แกะรอยกามเทพ (รีไรต์)
'เทวานิรมิต' โรงแรมหรูกลางกรุงที่ใครเขาว่างดงามดุจเทวดารังสรรค์
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง
1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต
'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา
'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน
และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ
ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง
1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต
'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา
'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน
และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ
ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๓
๓
เพื่อเป็นการตัดปัญหาและความสบายใจของพ่อกับแม่ ทิวบุญต้องเป็นพี่ใจร้าย แล้งน้ำใจอีกครั้งด้วยการไม่ไปเยี่ยมอุ้มบุญที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ผู้ใหญ่บุญรอดขับรถเทียวไปมาระหว่างกรุงเทพฯ - นครนายกอีกสองวัน ก่อนแพทย์จะอนุญาตให้คนเจ็บกลับบ้านได้
ตลอดสัปดาห์ที่อุ้มบุญกลับมาพักฟื้นที่บ้าน คนเป็นพี่ต้องย้ายไปนอนห้องพี่ชายไปพลาง เขายังไม่กลับจากแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติกลางอ่าวไทยเร็วนักหรอก ระหว่างนี้เธอก็คิดหาทางทำตามแผนการในใจให้สำเร็จจึงมักเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แทนที่ออกมาหยิบจับทำงานต่างๆ ดังเคย
กระทั่งมื้อเย็นวันหนึ่งที่เธอลงมาข้างล่าง ทั้งที่นึกรู้ว่าคนที่ตนพยายามหลบเลี่ยงคงอยู่ที่นั่น พ่อ แม่ และน้องกำลังล้อมวงทานข้าวรอบโต๊ะหินอ่อนใต้ถุนบ้าน ยังไม่มีใครสังเกตว่าเธอเพิ่งลงบันไดมา แล้วเธอก็ได้ยินพ่อพยายามเกลี้ยกล่อมน้องให้ขึ้นไปตามเธอ
"ไปตามพี่เขามากินข้าวสิอุ้ม พี่เขาต้องมากินทีหลังทุกมื้อ ทำเหมือนไม่มีตัวตนในบ้าน ไม่สงสารหรือ"
ทิวบุญไม่เห็นสีหน้าน้องนอกจากใบหน้าไม่สู้สบายใจของแม่ที่หันข้างมา แต่เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงจะวางหน้านิ่งดังเคย
"ทำไมลูกพ่อใจร้ายใจดำอย่างนี้ พ่อแม่เลี้ยงไม่ดีตรงไหน พี่น้องถึงต้องมาทะเลาะกัน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างแสนเจ็บปวดใจ
"พ่อเลี้ยงดีมาก แต่อุ้มเลวเอง อย่างนั้นไงคะ" เสียงแข็งอย่างที่แทบไม่เชื่อหูว่ามาจากเด็กเรียบร้อยที่สุดตอบกลับ
"พ่อ อุ้ม พอเถอะลูก" ฤทัยแตะแขนปรามทั้งสองฝ่าย
ภาพที่เห็น ตัวน้องที่เป็นเช่นนี้มันเกินความโกรธไปแล้ว อุ้มบุญกำลังป่วย เธอเชื่ออย่างที่แพทย์เคยบอกว่าน้องควรพบจิตแพทย์เพื่อรักษาโรคซึมเศร้า ถ้าจะโทษใครสักคนที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นเช่นนี้ ตัวเธอเองก็คงมีส่วนที่ทำให้น้องคิดไปว่าต้องแข่งขันแม้เพื่อแย่งชิงความรักจากพ่อแม่ก็ตาม
หญิงสาวก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายไปหาทุกคน ทำเหมือนไม่ได้ยินที่พวกเขาคุยกัน
"พ่อ แม่ อุ้ม"
"อ้าวทิว มาสิลูก มากินข้าวกัน" บุญรอดเป็นฝ่ายออกปากชวน
เธอนั่งลงบนม้าหินอ่อนที่ว่างอยู่ตัวหนึ่ง ก่อนยื่นมือไปรับจานข้าวที่พ่อรีบตักให้ราวกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจ
กลางวงอาหารยามเย็นมีหลอดนีออนจากใต้ถุนเรือนให้ความสว่าง บุญหลายซึ่งหมอบอยู่ข้างพ่อกระดิกหางพลางลุกมานั่งระหว่างเธอกับอุ้มบุญเพื่อรอเศษอาหารจากคนที่ให้มันประจำ แล้วผู้พี่ก็ได้เห็นน้องนั่งตัวแข็ง ประสาคนไว้ตัวและขี้กลัวสัตว์ทุกชนิด
"ทิวมีเรื่องจะบอกทุกคนน่ะ" เธอเกริ่นนำก่อนที่จะอึดอัดไปมากกว่านี้
สายตาสองคู่ที่เฝ้าดู ให้ความสนใจกับลูกเสมอจ้องมองมา หากทิวบุญก็เชื่อว่าคนที่เอาแต่เขี่ยช้อนกับข้าวไปมาข้างๆ ตนนี้ก็คงรอฟังเช่นกัน
"ทิวได้งานที่กรุงเทพฯ แล้วนะ พรุ่งนี้จะไปสัมภาษณ์และเซ็นสัญญา แล้วว่าจะอยู่ที่ห้องพักเลย เผื่อเขาให้เริ่มงานน่ะจ้ะ"
"งานอะไรลูก" ฤทัยถามอย่างแปลกใจ
"งานเลขาฯ เหมือนเดิมแหละแม่" เธอปด
ทั้งหมดที่กล่าวมาไม่เป็นความจริงสักอย่าง เพราะเธอไม่ได้สมัครงานที่ไหน และมีที่ทำงานในดวงใจไว้แล้วว่าจะต้องเข้าไปทำงานที่นั่นให้ได้
"ไปทำอีกทำไม ไหนว่าเบื่อกรุงเทพฯ" บิดาถามบ้าง
"ก็เมื่อก่อนห่วงพ่อกับแม่ไง แต่เดี๋ยวนี้อุ้มก็อยู่ อุ้มดูแลพ่อกับแม่ได้อยู่แล้ว"
ทิวบุญหันมองหญิงสาวที่ยังคงซูบซีด อุ้มบุญเหลือบตามาสบตาเธอแวบหนึ่ง ก่อนรีบชักกลับและปั้นหน้านิ่งเสมือนไม่รับฟังคำพูดเธอ
"ทิว..."
"เหอะพ่อ ก็เขารับทิวแล้ว จะให้เสียคำพูดได้ไง" ลูกสาวคนโตเอ่ยตัดบท
แต่ไหนแต่ไรเธอก็เป็นคนมั่นใจ หัวแข็งอย่างที่พ่อแม่เคยว่า เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้วก็ไม่มีใครทัดทานได้
นิสัยเช่นนี้เองที่อุ้มบุญไม่มี และจะไม่มีวันเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวได้เท่าพี่สาว หากเธอไม่คิดออกจากอ้อมอกแม่และเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่คุณค่าที่ต้องรอคนอื่นประเมินร่ำไป
........................
หญิงสาวนอนตะแคงปิดเปลือกตาบนฟูกซึ่งปูกับพื้นไม้ มีมุ้งตาข่ายกางกั้นจากมดแมลงที่อาจรบกวนคนนอนได้ หากเธอไม่ได้หลับอย่างที่แสร้งทำหรอก ความสะดวกสบายต่างจากห้องเช่ากลางเมืองหลวงทำให้หลับไม่สนิททุกคืน รวมทั้งเช้ามืดวันนี้ตั้งแต่แม่ซึ่งย้ายมานอนเป็นเพื่อนลุกออกจากมุ้ง
กลิ่นหอมของข้าวหุงสุกใหม่ดังเช่นทุกเช้าลอยมาถึงบนบ้าน หน้าต่างบานไม้ซึ่งงับไม่สนิททำให้ได้ยินเสียงความเป็นไปต่างๆ ภายนอกได้ชัดเจน แม่พูดคุยกับเพื่อนบ้าน เสียงแม่พูดคุยกับพ่อ กระทั่งเสียงพ่อและแม่พูดคุยกับพี่ที่คงตื่นแต่เช้าเพิ่มเตรียมตัวเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
อุ้มบุญนึกถึงงานที่เธอทิ้งมาโดยไม่ได้ลาออกหรือบอกกล่าวใคร เธอปิดมือถือนับแต่ตัดสินใจทำสิ่งที่เด็ดขาดที่สุดในชีวิต แล้วก็ไม่ได้เปิดมันอีก ตัดขาดจากทุกคนและโลกภายนอก แต่ใครจะสน เธอไม่ได้มีเพื่อนมาก ไม่ได้มีสังคม คนที่ดีกับเธอทุกคนต่างก็เป็นชายหนุ่มหรือไม่ก็สาวหล่อที่มาชอบพอ เพราะอย่างนี้ใช่ไหมหัวใจเธอจึงวนเวียนอยู่แค่เรื่องความรัก จนถึงขั้นพลั้งเผลอใจไปกับผู้ชายที่หลอกลวง
น้ำตาไหลลงมาอีก พร้อมกับหัวใจที่ดิ้นทุรนทุราย เธอถีบขาสะบัดเอาชายผ้าห่มหลุดพ้นจากตัวอย่างไม่ได้ดั่งใจ ทำไมเธอจึงต้องเป็นคนแพ้ต่อหน้าครอบครัว มันควรจะเป็นความลับดำมืดที่เธอรู้แก่ใจคนเดียว หากว่าเพื่อนทรยศและพี่จะไม่พาแม่มาพบเข้า แต่มันก็เป็นไปแล้ว เธอได้รับความสนใจ สงสารจากแม่ก็จริง แต่เธอจะไม่มีวันได้รับคำชมดังพี่ที่เธอเกลียดฝังใจ
อุ้มบุญลูบรอยแผลเป็นเย็บยาวจากใต้ศอกลงมาพลางไพล่นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตามไปพบพี่ซึ่งหนีไปเล่นบ้านเพื่อน เธอขู่จะฟ้องแม่ที่พี่ทิ้งให้เธอทำงานบ้านคนเดียว วันนั้นพี่สาววัยสิบสี่ปีทั้งยื้อยุดฉุดกระชากเธอไปหน้ากรงสุนัขเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเธอกลัว แล้วเสียงร้องไห้ของเธอก็ทำให้สุนัขสีดำตัวใหญ่ในบ้านเพื่อนพี่กระโจนออกมาจากกรง มันตรงเข้าขย้ำเธอจมเขี้ยว เด็กหญิงอุ้มบุญกรีดร้องลั่นจนผู้หลักผู้ใหญ่บนบ้านลงมาห้ามปราม
แผลในใจวันนั้นสดใหม่กว่ารอยแผลเป็นซึ่งซึดจางยิ่งนัก เธอฝังใจเสียแล้วว่าพี่เกลียดเธอ และเธอก็ต้องเกลียดเขาให้มากกว่า อะไรที่พี่พูด คิด ทำ ก็ล้วนติดลบด้วยอคติ ทิฐิมานะในใจ ไม่มีวันที่เธอจะให้อภัยคนที่ทำร้ายเธอ แล้วยังเจียดเอาความรักจากแม่ไปอีก ไม่มีวัน...
อุ้มบุญคิดอย่างเจ้าคิดเจ้าแค้น ก่อนปาดน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงติดเครื่องยนต์รถกระบะและเสียงร่ำลาระหว่างแม่กับทิวบุญ ความคิดที่ว่าพี่กำลังจะจากไปมีอนาคตสวยงาม ยิ่งลดแสงคุณค่าในใจเธอให้มอดดับลง เหมือนกับประตูชีวิตเธอกำลังปิดลงทีละบาน
.........................
พ่อขับรถมาส่ก่อนจะงตีรถกลับทันทีเมื่อมีประชุมผู้ใหญ่บ้านช่วงบ่ายวันนี้ ทิวบุญเก็บข้าวของสัมภาระในห้องแล้วเรียบร้อยจึงค่อยเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดเสื้อกางเกงสูทสีดำสุภาพ ลดความแข็งกระด้างด้วยเสื้อเชิ้ตสีส้มอ่อนข้างใน พร้อมสำหรับ 'วอล์ก อิน' ไปสมัครงานอย่างที่เธอมั่นใจว่าประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงานของตนจะทำให้ผู้รับยากปฏิเสธได้ลง
เธอลงมาจัดการเรื่องค่าเช่าห้องพักที่อุ้มบุญค้างชำระตามที่รับปากผู้จัดการสาวใหญ่เป็นสิ่งแรกหลังมาถึง พนักงานผู้ช่วยเป็นคนรับเรื่องและเงินทั้งหมดไว้ ก่อนเธอจะเสร็จธุระเร็วกว่าที่คิดเมื่อฝ่ายนั้นบอกว่าส้มโอขึ้นไปดูช่างซ่อมเครื่องปรับอากาศห้องพักข้างบน
จาก 'ซีซีเพลส' ไป 'โรงแรมเทวานิรมิต' ใช้เวลาเพียงสิบนาทีเศษโดยรถแท็กซี่ เมื่อรู้ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน คราวต่อไปเธอก็พอรู้วิธีเดินทางที่ประหยัดขึ้น
ทิวบุญกวาดสายตามองตึกกว้างสูงแปดชั้นสีขาวสะอาดตา ตัดด้วยระแนงไม้พรางตาสีน้ำตาลไหม้ยังระเบียงห้องพัก ด้านหน้าที่จอดรถร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่อย่างที่หาได้ยากในเมืองกรุง มันเงียบสงบกว่าที่เธอคิดเมื่อตั้งอยู่ในซอย
"เทวานิรมิต" เธอทวนชื่อนั้นออกมาอย่างเผลอไผลเมื่อเจ้าหน้าที่ชายเปิดประตูกระจกให้เข้าไป
ถ้าภาพภายนอกที่เห็นคือความเรียบง่ายสบายตา การตกแต่งภายในของที่นี่ก็ลานตาด้วยชุดโซฟาผ้าไหมสีเลือดหมู ตัดกับพื้นหินอ่อนแผ่นใหญ่ขัดเงาเสียจนสะท้อนแสงทองนวลตาจากโคมไฟระย้าเบื้องบน มีแจกันดินเหนียวขนาดใหญ่ซึ่งเขียนสีเป็นลายเส้นอ่อนช้อยตั้งประดับมุมเสา อีกทั้งหน้าโต๊ะเคาน์เตอร์ต้อนรับยังประดับด้วยรูปปั้นทองเหลืองรูปนางกินรียืนพนมมือ แม้ไม่มีโอกาสได้เสพงานศิลป์มากนัก หากเธอก็ตัดสินได้ว่ามันงดงามและลงตัว
"ติดต่อแผนกบุคคลค่ะ" เธอบอกกับพนักงานสาวในชุดเสื้อสูทยูนิฟอร์มของทางโรงแรม
"ไม่ทราบว่าติดต่อธุระอะไรคะ" เสียงหวานถามกลับ
"มาสมัครงานค่ะ"
คำตอบนั้นสะดุดหูใครบางคนที่กำลังเดินผ่านเคาน์เตอร์ไป ลักขณาลดฝีเท้ามองอีกฝ่ายอย่างประเมินก็เห็นว่าเป็นหญิงสาวท่วงท่ามาดมั่น ร่างสูงเพรียวนั้นแม้สวมใส่รองเท้าคัชชูส้นเตี้ยก็สูงเท่าเธอซึ่งสวมส้นสูงราวสองนิ้ว ผมที่ตัดซอยสั้นแทบติดศีรษะนั้นยิ่งเพิ่มความโดดเด่นให้กับใบหน้าสวยเก๋ขึ้นไปอีก
กระทั่งอีกฝ่ายคงรู้สึกตัวที่ถูกมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เจ้าหล่อนจึงได้หันมา ก่อนคนแอบมองด้วยความชื่นชมจะคลี่ยิ้มบางให้พลางรับไหว้พนักงานที่กระพุ่มมือไหว้สวัสดี
"เดี๋ยวพี่พาน้องคนนี้ไปเองค่ะ" เธออาสา
ทิวบุญหันไปไหว้ขอบคุณ แม้ไม่รู้จักแต่ก็เชื่อว่าสุภาพสตรีผู้นี้ย่อมต้องมีตำแหน่งแห่งหนในเทวานิรมิตเป็นแน่
"มาสมัครตำแหน่งอะไรคะ" ลักขณาถามอย่างชวนคุยขณะเดินไปยังสำนักงานชั้นล่างด้านหลังโรงแรม
" 'เซล โค' ค่ะ"
เธอหมายถึงตำแหน่งผู้ช่วยประสานงานฝ่ายขายที่น้องเคยทำ
"ไม่สนใจงานเลขาฯ หรือคะ ที่นี่กำลังหาคนอยู่"
ทิวบุญลอบย่นจมูก ดูเหมือนเธอจะเกิดมาเพื่องานเลขานุการเสียจริง เมื่อสมัครที่ใดก็ได้ตำแหน่งนี้ ทว่าเธอไม่ต้องการถูกกักขังไว้บนหอคอยงาช้างกับบรรดาผู้บริหารตอนนี้ เธออยากคลุกคลีกับคนในสังคมเดียวกับน้องมากกว่า
"คุณทัดเทพเป็นผู้บริหารที่นี่ เขาชอบคนคล่องแคล่วค่ะ หน่วยก้านคุณใช้ได้เลย"
"คุณทัดเทพหรือคะ" เธอทวนชื่อนั้นอย่างจดจำได้ขึ้นใจ
อีกฝ่ายหันมาผงกศีรษะก่อนผลักประตูกระจกทึบเข้าไป และนั่นก็เรียกสติผู้ที่เคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกกลับคืนมา
ป้ายพลาสติกแข็งซึ่งติดไว้ข้างประตูห้องบอกว่าเป็นแผนกบุคคล ภายในนั้นมีโต๊ะทำงานเพียงสามตัว กั้นด้วยฉากพรางตาแยกสัดส่วนเป็นส่วนตัว ทุกคนในห้องต่างพนมมือไหว้สุภาพสตรีที่พาเธอมา และนั่นก็ยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้คงอยู่ในฐานะพิเศษจริงๆ
"คุณอร ดิฉันพาคนมาสมัครงานค่ะ"
ทิวบุญพนมมือไหว้ผู้ที่อาวุโสสุดในห้องนั้น ก่อนจะงันไปเมื่อผู้ที่พาเธอมาเอ่ยก้าวก่ายความตั้งใจของตน
"ให้เป็นเลขาฯ คุณเทพน่าจะพอไหว"
พนักงานอาวุโสยิ้มบาง ก่อนจะเอ่ยอย่างผู้มีหน้าที่รักษาระเบียบการ
"คงต้องดูเรซูเม่อีกทีค่ะ" น้ำเสียงสุภาพนอบน้อมนั้นยากจะแปลความหมายว่าต้องการขัดใจ
หญิงสาวส่งเอกสารในแฟ้มให้อรพรรณ อีกฝ่ายเพียงกวาดตามองแค่ชื่อก็เงยหน้ามาสบตาเธอทันที
"เป็นอะไรกับคุณอุ้มบุญหรือคะ เห็นนามสกุลเดียวกัน"
"ดิฉันเป็นพี่สาวค่ะ อุ้มไม่สบายจึงต้องหยุดอยู่บ้าน ดิฉันเลยอยากหางานทำแทนน้อง และก็ทราบว่าที่นี่รับสมัครงาน"
ผู้ฟังทั้งสองผงกศีรษะรับฟัง ยิ่งลักขณาคุ้นหูชื่อบุคคลที่สามที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง นั่นก็ตรงกับความต้องการหาผู้ช่วยที่เหมาะสมให้ 'สามี' ตน
อรพรรณกวาดสายตาอ่านประวัติการศึกษาและการทำงานที่ผ่านมา แล้วก็ต้องเห็นดีด้วยกับผู้ที่พามาว่าผู้หญิงคนนี้เหมาะกับตำแหน่งเลขานุการของผู้เป็นเจ้านายที่สุด
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะโทรนัดวันสัมภาษณ์กับคุณทัดเทพอีกทีนะคะ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะคุณอร บอกว่าเป็นคนของดิฉันก็ได้ เทพเป็นคนมอบหมายให้ฉันจัดการเรื่องภายในอยู่แล้วนี่คะ เดี๋ยวจัดการให้น้องคนนี้เซ็นสัญญาเสียเลย แล้วอาทิตย์หน้าก็มาเริ่มงาน"
พนักงานฝ่ายบุคคลมีสีหน้าราวกลืนยาขม กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธผู้มีอำนาจอีกครึ่งหนึ่งในโรงแรมได้ เช่นเดียวกับทิวบุญที่ได้ทำงานในตำแหน่งซึ่งผิดจากคาดหมาย แต่เธอก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นถึงผู้บริหาร เจ้าของโรงแรมแห่งนี้ที่น้องบอกไว้ในบันทึกว่าเจอเขายากเย็นหนักหนา
หญิงสาวลงนามในสัญญา โชคดีเหลือเกินที่พบสุภาพสตรีที่แลดูมีอำนาจผู้นี้เสียก่อน แม้จะแปลกใจว่าอีกฝ่ายดูจะกระตือรือร้นในการรับเธอเข้าทำงานเหลือเกิน
ขอให้มันเป็นแค่ความหวังดีเพียงอย่างเดียวเถิด อย่าได้มีสิ่งใดเคลือบแฝงเลย
....................
ทิวบุญใช้เวลาว่างตลอดสัปดาห์นั้นไปกับการเยี่ยมเยียนพบปะเพื่อนฝูงทั้งที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันและเพื่อนเก่าที่ทำงาน ไม่มีใครแสดงความแปลกใจยามทราบว่าเธอกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ อีก ทุกคนต่างคิดว่าเธอเบื่อชีวิตชนบทเสียแล้ว และเธอก็พอใจที่ถูกเข้าใจผิดไปเช่นนั้น
เย็นวันอาทิตย์วันพักผ่อนสุดท้าย เธอแยกย้ายกับเพื่อนยังลานจอดรถในห้างสรรพสินค้าหลังปฏิเสธน้ำใจจากเพื่อนซึ่งอาสาไปส่ง เธออยากเดินดูหนังสือสักพัก แล้วก็มักเลือกซื้อโดยใช้เวลาพอสมควร กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนเห็นนาฬิกาบนผนังหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์บอกเวลาสองทุ่มเศษ
หญิงสาวเดินออกมาพร้อมถุงซึ่งใส่นิตยสารหลากแนวสามเล่ม และหนังสือพิมพ์ซึ่งมีหัวข้อข่าวสำคัญเรื่องการบุกไปตรวจค้นยังคลินิกทำแท้งตามที่เธอโทรไปแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่นเอง
เธอทำสำเร็จ ทิวบุญยิ้มมุมปากหากนัยน์ตาเศร้า เธอตัดสินใจแวะห้องน้ำก่อนกลับ ผู้คนที่บางตาทำให้ไม่ต้องแออัดรอคิวในห้องแคบๆ นั้นนานเกินไป
หญิงสาวล้างมือกับอ่าง แต่แล้วหางตาก็เหลือบเห็นเงาสตรีสูงวัยที่สะท้อนในกระจก แกเปิดประตูห้องน้ำเดินซวนเซออกมา ใบหน้าซีดเซียวนั้นไม่ใคร่สบาย
"คุณป้า เป็นอะไรหรือเปล่าคะ"
ทิวบุญตรงเข้าไปประคองเมื่อเห็นว่าไม่มีใครบริเวณนี้สักคน หญิงชรากุมมือเธอไว้มั่น มือเย็นชืดทว่าชื้นเหงื่อนั้นสั่นเทา
“จะเป็นลมหรือคะ หนูมียาดม”
“เปล่า เปล่าจ้ะ น้ำตาลลดน่ะ”
ทิวบุญถึงบางอ้อ นึกถึงอาการผู้ป่วยเบาหวานที่เคยเห็นพ่อแก่แม่เฒ่าเป็น
"งั้นหนูมีลูกอมค่ะ"
ผู้อาวุโสยิ้มน้อยๆ พลางนึกขันว่านั่นเป็นกระเป๋าวิเศษหรืออย่างไร
"ฉันทานแล้วจ้ะ ค่อยยังชั่วแล้ว"
ถึงอย่างนั้นหญิงสาวยังมิวายห่วงกังวล นี่ลูกหลานแกไปไหนนะจึงปล่อยให้ญาติผู้ใหญ่ไปไหนมาไหนลำพัง
"ออกไปข้างนอกดีกว่านะคะ ในนี้อับ หนูช่วยประคอง"
สตรีสูงวัยผงกศีรษะเห็นด้วย หญิงสาวจึงเป็นไม้เท้าประคองท่านออกมาจากห้องน้ำนั้น โดยมีเด็กชายร่างเจ้าเนื้อที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำหญิงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้วิ่งมาจูงมือท่านอีกข้างหนึ่ง
"คุณย่า"
เสียงเล็กร้องเรียกผู้เป็นย่าเรียกสายตาจากคนที่ยืนพิงพนัก ก้มหน้าสนใจโทรศัพท์ในมือให้หันมองตาม ดวงตาของคนแปลกหน้าสองคนแลสบกันอัตโนมัติ ทิวบุญมองเห็นผู้ชายผิวคร้าม หน้าคมอย่างไทยแท้มีไรหนวดเคราเขียวจาง เขาคงสูงกว่าเธอไม่กี่มากน้อย เมื่อวันนี้ตนสวมรองเท้าส้นสูง สายตาจึงอยู่ในระดับเดียวกัน
บุรุษผู้นั้นดึงสายตากลับก่อนปรี่เข้ามาประคองผู้สูงวัย หากตาเธอไม่ฝาด หญิงสาวสังเกตเห็นผู้อาวุโสกว่าพยายามพลิ้วต้นแขนหนี หากอีกมือของท่านกลับยึดมือเล็กของหลานไว้แน่นแทน
"แม่ นั่งพักก่อนเถอะครับ"
อ้อ ที่แท้ก็เป็นบุตรชายท่านนี่เอง เธอปล่อยให้ลูกหลานจับจูงผู้ใหญ่ในครอบครัวไปนั่งพักยังม้านั่งชิดผนังสำหรับให้คนนั่งรอ
ชายหนุ่มผู้นั้นคงกำลังรื้อหาลูกอมในกระเป๋าถือมารดา ก่อนจะถูกปรามไว้อีกครั้ง
"กินแล้ว นั่งพักสักเดี๋ยวก็หาย"
เมื่อสายตาหลังกรอบแว่นของผู้สูงวัยเงยขึ้นมอง ทิวบุญจึงได้รู้สึกว่าตนยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงนี้นานแล้ว เธอค้อมศีรษะให้ท่านแทนคำขอตัวก่อนเดินจากไป หากก็ถูกเรียกไว้
"คุณ ถ้าจะกลับแล้วให้เราไปส่งเถอะจ้ะ" เสียงเอ่ยอย่างมีน้ำใจยังหอบสั่นน้อยๆ
เธอเผลอเหลือบมองดวงตาแป๋วของสองพ่อลูกที่จ้องมองตนเป็นตาเดียว แล้วก็ให้รู้สึกประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
"ขอบคุณค่ะคุณป้า แต่หนูจะไปดูหนังต่อพอดี ขอตัวนะคะ"
คิดว่าเขาชอบความเป็นส่วนตัวคนเดียวหรือไง เธอเองก็รักษาความเป็นส่วนตัวของตนเองเช่นกัน เธอนึกหยันในใจ
ในความคิดทิวบุญ นี่มันหมดสมัยแล้วที่ผู้หญิงต้องพึ่งคนอื่นร่ำไป ในเมื่อเธอก็มีสองมือ สองขา และสมองที่อาจมากกว่าผู้ชายบางคน
...........................
เสียงสุนัขเห่าดังขรมเมื่อเห็นคนแปลกหน้าแทบจะดังกลบเสียงทะเลาะของสองพี่น้อง มันตะกุยตะกายจะออกจากกรงที่กักขังอย่างว้าวุ่น ยิ่งเมื่อเสียงร้องไห้จ้าของเด็กปลุกสัญชาตญาณนักล่าของมัน
สองขาหน้ายกตะกุยตาข่ายมุ้งลวดครั้งแล้วครั้งเล่าพลางเห่ากรรโชกไม่หยุด หารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นส่งผลให้กลอนกำลังจะเลื่อนหลุด น้ำหนักตัวมหาศาลของสุนัขโตเต็มวัยกระโจนกระแทกประตูกรงอีกครา แล้วครั้งนี้มันก็เฉลิมฉลองชัยชนะที่ได้ด้วยการกัดเข้าที่แขนเหยื่อซึ่งยกมาป้องใบหน้าจมเขี้ยว แม้แต่คนที่พยายามปกป้องก็โดนลูกหลงของเขี้ยวหนาไปด้วย ก่อนน้ำเย็นจะสาดดับความบ้าคลั่งของมัน ไม้หน้าสามอันใหญ่หวดเข้ากลางลำตัวจากเจ้านายที่มันจงรักภักดี ทั้งนักล่าและเหยื่อต่างก็สะบักสะบอม
ทิวบุญมองภาพที่เลือดแดงฉานอาบทั้งตนเองและน้องซึ่งนอนครวญครางอยู่บนพื้นปูนหน้าบ้านค่อยๆ จางออกไป เธอไม่ได้ตั้งใจ เสียงตนพร่ำแก้ตัวอย่างนั้นกับผู้ใหญ่หลายคนที่มามุง เธอแค่แกล้งแหย่คนขี้กลัว และกรงนั่นก็ล็อกอยู่ ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเหตุรุนแรงแบบนี้
ความผิดนั้นมันช่างทรมานใจ เธอทุรนทุราย กระสับกระส่ายแม้อยู่ในความฝัน กระทั่งคนฝันร้ายสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ผ้าห่มที่เธอถีบมันออกไปโดยไม่รู้ตัวกองอยู่ปลายเท้า เหงื่อกาฬโทรมกายจนเธอต้องลุกนั่งจากที่นอน
หญิงสาวเอื้อมไปกดเปิดโคมไฟหัวเตียง แล้วก็ได้เห็นต้นเหตุที่ทำให้เธอฝันร้ายถึงเหตุการณ์ในอดีตอีกครา สมุดบันทึกปกแข็งของน้องที่เธอพกติดตัวไม่ห่างและเพิ่งอ่านมันก่อนเข้านอน ความเกลียดชังที่อุ้มบุญมีต่อพี่มากมายถ่ายทอดผ่านตัวอักษรต่างๆ นั่นเอง
เธออยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต ลบบาดแผลในใจน้องและตนเองอันเกิดจากการกระทำอันขาดความยั้งคิด คึกคะนองเช่นนั้น ทิวบุญลูบหน้าเรียกสติ กลืนน้ำลายขมลงคอ เมื่อตระหนักว่าความคิดเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ มันเหลวไหลสิ้นดี
..........................
นั่นแน่ ผู้ชายคนแรกปรากฏตัวแล้ววว
เขาจะใช้ 1 ใน 3 ผู้ต้องสงสัยหรือไม่ หรือเกี่ยวข้องยังไง ตอนหน้ารู้กันค่า
[[[ ขายของอีกเช่นเคย ]]]
ผู้สนใจสามารถสั่งจอง "โซ่พิสุทธิ์" ในราคาพิเศษ 275 บาทได้อีก 8 วันเท่านั้นนะคะ
1. กล่องข้อความเพจ ภาพิมล / พิมลภา
2. กล่องข้อความเพจ สำนักพิมพ์กรองอักษร
3. อีเมล the_zircon@hotmail.com
4. Line id : thezircon
5. เว็บ http://krongaksorn.lnwshop.com
อ่านตัวอย่างได้ที่ http://my.dek-d.com/thezircon/writer/view.php?id=1358542
อ่านรีวิวจากเพจ "รีวิว นิยายนอกสายตา" ได้ที่https://www.facebook.com/1441961839417052/photos/a.1442000456079857.1073741827.1441961839417052/1649841775295723/?type=1&theater
..
***พิเศษ! ผู้สั่งจองภายในเดือนกันยายนนี้ ลุ้นรับตุ๊กตาหมีจากโครงการน้องหมีช่วยหมอ 3 รางวัลค่ะ***
เพื่อเป็นการตัดปัญหาและความสบายใจของพ่อกับแม่ ทิวบุญต้องเป็นพี่ใจร้าย แล้งน้ำใจอีกครั้งด้วยการไม่ไปเยี่ยมอุ้มบุญที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ผู้ใหญ่บุญรอดขับรถเทียวไปมาระหว่างกรุงเทพฯ - นครนายกอีกสองวัน ก่อนแพทย์จะอนุญาตให้คนเจ็บกลับบ้านได้
ตลอดสัปดาห์ที่อุ้มบุญกลับมาพักฟื้นที่บ้าน คนเป็นพี่ต้องย้ายไปนอนห้องพี่ชายไปพลาง เขายังไม่กลับจากแท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติกลางอ่าวไทยเร็วนักหรอก ระหว่างนี้เธอก็คิดหาทางทำตามแผนการในใจให้สำเร็จจึงมักเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง แทนที่ออกมาหยิบจับทำงานต่างๆ ดังเคย
กระทั่งมื้อเย็นวันหนึ่งที่เธอลงมาข้างล่าง ทั้งที่นึกรู้ว่าคนที่ตนพยายามหลบเลี่ยงคงอยู่ที่นั่น พ่อ แม่ และน้องกำลังล้อมวงทานข้าวรอบโต๊ะหินอ่อนใต้ถุนบ้าน ยังไม่มีใครสังเกตว่าเธอเพิ่งลงบันไดมา แล้วเธอก็ได้ยินพ่อพยายามเกลี้ยกล่อมน้องให้ขึ้นไปตามเธอ
"ไปตามพี่เขามากินข้าวสิอุ้ม พี่เขาต้องมากินทีหลังทุกมื้อ ทำเหมือนไม่มีตัวตนในบ้าน ไม่สงสารหรือ"
ทิวบุญไม่เห็นสีหน้าน้องนอกจากใบหน้าไม่สู้สบายใจของแม่ที่หันข้างมา แต่เดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงจะวางหน้านิ่งดังเคย
"ทำไมลูกพ่อใจร้ายใจดำอย่างนี้ พ่อแม่เลี้ยงไม่ดีตรงไหน พี่น้องถึงต้องมาทะเลาะกัน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยอย่างแสนเจ็บปวดใจ
"พ่อเลี้ยงดีมาก แต่อุ้มเลวเอง อย่างนั้นไงคะ" เสียงแข็งอย่างที่แทบไม่เชื่อหูว่ามาจากเด็กเรียบร้อยที่สุดตอบกลับ
"พ่อ อุ้ม พอเถอะลูก" ฤทัยแตะแขนปรามทั้งสองฝ่าย
ภาพที่เห็น ตัวน้องที่เป็นเช่นนี้มันเกินความโกรธไปแล้ว อุ้มบุญกำลังป่วย เธอเชื่ออย่างที่แพทย์เคยบอกว่าน้องควรพบจิตแพทย์เพื่อรักษาโรคซึมเศร้า ถ้าจะโทษใครสักคนที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นเช่นนี้ ตัวเธอเองก็คงมีส่วนที่ทำให้น้องคิดไปว่าต้องแข่งขันแม้เพื่อแย่งชิงความรักจากพ่อแม่ก็ตาม
หญิงสาวก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายไปหาทุกคน ทำเหมือนไม่ได้ยินที่พวกเขาคุยกัน
"พ่อ แม่ อุ้ม"
"อ้าวทิว มาสิลูก มากินข้าวกัน" บุญรอดเป็นฝ่ายออกปากชวน
เธอนั่งลงบนม้าหินอ่อนที่ว่างอยู่ตัวหนึ่ง ก่อนยื่นมือไปรับจานข้าวที่พ่อรีบตักให้ราวกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจ
กลางวงอาหารยามเย็นมีหลอดนีออนจากใต้ถุนเรือนให้ความสว่าง บุญหลายซึ่งหมอบอยู่ข้างพ่อกระดิกหางพลางลุกมานั่งระหว่างเธอกับอุ้มบุญเพื่อรอเศษอาหารจากคนที่ให้มันประจำ แล้วผู้พี่ก็ได้เห็นน้องนั่งตัวแข็ง ประสาคนไว้ตัวและขี้กลัวสัตว์ทุกชนิด
"ทิวมีเรื่องจะบอกทุกคนน่ะ" เธอเกริ่นนำก่อนที่จะอึดอัดไปมากกว่านี้
สายตาสองคู่ที่เฝ้าดู ให้ความสนใจกับลูกเสมอจ้องมองมา หากทิวบุญก็เชื่อว่าคนที่เอาแต่เขี่ยช้อนกับข้าวไปมาข้างๆ ตนนี้ก็คงรอฟังเช่นกัน
"ทิวได้งานที่กรุงเทพฯ แล้วนะ พรุ่งนี้จะไปสัมภาษณ์และเซ็นสัญญา แล้วว่าจะอยู่ที่ห้องพักเลย เผื่อเขาให้เริ่มงานน่ะจ้ะ"
"งานอะไรลูก" ฤทัยถามอย่างแปลกใจ
"งานเลขาฯ เหมือนเดิมแหละแม่" เธอปด
ทั้งหมดที่กล่าวมาไม่เป็นความจริงสักอย่าง เพราะเธอไม่ได้สมัครงานที่ไหน และมีที่ทำงานในดวงใจไว้แล้วว่าจะต้องเข้าไปทำงานที่นั่นให้ได้
"ไปทำอีกทำไม ไหนว่าเบื่อกรุงเทพฯ" บิดาถามบ้าง
"ก็เมื่อก่อนห่วงพ่อกับแม่ไง แต่เดี๋ยวนี้อุ้มก็อยู่ อุ้มดูแลพ่อกับแม่ได้อยู่แล้ว"
ทิวบุญหันมองหญิงสาวที่ยังคงซูบซีด อุ้มบุญเหลือบตามาสบตาเธอแวบหนึ่ง ก่อนรีบชักกลับและปั้นหน้านิ่งเสมือนไม่รับฟังคำพูดเธอ
"ทิว..."
"เหอะพ่อ ก็เขารับทิวแล้ว จะให้เสียคำพูดได้ไง" ลูกสาวคนโตเอ่ยตัดบท
แต่ไหนแต่ไรเธอก็เป็นคนมั่นใจ หัวแข็งอย่างที่พ่อแม่เคยว่า เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้วก็ไม่มีใครทัดทานได้
นิสัยเช่นนี้เองที่อุ้มบุญไม่มี และจะไม่มีวันเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยวได้เท่าพี่สาว หากเธอไม่คิดออกจากอ้อมอกแม่และเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่ใช่คุณค่าที่ต้องรอคนอื่นประเมินร่ำไป
........................
หญิงสาวนอนตะแคงปิดเปลือกตาบนฟูกซึ่งปูกับพื้นไม้ มีมุ้งตาข่ายกางกั้นจากมดแมลงที่อาจรบกวนคนนอนได้ หากเธอไม่ได้หลับอย่างที่แสร้งทำหรอก ความสะดวกสบายต่างจากห้องเช่ากลางเมืองหลวงทำให้หลับไม่สนิททุกคืน รวมทั้งเช้ามืดวันนี้ตั้งแต่แม่ซึ่งย้ายมานอนเป็นเพื่อนลุกออกจากมุ้ง
กลิ่นหอมของข้าวหุงสุกใหม่ดังเช่นทุกเช้าลอยมาถึงบนบ้าน หน้าต่างบานไม้ซึ่งงับไม่สนิททำให้ได้ยินเสียงความเป็นไปต่างๆ ภายนอกได้ชัดเจน แม่พูดคุยกับเพื่อนบ้าน เสียงแม่พูดคุยกับพ่อ กระทั่งเสียงพ่อและแม่พูดคุยกับพี่ที่คงตื่นแต่เช้าเพิ่มเตรียมตัวเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
อุ้มบุญนึกถึงงานที่เธอทิ้งมาโดยไม่ได้ลาออกหรือบอกกล่าวใคร เธอปิดมือถือนับแต่ตัดสินใจทำสิ่งที่เด็ดขาดที่สุดในชีวิต แล้วก็ไม่ได้เปิดมันอีก ตัดขาดจากทุกคนและโลกภายนอก แต่ใครจะสน เธอไม่ได้มีเพื่อนมาก ไม่ได้มีสังคม คนที่ดีกับเธอทุกคนต่างก็เป็นชายหนุ่มหรือไม่ก็สาวหล่อที่มาชอบพอ เพราะอย่างนี้ใช่ไหมหัวใจเธอจึงวนเวียนอยู่แค่เรื่องความรัก จนถึงขั้นพลั้งเผลอใจไปกับผู้ชายที่หลอกลวง
น้ำตาไหลลงมาอีก พร้อมกับหัวใจที่ดิ้นทุรนทุราย เธอถีบขาสะบัดเอาชายผ้าห่มหลุดพ้นจากตัวอย่างไม่ได้ดั่งใจ ทำไมเธอจึงต้องเป็นคนแพ้ต่อหน้าครอบครัว มันควรจะเป็นความลับดำมืดที่เธอรู้แก่ใจคนเดียว หากว่าเพื่อนทรยศและพี่จะไม่พาแม่มาพบเข้า แต่มันก็เป็นไปแล้ว เธอได้รับความสนใจ สงสารจากแม่ก็จริง แต่เธอจะไม่มีวันได้รับคำชมดังพี่ที่เธอเกลียดฝังใจ
อุ้มบุญลูบรอยแผลเป็นเย็บยาวจากใต้ศอกลงมาพลางไพล่นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตามไปพบพี่ซึ่งหนีไปเล่นบ้านเพื่อน เธอขู่จะฟ้องแม่ที่พี่ทิ้งให้เธอทำงานบ้านคนเดียว วันนั้นพี่สาววัยสิบสี่ปีทั้งยื้อยุดฉุดกระชากเธอไปหน้ากรงสุนัขเมื่อรู้ทั้งรู้ว่าเธอกลัว แล้วเสียงร้องไห้ของเธอก็ทำให้สุนัขสีดำตัวใหญ่ในบ้านเพื่อนพี่กระโจนออกมาจากกรง มันตรงเข้าขย้ำเธอจมเขี้ยว เด็กหญิงอุ้มบุญกรีดร้องลั่นจนผู้หลักผู้ใหญ่บนบ้านลงมาห้ามปราม
แผลในใจวันนั้นสดใหม่กว่ารอยแผลเป็นซึ่งซึดจางยิ่งนัก เธอฝังใจเสียแล้วว่าพี่เกลียดเธอ และเธอก็ต้องเกลียดเขาให้มากกว่า อะไรที่พี่พูด คิด ทำ ก็ล้วนติดลบด้วยอคติ ทิฐิมานะในใจ ไม่มีวันที่เธอจะให้อภัยคนที่ทำร้ายเธอ แล้วยังเจียดเอาความรักจากแม่ไปอีก ไม่มีวัน...
อุ้มบุญคิดอย่างเจ้าคิดเจ้าแค้น ก่อนปาดน้ำตาเมื่อได้ยินเสียงติดเครื่องยนต์รถกระบะและเสียงร่ำลาระหว่างแม่กับทิวบุญ ความคิดที่ว่าพี่กำลังจะจากไปมีอนาคตสวยงาม ยิ่งลดแสงคุณค่าในใจเธอให้มอดดับลง เหมือนกับประตูชีวิตเธอกำลังปิดลงทีละบาน
.........................
พ่อขับรถมาส่ก่อนจะงตีรถกลับทันทีเมื่อมีประชุมผู้ใหญ่บ้านช่วงบ่ายวันนี้ ทิวบุญเก็บข้าวของสัมภาระในห้องแล้วเรียบร้อยจึงค่อยเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดเสื้อกางเกงสูทสีดำสุภาพ ลดความแข็งกระด้างด้วยเสื้อเชิ้ตสีส้มอ่อนข้างใน พร้อมสำหรับ 'วอล์ก อิน' ไปสมัครงานอย่างที่เธอมั่นใจว่าประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงานของตนจะทำให้ผู้รับยากปฏิเสธได้ลง
เธอลงมาจัดการเรื่องค่าเช่าห้องพักที่อุ้มบุญค้างชำระตามที่รับปากผู้จัดการสาวใหญ่เป็นสิ่งแรกหลังมาถึง พนักงานผู้ช่วยเป็นคนรับเรื่องและเงินทั้งหมดไว้ ก่อนเธอจะเสร็จธุระเร็วกว่าที่คิดเมื่อฝ่ายนั้นบอกว่าส้มโอขึ้นไปดูช่างซ่อมเครื่องปรับอากาศห้องพักข้างบน
จาก 'ซีซีเพลส' ไป 'โรงแรมเทวานิรมิต' ใช้เวลาเพียงสิบนาทีเศษโดยรถแท็กซี่ เมื่อรู้ว่ามันอยู่ไม่ไกลจากเส้นทางรถไฟฟ้าผ่าน คราวต่อไปเธอก็พอรู้วิธีเดินทางที่ประหยัดขึ้น
ทิวบุญกวาดสายตามองตึกกว้างสูงแปดชั้นสีขาวสะอาดตา ตัดด้วยระแนงไม้พรางตาสีน้ำตาลไหม้ยังระเบียงห้องพัก ด้านหน้าที่จอดรถร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่อย่างที่หาได้ยากในเมืองกรุง มันเงียบสงบกว่าที่เธอคิดเมื่อตั้งอยู่ในซอย
"เทวานิรมิต" เธอทวนชื่อนั้นออกมาอย่างเผลอไผลเมื่อเจ้าหน้าที่ชายเปิดประตูกระจกให้เข้าไป
ถ้าภาพภายนอกที่เห็นคือความเรียบง่ายสบายตา การตกแต่งภายในของที่นี่ก็ลานตาด้วยชุดโซฟาผ้าไหมสีเลือดหมู ตัดกับพื้นหินอ่อนแผ่นใหญ่ขัดเงาเสียจนสะท้อนแสงทองนวลตาจากโคมไฟระย้าเบื้องบน มีแจกันดินเหนียวขนาดใหญ่ซึ่งเขียนสีเป็นลายเส้นอ่อนช้อยตั้งประดับมุมเสา อีกทั้งหน้าโต๊ะเคาน์เตอร์ต้อนรับยังประดับด้วยรูปปั้นทองเหลืองรูปนางกินรียืนพนมมือ แม้ไม่มีโอกาสได้เสพงานศิลป์มากนัก หากเธอก็ตัดสินได้ว่ามันงดงามและลงตัว
"ติดต่อแผนกบุคคลค่ะ" เธอบอกกับพนักงานสาวในชุดเสื้อสูทยูนิฟอร์มของทางโรงแรม
"ไม่ทราบว่าติดต่อธุระอะไรคะ" เสียงหวานถามกลับ
"มาสมัครงานค่ะ"
คำตอบนั้นสะดุดหูใครบางคนที่กำลังเดินผ่านเคาน์เตอร์ไป ลักขณาลดฝีเท้ามองอีกฝ่ายอย่างประเมินก็เห็นว่าเป็นหญิงสาวท่วงท่ามาดมั่น ร่างสูงเพรียวนั้นแม้สวมใส่รองเท้าคัชชูส้นเตี้ยก็สูงเท่าเธอซึ่งสวมส้นสูงราวสองนิ้ว ผมที่ตัดซอยสั้นแทบติดศีรษะนั้นยิ่งเพิ่มความโดดเด่นให้กับใบหน้าสวยเก๋ขึ้นไปอีก
กระทั่งอีกฝ่ายคงรู้สึกตัวที่ถูกมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เจ้าหล่อนจึงได้หันมา ก่อนคนแอบมองด้วยความชื่นชมจะคลี่ยิ้มบางให้พลางรับไหว้พนักงานที่กระพุ่มมือไหว้สวัสดี
"เดี๋ยวพี่พาน้องคนนี้ไปเองค่ะ" เธออาสา
ทิวบุญหันไปไหว้ขอบคุณ แม้ไม่รู้จักแต่ก็เชื่อว่าสุภาพสตรีผู้นี้ย่อมต้องมีตำแหน่งแห่งหนในเทวานิรมิตเป็นแน่
"มาสมัครตำแหน่งอะไรคะ" ลักขณาถามอย่างชวนคุยขณะเดินไปยังสำนักงานชั้นล่างด้านหลังโรงแรม
" 'เซล โค' ค่ะ"
เธอหมายถึงตำแหน่งผู้ช่วยประสานงานฝ่ายขายที่น้องเคยทำ
"ไม่สนใจงานเลขาฯ หรือคะ ที่นี่กำลังหาคนอยู่"
ทิวบุญลอบย่นจมูก ดูเหมือนเธอจะเกิดมาเพื่องานเลขานุการเสียจริง เมื่อสมัครที่ใดก็ได้ตำแหน่งนี้ ทว่าเธอไม่ต้องการถูกกักขังไว้บนหอคอยงาช้างกับบรรดาผู้บริหารตอนนี้ เธออยากคลุกคลีกับคนในสังคมเดียวกับน้องมากกว่า
"คุณทัดเทพเป็นผู้บริหารที่นี่ เขาชอบคนคล่องแคล่วค่ะ หน่วยก้านคุณใช้ได้เลย"
"คุณทัดเทพหรือคะ" เธอทวนชื่อนั้นอย่างจดจำได้ขึ้นใจ
อีกฝ่ายหันมาผงกศีรษะก่อนผลักประตูกระจกทึบเข้าไป และนั่นก็เรียกสติผู้ที่เคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกกลับคืนมา
ป้ายพลาสติกแข็งซึ่งติดไว้ข้างประตูห้องบอกว่าเป็นแผนกบุคคล ภายในนั้นมีโต๊ะทำงานเพียงสามตัว กั้นด้วยฉากพรางตาแยกสัดส่วนเป็นส่วนตัว ทุกคนในห้องต่างพนมมือไหว้สุภาพสตรีที่พาเธอมา และนั่นก็ยิ่งช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้คงอยู่ในฐานะพิเศษจริงๆ
"คุณอร ดิฉันพาคนมาสมัครงานค่ะ"
ทิวบุญพนมมือไหว้ผู้ที่อาวุโสสุดในห้องนั้น ก่อนจะงันไปเมื่อผู้ที่พาเธอมาเอ่ยก้าวก่ายความตั้งใจของตน
"ให้เป็นเลขาฯ คุณเทพน่าจะพอไหว"
พนักงานอาวุโสยิ้มบาง ก่อนจะเอ่ยอย่างผู้มีหน้าที่รักษาระเบียบการ
"คงต้องดูเรซูเม่อีกทีค่ะ" น้ำเสียงสุภาพนอบน้อมนั้นยากจะแปลความหมายว่าต้องการขัดใจ
หญิงสาวส่งเอกสารในแฟ้มให้อรพรรณ อีกฝ่ายเพียงกวาดตามองแค่ชื่อก็เงยหน้ามาสบตาเธอทันที
"เป็นอะไรกับคุณอุ้มบุญหรือคะ เห็นนามสกุลเดียวกัน"
"ดิฉันเป็นพี่สาวค่ะ อุ้มไม่สบายจึงต้องหยุดอยู่บ้าน ดิฉันเลยอยากหางานทำแทนน้อง และก็ทราบว่าที่นี่รับสมัครงาน"
ผู้ฟังทั้งสองผงกศีรษะรับฟัง ยิ่งลักขณาคุ้นหูชื่อบุคคลที่สามที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง นั่นก็ตรงกับความต้องการหาผู้ช่วยที่เหมาะสมให้ 'สามี' ตน
อรพรรณกวาดสายตาอ่านประวัติการศึกษาและการทำงานที่ผ่านมา แล้วก็ต้องเห็นดีด้วยกับผู้ที่พามาว่าผู้หญิงคนนี้เหมาะกับตำแหน่งเลขานุการของผู้เป็นเจ้านายที่สุด
"ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะโทรนัดวันสัมภาษณ์กับคุณทัดเทพอีกทีนะคะ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะคุณอร บอกว่าเป็นคนของดิฉันก็ได้ เทพเป็นคนมอบหมายให้ฉันจัดการเรื่องภายในอยู่แล้วนี่คะ เดี๋ยวจัดการให้น้องคนนี้เซ็นสัญญาเสียเลย แล้วอาทิตย์หน้าก็มาเริ่มงาน"
พนักงานฝ่ายบุคคลมีสีหน้าราวกลืนยาขม กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธผู้มีอำนาจอีกครึ่งหนึ่งในโรงแรมได้ เช่นเดียวกับทิวบุญที่ได้ทำงานในตำแหน่งซึ่งผิดจากคาดหมาย แต่เธอก็ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นถึงผู้บริหาร เจ้าของโรงแรมแห่งนี้ที่น้องบอกไว้ในบันทึกว่าเจอเขายากเย็นหนักหนา
หญิงสาวลงนามในสัญญา โชคดีเหลือเกินที่พบสุภาพสตรีที่แลดูมีอำนาจผู้นี้เสียก่อน แม้จะแปลกใจว่าอีกฝ่ายดูจะกระตือรือร้นในการรับเธอเข้าทำงานเหลือเกิน
ขอให้มันเป็นแค่ความหวังดีเพียงอย่างเดียวเถิด อย่าได้มีสิ่งใดเคลือบแฝงเลย
....................
ทิวบุญใช้เวลาว่างตลอดสัปดาห์นั้นไปกับการเยี่ยมเยียนพบปะเพื่อนฝูงทั้งที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันและเพื่อนเก่าที่ทำงาน ไม่มีใครแสดงความแปลกใจยามทราบว่าเธอกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ อีก ทุกคนต่างคิดว่าเธอเบื่อชีวิตชนบทเสียแล้ว และเธอก็พอใจที่ถูกเข้าใจผิดไปเช่นนั้น
เย็นวันอาทิตย์วันพักผ่อนสุดท้าย เธอแยกย้ายกับเพื่อนยังลานจอดรถในห้างสรรพสินค้าหลังปฏิเสธน้ำใจจากเพื่อนซึ่งอาสาไปส่ง เธออยากเดินดูหนังสือสักพัก แล้วก็มักเลือกซื้อโดยใช้เวลาพอสมควร กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนเห็นนาฬิกาบนผนังหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์บอกเวลาสองทุ่มเศษ
หญิงสาวเดินออกมาพร้อมถุงซึ่งใส่นิตยสารหลากแนวสามเล่ม และหนังสือพิมพ์ซึ่งมีหัวข้อข่าวสำคัญเรื่องการบุกไปตรวจค้นยังคลินิกทำแท้งตามที่เธอโทรไปแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั่นเอง
เธอทำสำเร็จ ทิวบุญยิ้มมุมปากหากนัยน์ตาเศร้า เธอตัดสินใจแวะห้องน้ำก่อนกลับ ผู้คนที่บางตาทำให้ไม่ต้องแออัดรอคิวในห้องแคบๆ นั้นนานเกินไป
หญิงสาวล้างมือกับอ่าง แต่แล้วหางตาก็เหลือบเห็นเงาสตรีสูงวัยที่สะท้อนในกระจก แกเปิดประตูห้องน้ำเดินซวนเซออกมา ใบหน้าซีดเซียวนั้นไม่ใคร่สบาย
"คุณป้า เป็นอะไรหรือเปล่าคะ"
ทิวบุญตรงเข้าไปประคองเมื่อเห็นว่าไม่มีใครบริเวณนี้สักคน หญิงชรากุมมือเธอไว้มั่น มือเย็นชืดทว่าชื้นเหงื่อนั้นสั่นเทา
“จะเป็นลมหรือคะ หนูมียาดม”
“เปล่า เปล่าจ้ะ น้ำตาลลดน่ะ”
ทิวบุญถึงบางอ้อ นึกถึงอาการผู้ป่วยเบาหวานที่เคยเห็นพ่อแก่แม่เฒ่าเป็น
"งั้นหนูมีลูกอมค่ะ"
ผู้อาวุโสยิ้มน้อยๆ พลางนึกขันว่านั่นเป็นกระเป๋าวิเศษหรืออย่างไร
"ฉันทานแล้วจ้ะ ค่อยยังชั่วแล้ว"
ถึงอย่างนั้นหญิงสาวยังมิวายห่วงกังวล นี่ลูกหลานแกไปไหนนะจึงปล่อยให้ญาติผู้ใหญ่ไปไหนมาไหนลำพัง
"ออกไปข้างนอกดีกว่านะคะ ในนี้อับ หนูช่วยประคอง"
สตรีสูงวัยผงกศีรษะเห็นด้วย หญิงสาวจึงเป็นไม้เท้าประคองท่านออกมาจากห้องน้ำนั้น โดยมีเด็กชายร่างเจ้าเนื้อที่ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำหญิงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้วิ่งมาจูงมือท่านอีกข้างหนึ่ง
"คุณย่า"
เสียงเล็กร้องเรียกผู้เป็นย่าเรียกสายตาจากคนที่ยืนพิงพนัก ก้มหน้าสนใจโทรศัพท์ในมือให้หันมองตาม ดวงตาของคนแปลกหน้าสองคนแลสบกันอัตโนมัติ ทิวบุญมองเห็นผู้ชายผิวคร้าม หน้าคมอย่างไทยแท้มีไรหนวดเคราเขียวจาง เขาคงสูงกว่าเธอไม่กี่มากน้อย เมื่อวันนี้ตนสวมรองเท้าส้นสูง สายตาจึงอยู่ในระดับเดียวกัน
บุรุษผู้นั้นดึงสายตากลับก่อนปรี่เข้ามาประคองผู้สูงวัย หากตาเธอไม่ฝาด หญิงสาวสังเกตเห็นผู้อาวุโสกว่าพยายามพลิ้วต้นแขนหนี หากอีกมือของท่านกลับยึดมือเล็กของหลานไว้แน่นแทน
"แม่ นั่งพักก่อนเถอะครับ"
อ้อ ที่แท้ก็เป็นบุตรชายท่านนี่เอง เธอปล่อยให้ลูกหลานจับจูงผู้ใหญ่ในครอบครัวไปนั่งพักยังม้านั่งชิดผนังสำหรับให้คนนั่งรอ
ชายหนุ่มผู้นั้นคงกำลังรื้อหาลูกอมในกระเป๋าถือมารดา ก่อนจะถูกปรามไว้อีกครั้ง
"กินแล้ว นั่งพักสักเดี๋ยวก็หาย"
เมื่อสายตาหลังกรอบแว่นของผู้สูงวัยเงยขึ้นมอง ทิวบุญจึงได้รู้สึกว่าตนยืนปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ตรงนี้นานแล้ว เธอค้อมศีรษะให้ท่านแทนคำขอตัวก่อนเดินจากไป หากก็ถูกเรียกไว้
"คุณ ถ้าจะกลับแล้วให้เราไปส่งเถอะจ้ะ" เสียงเอ่ยอย่างมีน้ำใจยังหอบสั่นน้อยๆ
เธอเผลอเหลือบมองดวงตาแป๋วของสองพ่อลูกที่จ้องมองตนเป็นตาเดียว แล้วก็ให้รู้สึกประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
"ขอบคุณค่ะคุณป้า แต่หนูจะไปดูหนังต่อพอดี ขอตัวนะคะ"
คิดว่าเขาชอบความเป็นส่วนตัวคนเดียวหรือไง เธอเองก็รักษาความเป็นส่วนตัวของตนเองเช่นกัน เธอนึกหยันในใจ
ในความคิดทิวบุญ นี่มันหมดสมัยแล้วที่ผู้หญิงต้องพึ่งคนอื่นร่ำไป ในเมื่อเธอก็มีสองมือ สองขา และสมองที่อาจมากกว่าผู้ชายบางคน
...........................
เสียงสุนัขเห่าดังขรมเมื่อเห็นคนแปลกหน้าแทบจะดังกลบเสียงทะเลาะของสองพี่น้อง มันตะกุยตะกายจะออกจากกรงที่กักขังอย่างว้าวุ่น ยิ่งเมื่อเสียงร้องไห้จ้าของเด็กปลุกสัญชาตญาณนักล่าของมัน
สองขาหน้ายกตะกุยตาข่ายมุ้งลวดครั้งแล้วครั้งเล่าพลางเห่ากรรโชกไม่หยุด หารู้ไม่ว่าการกระทำเช่นนั้นส่งผลให้กลอนกำลังจะเลื่อนหลุด น้ำหนักตัวมหาศาลของสุนัขโตเต็มวัยกระโจนกระแทกประตูกรงอีกครา แล้วครั้งนี้มันก็เฉลิมฉลองชัยชนะที่ได้ด้วยการกัดเข้าที่แขนเหยื่อซึ่งยกมาป้องใบหน้าจมเขี้ยว แม้แต่คนที่พยายามปกป้องก็โดนลูกหลงของเขี้ยวหนาไปด้วย ก่อนน้ำเย็นจะสาดดับความบ้าคลั่งของมัน ไม้หน้าสามอันใหญ่หวดเข้ากลางลำตัวจากเจ้านายที่มันจงรักภักดี ทั้งนักล่าและเหยื่อต่างก็สะบักสะบอม
ทิวบุญมองภาพที่เลือดแดงฉานอาบทั้งตนเองและน้องซึ่งนอนครวญครางอยู่บนพื้นปูนหน้าบ้านค่อยๆ จางออกไป เธอไม่ได้ตั้งใจ เสียงตนพร่ำแก้ตัวอย่างนั้นกับผู้ใหญ่หลายคนที่มามุง เธอแค่แกล้งแหย่คนขี้กลัว และกรงนั่นก็ล็อกอยู่ ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเหตุรุนแรงแบบนี้
ความผิดนั้นมันช่างทรมานใจ เธอทุรนทุราย กระสับกระส่ายแม้อยู่ในความฝัน กระทั่งคนฝันร้ายสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก ผ้าห่มที่เธอถีบมันออกไปโดยไม่รู้ตัวกองอยู่ปลายเท้า เหงื่อกาฬโทรมกายจนเธอต้องลุกนั่งจากที่นอน
หญิงสาวเอื้อมไปกดเปิดโคมไฟหัวเตียง แล้วก็ได้เห็นต้นเหตุที่ทำให้เธอฝันร้ายถึงเหตุการณ์ในอดีตอีกครา สมุดบันทึกปกแข็งของน้องที่เธอพกติดตัวไม่ห่างและเพิ่งอ่านมันก่อนเข้านอน ความเกลียดชังที่อุ้มบุญมีต่อพี่มากมายถ่ายทอดผ่านตัวอักษรต่างๆ นั่นเอง
เธออยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต ลบบาดแผลในใจน้องและตนเองอันเกิดจากการกระทำอันขาดความยั้งคิด คึกคะนองเช่นนั้น ทิวบุญลูบหน้าเรียกสติ กลืนน้ำลายขมลงคอ เมื่อตระหนักว่าความคิดเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ มันเหลวไหลสิ้นดี
..........................
นั่นแน่ ผู้ชายคนแรกปรากฏตัวแล้ววว
เขาจะใช้ 1 ใน 3 ผู้ต้องสงสัยหรือไม่ หรือเกี่ยวข้องยังไง ตอนหน้ารู้กันค่า
[[[ ขายของอีกเช่นเคย ]]]
ผู้สนใจสามารถสั่งจอง "โซ่พิสุทธิ์" ในราคาพิเศษ 275 บาทได้อีก 8 วันเท่านั้นนะคะ
1. กล่องข้อความเพจ ภาพิมล / พิมลภา
2. กล่องข้อความเพจ สำนักพิมพ์กรองอักษร
3. อีเมล the_zircon@hotmail.com
4. Line id : thezircon
5. เว็บ http://krongaksorn.lnwshop.com
อ่านตัวอย่างได้ที่ http://my.dek-d.com/thezircon/writer/view.php?id=1358542
อ่านรีวิวจากเพจ "รีวิว นิยายนอกสายตา" ได้ที่https://www.facebook.com/1441961839417052/photos/a.1442000456079857.1073741827.1441961839417052/1649841775295723/?type=1&theater
..
***พิเศษ! ผู้สั่งจองภายในเดือนกันยายนนี้ ลุ้นรับตุ๊กตาหมีจากโครงการน้องหมีช่วยหมอ 3 รางวัลค่ะ***
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ย. 2558, 16:33:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ย. 2558, 16:33:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 1131
<< บทที่ ๒ | บทที่ ๔ >> |