ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: เมื่อหัวใจไม่อยากจาก ๑๐๐%

“เอ่อ! คุณถ่ายตรงไหนก็ได้ครับ งั้นระหว่างนี้ผมไปเอาน้ำในรถมาให้นะครับ ผมว่าคุณคงเหนื่อยแล้วก็หิวแล้วล่ะ”

“ค่ะ”

เพราะรู้สึกอย่างที่เขาว่าจริงๆ เมื่อเขาวิ่งกลับทางเดิมแล้ว วริญรำไพเลยได้ทำงานสักที ด้วยการเดินถ่ายรูปตรงนั้นทีตรงนี้ที ที่คิดว่าเขาจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้

กระทั่งเดินไปถึงต้นมะม่วงที่มีลูกกำลังจะสุกสีเหลืองปนเขียวน่ากินเข้า เลยเอากล้องยัดใส่กระเป๋า แล้วเขย่งขึ้นเพื่อคว้ามะม่วงมาให้ได้

แต่ความสูงร้อยเจ็ดสิบของตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย แม้จะเขย่งยืดตัวให้มากที่สุดแล้วก็ตาม ก็ยังไม่อาจจะพามือไปถึงมะม่วงได้

“อุ๊ย!!!”

กระทั่งมีร่างสูงใหญ่เข้ามารวบตัวจากด้านหลังขึ้น มือจึงได้แตะกับพวงมะม่วง แต่วริญรำไพไม่ได้เด็ดมัน เพราะมัวแต่ตกใจและก้มลงไปหาคนที่มาอุ้มขึ้นแทน

“โห! เห็นตัวคุณเล็กแค่นี้ไม่เบาเลยนะครับ ผมชักอยากจะรู้ซะแล้วว่าคุณกินข้าววันละกี่จานกัน”

“...”

วริญรำไพถึงกับอึ้งในคำนี้ เพราะมันช่างเหมือนคำพูดพี่หินเมื่อสิบสองปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยนอีกแล้ว จนต้องหัวเราะออกมาเมื่อในความคิดกำลังวาดภาพว่าเขาคือพี่หินของเอ๋ยอยู่

“รีบเด็ดมะม่วงลงมาสิครับ อย่ามัวแต่หัวเราะ และห้าวกระดุกกระดิก เดี๋ยวผมพาล้มนะ”

และเมื่อถูกเสียงเขาย้ำเตือน สองมือบางจึงรีบคว้าพวงมะม่วงลงมาทันที ชลธิปค่อยๆ ย่อตัวลงเพื่อให้คนในอ้อมแขนยืนกับพื้นได้ แม้ในใจอยากจะให้พื้นดินอยู่ต่ำลงไปสักสิบเมตรก็ตามที

เพราะยังไม่อยากปล่อยร่างนุ่มนิ่มให้ห่างกายไปไหน หรืออีกนัยอยากจะกอด อยากจะหอม อยากจะจูบ อยากจะลูบ อยากจะไล้ ให้สมกับที่หัวใจคิดถึงมาเป็นอาทิตย์มากกว่า

“อุ๊ย!!! เสื้อคุณเปื้อนยางมะม่วงหมดแล้วล่ะค่ะ”

แต่มะม่วงเจ้าปัญหาก็ทำให้ความอยากของเขาต้องเป็นหมันลงทันที “คุณถอดออกมาก่อนสิคะ ฉันจะเอาน้ำล้างให้” วริญรำไพรีบวางมะม่วงลงกับพื้น

แล้วตรงไปหยิบขวดน้ำที่เขาทิ้งไว้กับพื้นขึ้นมาทันที ส่วนเขาก็ถอดเสื้อสีขาวส่งให้ทันที เพราะยังมีเสื้อกล้ามสีขาวตัวในใส่ไว้อยู่

“ผมไม่ยักรู้ว่าคุณอยากกินมะม่วง ทำไมไม่บอกล่ะครับ ผมจะได้ให้ลุงเก็บให้ แถมผลไม้อื่นๆ ด้วยเป็นเข่งเลย แต่มีข้อแม้ว่าคุณจะต้องเลี้ยงมื้อเที่ยงผมนะครับ”



ข้าวกระเพราจากกล่องกับกาแฟในถุงกระดาษถูกเจ้ามือสาวยกชูขึ้นให้เขาเป็นทันทีที่ลงจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ของเขาได้ ส่วนเขาก็ชี้สายตาไปหามะม่วงกับผลไม้อื่นๆ ที่กองอยู่ใต้ต้น ขณะรอให้เจ้ามือสาวออกไปซื้อข้าวมาเลี้ยง

ลุงคนสวนกับเมียและหลานได้ไปสี่กล่องจากวริญรำไพที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้ ชลธิปเพิ่งเห็นเป็นอย่างแรกที่คู่หมั้นกับสาวตรงหน้ามีความเหมือนกัน แต่หัวใจเขาเป็นสุขมากกว่าเวลาได้อยู่ใกล้ๆ

แม้จะเพียงแค่ได้นั่งกินมื้อเที่ยงด้วยกัน ใต้ต้นมะม่วงในสวนเท่านั้น และแม้ข้าวกระเพราจะมาจากร้านอาหารตามสั่งธรรมดาๆ ทว่าเขากลับเห็นว่ามันอร่อยล้ำยิ่งกว่าได้กินจากฝีมือเชฟในโรงแรมของเขาอีกเช่นเคย

และเขาก็ไม่เคยกินอาหารเหลือจากจานหรือจากกล่องของใครเลยในชีวิต ยกเว้นจากกล่องของคนข้างๆ ที่ยื่นมาให้เท่านั้น หัวใจเต้นตึกๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลอีกแล้ว

เมื่อได้ยินรอยยิ้มจากเธอขณะยื่นถุงกาแฟให้ แล้วเขาก็รับมาดูดต่อหลอดเดียวกันอย่างไม่เกี่ยงงอน เมื่อถุงของตัวเองเหลือแต่น้ำแข็งเท่านั้น

“ผมจะตอบแทนมื้อเที่ยงที่คุณกรุณาเลี้ยงด้วยกันพาเที่ยวก่อนเรากลับนะครับ แต่ก่อนอื่นต้องช่วยกันขนผลไม้พวกนี้ไปไว้หลังรถผมก่อน ถ้าคุณยังยืนยันว่าอยากได้ไปฝากน้องๆ ที่ออฟฟิศ”

“คุณจะพาไปเที่ยวไหนคะ”

มือบางถูกมือหนาและแข็งแรงประคองไว้ ขณะลงเรือเพื่อนั่งชมเกาะเกร็ด “คุณจะเชื่อหรือเปล่าว่าผมไม่เคยเที่ยวแถวนี้เลย เพราะมัวแต่ทำงานเท่านั้น ผมเองก็เพิ่งรู้ตอนหาข้อมูลไว้ส่งโปรเจคเสนอคุณพ่อตอนคิดจะสร้างตาเบบูญาที่บางใหญ่นี่เองครับ”

“เหรอคะ”

วริญรำไพที่มีแว่นกันแดดปิดดวงตาไว้ หันไปมองแล้วส่งยิ้มให้คนที่ปกปิดสายตาคมเอาไว้ไม่แพ้กัน ก่อนจะหันไปหาธรรมชาติข้างของฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และวัดน้อยใหญ่ที่เรือขับผ่าน

“ขึ้นไปไหว้พระด้วยสิครับ เกิดชาติไหนจะได้เป็นคู่กันอีกทุกชาติไป”

สองใบหน้าหล่อสวยต่างหันไปมองกันและกันเพียงเท่านั้น ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมา โดยเฉพาะวริญรำไพที่ก้มหน้ามองท้องเรือหนีอายเพียงเท่านั้น

“งั้นเราไปกัน”

แต่ไม่นานก็ถูกเขาคว้ามือมากุมไว้ แล้วรั้งให้ลุกขึ้นเพื่อพาก้าวไปหาท่าตามคำแนะนำของคนเรือ ที่เขาเห็นว่าพูดถูกใจไม่น้อย เห็นทีจะต้องตบรางวัลให้อย่างงามเมื่อทัวร์เสร็จสิ้นหน่อยแล้ว

และเวลาที่มีความสุข มันก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้จะออกมาด้วยกันตั้งแต่เข้า แล้วกลับเข้าไปจอดรถไว้ใต้คอนโดในเวลาสามทุ่มแล้วก็ตาม แต่ชลธิปงก็ไม่อยากจากไปไหน

“ขอบคุณค่ะที่มาส่ง”

จนวริญรำไพต้องเอ่ยคำนี้ออกมา “คุณเอาผลไม้มาจากสวนผมตั้งเยอะแยะไม่คิดจะจ่ายค่าปลูกให้บ้างเหรอครับ” เขาเลยรีบทวงทันที ทำเอาอีกคนหันมาส่งยิ้มด้วยท่าทีหมั่นไส้น้อยๆ ให้ ก่อนเอ่ยย้อน

“เศรษฐีหมื่นล้านอย่างคุณสนใจการทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ กับคนยากจนอย่างฉันด้วยเหรอคะ” แล้วหันไปมองสบตาเขา ที่กำลังมองมาหาด้วยนัยตาหวานซึ้งอยู่ก่อนแล้ว

“นี่ไม่ใช่กำไรเล็กๆ น้อยๆ นะครับ แต่เป็นกำไรมีค่ามหาศาลเพราะผมไม่ได้ตีค่าผลไม้เป็นเงิน แต่ผมขอคิดเป็น...”

แผ่นหลังระหงเอนไปจนติดเบาะ เมื่อในแสงไฟจากลานจอดสาดส่องเข้ามาในรถ ให้ได้เห็นว่าเขากำลังโน้มกายไปหาใกล้ๆ ใกล้ๆ ใกล้ๆ

จนสุดท้ายทาบริมฝีปากลงไปอีกกลีบบุหงาที่เม้มเข้าหากันอย่างหวาดหวั่นในสัมผัสที่จะได้จากเขาอีกวาระ จากจูบบางเบาและเนิ่นนานก็ผันผ่านเป็นหนักขึ้นกว่าที่เคยเป็น

มือของเขาที่เคยประคองสองไหล่หรือโอบกอดไว้ ก็มีความกล้ามากพอที่จะเลื่อนไปหาบัวงามใต้เสื้อยืดสีขาวสะอาดตา แม้จะเป็นเพียงการลูบไล้ไปตามร่มผ้า

ทว่าผู้เป็นเจ้าของก็ถึงกับกายอ่อนระทวยลงอย่างยากจะทนฝืนอยู่ได้ เพราะหัวใจเป็นสุขเหลือเกิน เมื่อมีพี่หินคอยมอบสัมผัสรักให้แบบนี้

จนอดคิดถึงค่ำคืนในเก๋งเรือไม่ได้ ที่ตัวเองเสียดายมาตลอดเวลาที่พี่หินจากไป เสียดายที่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ กับพี่หินแบบนั้นอีก แต่ตอนนี้ความเสียดายได้ถูกกลืนหายไปจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว

เมื่อพี่หินคนนี้กำลังกลืนกินริมฝีปากนุ่มอยู่เนิ่นนาน และกำลังจะเลื่อนลงไปดูดดื่มปทุมงามที่มือเขากำลังจะดึงชายเสื้อยืดขึ้น เพื่อให้ได้เชยชมให้สมกับความคิดถึงคนึงหามาช้านาน

“เอ่อ! อย่าค่ะ ดึกแล้วคุณกลับเถอะนะคะ ฉันต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานด้วย”

ชลธิปที่สติกำลังจะหลุดลอยไปจำใจต้องสะกัดกลั้นความต้องการของร่างกายเอาไว้ แล้วผละออกห่างร่างที่ทำให้ใจเขากระเจิดกระเจิงได้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้อย่างยากลำบาก

“ครับ! ผมจะช่วยขนเข่งผลไม้ไปใส่หลังรถให้ แล้วขึ้นไปส่งคุณที่ห้อง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขึ้นไปเองดีกว่า คุณจะได้รีบกลับ”

เพราะไม่อาจจะเชื่อใจตัวเองได้ว่า ถ้าปล่อยให้เขาไปถึงหน้าห้องได้แล้ว จะใจแข็งมากพอที่จะไม่ยินยอมให้เขาเข้าไปด้านในได้ ถ้าเขายื่นความจำนงค์แบบเมื่อครู่อีก

“งั้นก็ตกลงครับ”

ชลธิปเองก็ใช่ว่าจะมั่นใจในตัวเองมากนัก หนทางที่จะผลักให้ตัวเองไม่เดินก้าวล้ำไปในเรื่องที่ไม่ควรที่ดีที่สุด ก็คือรีบยกผลไม้ไปใส่หลังรถแล้วก็รีบออกรถไปเมื่อร่างผอมบางเข้าไปในล็อบบีได้แล้ว

และกับความรีบร้อนที่จะหนีไปนั้น ทำเขาให้ไม่อาจจะล่วงรู้ได้ว่า นับตั้งแต่ล้อรถหมุนออกจากใต้คอนโดเมื่อเช้า กระทั่งขับกลับเข้ามาอีกนั้น ถูกรถอีกคันที่ไม่คุ้นตาตามติดไปทุกหนทุกแห่งก็ว่าได้



ใบหน้าขาวสวยใสแม้ในยามไม่แต่งแต้มใดๆ ดูหมองคล้ำลงไปถนัดตา เมื่อดลยาจอมจ่มอยู่กับอาการบาดเจ็บทางใจนับตั้งแต่รถตู้แล่นออกจากใต้คอนโดเมื่อคนนี้แล้ว

ภาพบาดตาที่ได้เห็นคู่หมั้นของตัวเอง กอดจูบอยู่กับผู้หญิงที่ตัวเองเชื่อมั่นว่าเป็นคนดีมาโดยตลอดนั้น ริดรอนเรี่ยวแรงที่มีในตัวไปจนหมดสิ้น และไม่อาจจะลุกไปทำงานได้เฉกเช่นทุกวัน

อยากจะโทรไปหาเขาเพื่อย้ำถามให้แน่ใจ ว่ายังอยากจะให้งานแต่งที่จะมีขึ้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านี้หรือไม่ แต่อีกใจก็ไม่กล้า เพราะกลัวกับคำตอบที่จะได้ และไม่รู้ว่าความสัมพันระหว่างเขา

กับสาวผมยาวนั้น จะจริงจังมั่นคงยังไง หรือเป็นไปเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของเพศชาย ที่มีฝ่ายหญิงมาคอยทอดสะพานให้ เลยไม่ยอมปล่อยไปให้หลุดมือ แต่จะต้องตักตวงเอาไว้ก่อนจะได้ไม่เสียชายกันแน่

‘ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ ก๊อกๆๆ’

เสียงเคาะประตูดังรัวเร็ว ทำให้ดลยาต้องรีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากสองแก้ม เพราะรู้ดีว่าคนเคาะคือแม่นั่นเอง

“ย่า! รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเร็วๆ เข้า ป้ารัตน์กับหนูดวงมารออยู่ข้างล่างแล้ว เราต้องรีบไป”

ดลพรสั่งลูกเสียงเฉียบขาด เพราะยังโกรธคงค้างตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว กับภาพอันบัดสีที่เห็น และเป็นการเห็นพร้อมกันสี่คน

ถ้าไม่มีลูกห้ามไว้ล่ะก็ ตอนนั้นดลพรเชื่อแน่ว่าคงได้ลงจากรถตู้ไปจิกหัวแม่ราพันเซลมาตบล้างน้ำให้หายแค้นไปหลายรอบแล้วด้วยซ้ำ

“ไปไหนคะแม่”

ดลยางงไม่น้อย เพราะบอกทุกคนไว้แล้วว่าวันนี้จะไม่เข้าออฟฟิศหรือไปไหนทั้งนั้น แม้กระทั่งเอาการ์ดชุดที่เหลือไปแจก เพราะไม่มั่นใจในตัวว่าที่เจ้าบ่าวมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

“ไม่ต้องถามแม่ แต่รีบไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปข้างล่างเร็วๆ อย่าให้ผู้ใหญ่รอนานนะแม่ไม่ชอบ!”

เห็นสีหน้าและท่าทางของแม่แล้ว ดลยาก็รู้ได้ทันทีว่าโกรธมาก และแม้จะยังเสียใจในเรื่องคู่หมั้น แต่ก็ไม่อยากทำให้แม่โกรธมาก ดลยาเลยเลือกที่จะฝืนใจทำตามคำแม่



กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2558, 14:39:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2558, 14:39:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 836





<< ในเมื่อหัวใจมักจะเรียกร้อง ๑๐๐%   ความหวังพินพังในพริบตา ๑๐๐% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account