปริญดา

ปวราอมยิ้ม เขินแทนลูกสาวพลางเอ่ยปาก “แหม คุณเวหาปากหวานอย่างนี้นี่เอง ปริมถึงได้ไปไหนไม่รอด”

“แม่คะ....” ปริญดาคราง หน้าแดงซ่านยิ่งกว่าเก่า ไม่คิดว่าคนพูดน้อยอย่างมารดาจะเอ่ยแซวตน

เมื่อเห็นว่าที่เจ้าสาวตัวเองเขินอายหน้าแดงไม่หยุด จึงรีบเอ่ยชวนทั้งคู่ “งั้นผมว่าเราเข้าไปข้างในกันดีกว่าครับ คุณพ่อกับคุณแม่ผมมารอพร้อมอยู่ด้านในแล้วครับ” เวหาผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญไปยังทางเข้าห้องอาหาร ให้ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายเดินนำไปก่อน แล้วเขาก็มาเดินข้างปริญดา ประคองเอวเธอไว้หลวม ๆ ส่งยิ้มหวานให้เธอ ซึ่งเธอก็ยิ้มตอบดวงตาเป็นประกาย รู้สึกตื้นตันแล้วก็ตื่นเต้นไปพร้อมกันที่ในที่สุดทั้งสองครอบครัวก็จะได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราวเสียที แม้เธอจะกังวลเรื่องคุณย่า แต่เมื่อมีทั้งมารดาและฝ่ายครอบครัวเขาคอยสนับสนุน เธอก็มั่นใจว่างานแต่งงานที่เธอใฝ่ฝันกับผู้ชายที่เธอรักจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน


ทั้งที่บอกกับตัวเองว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย แต่เมื่อเวลาล่วงเลยมาเกือบชั่วโมงกว่า แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของคุณย่าว่าจะมาถึงเสียที ทั้งเธอและมารดาต่างก็กระวนกระวายใจว่าคุณย่าจะเบี้ยวนัด ยิ่งพอเห็นเวหาและครอบครัวของเขาต้องนั่งหิ้วท้องรอเธอก็ยิ่งรู้สึกผิด พาลโกรธคุณย่าที่ทำให้เธอและมารดาต้องขายหน้าเพียงเพราะความอยากเอาชนะของท่าน

“ฉันต้องขอโทษพวกคุณด้วยจริง ๆ นะคะ ที่คุณแม่ฉันมาสายขนาดนี้ ฉันว่าให้เขาเสริฟ์อาหารมาทานกันก่อนเลยดีกว่าไหมคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา นี่ฉันก็ติดต่อคุณแม่ไม่ได้เลยด้วย” ปวราบอก น้ำเสียงร้อนรน สีหน้าขอโทษขอโพย

“ใช่ค่ะ ถ้ามัวแต่รอก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรกว่าคุณย่าปริมจะมา นี่ก็เกือบสองทุ่มแล้วด้วย คุณพ่อกับคุณแม่คงหิวแย่” เธอยกมือไหว้ทรงยศและลาวัลย์ “ปริมต้องขอโทษแทนคุณย่าด้วยจริง ๆ นะคะ”

ลาวัลย์ยิ้มให้พลางส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกหนูปริม พ่อกับแม่รอได้จ้ะ ทานก่อนผู้ใหญ่มาก็เสียมารยาทแย่น่ะสิ อีกอย่างพวกเราก็ลองท้องทานอะไรมาบ้างแล้ว หนูปริมกับคุณปิ่นไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ”

เวหารีบสมทบบอกให้คลายกังวล “ใช่ครับ ผมว่าเรารออีกสักหน่อยดีกว่า บางทีท่านอาจจะรถติดอยู่ก็ได้ครับ”

ปริญดาและปวราหันมามองหน้ากันด้วยความหนักใจ ปริญดาพยายามหันไปมองที่ทางเข้าอีกรอบแต่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีใครเดินผ่านมา เธอจึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะหันมายิ้มฝืด ๆ ให้กับทุกคน

“งั้นก็ได้ค่ะ รออีกสักหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวปริมจะลองโทรตามท่านดูอีกทีค่ะ” จังหวะที่เธอหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากดโทร ทรงยศที่นั่งหันหน้าไปยังทางเข้าก็ร้องทักขึ้น

“นั่นใช่คุณย่าปริมหรือเปล่าลูก”

แล้วทุกคนก็หันไปมองพร้อมกัน โดยเฉพาะปริญดาและปวราแทบจะชะเง้อมองด้วยความดีใจ แต่ก็ได้เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นเมื่อหญิงสูงวัยที่ยืนอยู่ด้านหน้ากำลังคุยกับพนักงานอยู่นั้นไม่ใช่ย่าของเธอ

ปริญดาไหล่ตกขณะหันมาส่ายหน้า บอกเศร้า ๆ “ไม่ใช่ค่ะ สงสัยคงมาผิดที่หรือไม่ก็ไม่รู้ว่าเราเหมาร้านแล้ว”

เวหาที่นั่งตรงข้ามเห็นสีหน้าหม่นลงของปริญดาแล้วจึงรีบลุกขึ้นไปโอบไหล่ปลอบเธอ “เดี๋ยวท่านก็คงมาแหล่ะปริม พวกเรารอกันได้ ใช่ไหมครับแม่ พ่อ” เขาหากองหนุน

ลาวัลย์พยักหน้าเออออพร้อมกับยิ้มเห็นด้วยแต่ไม่ค่อยเต็มใจนัก ในใจนึกเคืองคุณย่าของปริญดาที่ปล่อยให้หล่อนและครอบครัวหล่อนต้องรอนานสองนานทั้งที่เป็นการพบกันครั้งแรกแท้ ๆ แต่เพราะห่วงความรู้สึกของปริญดาจึงได้แต่ตามน้ำลูกชายไป

ทรงยศที่นั่งข้างกันรู้ทันภรรยาเมื่อดูจากสีหน้า เขาจึงจับมือเธอจากใต้โต๊ะบีบเบา ๆ ให้ใจเย็น “ใช่จ้ะปริม พ่อว่าหนูลองโทรดูอีกทีดีไหม เผื่อว่ามีอะไรทำให้มาไม่ได้หรือเปล่า”

และอีกครั้งที่ปริญดากำลังจะกดโทรศัพท์แต่เสียงมารดาร้องบอกพลางสะกิดเรียกเธอว่าคุณย่ามาถึงแล้ว หญิงสาวจึงรีบหันไปมอง ลุ้นจนตัวโก่งว่าคราวนี้จะเป็นคุณย่าจริงๆ พอเห็นร่างบางในชุดผ้าไหมอลังกาลสีเหลือง เดินราวกับนางพญาเข้ามาข้างใน เธอแทบจะอยากกรีดร้องดีใจให้สุดเสียง ไม่เคยมีครั้งไหนที่เธอมีความสุขที่ได้เห็นคุณย่าเท่ากับครั้งนี้มาก่อนเลย
ปริญดาและปวรารีบลุกขึ้นยืน แล้วเดินตรงไปรับหญิงชรามาที่โต๊ะพร้อมกับเวหาที่เดินตามหลังมาเพื่อทักทายต้อนรับ และทันทีที่ทั้งหมดเดินไปถึง เสียงบ่นเจือความหงุดหงิดเพราะรถติดพร้อมกับสีหน้าที่บ่งบอกถึงอาการไม่สบอารมณ์ของคนเพิ่งมาถึง ทำเอามือของเวหาที่กำลังยกมือไหว้ชะงักค้างเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยสวัสดีและไหว้ทักทายตามมารยาท

ปริญดาลอบถอนใจที่เห็นคุณย่าทำทีเป็นมองไปรอบ ๆ เมินการทักทายของเวหา เธอจึงพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติ ก่อนเอ่ยแนะนำชายหนุ่ม “คุณย่าคะ นี่เวหาค่ะ”

หญิงชราขมวดคิ้วยุ่งขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อคุ้นหู ขณะเลื่อนสายตาที่กำลังมองวิวนอกหน้าต่างหันมาจับจ้องที่มองชายหนุ่มข้างกายปริญดา ซึ่งกำลังยืนยิ้มกว้างมาให้หล่อน และเพียงแค่สบตา ร่างกายหล่อนก็ถึงกับชาวาบไปทั้งตัว เบิกตาโพลง อ้าปากค้าง เอามือทาบอกตกใจจนต้องผงะถอยหลัง

“กชอร....” หล่อนพึมพำเสียงแหบพร่า หน้าตาตื่นไร้สีเลือด ขณะเพ่งพินิจมองใบหน้าชายหนุ่มด้วยความตกใจ
เวหาเห็นท่าทางตกตะลึงเกินเหตุของอีกฝ่ายก็นึกแปลกใจ ได้ยินท่านพึมพำอะไรสักอย่างเขาฟังไม่ถนัด แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาก้มศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงต้อนรับและยิ้มตอบ

“ผมเวหาครับ ดีใจที่ได้รู้จักคุณย่าครับ ผมว่าคุณย่าเดินทางมาเหนื่อย ๆ เชิญนั่งก่อนดีกว่าไหมครับ ผมจะได้แนะนำครอบครัวของผมให้คุณย่าได้รู้จักด้วย” เวหาพยายามทำให้บรรยากาศเป็นกันเอง เขาผายมือไปทางโต๊ะอาหารที่ครอบครัวเขานั่งอยู่ ซึ่งทั้งบิดาและมารดาของเขายืนต้อนรับรอยอยู่แล้ว แต่เหมือนคุณย่าของปริญดายังคงยืนนิ่งจ้องมองเขาตาไม่กระพริบราวกับเห็นเขาเป็นตัวประหลาด

เวหาหันไปสบตากับปริญดาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี ปริญดาและปวราที่ต่างคนต่างก็งุนงงกับท่าทีของคุณย่าที่ผิดคาดเมื่อเจอกับเวหาก็ทำเอาเธอไปไม่เป็นเช่นกัน

“เอ่อ คุณย่าคะ ปริมว่าเราไปนั่งกันก่อนดีกว่าไหมคะ คุณย่าคงจะหิวแล้ว ปริมจะได้ให้เขาเสิร์ฟอาหารมาให้เลย” เธอพูดพลางทำท่าจะเดินนำไปที่โต๊ะอาหาร หญิงชราเดินตามอย่างงง ๆ ขณะที่ยังคงขมวดคิ้วมองเวหาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเสียงแนะนำครอบครัวของชายหนุ่มทำให้เธอละสายตามาได้ ก่อนจะหันไปมองชายหญิงสูงวัยสองคนที่ยกมือไหว้ตนพร้อมกับเอ่ยทักทาย แต่แล้วหล่อนก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดอีกครั้ง ร่างหล่อนแทบเซล้มจนต้องรีบคว้าเก้าอี้ไว้เมื่อจำได้ว่าทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นคือใคร!


ลาวัลย์และทรงยศหน้าขาวซีด ร้องอุทานขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อจ้องมองหญิงชราที่มีศักด์เป็นย่าของว่าที่ลูกสะใภ้ ทั้งคู่จดจำหล่อนได้ทันทีถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านล่วงเลยมานานหลายปี ยิ่งมองใบหน้าอันหยิ่งทะนงที่กำลังตกอกตกใจกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน ลาวัลย์และทรงยศก็ยิ่งแน่ใจว่าหล่อนคนนี้คือคนที่ทำลายครอบครัวของลูกชายบุญธรรมของพวกเขาได้อย่างเลือดเย็นที่สุด!

“คุณ...ภารตรี” ลาวัลย์เอ่ยชื่อของหญิงชราตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสะกดกั้นอารมณ์เต็มที่ ยิ่งเห็นร่างที่เกร็งรับและดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ก็ยิ่งทำให้แน่ใจว่าหล่อนจำคนไม่ผิด มือของหล่อนบีบกันแน่นเมื่อภาพความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตที่มีหญิงชราตรงหน้าเป็นตัวการย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิดราวกับหนังฉายซ้ำ มันยิ่งกระพือไฟแห่งความเคียดแค้นที่เคยมอดดับไปนานให้ลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง

“ฉะ ฉัน จะกลับบ้าน” ภารตรีบอกเสียงแหบแห้ง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความหวาดกลัว หล่อนก้าวถอยหลังพลางมองสลับไปมาระหว่างคู่สามีภรรยาและเวหาด้วยสายตาหวาดระแวง

“คุณย่าคะ!” ปริญดาร้องเสียงหลง มองผู้เป็นย่าด้วยความผิดหวัง

ปวราเห็นท่าทีของลูกสาวก็นึกสงสาร รีบช่วยห้ามอีกคน “คุณแม่คะ ปิ่นขอร้องเถอะค่ะ อย่าทำอย่างนี้เลยนะคะ” หล่อนคว้ามือเหี่ยวย่นของภารตรีไว้ แต่หญิงชรากลับสะบัดออกพร้อมกับตะคอกเสียงดัง

“ปล่อยฉันนะ ฉันจะกลับ! อย่ามายุ่ง!”

เวหาหงุดหงิดอยู่ในใจที่การนัดพบกันระหว่างครอบครัวสองฝ่ายดูจะวุ่นวายกว่าที่คิด แต่เขาก็พยายามใจเย็น เดินเข้าไปใกล้ ๆ ย่าของปริญดา แล้วเอ่ยว่า “คุณย่าไม่ชอบที่นี่เหรอครับ ให้ผมเปลี่ยนเป็นที่อื่นที่คุณย่าชอบดีไหมครับ”

ภารตรีหันขวับมาทางเวหา ถอยกรูไปด้านหลัง เบิกตามองเขาราวกับเห็นพญามัจจุราช “อย่ามายุ่งกับฉัน! ฉันไม่ใช่ย่าแก!”

เวหาถึงกับสะดุ้งผวา ลมหายใจติดขัดขึ้นมากะทันหัน หูอื้ออึ้งเมื่อได้ยินคำประกาศที่ทำให้เขาจำขึ้นมาได้ทันทีว่าเคยได้ยินประโยคนี้และน้ำเสียงแบบนี้ที่ไหน

ชายหนุ่มก้าวถอยหลังมองคุณย่าของปริญดาด้วยท่าทางพินิจพิเคราะห์ มองหญิงชราตรงหน้าที่เริ่มจะทำให้เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหล่อนที่ไหนมาก่อน แล้วจู่ ๆ ภาพในวันฝนตกหนักเมื่อตอนเขายังเป็นเด็กชายร้องห่มร้องไห้แทบเป็นแทบตายเมื่อพ่อของเขากำลังจะทิ้งเขากับแม่ไป.... แต่ยังไม่ทันที่เขาจะนึกทบทวน เสียงตวาดราวกับสายฟ้าฟาดของลาวัลย์ก็หยุดทุกอย่างไว้

“คุณนั่นแหล่ะที่ควรอยู่ให้ห่างจากลูกชายฉัน!” ลาวัลย์เดินปราดเข้ามายืนขวางระหว่างเวหาและภารตรี

ปริญดาและปวราที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่งุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเป็นปริญดาที่เอ่ยถามลาวัลย์และภารตรีว่าทั้งคู่รู้จักกันได้อย่างไร แต่คำถามของเธอก็เหมือนจะเป็นเพียงลมเบา ๆ ผ่านหูของทั้งคู่ไปเท่านั้นเมื่อลาวัลย์พูดกับคุณย่าของเธอว่า

“เชิญคุณกลับไปได้เลย พาครอบครัวของคุณกลับไปด้วย เรื่องระหว่างเด็กทั้งสองคนฉันจะถือว่าให้จบกันเพียงเท่านี้ จะไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้น ส่วนลูกในท้องครอบครัวฉันจะส่งเสียให้เรียนจนจบ คลอดเมื่อไรก็บอกด้วยแล้วกัน” หล่อนบอกภารตรีด้วยน้ำเสียงเย็นชาเชิงขับไล่ไสส่ง

น้ำตาของปริญดาไหลอาบแก้มแทบจะทันที มองผู้ใหญ่ตรงหน้าสองคนสลับกันไปมา “คุณแม่พูดเรื่องอะไรคะ ปริมงงไปหมดแล้ว” เสียงขมขื่นเคล้าสะอื้น

“หนูก็ถามคุณย่าของหนูเองก็แล้วกัน” ลาวัลย์สบตาที่มีน้ำตาเอ่อท้นของปริญดาแล้วก็รู้สึกสงสาร แต่เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องรีบตัดเหยื่อใยของทั้งคู่ตั้งแต่ต้นลม หล่อนถอนหายใจ พลางคิดว่าเป็นเวรกรรมอะไรกันหนอ ที่ถึงทำให้คนสองคนที่ไม่มีทางจะรักกันได้ต้องมาพบเจอและลงเอยกันแบบนี้ ผู้หญิงมากมายหลายแสนล้านแต่ลูกชายของเธอกลับได้ผู้หญิงที่ชาตินี้เขาไม่สมควรจะได้มาครอบครอง

“เชิญพวกแกคุยกันเองเถอะ ฉันจะกลับ และอย่าหาเรื่องให้ฉันมาเจอกับพวกนี้อีก!” ภารตรีประกาศกร้าว ก่อนจะหันไปมองเวหาด้วยสายตาเหลือเชื่ออีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลาที่เหมือนราวกับพิมพ์เดียวกันกับผู้หญิงที่หล่อนเกลียดมากที่สุดและตามหลอกหลอนหล่อนในฝันเป็นประจำจนทำเอาร่างหล่อนสั่นสะท้านเมื่อนึกถึง

“คุณย่าบอกปริมก่อนสิคะว่านี่มันเรื่องอะไร ทำไมคุณย่าจะต้องตั้งท่ารังเกียจครอบครัวเขาแบบนี้!”

“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น!” ภารตรีหันมาตวาดแว๊ดใส่หลานสาว แล้วชี้หน้าสั่งการ

“แต่ฉันบอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าแกคิดจะแต่งงานกับมัน ก็เชิญออกจากตระกูลของฉันทั้งแม่ทั้งลูกไปให้หมดเลย!” พูดเสร็จหล่อนก็ทำหน้ารังเกียจเดียจฉันท์ไปที่เวหาและลาวัลย์ ก่อนจะเดินจ้ำอ้าวออกไป

ปริญดาสับสนระคนน้อยใจที่อะไร ๆ ในชีวิตเธอมันช่างยุ่งยากวุ่นวาย ไม่เคยได้ดั่งใจปรารถนา และไม่คิดว่าการแต่งงานกับคนที่ตนเองรัก มันจะมีอุปสรรคมากมายถึงเพียงนี้ เธอหันไปมองเวหาที่ดูท่าทางเขามีอาการงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ต่างกัน และอาการนิ่งเงียบ ดวงตาเหม่อลอยครุ่นคิดของเขา ทำเอาเธอใจหายวาบ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะลังเลเปลี่ยนใจยกเลิกการแต่งงานกับเธอ

ปริญดารีบเดินเข้าไปคว้าแขนเขาไว้ น้ำตายังคงไหลไม่หยุดขณะขอร้องอ้อนวอนเขา “เวย์คะ เราจะทำยังไงกันดี คุณจะปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี้เหรอคะ”

เวหาก้มมองหญิงสาวที่บัดนี้ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เขาจึงประคองแก้มเธอ ยิ้มให้กำลังใจ “ไม่หรอกจ้ะ...ยังไงผมก็จะทำทุกวิถีทางให้เราแต่งงานกันให้ได้” แต่ถึงแม้จะบอกไปอย่างนั้น แต่ในใจลึก ๆ เขากลับกังวลยังไงบอกไม่ถูก และยิ่งได้เจอคุณย่าของปริญดา คำพูดที่ท่านตะโกนใส่เขา มันทำให้เขาหวนนึกถึงภาพใบหน้าอันลางเลือนของหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องพบกับจุดจบ รวมถึงปฎิกิริยาจากครอบครัวของเขาหลังจากพบท่าน ทำให้เขาแน่ใจว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับคุณย่าของปริญดาอย่างแน่นอน

“แม่ครับ บอกผมกับปริมเถอะครับว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมจู่ ๆ แม่ถึงไม่อยากให้ปริมกับผมแต่งงานกัน ทั้งที่ก่อนหน้าที่คุณย่าปริมจะมา แม่กับพ่อยังต้อนรับขับสู่ดี ๆ อยู่เลย” เขาตั้งข้อสงสัย ก่อนจะหันถามบิดา

“พ่อครับ แล้วนี่พ่อก็เห็นด้วยกับแม่ใช่ไหม ถึงได้เงียบไม่คัดค้านอะไรเลย”

ทรงยศหลับตา ถอนใจยาวเหยียด ก่อนจะเดินมาสมทบกับภรรยา “พ่อว่าเรากลับไปคุยกันที่บ้านเถอะเวย์”

เวหาส่ายหน้า “ก็คุยกันตรงนี้ต่อหน้าปริมและแม่ของเธอไปเลยไม่ได้เหรอครับ ทำไมต้องกลับไปคุยกันที่บ้านด้วย ยังไงผมก็จะไม่ทิ้งปริมไว้ให้เธอคาใจแน่ครับ”

ปวรารีบออกความเห็น “นั่นสิคะ คุณทำอย่างนี้กับลูกสาวฉันไม่ได้นะ ยังไงก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง” น้ำเสียงชักเริ่มไม่พอใจ จริงอยู่ที่ฝ่ายผู้ใหญ่หล่อนเองทำน่าเกลียดไว้เยอะ แต่ผู้ใหญ่ฝ่ายชายจะมาปัดความรับผิดชอบง่าย ๆ หล่อนก็ไม่พอใจเหมือนกัน!

ลาวัลย์มองปวราด้วยสายตาเย้ยหยัน จากที่รู้สึกถูกชะตาด้วยในตอนแรกแปรเปลี่ยนมาเป็นรังเกียจขยะแขยงจนไม่อยากเสวนาด้วย “ฉันบอกแล้วไงว่าเชิญพวกคุณไปถามย่าคุณเอาเอง เดี๋ยวจะหาว่าฉันใส่ไฟ ขอโทษนะ เห็นทีฉันต้องกลับก่อน ไปกันเถอะค่ะคุณ ตาเวย์” ลาวัลย์รีบตัดบท

“ไม่นะคะ ปริมไม่ให้ทุกคนไปไหนทั้งนั้น!” ว่าแล้วเธอก็โผเข้ากอดเอวเวหาไว้แน่น สะอึกสะอื้นร้องไห้ตัวโยน

“เรารักกัน! ทำไมทุกคนต้องขัดขวางความรักของเราด้วย!”

ลาวัลย์กลืนก้อนแข็ง ๆ ลงคอ จุกอกกับภาพตรงหน้าและนึกเห็นใจปริญดาไม่น้อยที่ต้องมารับกรรมเพราะผลพวงของการกระทำในอดีตของผู้ใหญ่สิ้นคิดเพียงไม่กี่คน แต่หล่อนก็ต้องทนใจแข็ง แยกทั้งคู่ออกจากกันให้ได้ ไม่อย่างนั้น จะกลายเป็นเรื่องพิบัติอาเพศของสองครอบครัว แค่มีลูกด้วยกันก็ถือว่าเป็นชะตากรรมที่โหดร้ายสำหรับเด็กสองคนนี้มากพออยู่แล้ว หากจะต้องยอมรับให้ทั้งสองแต่งงานอยู่กินกันเป็นคู่ผัวตัวเมียอีกล่ะก็ หล่อนจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น!

“ยอมรับซะเถอะว่ายังไงหนูก็แต่งงานกับเวย์ไม่ได้ ย่าหนูไม่ยอมรับ และแม่กับพ่อทำใจยอมรับไม่ได้ เชื่อแม่ หนูกับเวย์ไม่คู่ควรกันหรอก” ลาวัลย์เดินเข้าไปคว้าแขนปริญดาออกจากเอวของเวหา แต่หญิงสาวดึงดันขืนตัวไว้ ลาวัลย์สู้แรงไม่ไหว จึงสั่งกับเวหาเสียงเครียด

“ปล่อยปริมเดี๋ยวนี้เวย์ แล้วกลับบ้านกลับแม่! หรืออยากจะให้แม่ตัดญาติขาดมิตรกับเวย์เหมือนคุณภารตรีทำเอาไหม!” หล่อนยื่นคำขาด ได้ยินเสียงบอกให้ใจเย็น ๆ ของสามีอยู่ข้าง ๆ

เวหาขยี้ผมด้วยความหงุดหงิดเดือดดาล เสียงร้องไห้ของปริญดาที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ ทำเอาหัวใจเขาห่อเหี่ยวสงสารเธอจับใจ อยากจะขัดใจมารดาแต่ก็กลัวเรื่องจะบานปลาย เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นมารดาอารมณ์รุนแรงตะคอกใส่เขาแบบนี้มาก่อน ยิ่งพ่อของเขายิ่งแล้วใหญ่ เพราะปกติจะคอยห้ามปรามภรรยาเวลาหล่อนหัวเสียหรือขึ้นเสียงดุด่า แต่นี่กลับนิ่งเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเขาด้วยเลย

“ปริม....” เวหาเรียกเสียงอ่อนแรง ค่อย ๆ แกะมือเธอที่กอดเอวเขาไว้ออกช้า ๆ ยื่นมือไปประคองแก้มที่เปียกชุ่ม แล้วเช็ดน้ำตาให้

“วันนี้คุณกลับไปก่อนนะ แล้วผมจะรีบโทรหาคุณพรุ่งนี้” เขาบอกอย่างเลี่ยงไม่ได้

ปริญดาส่ายศีรษะแรง ๆ ปฎิเสธ น้ำตายังคงไหลมาไม่หยุดจนเครื่องสำอางค์เปื้อนเป็นคราบไปทั่วดวงตา

“เชื่อผมนะ ผมสัญญาว่าผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้เราแต่งงานกัน” เวหายิ้มปลอบใจ แต่ความรู้สึกลึก ๆ แล้วเขามีลางสังหรณ์ไม่ดีว่าเขากับเธอคงไม่ได้เจอกันอีก

เวหากัดฟัน ข่มใจปล่อยมือจากเธอแล้วหันไปยกมือไหว้ปวรา “ผมต้องขอโทษด้วยครับคุณแม่ ยังไงวันนี้ผมคงต้องกลับก่อน”

ปวราน้ำตาคลอ ทั้งโกรธแค้นทั้งเสียใจที่หล่อนไม่สามารถทำอะไรเพื่อปริญดาได้เลย อีกทั้งยังรู้สึกน้อยใจในชีวิตตนเอง ที่ลูกสาวของหล่อนช่างมีโชคชะตาเรื่องความรักไม่ต่างอะไรจากหล่อนเลยแม้แต่น้อย

ปวราปาดน้ำตาทิ้ง มองเวหาและครอบครัวของเขาด้วยความคับแค้นใจ แล้วหันไปพูดกับปริญดาเสียงเครือ “กลับกันเถอะลูก เขาขับไล่ไสส่งเราขนาดนี้แล้วเราจะยังขอร้องอ้อนวอนเขาอยู่ทำไมกัน” หล่อนลากแขนลูกสาวที่ยืนอยู่ข้างเวหามายืนข้างตนเอง จากนั้นก็หยิบกระเป๋าบนโต๊ะแล้วพยายามดึงแขนปริญดาที่ยังคงร้องไห้ให้เดินตาม ซึ่งเธอเองก็เดินตามอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก เมื่อเดินผ่านหน้าเวหาไป ปริญดาจึงรีบคว้ามือเขาไว้ แล้วพึมพำบอก

“ฉันรักคุณ...” พูดได้แค่นั้น เธอก็ถูกมารดาดึงเธอกึ่งลากกึ่งจูงไปยังทางออก สายตาทอดมองเวหาไปตลอดทางด้วยความอาวรณ์ เธอรั้งตัวเองให้หยุดยืนมองเขาเป็นครั้งสุดท้าย เห็นเขาส่งยิ้มเหนื่อย ๆ ให้เธอก่อนจะยกมือขึ้นเป็นการร่ำลา

“เราก็กลับบ้านกันได้แล้วตาเวย์ วันนี้เราเสียเวลา เสียอารมณ์มามากพอแล้ว” ลาวัลย์บอกพลางเดินกลับไปที่โต๊ะ เก็บกระเป๋าของตัวเอง ในตอนนั้น ผู้จัดการร้านก็เดินเข้ามาทักทายพอดี

“อาหารเราเตรียมไว้พร้อมเรียบร้อยหมดแล้วนะครับ แล้วเอ่อ....” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อจากนั้น ลาวัลย์ก็แทรกขึ้นอย่างหัวเสีย

“พวกเราหมดอารมณ์กินกันแล้ว อาหารที่ทำมาจะเอาไปแจกใครก็แจกไป”

ผู้จัดการร้านทำหน้าเหวอ เขาเองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ไม่ได้เข้ามาสอบถามระหว่างนั้น เนื่องจากกลัว ว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย แต่เมื่อเห็นว่ามีฝ่ายหนึ่งกลับไปแล้ว จึงเดินเข้ามาถาม

“คือ...ทางคุณลูกค้าจะรับกลับบ้านไหมครับ เดี๋ยวทางเราจัดเตรียมให้แป๊บเดียวเองครับ แล้วก็...”

“ฉันบอกว่าอยากจะเอาไปให้ใครกินก็ไปไง!”

ผู้จัดการร้านสะดุ้งโหยง รีบตอบทันควัน “ครับ ๆ ๆ”

เวหาถอนใจ ดูท่าทางมารดาเขาจะอารมณ์ไม่ดีไปตลอดคืนนี้แน่ เขาจึงหันไปพูดกับผู้จัดการร้านเสียเอง “เรื่องค่าอาหารแล้วก็สถานที่เดี๋ยวผมเคลียร์กับคุณอัศวินเอง เดี๋ยวพวกผมก็จะกลับกันแล้ว ขอบคุณมาก” พูดเสร็จ ผู้จัดการร้านก็ผงกศีรษะรับแล้วเอ่ยขอตัวไปอย่างงง ๆ

เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว เวหาจึงหันไปบอกลาวัลย์และทรงยศ “กลับบ้านกันเถอะครับ ผมมีอะไรจะถามแม่กับพ่ออีกเยอะ และคราวนี้ห้ามบ่ายเบี่ยงผมอีก ต่อให้แม่จะอาละวาด พ่อจะนิ่งเงียบไม่พูด ผมก็ต้องรู้ให้ได้ว่านี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน...และที่สำคัญ...” เขามองหน้ามารดาด้วยสายตาคาดคั้น

“ผมรู้สึกว่าย่าของปริมมีอะไรบางอย่างที่เคยเกี่ยวข้องกับครอบครัวของเรา...” เขาชะงักเพียงครู่ เห็นใบหน้ามารดาซีดเผือดและเมินสายตาหนี ซึ่งจังหวะนั้นเขาแอบเห็นว่ามารดามีน้ำตาเอ่อคลอ แค่นั้น หน้าอกเขาก็ขยับขึ้นลงตามแรงหายใจหนัก ๆ ไม่คิดว่าความสงสัยของเขาจะมีเค้าลาง

“...หวังว่าพ่อกับแม่จะบอกความจริงผมทุกอย่างนะครับ...”
<><><><><><>><>><><>>><><><><><><>><><>><><><><





เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.ย. 2558, 12:47:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ก.ย. 2558, 15:35:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1373





<< ตอน 31-2   ตอนที่ 33 >>
Zephyr 20 ก.ย. 2558, 16:04:16 น.
มาม่าทั้งหม้อเลย
ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้
จะลงเอยยังไง
ปริมคงไม่เครียดจนแท้งหรอนะ มาม่ากว่าเดิมแน่ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account