ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ในเมื่อหัวใจมักจะเรียกร้อง ๑๐๐%

“แต่บางทีรัตน์ก็เห็นว่าหนูย่ามีความเมตตามากเกินไปและกับคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าด้วยค่ะ”

“อ้าว! แล้วคุณไม่ชอบเหรอที่จะได้สะใภ้แบบนี้ หรืออยากจะหาคนขี้งก ขี้เหนียว ขี้บ่น และใจแคบๆ มาแทนล่ะ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ” สามีเลยแหยให้ แต่เมียรีบทำตาโตใส่ทันที

“อย่าเชียวนะคะ กว่าเราจะหาคนนี้ได้ก็แทบแย่ และกว่าเราจะทำให้ตาร๊อกยอมรับคนนี้ได้ก็แทบตาย ถ้าขืนเปลี่ยนคนอีกรับรองว่าต้องเฟ้นหาอีกหลายปีเลยล่ะค่ะ...”

ยังไม่ทันที่อติรัตน์จะพูดจบ เด็กรับใช้ก็เดินเข้ามาบอกว่ามีแขกมาพบเจ้านายแล้ว ทั้งสองออกจากห้องนั่งเล่นไปยังห้องรับสมุดอันหรูหราที่มีสองหนุ่มในชุดสูทสีดำกับแว่นกันแดดรออยู่ก่อนแล้ว

เพราะเป็นห้องที่มิดชิดกว่าห้องอื่นๆ เด็กรับใช้ก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาในห้องรับแขก และการพูดคุยของทั้งสี่ก็เป็นไปแบบลับๆ นานเป็นชั่วโมง “ผมต้องการคำตอบแม่นยำที่สุด เร็วที่สุดจากพวกคุณ จ่ายเท่าไหร่ไม่อั้นและอย่าให้พลาดเหมือนครั้งก่อนอีกนะ”

ชลธีสัมทับกับหนุ่มตรงหน้าอีกรอบ “แต่สุดท้ายพวกเราก็ทำงานเสร็จไม่ใช่เหรอครับ” หนึ่งในสองหนุ่มแย้งด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจและไม่ยอมแพ้ แม้ลูกค้าตรงหน้าจะเงินหนากระเป๋าหนักยังไงก็ยังขอรักษามาดเข้มๆ เอาไว้ก่อนเป็นดี

“แต่ก็ใช้เวลานานเกินไป ครั้งนี้ผมไม่มีเวลามาก รีบจัดการให้เสร็จก่อนจะถึงวันงานแต่งลูกผม และเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับสุดยอดให้ใครรู้ โดยเฉพาะลูกชายผม” ชลธีก็ส่งเสียงเข้มไปหาเช่นกัน ก่อนที่จะปล่อยให้สองหนุ่มออกจากห้องสมุดไปได้

และยังเดินไม่ถึงรถด้วยซ้ำ มือถือของหนึ่งในสองหนุ่มก็ดังขึ้น “ใช่ครับ คุณอยากให้พวกเราสืบอะไร ครับๆ แล้วพบกัน”

ยังไม่ทันจะได้เริ่มงานในมือ งานที่สองก็เข้ามาแทรก และอาจจะตามมาด้วยงานที่สามอีก เมื่อสองพี่น้องในชุดดำไปยังร้านกาแฟเล็กๆ ที่ลูกค้านัดเอาไว้

“ฉันต้องการรู้คำตอบด่วนที่สุดค่ะ สามอาทิตย์พอจะเสร็จทันมั้ยคะ แล้วพวกคุณคิดค่าใช้จ่ายยังไงคะ ต้องมีค่ามัดจำก่อนหรือเปล่าคะ”

ลูกค้าสาวผมยาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่ม ไร้การวางอำนาจบาดใหญ่เหมือนลูกค้าก่อนหน้าคนละเรื่อง และแน่นอนว่าค่าตอบแทนก็จะเป็นคนละเรื่องเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น สองหนุ่มแอบยิ้มในใจเอาไว้แล้ว

ว่างานนี้คงจะกินหมูแน่ๆ “ยังไม่ต้องครับ เราจะคิดตามค่าใช้จ่ายและเวลาที่ใช้จริงครับ ไว้ผมจะแจ้งให้คุณทราบเมื่องานเสร็จ ถ้าไม่มีอะไรมากไปกว่านี้พวกเราขอตัวก่อนนะครับ วันนี้มีงานเข้ามาใหม่สามชิ้นรวด”

“ค่ะ ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ ฉันอยากได้คำตอบจริงๆ และเร็วๆ ด้วยค่ะ”

“รับรองคุณจะไม่ผิดหวังแน่ครับ”

วริญรำไพส่งยิ้มให้สองนักสืบที่อาจจะกำชะตาชีวิตของตัวเอง กับของพี่หินผู้จากไปไว้ในมือแล้ว และแม้จะมีคำตอบจากปากเขาในค่ำคืนนั้นแล้ว แต่ก็อยากจะเพิ่มความมั่นใจให้มากกว่านี้

เพราะความฝันของเขาเมื่อเช้าวันก่อน บวกเข้ากับความบังเอิญในหลายครั้งที่มีระหว่างเขากับพี่หิน รั้งหัวใจให้มีคำถามตามมาร่ำไป ขณะเดียวกันวริญรำไพก็ตระเตรียมใจเอาไว้ให้ความผิดหวังอยู่เกินครึ่ง ถ้าคำตอบที่จะได้จากสองนักสืบเป็นไปอีกทาง



“เสียดายจังที่หนูย่าไปด้วยไม่ได้”

อติรัตน์มองลูกชายที่เดินลงบันไดโค้งมน มีไก่หิ้วกระเป๋าเดินทางตามหลัง “คุณแม่ก็รู้ว่าย่าไม่ค่อยว่างเพราะต้องรับงานจากคุณน้านพมาทำต่อ” ชลธิปหันไปหาแม่ที่กำลังจะเดินไปส่งเขาขึ้นรถ

เพื่อไปประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์แทนพ่ออีกแล้ว แม้จะสงสัยว่าทำไมพักนี้พ่อถึงไม่ค่อยว่างและให้เขาไปแทนบ่อยนัก แต่ถ้าคิดอีกแง่มุมหนึ่งเขาก็เป็นว่าดีไม่น้อย จะได้ไม่ต้องออกตระเวณแจกการ์ดให้กับผู้ใหญ่

และต้องนั่งรับพรให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขด้วยทุกครั้งทุกบ้านก็ว่าได้ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เขาเริ่มจะไม่แน่ใจแล้ว ว่าก้าวต่อไปกับสาวเพรียบพร้อมอย่างดลยาจะเป็นก้าวที่ตรงกับใจนัก

เพราะยิ่งนับวันที่ได้ใกล้ชิดกับอีกคน ก็ยิ่งคิดว่าก้าวที่พ่อแม่และทุกคนอยากให้เดินไปนั้น จะไม่ใช่ก้าวที่เขาอยากจะยืนอยู่ก็เป็นได้ แต่ก็อยากจะได้ความมั่นใจให้มากกว่านี้ จึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรกับพ่อแม่ในตอนนี้

“มัวแต่ทำงานหนักกันทั้งสองคน แต่งกันไปแม่คงอดได้อุ้มหลานเร็วๆ แน่ๆ เลย”

ผู้แม่เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แม้ในใจจะขุ่นเคืองการกระทำของลูกสักแค่ไหน แต่ผู้เป็นสามีก็สั่งไว้ว่าให้ใจเย็น ให้เงียบไว้ อย่าเพิ่งพูดหรือทำอะไรวู่วาม

จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นมากกว่า และนั่นคือวิธีที่ทั้งสองมักจะใช้กับลูกคนนี้ ให้ก้าวเดินไปตามทิศทางที่วางไว้ให้ ไม่อ่อนจนลูกเหลิง ไม่แข็งจนลูกหนี แต่จะค่อยๆ ดูไป

“เอ่อ! คุณแม่ครับ ผมฝากบอกคนดูแลสวนที่นนท์ทีนะครับ ว่ากลับมาแล้วผมจะไปดู” ส่วนลูกกลับดึงเอางานเข้ามาคั่นกลางเรื่องนี้ไว้

“ที่ว่าจะทำโรงแรมอีกน่ะเหรอจ๊ะ ได้สิแม่จะบอกไว้ งั้นลูกก็พาหนูย่าไปดูด้วยสิ จะได้ช่วยกันคิดว่าจะทำแบบไหน ให้ออกมายังไง พ่อกับแม่จะยกที่แปลงนั้นกับเงินสร้างโรงแรมทั้งหมดให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของลูกนะ”

กระนั้นผู้แม่ก็ยังอยากจะแย่บดูทีท่าของลูกว่าจะคิดยังไง เมื่อตัดสินใจเอ่ยเรื่องแต่งงานขึ้นมา แต่ก็เห็นทีท่าสงบนิ่งเหมือนทุกครั้ง สมกับที่ตั้งชื่อ

‘ร๊อก’

ของลูกเท่านั้น “ครับคุณแม่” ลูกเลือกที่จะรับปากไปอย่างนั้น

แต่ครั้นพอกลับจากประชุมและตรวจงานที่ออฟฟิศในสวิตเซอร์แลนด์ที่กินเวลาเป็นอาทิตย์แล้วนั้น วันรุ่งขึ้นเขากลับควบรถออกจากบ้านไปโดยไม่บอกใคร

‘ผมกำลังจะไปดูโลเคชั่นทำตาเบบูญาที่ใหม่ อยากได้มืออาชีพไปเก็บภาพครับ’

‘ค่าเสียเวลาแล้วแต่จะเรียกร้อง สิบนาทีคงพอสำหรับยีนส์ยืดของคุณนะครับ’

‘ผมรออยู่ข้างล่างแล้ว/ร๊อก’

แล้วยิ้มออกมาด้วยสีหน้าของคนเป็นสุข เมื่อข้อความถูกส่งไปแล้ว และเริ่มมองเวลาบนหน้าปัดรถ แม้อีกฝ่ายจะยังไม่ตอบตกลง แต่เขาก็มั่นใจว่าจะไม่ผิดหวัง

เพราะนับตั้งแต่ค่ำนั้นกระทั่งวันนี้ที่ไม่ได้เห็นกัน เขาก็เฝ้าแต่คิดถึงเธอไม่ว่างเว้นแม้แต่นาทีเดียวก็ว่าได้ แถมยังมั่นใจหรือเชื่อว่า เธอก็น่าจะมีสภาพเดียวกันเป็นแน่



วริญรำไพจ้องมองมือถืออย่างชั่งใจ และอยากกดไปหาสองหนุ่มในชุดดำแว่นกันแดดอันโตไม่น้อย เพื่อถามเกี่ยวกับความคืบหน้าของงาน เพราะอยากจะมั่นใจก่อนที่ตัวเองจะก้าวล้ำถลำลึกไปมากกว่านี้

‘ผมรออยู่ข้างล่างแล้วครับ/ร๊อก’

แต่ข้อความจากเขาก็ดังขึ้นมาอีก ด้วยหัวใจรักและคิดถึงพี่หินสุดจะเอ่ย ร่างผอมบางจึงรีบลุกขึ้นไปคว้ายีนส์สีเข้มกับเสื้อยืดสีขาวมาใส่ แล้วลงไปชั้นล่างทันที

“เราจะไปไหนคะ”

พอเข้าไปนั่งในรถได้ก็หันไปถามเขาเป็นเรื่องแรก แล้วหัวใจก็เต้นแรงหนักขึ้นมาอีก เมื่อใบหน้าหล่อเหลามีแว่นกันแดดราคาหลายหมื่นปกปิดดวงตาคมของเขาไว้

“จะไปดูสวนครับ”

แล้วก็เต้นแรงขึ้นอีก เมื่อเขาส่งยิ้มน้อยๆ ให้ขณะตอบ จนต้องรีบหันกลับไปมองข้างหน้า เพื่อหนีอาการว้าวุ่นหัวใจที่มักจะเกิดขึ้นตลอดเวลาได้อยู่ใกล้ชิดกับเขา

เช้าวันหยุดรถไม่ติดมาก ทำให้ใช้เวลาไม่นานก็ไปถึงสวนผลไม้ ซึ่งเป็นสมบัติตกทอดมาจากปู่กับย่าของชลธิปทันที และด้วยความที่ตระกูลของเขาเป็นตระกูลที่มีลูกน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกโทนทั้งนั้น

ที่ทางจึงมีมาก กระจัดกระจายอยู่หลายที่หลายจังหวัด หนึ่งในนั้นก็คือที่นนทบุรี ซึ่งมีเนื้อที่รวมๆ แล้วร้อยสิบไร่เศษๆ และพ่อแม่ของเขาก็ไม่คิดจะขาย เขาเลยอยากจะเอามาต่อยอดด้วยการสร้างโรมแรมแห่งที่สองขึ้นมา

“ขอบคุณครับลุง ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ลุงจะทำงานก็ตามสบายครับ ผมขอเดินดูก่อน”

เขาบอกคนสวนที่เพิ่งจะเคยเห็นหน้าครั้งแรกหรืออย่างมากก็สองเท่านั้น ก่อนจะเดินนำร่างผอมบางเข้าไปด้านใน ที่มีทั้งมังคุด ทุเรียน ส้มโอ และอีกสารพัดผลไม้ที่เขาเพิ่งจะมีความคิดว่าจะซื้อผลไม้พวกนี้ไปเข้าโรงแรมที่บางปู จะได้เอาเงินมาไว้เป็นค่าบำรุงรักษาสวน

“ผมอยากจะทำ ตาเบบูญา บางใหญ่การ์เด้นท์ รีโซเทล แอนด์สปา ขึ้นมาอีกแห่ง ในสวนนี้ เก็บต้นไม้พวกนี้เอาไว้ให้ได้มากที่สุด ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่ตัดคุณคิดว่ายังไงบ้างครับ เป็นไอเดียที่เข้าท่าหรือเปล่า”

“ตามคอนเซปต์การ์เด้นท์ รีโซเทลเหรอคะ”

วริญรำไพหันไปหาเขา ขณะก้าวเดินไปด้วยกัน ตามคูน้ำที่มีต้นส้มโอนับร้อยต้น และบนเนื้อที่ที่สูงก็สวนข้างเคียง

“คุณปู่เล็งการณ์ไกล กลัวน้ำจะท่วม เลยถมที่ไว้สูงก่อนค่อยปลูกผลไม้พวกนี้เอาไว้ สวนเราเลยรอดจากน้ำท่วมครับ” ชลธิปอ่านออกว่าคนข้างๆ สงสัยตรงไหน ขณะเดียวกันเขาก็ยื่นมือไปให้มือบางจับระหว่างก้าวข้ามคูน้ำไปอีกฟาก

จากนั้นก็ไม่คิดจะปล่อยมือน้อยๆ เลยแม้แต่วินาทีเดียว ขณะเดินดูรอบๆ และพูดคุยกันด้วยเรื่อง ต้นไม้ ใบหญ้า ไปจนถึงเรื่องการบริหารโรงแรม แล้วตบท้ายด้วยเรื่องถ่ายพรีเวดดิ้ง

“คุณจะให้ฉันถ่ายภาพตรงไหนบ้างคะ”

วริญรำไพเลยคิดขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้เอากล้องในกระเป๋ากางเกงออกมาใช้งานเลย ชลธิปยิ้มเก้อๆ ออกมาเมื่อถูกถาม



กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ย. 2558, 14:49:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ย. 2558, 14:49:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 857





<< หัวใจสองเราต่างตรงกัน ๑๐๐%   เมื่อหัวใจไม่อยากจาก ๑๐๐% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account